กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 13-06-2023, 20:01
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,642
ได้ให้อนุโมทนา: 216,883
ได้รับอนุโมทนา 747,479 ครั้ง ใน 36,409 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 13-06-2023, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,029 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพออกบิณฑบาตตามปกติทุกครั้งที่อยู่วัด หลังจากที่ฉันเช้าแล้ว ฝนก็ได้ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก

ในระหว่างนั้น กระผม/อาตมภาพต้องเข้าระบบซูม เพื่อร่วมอบรมในโครงการปลูกฝังจิตพอเพียงต้านทุจริตแก่คนไทย ครั้งที่ ๒ ในหัวข้อ "เป็น อยู่ คือ อย่างเรียบง่ายในโลกที่ซับซ้อน" ซึ่งวิทยากรนั้นประกอบไปด้วยพระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต, ศ.ดร. (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ป.ธ.๙)
กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานศูนย์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ

ตลอดจนกระทั่งวิทยากรอีกหลายท่านซึ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์, ศ.ดร. (หรรษา ธมฺมหาโส) ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ของกระผม/อาตมภาพมาตั้งแต่สมัยที่เพิ่งจะเรียนปริญญาเอก ตลอดจนกระทั่งครูบาอาจารย์ท่านอื่น ๆ อย่างเช่นว่าท่านอาจารย์เจ้าคุณพระศรีธรรมภาณี, ดร. (วัลลภ โกวิโล ป.ธ.๘) หรือว่า รศ.ดร.มาณี ไชยธีรานุวัฒศิริ จาก ป.ป.ช.เป็นต้น

สิ่งที่ทุกท่านพยายามที่จะบอกกล่าวกับผู้เข้าร่วมโครงการก็คือว่า การเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีหลักธรรมในพระพุทธศาสนาอยู่ในใจ โดยเฉพาะความสันโดษ รู้จักพอเพียง และกำลังใจของเราจะต้องเป็นบุคคลที่ไม่ปรารถนาสิ่งใดจริง ๆ เพราะว่าถ้ายังมีความปรารถนาอยู่ ก็จะทำให้ขาดความเรียบง่ายไป

ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ค้านกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ทุกคนกระโดดเข้าสู่กระแสบริโภคนิยมอันเชี่ยวกราก แล้วก็โดนกระแสลากพาไป อย่างชนิดที่ไม่สามารถจะยั้งตนเองได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่เคยประสบกับความลำบากมาก่อน เมื่อต้องมาอยู่อย่างเรียบง่าย ก็มักจะรับไม่ได้ อย่างเช่นที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ มีแม้กระทั่งพระภิกษุ หรือว่าญาติโยมหลายท่าน เมื่อมาแล้วก็ไม่สามารถที่จะอยู่ได้ เนื่องเพราะว่าไม่มีห้องพักที่มีเครื่องปรับอากาศให้ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2023 เมื่อ 02:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 13-06-2023, 23:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,029 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของความเรียบง่ายนั้น จะว่าไปแล้ว เราต้องผ่านการฝึกฝนด้วยความอดทนอดกลั้นมาเป็นระยะเวลาพอสมควร จนกระทั่งเคยชินกับความยากลำบาก แล้วก็จะทำให้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีอะไรลำบาก เนื่องเพราะว่าเราพบกับสิ่งที่ลำบากกว่านั้นมาแล้ว จึงตรงกับคำโบราณที่ว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" คำว่า "สบาย" นี้คือ สบายของผู้ที่เคยลำบากมาก่อน ไม่ใช่สบายของบุคคลทั่วไป บุคคลทั่วไปอาจจะเห็นว่านั่นคือสิ่งที่ลำบากชนิดเหลือที่จะทนก็เป็นได้..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าต้องการให้ประสบความสำเร็จ อาจจะต้องถึงขนาดเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาเลยทีเดียว เหมือนอย่างกับประเทศจีนที่เปลี่ยนหลักสูตรให้เด็ก ๆ รู้จักทำมาหากิน ทำไร่ไถนา ปลูกผักปลูกหญ้า อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าไม่สามารถจะหางานในเมืองใหญ่ได้ เด็กทั้งหลายเหล่านั้นก็สามารถเอาตัวรอดได้ เพราะว่ารู้จักทำไร่ทำนาเหมือนกับบรรพบุรุษของตน

โดยเฉพาะบรรดาพ่อแม่นั้น มักจะไม่สามารถที่จะทนได้ถ้าเห็นลูกลำบาก แล้วก็ทำการอนุเคราะห์สงเคราะห์ในทุกด้าน ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกกันว่า "สปอยล์" จนกระทั่งทำให้เด็กนั้นไม่เคยพบกับความลำบากเลย

เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงไม่สามารถที่จะรับมือได้ ทำให้เด็กทั้งหลายเหล่านั้น กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร ตกอยู่ในภาวะของ"พ่อแม่รังแกฉัน" ก็คือด้วยความที่พ่อแม่รัก ทำให้มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้อย่างเต็มที่ จนกระทั่งทำอะไรไม่เป็น ถ้าไม่ใช่มีมรดกตกทอดมาจำนวนมหาศาลจริง ๆ ถึงเวลาทำอะไรไม่เป็น ใช้แต่สมบัติเก่าจนหมดตัว ก็อาจจะเหมือนกับงิ้วจีนเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน ก็คือกลายเป็นขอทานไป เพราะว่าทำอะไรไม่เป็นนั่นเอง

หลังจากที่ได้รับการอบรมตั้งแต่เช้ายันเย็นแล้ว ก็ยังมีการทำแบบประเมินเพื่อรับวุฒิบัตรผ่านการอบรมครั้งนี้ด้วย กระผม/อาตมภาพเองนั้น ถ้าหากว่ามีโอกาสก็จะเข้ารับการอบรมแบบนี้อยู่เสมอ เนื่องเพราะว่าโลกหมุนไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเราหยุดอยู่กับที่ เท่ากับว่าเราถอยหลัง จึงต้องศึกษาหาความรู้จากท่านผู้รู้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์แก่ตน เพิ่มความเป็นพหุสุตตะ คือเป็นบุคคลที่นิยมในการอ่าน ในการฟัง เพื่อที่นำมาประกอบกันเป็นความรู้ใหม่ แล้วเราสามารถที่จะถ่ายทอดต่อให้กับคนอื่นได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2023 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-06-2023, 00:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,029 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า โครงการนี้นั้นไม่สามารถที่จะนำหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปจับได้อย่างเต็มที่ เนื่องเพราะว่าบุคคลส่วนใหญ่ไม่สามารถที่จะทนความลำบากเช่นนั้นได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นลองทำแบบคนโบราณดู ก็คืออย่างน้อยต้องบวช ๑ พรรษา โดยเฉพาะให้บวชกับวัดที่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย อยู่ในลักษณะพออยู่พอกิน มีบริขาร ๘ บิณฑบาตฉันแล้ว ก็ประกอบกิจหน้าที่การงาน คือ สวดมนต์ ไหว้พระ ปฏิบัติกรรมฐานของเราไป

ถ้าอยู่ในลักษณะแบบความนิยมของโบราณอย่างนี้ อย่างน้อย ๆ ลูกผู้ชายทุกคนก็จะพบกับความลำบากในช่วงหนึ่ง อย่างน้อยก็ ๓ เดือนขึ้นไป เพราะว่าต้องอยู่ถึง ๑ พรรษา เมื่อมาโดนตีกรอบ จำกัดด้วยทรัพยากรและข้อห้ามต่าง ๆ ทำให้ต้องพัฒนาความอดทนอดกลั้นของตน มีขีดความสามารถที่จะรับความทุกข์ยากลำบากได้มากขึ้น ก็จะเกิดภาวะ "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่าไปบวชในสายวัดป่า ซึ่งฉันมื้อเดียว ถือผ้า ๓ ผืน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ต่อให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่หลุดพ้น เมื่อสึกหาลาเพศไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังคงเป็นคุณสมบัติติดตัว ให้ท่านทั้งหลายรับมือความยากลำบากต่าง ๆ ได้ง่ายกว่าคนอื่นเขา ในเมื่อเราสามารถรับมือกับความยากลำบากเหล่านี้ได้โดยที่ไม่รู้สึกว่าลำบาก ก็จะทำให้ขีดความสามารถในการยืนหยัดในสังคมของท่านทั้งหลายนั้น มีมากกว่าคนอื่นเขา

ดังนั้น..เรื่องดี ๆ ทั้งหลายที่บรรดาบรรพบุรุษ หรือว่าคนเฒ่าคนแก่ คนโบร่ำโบราณเขายึดถือกันมานั้น ทำให้ท่านสามารถยืนหยัดอยู่ในกระแสบริโภคนิยมที่เชี่ยวกรากนี้ได้อย่างมั่นคง

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า ค่านิยมทั้งหลายเหล่านี้ คนรุ่นใหม่เห็นเป็นเรื่องของไดโนเสาร์เต่าล้านปี ตกยุคตกสมัย โดยที่ลืมไปว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอกาลิโก สามารถที่จะใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย ไม่จำกัดด้วยกาลเวลา ใครปฏิบัติก็ได้รับรสพุทธพจน์เทศนานั้นด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรักษาศีล เจริญสมาธิ ปฏิบัติภาวนาพิจารณาให้เห็นว่าปกติธรรมดาของโลกนี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2023 เมื่อ 05:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 14-06-2023, 00:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,029 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น จะได้มีสติรับมือได้อย่างมั่นคง แล้วขณะเดียวกัน กำลังสมาธิที่ทรงตัวมาก ก็จะทำให้เราสามารถที่จะยืดหยัดอยู่ได้ โดยที่ไม่ไหลตามกระแสสังคมไปเหมือนกับคนอื่น มีปัญญาที่จะรู้จักว่า สิ่งใดพอเหมาะพอควร พอที่จะดำรงอยู่ได้อย่างพอเพียง เราก็จะกระทำสิ่งนั้น

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายอาศัยแค่ปัจจัย ๔ ก็คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ท่านทั้งหลายก็จักเป็นผู้ที่มักน้อย สันโดษ ไม่มีความต้องการมากมายเหมือนกับคนอื่น จนต้องไปดิ้นรนให้เกิดความทุกข์ยากลำบากแก่ตน
บางทีก็ทุ่มเทให้กับการงานจนบ้านแตกสาแหรกขาด หรือว่าทุ่มเทให้กับการงาน หาเงินหาทองจนสุขภาพชำรุด แล้วก็ต้องเอาเงินทองนั้นมารักษาสุขภาพของตน จนไม่เหลืออะไรเลย..!

เรื่องของการที่จะอยู่อย่างเรียบง่ายในท่ามกลางความสับสนของสังคมปัจจุบัน ที่มีแต่สิ่งล่อตาล่อใจของเราทั้งหลาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่บุคคลผู้เป็นพ่อแม่ต้องฝึกฝนให้ลูกของตนหัดรักษาศีล เจริญภาวนาตั้งแต่เด็ก ๆ จะได้มีกำลังในการยืนหยัดต่อต้านกระแสกิเลสได้

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พ่อแม่ยุคนี้ แม้แต่ตัวเองก็แทบจะไม่รักษาศีลและเจริญภาวนา แล้วจะเอาอะไรไปสอนลูกของตนเอง ในเมื่อรุ่นหนึ่งไม่สามารถที่จะเป็นตัวอย่างได้ รุ่นต่อ ๆ ไปก็ไม่มีบุคคลให้เดินตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้น ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดอยู่อย่างพอเพียง หากแต่ว่าไปไขว่คว้ากระแสบริโภคนิยม แล้วก็ไหลตามกระแสไปอย่างน่าสงสาร..!

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง
เนื่องจากว่าคนไทยของเรานั้นมีสิ่งที่ดีเลิศที่สุด ก็คือพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะช่วยเราให้อยู่ได้โดยไม่ยากลำบาก และสามารถพัฒนากาย วาจา ใจของตน ไปจนกระทั่งสูงสุดถึงขนาดหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพาน แต่ว่าคนไทยเราก็มักจะไม่เห็นคุณค่าตรงนี้ พากันไปยึดเอาสิ่งต่าง ๆ ที่ศึกษามาจากโลกตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องของการไขว่คว้าหา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ให้กับตัวเอง จนกระทั่งบางทีก็ไม่คำนึงถึงวิธีการที่ใช้ สังคมของเราจึงเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด

ใครที่รู้ตัวรีบกลับเข้ามาหาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตนจนสามารถยืนหยัดต้านกระแสได้ ก็ถือว่าเป็นคุณแก่ตัว ถ้าสามารถตัดกระแส และข้ามกระแส รัก โลภ โกรธ หลง เหล่านั้นไปได้ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่วิเศษอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ได้เมื่อไร ก็ขึ้นอยู่กับเวรกับกรรมที่ท่านทั้งหลายได้ทำมา ทั้งอดีตและปัจจุบันนี้เอง


สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2023 เมื่อ 03:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:45



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว