กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-10-2022, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,642
ได้ให้อนุโมทนา: 216,883
ได้รับอนุโมทนา 747,469 ครั้ง ใน 36,409 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-10-2022, 22:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,991 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ พวกเราจำเป็นต้องระมัดระวังเรื่องการรักษาเวลาในการทำกิจกรรมของวัดให้ดี เพราะว่าพอออกพรรษาแล้ว การตีระฆังย่ำรุ่ง - ย่ำค่ำ ก็จะเหลือแค่เสียงระฆังปลุกช่วงเช้าตอนตี ๓ ครึ่งเท่านั้น ดังนั้น..สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก็คือสติ ที่จดจ่ออยู่กับกิจกรรมของเราว่า ระยะเวลานี้เราทำอะไร ต่อจากนี้เราต้องทำอะไร ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะพลาดได้

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าความเคยชิน ถ้าเป็นหลักจิตวิทยาของฝรั่ง เขาบอกว่าเราทำอะไรซ้ำ ๆ กันสัก ๓ วัน ก็จะเริ่มเคยชิน ถ้าทำต่อเนื่องกันเป็นเดือน จะกลายเป็นนิสัยถาวร ในเมื่อเราโดนเสียงระฆังย่ำค่ำ เตือนให้ทำวัตรและเจริญพระกรรมฐานมาตลอด ๓ เดือน พอไม่มีเสียง เราก็อาจจะเพลิน แล้วก็ลืมกิจกรรมสำคัญนี้ไป

การสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาล อันดับแรกเลย ท่านได้ระลึกถึงกิจกรรมที่ทำอยู่ เป็นอนุสติ เพราะว่าเห็นภาพพระพุทธรูป คือพุทธานุสติ สิ่งที่เราสวดคือพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นธัมมานุสติ การได้เห็นเพื่อนพระสงฆ์ก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี เป็นสังฆานุสติ

ปกติแล้วการเจริญพระกรรมฐานเอง ให้เรามานั่งนิ่ง ๆ อยู่ระยะเวลาเท่ากับที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่การสวดมนต์ไหว้พระ ทำให้เราสามารถที่จะนั่งอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปได้ในระยะเวลาที่ยาวนาน เท่ากับว่าเราทำกองกรรมฐานใหญ่ได้ โดยที่ไม่ต้องลำบากในการบังคับตัวเองมากนัก

แล้วสิ่งที่เราทำ ถ้าซ้ำ ๆ กันอยู่หลายวันจนกระทั่งกลายเป็นความเคยชิน ถึงเวลาใจจะคิดถึงอยู่เสมอ นั่นก็คือการทรงฌานในอนุสติทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งถ้าให้ไปภาวนาเองก็เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่พอเรามาทำเป็นกิจกรรมในแต่ละรอบของวัน จนกระทั่งเคยชิน กลับกลายเป็นว่าเราทรงฌานในกองกรรมฐานใหญ่ได้โดยไม่รู้ตัว..!

โดยเฉพาะบางท่านเปรียบเทียบว่า การทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น คือการได้เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเบื้องพระพักตร์ เราลองนึกดูว่า ประชาชนทั่วไปจะได้เข้าเฝ้าองค์ในหลวงสักครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง แล้วองค์ในหลวงยังเคารพกราบไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นปกติ ดังนั้น..พระพุทธเจ้าของเราสำคัญขนาดไหน ทำไมเราไม่สามารถที่จะปลีกตัวมาเฝ้าพระองค์ท่านวันละแค่ ๒ - ๓ เวลาแบบนี้ได้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-10-2022, 23:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,991 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สามสิบกว่าปีที่แล้วมา ตอนที่กระผม/อาตมภาพมาถึงทองผาภูมิใหม่ ๆ พระสงฆ์สามเณรแถวนี้สวดมนต์ทำวัตรกันเฉพาะช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น แม้กระทั่งการลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ ก็ทำเฉพาะในช่วงพรรษาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพระวินัยอย่างชัดเจน เพราะพระพุทธเจ้าระบุเอาไว้ชัดว่า การทบทวนพระปาฏิโมกข์ต้องทำทุกกึ่งเดือน

ส่วนในเรื่องของการทำวัตรเช้าเย็นนั้น เป็นการสร้างความสงบให้เกิดขึ้นกับ กาย วาจา ใจ ของเรา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเปรียบว่าเหมือนกับการกินข้าว แต่ว่านี่เป็นอาหารของใจ ถ้าหากว่าเราทั้งหลายจะกินข้าวเฉพาะช่วงในพรรษา แล้วอีก ๙ เดือนนอกพรรษา เราจะกินอะไร ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพจึงต้องค่อย ๆ ปรับปรุงมาเรื่อย จากอาคันตุกะซึ่งมาพักที่เกาะพระฤๅษี จนกระทั่งมาเป็นรองเจ้าอาวาสที่นี่ จนกระทั่งเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ในปัจจุบันนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือ การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระเบียบต่าง ๆ จนกระทั่งมีการสวดมนต์ทำวัตรกันทุกวัน มีการลงพระอุโบสถกันทุกกึ่งเดือน จากที่เคยนิมนต์พระวินัยธรจากที่อื่นมาแสดงพระปาฏิโมกข์ ก็กลายเป็นว่าพระของเราเองสามารถที่จะสวดสาธยายได้หลายรูป ดังนั้น..เรื่องสำคัญแบบนี้อย่าได้มองข้ามเป็นอันขาด

พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านย้ำอยู่เสมอว่า เป็นพระหรือไม่เป็นพระ อยู่ที่ว่าได้ "ทำวัตรสวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา ศึกษาเล่าเรียน พากเพียรปฏิบัติ" หรือไม่ ? แล้วท่านเองก็ทำตัวเป็นตัวอย่างให้ทุกคนได้เห็น

กระผม/อาตมภาพไม่ทราบว่าเจ้าคณะจังหวัดก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าตั้งแต่พระเดชพระคุณพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) มาก็ดี พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทโธ ป.ธ.๔) ก็ดี พระเดชพระคุณพระราชรัตนวิมล (พยุง ฐิตสีโล ป.ธ.๔) ก็ดี จนกระทั่งมาถึงพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) ดร. รูปปัจจุบันนี้ก็ตาม เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีทั้งหมดที่ว่ามา ไม่มีใครที่พระภิกษุสามเณรรักเท่าหลวงพ่อไพบูลย์เลย เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ท่านทำทุกอย่างนั้นออกมาจากใจจริง แปลว่ากำลังใจของท่านต้องเสียสละเพื่อคณะสงฆ์อย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-10-2022, 23:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,991 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพอยากจะเชื่อว่า หลวงพ่อไพบูลย์ท่านเป็นพระเจ้าคณะปกครองรูปเดียว ที่ไปได้ครบทุกวัดจริง ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี แม้กระทั่งเข้าป่าเข้าดง ไปค้างวันค้างคืน จนโดนผีหลอก ท่านก็ไม่ได้ท้อถอย แถมยังทะเลาะกับผีและชนะเสียอีก..!

เรื่องที่ท่านเคยเล่าให้ฟังก็คือ ท่านไปพักอยู่ตรงบริเวณเขาเหล็ก บ้านเขาโจด อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นบ้านป่าเมืองดอย ท่านเองก็นอนพักแบบง่าย ๆ เสื่อผืนหมอนใบ ใช้จีวรตีโปง ปรากฏว่าโดนผีเจ้าที่มาไล่ บอกว่าเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ หลวงพ่อไพบูลย์แปลกหน้ามาจากไหน ไม่อยากจะให้อยู่ด้วย ให้ไปไกล ๆ เลย..!

หลวงพ่อไพบูลย์ท่านถามว่า "มึงเป็นเจ้าพ่ออยู่ที่นี่ใช่ไหม ?" ผีบอกว่า "ใช่" "แล้วมึงรู้จักกูไหม ?" ผีก็งง "ไม่รู้จัก" ท่านบอกว่า "มึงเป็นใหญ่แค่ตำบลนี้ กูนี่เจ้าคณะจังหวัด..! ใหญ่กว่ามึงยังมีอำเภอ กว่าจะมาถึงจังหวัด กูเป็นเจ้านาย มึงไม่รู้จักได้อย่างไร ? บังอาจมาไล่เจ้านาย เดี๋ยวกูก็เล่นเสียหรอก..!" สรุปว่าผีกลัว ท้ายสุดต้องยอมขออภัยแล้วก็จากไปแต่โดยดี..! คุณเคยเจอเจ้าคณะจังหวัดแบบนี้บ้างไหม ? เจ้าคณะจังหวัดแบบนี้นี่แหละ ที่ท่านทำวัตรสวดมนต์เป็นปกติ

แม้กระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระเทพเมธากร เจ้าคณะจังหวัดรูปต่อมาที่เป็นลูกผู้พี่ของท่าน ฟังไม่ผิดนะครับ ลูกผู้พี่แต่เป็นเจ้าคณะจังหวัดทีหลัง เพราะว่ามัวแต่บริหารงานอยู่ เรียนได้แค่เปรียญธรรม ๔ ประโยค หลวงพ่อไพบูลย์เรียนจนได้เปรียญธรรม ๘ ประโยค ก็เลยได้รับการตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดก่อน

หลวงพ่อไพบูลย์บอกกับหลวงพ่อณรงค์ กระผม/อาตมภาพได้ยินกับหูว่า "ท่านนี่มีดีก็เฉพาะตรงสวดมนต์นี่แหละ" ก็คือเรียนก็สู้หลวงพ่อไพบูลย์ไม่ได้ การปกครองก็ไม่คล่องตัวเหมือนหลวงพ่อไพบูลย์ที่พระเณรรักกันทั้งบ้านทั้งเมือง

หลวงพ่อณรงค์ ก่อนที่จะเดินทางไปไหน ถ้าสมมติว่าออกเช้า อย่างเช่นว่าตี ๕ ครึ่ง ๖ โมง ท่านจะตื่นขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรก่อน ไม่เลือกเวลา แต่ขอให้ได้ทำ กลับมาแล้วก็เข้าโบสถ์กราบพระ สวดมนต์ ทำวัตร แล้วถึงจะเข้านอน กระผม/อาตมภาพเองตอนช่วงที่ทำหน้าที่เลขานุการชั่วคราวของท่าน บางวันกลับมา ๓ ทุ่มกว่า ๔ ทุ่ม ตัวเรายังหนุ่มอยู่ ก็แทบจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว ท่านเองยังสวดมนต์ไหว้พระอยู่เลย นี่คือวัตรปฏิบัติของพระเถระระดับเจ้าคณะปกครอง ซึ่งพวกเราเองอยู่ใกล้ชิด เพราะว่าอยู่ในจังหวัดเดียวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-10-2022, 23:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,991 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลวงพ่อพยุงนั้น กระผม/อาตมภาพไม่ได้คุ้นเคยจนกระทั่งอยู่ใกล้ชิดมากนัก แต่ว่าศรัทธาเลื่อมใสท่านเป็นอย่างมาก เพราะว่าท่านมีปฏิปทาว่า ไปงานที่ไหนก็คือไปก่อน ถึงเวลา อยู่จนเสร็จงานถึงจะกลับ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่กำลังใจนิ่งพอ ไม่มีใครทำแบบนั้นได้หรอก เพราะฉะนั้น..ใครนิมนต์หลวงพ่อพยุงไปก็สบายใจได้ ต่อให้งานคุณเลิกช้าแค่ไหน ท่านอยู่จนกระทั่งเสร็จงานถึงกลับ

ส่วนในปัจจุบันนี้หลวงพ่อเจ้าคุณปัญญา พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. ถ้าหากว่าพวกคุณไปวัดใต้เช้าหน่อย คำว่าเช้าหน่อยนี่ไม่ต้องเช้ามากหรอก สัก ๘ โมงก็ได้ เข้าไปก็จะได้ยินเสียงท่านนำสวดมนต์ทำวัตรแล้ว นั่นระดับเจ้าคณะจังหวัด แล้วไม่ใช่พระในวัดปฏิบัติอย่างเต็ม ๆ เหมือนอย่างกับวัดท่าขนุนของเรา ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระปฏิบัติ แต่ท่านเคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ มาก ถึงขนาดบอกว่า การได้ทำวัตรสวดมนต์คือการได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ควรที่จะละโอกาสนี้ไป เรื่องพวกนี้ท่านสามารถพิสูจน์ได้ แค่ไปวัดใต้เดี๋ยวนี้ก็รู้ เสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น มีเป็นปกติ

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่อยู่กันมาจนกระทั่งครบพรรษา ถ้าหากว่าจะอยู่ต่อ กำลังใจต้องเข้มแข็งพอ วิธีสร้างกำลังใจให้เข้มแข็งที่ดีที่สุด ก็คือสร้างสมาธิให้เกิด วิธีสร้างสมาธิให้เกิดที่ง่ายที่สุดก็คือสวดมนต์ไหว้พระ

ขอฝากเอาไว้เป็นหลักการหรือวิธีการ ให้ท่านทั้งหลายได้ไปประพฤติวัตรปฏิบัติตนว่า ทำอย่างไร ถ้าเราอยากจะอยู่สุข อยู่เย็น อยู่ในพระพุทธศาสนา เรื่องของวัตรปฏิบัติพวกนี้ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด เป็นเครื่องช่วยชีวิตของท่านเลย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-10-2022 เมื่อ 02:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว