กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 29-05-2023, 17:51
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,900 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-05-2023, 00:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,997
ได้รับอนุโมทนา 4,416,281 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ที่สังขละคีรีรีสอร์ท หมู่ที่ ๓ ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

หลังจากที่ช่วงเช้าได้ต้อนรับคณะของนางเนตรทิพย์ เจริญวัย ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาญจนบุรีที่ไปเยี่ยมถึงวัดท่าขนุน แล้วก็เดินทางขึ้นมาสังขละบุรี เพื่อเตรียมตัวเข้าประชุมในการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล และเลขานุการทุกระดับ ซึ่งทางจังหวัดกาญจนบุรีรับเป็นเจ้าภาพในการประชุมครั้งนี้ โดยมีวัดวังก์วิเวการาม หรือที่เรียกกันว่าวัดหลวงพ่ออุตตะมะ เป็นสถานที่จัดประชุม

เมื่อดูความเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว กระผม/อาตมภาพซึ่งตอนแรกได้รับการจัดสรรให้พักที่วังกะรีสอร์ต หมู่ที่ ๒ ตำบลหนองลู ห่างจากวัดหลวงพ่ออุตตะมะไม่ไกล แต่เนื่องจากว่าพระเถระในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาต ๑๔ มากันเป็นจำนวนมาก จึงต้องสละห้องพักที่นั่น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับแขกบ้านแขกเมือง ตนเองต้องออกมาพักที่สังขละคีรีรีสอร์ท ซึ่งอยู่ห่างออกมาค่อนข้างมาก

แต่ว่าเมื่อมาแล้วก็ดีใจ เนื่องเพราะว่าสถานที่ โดยเฉพาะอาคาร ๒ ซึ่งกระผม/อาตมภาพพักอยู่นั้น มีความกว้างขวาง และประกอบไปด้วยระเบียงต่าง ๆ อยู่ในลักษณะเหมือนอย่างกับบ้าน ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัด ไม่เหมือนอย่างกับที่เก่าซึ่งได้รับการจัดสรรมา ที่ดูแล้วค่อนข้างจะอับทึบ ก็แปลว่าเดินทางไกลหน่อย แต่ได้รับความสะดวกสบายอย่างคาดไม่ถึง

สำหรับวันนี้ นอกจากงานที่ได้ว่ามาแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้มอบข้าวสารอาหารแห้ง กับให้ทางโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) ซึ่งอยู่ในสังกัดของมูลนิธิเด็ก สถานที่นี้ทางวัดท่าขนุนให้การอุปถัมภ์มาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ยังไม่ทันจะระบาด จนกระทั่งยาวมาถึงในปัจจุบัน แต่ละเดือนก็มอบข้าวสารอาหารแห้งให้ คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาท

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเด็ก ๆ จำนวนร้อยกว่าคนที่โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) นั้น ต้องใช้คำว่า "หลุดออกมาจากนรก" เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็โดนทำร้ายจากครอบครัวบ้าง จากคนรอบข้างบ้าง ทางมูลนิธิเด็กได้ไปให้การช่วยเหลือ แล้วนำมาพักฟื้น เยียวยาจิตใจ หลังจากนั้นก็มีการให้เรียนหนังสือและฝึกการทำมาหากินอื่น ๆ

โดยเฉพาะในส่วนของข้าวปลาอาหารนั้น บรรดาพ่อครู แม่ครู พยายามที่จะให้เด็กได้รับอาหารครบทั้ง ๕ หมู่ โดยเน้นอาหารสุขภาพ ก็แปลว่าส่วนใหญ่จะต้องเว้นจากเรื่องของขนมหรือว่าน้ำตาล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2023 เมื่อ 02:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-05-2023, 00:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,997
ได้รับอนุโมทนา 4,416,281 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนนี้ถ้าท่านทั้งหลายมีโอกาสจะไปช่วยเหลือ ก็สามารถที่จะเดินทางไปยังโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) ซึ่งอยู่ที่บริเวณตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เส้นทางลาดหญ้า - ศรีสวัสดิ์ ถ้าหากว่าเปิดกูเกิ้ลแม็พ ก็สามารถที่จะไปถึงได้โดยสะดวก ท่านใดที่มีจิตศรัทธา เข้าไปให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ ท่านก็จะได้ทั้งทานบารมีและได้ทั้งพรหมวิหาร ๔

เด็กทั้งหลายเหล่านี้ จะว่าไปแล้วก็เป็นกำลังสำคัญของชาติต่อไปในภายภาคหน้า สิ่งหนึ่งที่บรรดาพ่อครูแม่ครูทั้งหลาย พยายามที่จะเยียวยาก็คือสภาพจิตใจ ทำอย่างไรที่จะให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นเลิกเคียดแค้นสังคม เลิกเคียดแค้นครอบครัว เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีแต่จะฝังรากของกิเลสต่าง ๆ เอาไว้ในจิตในใจของตน เมื่อถึงเวลาแล้วไประเบิดใส่คนอื่น อยู่ในลักษณะที่ว่าตนเองเคยโดนกระทำมา ถึงเวลาก็ไปทำต่อกับคนอื่นบ้าง ถ้าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ก็จะทำให้สังคมของเราวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด

จังหวัดกาญจนบุรีมีสถานที่ในลักษณะแบบนี้หลายแห่ง ซึ่งกระผม/อาตมภาพให้การอุปถัมภ์มาเป็นระยะ แม้กระทั่งสถานที่ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ที่ดัดสันดาน" หรือที่เรียกกันว่า "ศูนย์พัฒนาฟื้นฟูเยาวชน" กระผม/อาตมภาพก็เข้าไปช่วยเหลือ และเข้าไปบรรยายหลักธรรมต่าง ๆ ซึ่งเหมาะสำหรับกำลังใจของเด็กหรือว่าวัยรุ่นทั้งหลายเหล่านี้

เป็นที่น่ายินดีว่า ผู้ใหญ่ในบ้านในเมืองมีแนวคิดที่ว่า เด็ก ๆ ทั้งหลายเหล่านี้จัดเป็นผู้ป่วยประเภทหนึ่ง ก็คือตนเองโดนกระทำมาแล้วก็ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ถึงเวลาก็ไปใช้ความรุนแรงกับคนอื่น จึงต้องมีการฟื้นฟูจิตใจ ถ้าเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็แก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าหากว่าเป็นเด็กโต ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นวัยรุ่นระดับมัธยม ก็จะแก้ไขได้ยาก เพราะว่าสภาพจิตนั้นมีการจดจำมากกว่า ให้อภัยได้ยากกว่า

ถ้าจะว่าไปแล้ว มีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากสามารถนำมาใช้งานได้ แต่ว่าต้องประกอบไปด้วยความอดทนจริง ๆ เนื่องเพราะว่าเด็กบางคนก็ปิดกั้นตนเอง เหมือนอย่างกับมีโลกส่วนตัว ใครพูดใครกล่าวอะไรเหมือนอย่างกับผ่านหูไปเฉย ๆ พ่อครูแม่ครูทุกคนก็ได้แต่เพียรพยายามทำดีไปเรื่อย หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะเปิดใจออกมา แล้วก็ทำให้สามารถที่จะเยียวยาได้อีก

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนหนึ่งแล้วคนในสังคมไทยของเราจะต้องให้ความร่วมมือกัน อันดับแรกเลยก็คือหาสถานที่ให้เขาพักฟื้นในลักษณะอย่างนี้ให้ได้ อันดับที่สองก็คือ สนับสนุนในเรื่องของสถานที่อยู่ ที่กิน ที่ศึกษา ที่เรียนรู้วิชาชีพ ตลอดจนกระทั่งการเยียวยารักษาจิตใจ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2023 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 30-05-2023, 00:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,997
ได้รับอนุโมทนา 4,416,281 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ท่านทั้งหลายที่ติดตามงานของวัดท่าขนุนมา ก็จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพนั้นไปสร้างอาหารหอพักให้ มีการไปทอดผ้าป่าทุนการศึกษา มีการสร้างห้องสำหรับเด็กบกพร่อง หรือที่เรียกกันว่าออทิสติก ในการที่จะศึกษาเรียนรู้แล้วก็ปรับปรุงตนเอง เหล่านี้เป็นต้น เรื่องพวกนี้ถ้าในสังคมของเรามีการช่วยเหลือเจือจาน ช่วยกันประคับประคอง เราก็จะได้เด็กหรือว่าเยาวชนที่ดีกลับคืนมา

ท่านที่ได้กระทำหน้าที่ต่าง ๆ ด้านนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นบุคคลที่เสียสละ ทั้งกาย วาจา และใจ ถือว่าเป็นการฝึกฝนขัดเกลาตนเองอย่างหนึ่ง บรรดาพ่อครูแม่ครู จะรู้ตัวหรือว่าไม่รู้ตัวก็ตาม ท่านทั้งหลายล้วนแล้วแต่มีปฏิปทาพระโพธิสัตว์ ท่านที่มีบารมีค่อนข้างเข้มข้นก็ต่อสู้อยู่ได้นาน บางคนก็ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านที่กำลังใจน้อย บางคนก็อยู่ได้ไม่นาน บางท่านเข้ามาได้ไม่กี่วัน ก็ไม่สามารถที่จะรบกับเด็กเหล่านี้ไหว ก็จำเป็นที่จะต้องปลีกตัวออกไป แต่ว่าเราก็ไม่ตำหนิกัน เพราะว่าการเสียสละ ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อส่วนรวมนั้นเป็นของยาก

แต่ถ้าหากว่าเรานำเอาพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาใช้ ซึ่งพระองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า เราต้องเสียสละผลประโยชน์ส่วนน้อยของตน เพื่อผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของชาติบ้านเมือง

กระผม/อาตมภาพอยากจะย้ำว่า คำว่าชาติบ้านเมืองในที่นี้หมายถึงสังคม คำว่าสังคมนี้มีตั้งแต่วงแคบ ก็คือภายในครอบครัวของเรา ขยายกว้างขึ้นไปอีกหน่อย ก็คือภายในหมู่บ้านของเรา ภายในชุมชนของเรา จนกระทั่งภายในตำบลของเรา ภายในอำเภอของเรา ภายในจังหวัดของเรา ภายในภาคของเรา ภายในประเทศของเรา เป็นต้น ถ้าหากว่าท่านใดที่มีกำลังสูง ก็สามารถที่จะช่วยเหลือภายในโลกของเราก็ยังได้..!

จึงเป็นเรื่องที่ท่านทั้งหลายควรที่จะคิดว่า ในเมื่อเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ถ้ามีสิ่งหนึ่งประการใด พอที่เราจะช่วยกันแก้ไข ให้สังคมของเราดีขึ้นแล้ว ก็ควรที่จะช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นแล้วสังคมของเราก็มีแต่จะตกต่ำ เสื่อมทรามไปอย่างรวดเร็ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2023 เมื่อ 02:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 30-05-2023, 00:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,997
ได้รับอนุโมทนา 4,416,281 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

กระผม/อาตมภาพเกิดมาในยุคที่บ้านใกล้เรือนเคียงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน บ้านโน้นมีแกงก็ส่งมา บ้านนี้มีผักผลไม้ก็ส่งไป มีอะไรก็เกาะรั้วปรึกษาหารือกัน ทำให้บ้านไม่จำเป็นที่จะต้องมีรั้วก็ได้ เพราะว่าคนข้างบ้านช่วยกันระมัดระวังดูแลให้

เมื่อคุ้นเคยกับสภาพสังคมเก่า ๆ บางทีก็หวนระลึกว่า เวลาใดหนอที่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หมดไป ? ก็มานึกได้ว่า
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้หมดไปตอนที่บรรดาผู้คนทั้งหลายทอดทิ้งครอบครัวเข้าสู่เมืองใหญ่ เพื่อที่จะหางานมาจุนเจือครอบครัวของตน กลายเป็นว่าการศึกษาที่มีมากขึ้น ทำให้คนต้องการอิสระมากขึ้น เมื่อแยกครอบครัวออกไปแล้วก็ยังมีการสันโดษ ก็คือต่างคนต่างอยู่ ขาดการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ เข้าไปสอบถามถึงผู้หนึ่งผู้ใดในตำบล ขอยืนยันว่าในตำบล จะมีกี่หมู่บ้านก็ตาม เขาสามารถบอกได้หมด ว่าบุคคลนั้นเรือนชานบ้านช่องอยู่ที่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร บางทีก็ชักสาแหรกไปได้ถึง ๑๘ ชั่วคน..!

แต่ว่าในปัจจุบันนี้น่าเสียดายว่า บ้านข้างกันบางทีก็ไม่รู้จักชื่อกัน บางคนก็เคยแค่เห็นหน้าเท่านั้น ทักทายกันก็ยังไม่มี สังคมของเราถ้าอยู่ในลักษณะแบบนี้ ก็จะก้าวเข้าไปสู่สังคมแบบต่างประเทศ คือต่างคนต่างอยู่ ไม่มีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ซึ่งไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา

กระผม/อาตมภาพเอง ต้องบอกว่าอายุมากแล้ว บางทีก็มาระลึกถึงความหลัง แม้ว่าจะไม่ได้หวนหาอาลัยมาก แต่มาคิดว่าในยุคนั้นสมัยนั้น เราอยู่กันอย่างสงบสุข มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทำไมยุคปัจจุบันนี้ ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากจนขนาดนี้ ?

แต่พอได้ยินเพื่อนฝูงบอกว่า "ถ้าเล่าความหลังแปลว่าแก่แล้ว" ก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นธรรมดาของโลกที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าถ้าเราสามารถที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นช้าลง ก็แปลว่าเราสามารถที่จะดึงให้ความดีทั้งหลายเหล่านี้อยู่ได้เนิ่นนานขึ้นไปอีกหน่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีต่อทั้งตัวเองและสังคมรอบข้างไปอีกระยะหนึ่ง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-05-2023 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว