กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 10-07-2022, 17:43
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,624
ได้ให้อนุโมทนา: 216,931
ได้รับอนุโมทนา 747,740 ครั้ง ใน 36,412 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 10-07-2022, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,262 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตั้งแต่เช้ามาก็ได้ทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ด้วยความปรารถนาอย่างยิ่งว่า "ติดเชื้อสักทีเถอะ จะได้พักยาว ๆ" แต่ปรากฏว่าผิดหวังอีกตามเคย

หลังจากนั้นก็ออกไปทำการอุปสมบทหมู่ ปีนี้ได้พระใหม่ที่ตั้งใจบวชเพื่อจำพรรษาจำนวน ๘ รูปด้วยกัน บวกกับของเก่าที่บวชมาตั้งแต่หลังออกพรรษา คือช่วงลอยกระทงปี ๒๕๖๔ ก็จะมีพระใหม่ทั้งสิ้น ๑๓ รูป แต่ว่ามี ๒ รูปที่ขอไปจำพรรษาอยู่ที่ทางสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แล้วทางวัดวังปะโท่ก็ได้ขอพระมาอีก ๒ รูป จึงทำให้ทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่วัดท่าขนุนนี้ มีทั้งหมดตามรายชื่อคือ ๔๘ รูป พร้อมกับสามเณรอีก ๑ รูป ซึ่งสามเณรที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวนี้ อายุก็จะครบบวชอยู่แล้ว กำลังรอว่าเมื่อไรสามเณรจะตัดสินใจกล้าบวชเสียที..!

ในส่วนของการบวชพระนั้น พิธีการบวช ถ้าหากว่ามีพระอุปัชฌาย์ อาจารย์คู่สวด และพระอันดับ ครบถ้วนตามพระบรมพุทธานุญาต ก็สามารถที่จะบวชได้ เพียงแต่ว่าหลังจากที่บวชแล้วต่างหากจึงเป็นเรื่องยาก ว่าทำอย่างไรที่ท่านทั้งหลายจะสามารถดำรงคงอยู่ในสมณเพศ อย่างชนิดที่อยู่สุขอยู่เย็นได้

ตัวกระผม/อาตมภาพนั้น ทุ่มเทกับการฝึกสมาธิ ฝึกสมาบัติต่าง ๆ เป็นเวลาถึง ๑๑ ปีต่อเนื่องกัน ก็ยังไม่กล้าที่จะบวช และเมื่อคิดตก รับปากพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบวชเข้าไปแล้ว ในช่วง ๒ - ๓ พรรษาแรก ก็ยังอยากจะสึกวันหนึ่งเป็นร้อย ๆ หน..!

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากที่พยายามฝึกฝน ขัดเกลาตนเองเรื่อยมา ก็ค้นพบว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าตนเองประมาท เปิดโอกาสให้กิเลสมีโอกาสเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมาได้

ตรงจุดนี้ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสงฆ์ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาสก็ตาม ในระยะแรกก็มักจะทำเหมือนกันหมด ก็คือฝึกปฏิบัติอย่างทุ่มเทมาก บางคนนั่งกรรมฐานทีหนึ่ง ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง หรือว่าเป็นวันเป็นคืน แต่ว่าหลังจากที่เลิกนั่งกรรมฐานแล้ว ก็มักจะเลิกแล้วเลิกเลย ก็คือไม่ได้รักษาอารมณ์ใจที่ตนเองทำได้
นั้นเอาไว้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2022 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 10-07-2022, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,262 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การปฏิบัติธรรมที่เป็นการทวนกระแสโลก ก็เหมือนกับตัวเราว่ายทวนน้ำ ในเมื่อว่ายขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว กลับไม่ได้ตั้งใจที่จะรักษาระดับเอาไว้ รามือปล่อยให้ตัวเองลอยตามน้ำไป เมื่อถึงเวลาก็ตั้งหน้าตั้งตาว่ายน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปล่อยให้ลอยตามน้ำไปอีก ลักษณะเช่นนี้ วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า กลายเป็นคนที่ขยันมาก ฝึกปฏิบัติอยู่ทุกวัน แต่หาความเจริญก้าวหน้าอะไรไม่ได้เลย

ในเมื่อเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว เราก็ต้องตั้งสติระมัดระวัง คอยประคับประคองกำลังใจของเราที่ได้จากการปฏิบัติภาวนาเอาไว้ ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คำว่า ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็คือไม่ว่าเราจะอยู่ในอิริยาบถใดคือ ยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ หรือที่ภาษาบาลีเรียกว่า นวจริยา เราก็ต้องมีอารมณ์ใจที่นิ่งสงบเท่ากับตอนที่เราเจริญกรรมฐาน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะปล่อยให้กิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แทรกเข้ามาในใจได้ เพราะว่าทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจก็ครุ่นคิดไปถึงไหนแล้ว

ทำอย่างไรที่เราจะรักษากำลังใจของเราให้มั่นคง อยู่กับการที่ว่า สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส โดยระมัดระวังไม่ให้เข้ามาสู่ใจของเราได้

ตรงนี้จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของบุคคลที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลายจะก้าวหน้าหรือว่าไม่ก้าวหน้า ก้าวหน้ามาก หรือว่าก้าวหน้าน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของท่าน ที่จะประคับประคองรักษากำลังใจของตนนั้น เอาไว้ได้นานมากน้อยแค่ไหน

ยิ่งกำลังใจสงบมาก รักษาได้นานมาก ปัญญาก็ยิ่งเกิดมาก ท่านก็จะเห็นลู่ทางว่า ทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจของตน ไม่ให้กิเลสต่าง ๆ เข้ามากินใจของเราได้

เมื่อมาถึงตรงจุดนี้แล้ว ท่านก็จะมีโอกาสในการชนะกิเลสได้บ้าง เหตุที่ใช้คำว่าชนะกิเลสได้บ้าง ก็เพราะว่ากิเลสนั้นสามารถมาได้ทุกแง่ ทุกมุม ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที กิเลสสามารถที่จะนำคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว มาเป็นเครื่องทดสอบของเราได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2022 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 10-07-2022, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,262 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยปกติแล้ว คนทั่วไปถึงเวลากล่าววาจาโดยไม่คิดเพราะว่าขาดสติ แต่เราเองดันไปถือสา ไปปรุงแต่ง ไปโกรธเคือง ก็ทำให้ตัวเราเองเสียกำลังใจ โกรธเขาไปเป็นวันเป็นคืน ขณะที่คนพูดเองยังไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแต่ว่าบุคคลที่จะสร้างความสะเทือนใจให้เรามากที่สุด ก็มักจะเป็นบุคคลที่เรารักมากที่สุดเสียด้วย ทำอย่างไรที่ท่านจะสักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้รส สักแต่ว่าสัมผัส โดยที่ไม่ให้ใจไปนึกคิดปรุงแต่งตาม

ระยะแรกเราอาจจะยังทำไม่ได้ ก็ให้วางกำลังใจทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนา ตามรู้ลมเข้าไปจนสุด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนา ตามรู้ลมออกมาจนสุด เท่ากับว่ากำลังใจของเราไม่ได้ปรุงแต่งไปในอดีต ไม่ได้ปรุงแต่งไปในอนาคต หากแต่ว่าหยุดอยู่กับปัจจุบัน คือลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า ถ้าเราสามารถหยุดอยู่ตรงนี้ได้ กิเลสต่าง ๆ ก็โดนจำกัดเขต ไม่สามารถที่จะกินใจของเราได้มากนัก

แต่ว่าท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังให้ดี เพราะว่าเผลอสติเมื่อไร เราก็จะหลุดออกจากอารมณ์นี้ แล้วเมื่อนั้นกิเลสทั้งหลายก็จะมาแบบฟ้าถล่มดินทลาย ทำให้ท่านทั้งหลายจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เสียผู้เสียคนไปเป็นวันเป็นเดือน บางท่านก็เสียไปเป็นปี ๆ ไม่สามารถที่จะตีคืนมาได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ พระอาจารย์ใหญ่รูปหนึ่งของอำเภอทองผาภูมิของเรา ก่อนหน้านี้เป็นพระปฏิบัติที่มีชื่อเสียงมาก มีญาติโยมเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก แต่ว่าเผลอสติให้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้ ทำให้แปรเปลี่ยนไปจากแนวทางในการปฏิบัติ จากที่ตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลงได้ ก็กลายเป็น รัก โลภ โกรธ หลง เจริญงอกงามเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่กระผม/อาตมภาพต้องดุว่าไปแรง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นระดับครูบาอาจารย์..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านเป็นเจ้าอาวาส ตัวของกระผม/อาตมภาพตอนนั้นเป็นเจ้าคณะตำบล ถือว่าอยู่ในระดับผู้บังคับบัญชา หรือว่าถ้าหากว่านับตำแหน่งในตอนนี้ คือรองเจ้าคณะอำเภอ ก็ยิ่งเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงเข้าไปอีก จึงได้ดุท่านไปแรง ๆ เพื่อที่ให้ท่านได้สติ พร้อมกับบอกกับท่านว่า "กระผมจะรอวันเวลาที่หลวงพ่อสามารถตีกำลังใจกลับคืนมาได้ ถ้าหากว่าถึงวันนั้น กระผม/อาตมภาพจะกราบขอขมาหลวงพ่อ ที่ได้ว่ากล่าวไปแรง ๆ ในวันนี้"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2022 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 10-07-2022, 23:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,262 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องนี้ที่เป็นตัวอย่างก็เพราะว่า พระภิกษุสามเณรของเรานั้น ส่วนหนึ่งก็อ่อนด้อยในเรื่องของสมาธิสมาบัติ แล้วจะไปกล่าวถึงในเรื่องของปัญญา ก็ไม่ต้องพูดถึง

ตัวของกระผม/อาตมภาพเองที่สั่งสมในเรื่องสมาธิสมาบัติมาถึง ๑๑ ปีเต็ม ๆ ทำจนทุกคนก็บอกว่า "บ้า" แต่เมื่อบวชเข้ามาแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะว่าปัญญาไม่พอ โดนตีแล้วตีอีก โดนสอยแล้วสอยอีก ล้มลุกคลุกคลานวันหนึ่งเป็นร้อยเป็นพันครั้ง อยากจะสึกหนีไปให้พ้น ๆ..!

แต่ด้วยความที่เป็นบุคคลซึ่งถ้าหากว่าทำอะไรไม่สำเร็จก็จะไม่เลิก จึงหน้าด้านอยู่มาจน ๓๐ กว่า เกือบ ๔๐ ปี อย่างปัจจุบันนี้ พูดง่าย ๆ ว่าในเมื่อเอ็งมีปัญญาตี ข้าก็มีปัญญาสู้ ต่อให้แพ้กี่ครั้งก็จะสู้ต่อไป จนกว่าจะถึงวันที่เราชนะ..!

ตรงนี้ที่กระผม-อาตมภาพได้เคยบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลาย ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสามเณรไปว่า การทำความดีนั้น เราก็ต้องหน้าด้าน เพราะว่าถ้าเราไม่หน้าด้านหน้าทน เราก็ไม่สามารถที่จะสู้กิเลสได้ แต่ถ้าหากว่าจะพูดกันอย่างเพราะ ๆ ก็ต้องบอกว่า เราต้องประกอบไปด้วยขันติบารมี คืออดทนอดกลั้น ประกอบไปด้วยสัจจบารมี จริงจังต่อเป้าหมาย ไม่ได้ไม่เลิก ไม่ถึงไม่เลิก

ในเมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้พระภิกษุสามเณรของเราที่บวชเข้ามาแล้วต้องผจญภัยกับ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมทั้งหลาย ซึ่งในชีวิตฆราวาส เหมือนอย่างกับเราปล่อยเสือตัวหนึ่งไว้ในป่า บางทีเราเดินทั้งปีก็ไม่เจอเสียตัวนั้น

แต่การที่เราบวชเข้ามา เท่ากับว่าเราเอาเสือตัวนั้นยัดมาในกรงแคบ ๆ พร้อมกับตัวเอง จึงโดนเสือกัดฟัดอยู่ทุกวัน จำเป็นต้องต่อสู้อย่างเต็มกำลัง เหมือนดังที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านกล่าวไว้ว่า "ธรรมะนั้นอยู่ฟากตาย" ถ้าหากว่าไม่ทุ่มเทอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก ก็ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2022 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 10-07-2022, 23:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,700
ได้ให้อนุโมทนา: 152,038
ได้รับอนุโมทนา 4,418,262 ครั้ง ใน 34,290 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นของอัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านเปรียบเอาไว้ว่าเหมือนกับคลื่นทะเล คลื่นทะเลนั้นย่อมซัดเอาซากศพหรือสิ่งโสโครกต่าง ๆ ขึ้นสู่ฝั่งอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ลอยอยู่ในทะเลเนิ่นนานนัก

ตัวของเราเอง ถ้าหากว่าอยู่ในกระแสธรรม อยู่ในพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ในฐานะที่มีศีลเสมอกันกับเพื่อนพระภิกษุสามเณร หรือว่าท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่สามารถที่จะรักษาศีล ๘ รักษาศีล ๕ รักษากรรมบถ ๑๐ ได้เหมือนอย่างเพื่อนฝูง

ท่านทั้งหลายก็จะละอายใจ ท้ายที่สุดก็เปรียบเหมือนซากศพที่ถูกซัดขึ้นสู่ฝั่ง ไม่สามารถที่จะอยู่ในทะเลธรรมอันบริสุทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปได้

จึงได้แต่หวังว่า พระภิกษุใหม่ทั้ง ๘ รูปก็ดี พระภิกษุที่เริ่มเก่าแล้วอีก ๕ รูปก็ดี ตลอดจนกระทั่งท่านทั้งหลายที่เป็นพระเก่าตั้งแต่พรรษา ๒ ไปจนถึงพรรษา ๔๐ กว่าก็ตาม ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กับกิเลสอย่างเต็มสติ เต็มกำลังของเรา ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานเอาไว้ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จสมดังที่ได้ตั้งใจเอาไว้ ทุกรูปทุกนาม ทุกท่านทุกคน ด้วยเทอญ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-07-2022 เมื่อ 07:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว