กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-04-2023, 22:20
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,657
ได้ให้อนุโมทนา: 216,946
ได้รับอนุโมทนา 748,137 ครั้ง ใน 36,451 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-05-2023, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ สิ้นเดือนเมษายนแล้ว แต่ว่าเป็นการเดินทางวันที่สี่ของคณะ ที่กระผม/อาตมภาพตั้งใจเดินทางระหว่างแคชเมียร์ไปจนถึงเลห์ - ลาดัก

แม้ว่าเมื่อคืนจะมีเรื่องที่ต้องเหน็ดเหนื่อยสาหัสขนาดไหนก็ตาม กระผม/อาตมภาพก็ตื่นนอนประมาณตี ๒ ของประเทศอินเดีย ก็คือตี ๓ ครึ่งของเมืองไทย ออกมาทำการส่งคลิปวีดีโอต่าง ๆ ไปให้ไอ้ตัวเล็ก เพื่อนำลงให้ญาติโยมทั้งหลายที่ติดตามบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน จะได้ชมว่าสภาพการเดินทางมานั้นทุลักทุเลและโหดร้ายขนาดไหน ผู้ใดที่คิดจะเดินตามรอยจะได้ชั่งใจไว้ให้ดี การที่ต้องตื่นขึ้นมาในช่วงนั้น นอกจากเป็นความเคยชินแล้ว การที่เราใช้อินเตอร์เน็ตอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาแย่ง ก็ทำให้สามารถส่งคลิปเสียงต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น

เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วก็ล้างหน้า แต่งตัว ใส่ชุดกันหนาวเต็มยศ ออกไปถ่ายรูปทางด้านหน้าโรงแรม แต่ปรากฏว่าทางโรงแรมปิดประตูใหญ่ มีการล็อกกลอน ๓ ตัว แถมยังใส่กุญแจดอกเท่าฝ่ามืออีกด้วย แต่เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีปัญหาสำหรับ "ลูกขุนแผน" อย่างกระผม/อาตมภาพ จึงเปิดประตูออกไปถ่ายรูปบริเวณหน้าโรงแรม แล้วก็กลับเข้ามานั่งภาวนาจนครบชุดตามปกติอย่างทุกวัน

เจ้าแม่นภิสราเทวีบอกว่า เมื่อกระเป๋าลงมาแล้ว ให้จัดการถอดเสื้อกันลมเก็บให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ กระผม/อาตมภาพได้ยินแล้วก็ตาเหลือก ประมาณว่า "แน่ใจนะอีหนู อากาศตอนนี้ลบ ๒ องศาเซลเซียสนะโว้ย..!" คุณเธอพยักหน้าด้วยความมั่นใจอย่างมาก กระผม/อาตมภาพที่เห็นฤทธิ์เดชของเจ้าแม่หลักเมืองเนปาลมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จึงได้ทำตามคำสั่ง โดยที่ทำให้ทุกคนเห็นต่อหน้า แต่ว่าจะมีใครเฉลียวใจแล้วถอดออกบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ

จากนั้นก็มานั่งรอที่ห้องอาหารของโรงแรม Kaiser Palace ที่กลายเป็นโรงแรม "ไก่เซ่อ" เพราะว่าทางเจ้าพนักงานซึ่งรับปากเอาไว้ว่าจะออกอาหารเช้าไว้ให้นั้น จนป่านนี้ก็ยังไม่มาเลยสักคนเดียว จนกระทั่งต้องเดือดร้อนไปถึง Grand Mother Chef ก็คือคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ซึ่งอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ตั้งใจที่จะมาเที่ยวพักผ่อน หาประสบการณ์จากเส้นทางที่ไม่เคยเดินทางแบบนี้ ต้องมาลงมือทำไช่โป๊วผัดไข่ แล้วก็ไก่รวนเค็ม เพื่อที่ให้พวกเราจะได้นั่งรับประทานกดดันทางพ่อครัวไปก่อน จนกว่าที่ของอื่นจะตามมา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 01-05-2023, 01:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากที่รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว วันนี้ก็เปลี่ยนรถยนต์ แล้วก็มีไกด์พื้นเมืองคนใหม่ ซึ่งก็คือนายเทนซิน โซนัม เมื่อแนะนำตัวปุ๊บ กระผม/อาตมภาพก็ถามว่า "Tibetian ?" แกพยักหน้าด้วยความภูมิใจ เพราะว่าชื่อนี้เป็นชาวทิเบตแท้แน่นอน

พลขับทั้งสองคนกับพนักงานยกกระเป๋าขึ้นไปมัดรวมกันบนหลังคารถ เนื่องจากว่าวันนี้เหลือรถยนต์แค่ ๒ คันเท่านั้น ถ้าเอากระเป๋าไว้ภายในรถ ก็ไม่สามารถที่จะมีที่นั่งเพียงพอสำหรับทุกคนได้ แล้วก็เฉลี่ยให้รถยนต์สองคัน คันที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่นั้นมีคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น ซี ทัวร์ นั่งไปด้วย ส่วนคันที่สองนั้น นายเทนซิน มัคคุเทศก์ท้องถิ่นพร้อมกับคุณนวลจันทร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ไปด้วยและเที่ยวเองไปด้วย เป็นการทำหน้าที่รวมกันแบบ 2 in 1 คันละ ๑๑ คน

เมื่อได้เวลาพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาออกเดินทาง ตรงไปยังเป้าหมายแรกของวันนี้ ซึ่งก็คือ วัด Mulbek Temple ที่มีพระศรีอริยเมตไตรย ๔ กร สูงประมาณ ๑๐ เมตร แกะสลักอยู่ที่โขดหิน ซึ่งสถานที่นั้นแม้ว่าจะเป็นพื้นที่อยู่ริมถนนก็ตาม แต่ว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง สถานที่น่าชมเช่นนี้จึงจำเป็นที่จะต้องไปให้ถึง เส้นทางช่วงนี้ล้านเลี่ยนเตียนโล่ง มีแต่ภูเขาหิน แต่ว่ายังดีที่ยังมีดอกเหมย ดอกพลัมต่าง ๆ เริ่มผลิบานแล้ว ทำให้ไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก

พวกเราวิ่งตามกันไปประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็มาถึงวัด Mulbek Temple เข้าไปสักการะองค์พระศรีอริยเมตไตรย กระผม/อาตมภาพนำเอาช่อดอกไม้ที่มาดามชวง (ไพรินทร์ สุวิชชาญพันธุ์) ถวายขอขมาในวันที่พักอยู่ที่เรือลอยน้ำ พร้อมกับผ้าขะตะที่ทางด้านโรงแรม Kaiser Palace ถวายต้อนรับมา ถวายเป็นพุทธบูชาต่อพระศรีอริยเมตไตรย แล้วค่อยควักกระเป๋าทำบุญกัน

หลังจากนั้นก็เดินชมสถานที่รอบด้าน โดยเฉพาะตั้งใจจะหาห้องส้วม เนื่องจากว่าได้เวลาถ่ายหนักแล้ว แต่ปรากฏว่าทางด้านนี้ คำว่าห้องส้วมนั้นใช้คำว่า Wash Room ก็คือห้องซักล้าง เมื่อเดินตามป้ายไปแล้วหาไม่เจอ เนื่องจากว่าห้องที่เห็นที่น่าจะเป็นห้องส้วมนั้น มีการใส่กุญแจแน่นหนา เมื่ออ้อมจนทั่วหลังวัดแล้ว ก็ตัดสินใจเดินกลับมาที่ห้องน้ำอีกรอบ แล้วอ้อมไปทางด้านหลังถึงได้เห็นส้วมหลุมเก่า ๆ สองห้อง ซึ่งถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปก็คงไม่สามารถที่จะทำธุระส่วนตัวได้

แต่กระผม/อาตมภาพนั้นเคยชินกับส้วมทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติ จึงได้ทำหน้าที่อย่างภาคภูมิใจ ก็คือภูมิใจที่ได้ใช้ของเก่าตั้งแต่สมัยยังแก้ผ้าวิ่งอยู่ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถเดินทางกันต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 01-05-2023, 01:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทิวทัศน์ข้างทางช่วงนี้นั้นเริ่มมียอดเขาหิมะโผล่มาให้เห็น แต่ว่าพวกเราที่อยู่ในรถนั้น ถ้าไม่เอามือแปะกระจกรถ จะไม่รู้สึกถึงคำว่าหนาวเลย รู้สึกเหมือนกับอุณหภูมิอยู่ในระดับประมาณ ๒๑ - ๒๒ องศาเซลเซียสเสียด้วยซ้ำไป ถึงขนาดมีบางคนบ่นว่า "ไหนบอกว่าอุณหภูมิติดลบ ?" "ไหนบอกว่าตอนนี้อุณหภูมิ ๑๑ องศาเซลเซียส ?" ก็แล้วแต่จะบ่นกันไป

พวกเราต้องผ่านด่านตรวจ ๒ แห่งด้วยกัน ที่ทางโชเฟอร์ต้องรวบรวมพาสปอร์ตไปให้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและสแกนเก็บไว้เป็นหลักฐาน หลังจากที่เดินทางต่อไปได้ไม่นาน รถคันหน้าก็หยุดกะทันหัน ปรากฏว่าทิดดอย (นายภาณุพงศ์ วังประภา) เกิดอาการอาหารเป็นพิษ พยายามข่มกลั้นในลักษณะ "อธิวาสนขันติ" แต่เอาไม่อยู่ อาเจียนออกมาเสียเลอะเทอะไปหมด จึงต้องหยุดทำความสะอาด และปล่อยให้อาเจียนต่อไป เนื่องจากว่าอาหารเป็นพิษนั้น ถ้าไม่อาเจียนจนหมด ก็ไม่สามารถที่จะหายได้

หลังจากที่ทุกคนลงช่วยกันเช็ดล้างทำความสะอาด ให้กำลังใจ ให้ยาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางต่อไป ซึ่งตลอดสองข้างทางนั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสีน้ำตาลอ่อนบ้าง แก่บ้าง บนยอดเขาก็มีสีขาวของหิมะปรากฏอยู่เป็นระยะ ๆ

จนกระทั่งเวลา ๑๑.๔๕ น. ตามเวลาประเทศอินเดีย พวกเราก็มาถึงเมืองลามะยูรู เข้าสักการะพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ที่วัด Avalokiteshvara Temple ซึ่งเราจะต้องเดินวนชมจนกระทั่งทั่ววัด สิ่งต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เก่าแก่ โดยเฉพาะส่วนที่กระผม/อาตมภาพสนใจมากก็คือก้อนหินต่าง ๆ ที่แกะสลักเป็นเวทมนตร์คาถา โดยเฉพาะโอม มณี ปัทเม หุม เป็นต้น

แล้วนายเทนซินก็พาไปยังวิหารที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งสร้างมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีแล้ว เพื่อให้พวกเรามุดเข้าไปในซอกแคบ ๆ เดินเข้าไปในที่มืด ๆ จนกระทั่งต้องใช้แสงไฟจากโทรศัพท์ส่องทาง เพื่อเข้าไปสักการะองค์อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ซึ่งสร้างมาคู่กับวัดแต่ดั้งแต่เดิม เหตุที่ไม่ยอมให้ใช้ไฟก็เพราะเกรงว่าจะทำลายสีขององค์พระไปเสีย โดยเฉพาะองค์พระนั้นปั้นได้งดงามสุดขีด..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 01-05-2023, 01:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราก็ได้ทำบุญกันเช่นเคย แบบเดียวกับเมื่อสักครู่นี้ ที่เดินชมสถานที่สำคัญตรงไหนก็ทำบุญกันตรงนั้น และทำบุญกันในลักษณะหนักมาก ก็คือส่วนใหญ่เป็นใบละ ๕๐๐ รูปี จนกระทั่งพระลามะท่านติดใจคณะของเรา ถึงขนาดเชิญเข้าไปดื่มชากะลัมไจ ก็คือชานมแบบอินเดีย แต่ปรากฏว่ามีหลายต่อหลายคนสละสิทธิ์ กระผม/อาตมภาพต้องดื่มชานมไป ๓ แก้วและชาเนยไปอีก ๑ แก้ว เป็นการตัดกำลังก่อนที่จะฉันเพลได้เป็นอย่างดี..!

เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ได้ลาทุกคน ออกเดินทางตรงไปยังร้านอาหารชื่อว่าร้าน Moon Land หรือว่าร้านโลกพระจันทร์ ตั้งแต่ทางเข้าไปก็เห็นองค์พระสังกัจจายน์ปางยืนถือทรัพย์รออยู่ด้านหน้าแล้ว เมื่อเข้าไปข้างใน ทั้งที่เป็นเวลา ๑๓.๑๕ น. ของทางประเทศอินเดียแล้ว ปรากฏว่าทางห้องอาหารซึ่งนัดไว้เวลาเที่ยงครึ่ง ยังเตรียมอาหารไม่เสร็จ กระผม/อาตมภาพเองนั้นไม่สามารถที่จะฉันอะไรได้มาก จึงตักซุปมาถ้วยหนึ่ง แล้วเอาน้ำพริกกุ้งเสียบที่คุณนวลจันทร์เตรียมมาสำหรับคนที่กินอาหารอินเดียไม่ได้ เทลงไปในซุป กลายเป็นต้มยำกุ้งขึ้นมา เมื่อฉันเสร็จเรียบร้อย เข้าห้องน้ำกันแล้ว พวกเราก็ได้เดินทางต่อไป

หนทางหลังจากนี้นั้น มองไม่เห็นต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ทุกที่ทุกทางมีแต่หินสีน้ำตาลแดงบ้าง น้ำตาลดำบ้าง น้ำตาลม่วงบ้าง จนกระทั่งเขาเรียกกันว่า Moon Land ก็คือโลกพระจันทร์ แล้วไม่ใช่ระยะทางใกล้ ๆ เป็นระยะทางนับหลายสิบกิโลเมตรเลยทีเดียว จนกระทั่งมีสายน้ำสีฟ้าสุดจิตสุดใจปรากฏขึ้น ตอนแรกกระผม/อาตมภาพคิดว่าเป็นแม่น้ำดราส มารู้ทีหลังว่านั่นคือต้นแม่น้ำสินธุ ที่บังเกิดเป็นแหล่งอารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ หล่อเลี้ยงประเทศอินเดียมานับพัน ๆ ปีนั่นเอง

พวกเราข้ามสะพานตรงไปยังเมืองอัลชิ เพื่อที่จะเข้าไปยังวัด Alshi ที่เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมา ๙๐๐ กว่าปีแล้ว แต่ปรากฏว่าเจ้ากรรมเถอะ..เจ้าหน้าที่ยึดโทรศัพท์มือถือของพวกเราจนหมด ดังนั้น...เมื่อเข้าไปแล้ว แม้ว่าจะเห็นของเก่าแก่ขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะถ่ายรูปอะไรออกมาได้เลย

โดยเฉพาะรูปปั้นของพระศรีอริยเมตไตรย รูปปั้นของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ก็ตาม ที่เครื่องทรงของท่านมีรูปต่าง ๆ เขียนสีอยู่ ตลอดจนกระทั่งภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เป็นของเก่าแท้ โดยเฉพาะซุ้มประตูทางเข้า ตลอดจนการแกะสลักไม้ต่าง ๆ นั้น เป็นของเก่าจริงเก่าจัง อย่างชนิดที่คล้ายคลึงกับวัดกุมเภชะวาร์ที่ประเทศเนปาล ก็คือผ่านกาลเวลามานับพันปี จนลวดลายของไม้สึกกร่อนไปเองตามกาลเวลา ไม่สามารถที่จะแกล้งเก่าได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 01-05-2023, 01:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พวกเราต้องถอดรองเท้าเข้า ถอดรองเท้าออก ไหว้พระที่ห้องนั้นที่ห้องนี้ ซึ่งเรียกกันว่าลาคัง เรียกกันว่ากอมปาบ้าง ที่เรียกว่ากอมปานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นสถานที่สวดมนต์ไหว้พระ หรือว่ามีรูปเคารพอยู่ แต่ส่วนที่เรียกว่าลาคังนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีพระบรมสารีริกธาตุหรือว่ามีสถูปบรรจุอัฐิของพระลามะผู้ใหญ่อยู่

พวกเราวนเวียนอยู่ข้างในเป็นชั่วโมง จนกระทั่งเดินออกมาข้างนอก รับโทรศัพท์มือถือคืนแล้วก็เดินออกไปทางหลังวัด บ้างก็จะไปเข้าห้องน้ำ บ้างก็ตามกระผม/อาตมภาพไปชมทิวทัศน์แม่น้ำสินธุ ที่น้ำเขียวเทอร์ควอยซ์เป็นอย่างยิ่ง ปรากฏว่าเมื่อถ่ายรูปถ่ายวิดีโอเรียบร้อยแล้ว เดินออกมา บรรดาผู้ที่ไปเข้าห้องน้ำ ล้วนแล้วแต่เดินหน้าเหี่ยว เพราะว่าเจอส้วมหลุมเข้า ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ซึ่งตนเองตั้งใจเอาไว้ได้..!

พวกเราเดินตามทางแคบ ๆ ที่มีกงล้อมนต์เป็นร้อย ๆ อัน ออกมายังที่จอดรถอีกฝั่งหนึ่ง ระหว่างทางเดินออกนั้น มีต้นหลิวใหญ่ประมาณสองโอบกว่า กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วว่ามีเทวดารักษาอยู่หลายองค์ จึงขอเข้าไปถ่ายรูปด้วย แล้วก็เดินข้ามถนนไปยังที่จอดรถ ซึ่งมีต้นเหมยเบ่งบานอยู่ พร้อมกับต้นแอปริค็อตที่ดอกบานสะพรั่งทั้งต้น จึงถ่ายรูปหมู่ประชดชีวิตกันตรงนี้เอง เมื่อมากันครบแล้ว จึงขึ้นรถแล้วก็เดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางวันนี้ ก็คือเมืองเลห์ เพื่อไปให้ถึงตามที่ตั้งใจเอาไว้

การเดินทางนั้น แม้ว่าบรรยากาศยังเหมือนโลกพระจันทร์ตามเดิม แต่ว่าเริ่มมีหมู่บ้านใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ลักษณะเป็นตัวเมืองเป็นระยะไป และสัญญาณอินเตอร์เน็ตก็หายเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเขตไหนที่เป็นเขตห้ามโดรนบินขึ้น ตรงนั้นโดนบล็อกสัญญาณอย่างเด็ดขาด กระผม/อาตมภาพจึงส่งงานได้บ้างไม่ได้บ้าง ถ้าหากว่าส่งงานไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปถ่ายรูปตามระยะทาง ถ้าหากว่าส่งงานได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาส่งงานไป

จนกระทั่งเวลาประมาณ ๖ โมงกว่าของประเทศอินเดีย พวกเราก็มาถึงเมืองลาดัก ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่สำคัญมาก ตั้งแต่โบร่ำโบราณ จึงเปลี่ยนให้รถคันที่สองนำหน้าไปยังโรงแรม Trikaya Hotel หรือว่าโรงแรมสามกาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 01-05-2023, 01:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,672
ได้ให้อนุโมทนา: 152,022
ได้รับอนุโมทนา 4,416,900 ครั้ง ใน 34,262 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ปรากฏว่ามุดเข้าไปตามซอย ผ่านไปซอยแล้วซอยเล่า เห็นโรงแรมสวย ๆ แต่ก็ไม่ใช่โรงแรม Trikaya Hotel เสียที จนกระทั่งมาถึงโรงแรม Trikaya Hotel ของจริงตอน ๖ โมงกว่า พวกเราก็ไร้แรงบินกันโดยถ้วนหน้า เพราะว่าออกเดินทางตั้งแต่ประมาณ ๘ โมงเช้าจนถึง ๖ โมงเย็น เกือบ ๆ จะครบ ๑๐ ชั่วโมงหรือว่า ๑๐ ชั่วโมงเศษแล้ว ไม่มีใครที่จะมีเรี่ยวแรงไปเดินตลาดช็อปปิ้งกันอีก จึงได้แต่เตรียมตัวที่จะเข้าไปยังห้องอาหาร

ใครที่จะรับประทานอาหารเย็น ทางด้านห้องอาหารแจ้งว่าจะเปิดห้องอาหารตอน ๒ ทุ่มของประเทศอินเดีย พวกเราจึงสั่งชานมบ้าง ชามัสซาล่าบ้าง มาดื่มแก้หนาว อากาศที่นี่ตอนนี้ ๔ องศาเซลเซียส ได้ยินว่าตามพยากรณ์อากาศนั้น พรุ่งนี้จะติดลบถึง ๗ องศาเซลเซียส..!

กระผม/อาตมภาพเข้าไปสู่ห้องพักเรียบร้อยแล้วก็รีบสรงน้ำเสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่สามารถที่จะสรงได้ เพราะว่าอากาศเย็นลงไปทุกที หลังจากนั้นก็มาทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อที่จะส่งให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังกันต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:33



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว