กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ

Notices

ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ คุณสามารถตั้งคำถาม และทีมงานจะรวบรวม และคัดกรองเพื่อนำไปถามหลวงพ่อในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่หลวงพ่อมารับสังฆทาน

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 08-08-2023, 09:20
นักเดินทางสังสารวัฏ นักเดินทางสังสารวัฏ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2016
ข้อความ: 77
ได้ให้อนุโมทนา: 139
ได้รับอนุโมทนา 2,967 ครั้ง ใน 205 โพสต์
นักเดินทางสังสารวัฏ is on a distinguished road
Default โพชฌงค์ ๗ ในข้ออุเบกขา และเรื่องการอุปมาอุปไมย

ผมคัดลอกข้อความส่วนหนึ่ง มาจากเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์เกี่ยวกับ โพชฌงค์ ๗ นะครับ

อ้างอิง:
สมาธิสัมโพชฌงค์ ความที่จิตใจตั้งมั่น ทำให้กิเลสแทรกแซงไม่ได้ก็เกิดขึ้น ก่อให้เกิดอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็คือการปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้ายทั้งในสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว เราก็จะสามารถดึงกำลังใจของเราให้ห่างไกลจากกิเลส ถ้าหากว่าห่างไกลออกมามาก ๆ ไม่ไปปรุงไปแต่ง ท้ายที่สุดก็จะส่งผลให้พวกเราทั้งหลาย สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
๑."อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็คือการปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้ายทั้งในสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว" จากข้อความข้างต้นผมสงสัยในเรื่อง อย่างการที่เราคิดดี คิดสิ่งที่เป็นกุศล เราจะไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่เป็นความคิดดี หรือ กุศลมโนกรรมอย่างไรหรือครับ? ผมขอยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าเวลาตอนเช้า พระพุทธเจ้าท่านก็คิดจะไปโปรดใคร และจะเทศน์บทไหนเพื่อตรงกับกำลังใจของคนฟัง หรือพระพุทธเจ้าไปห้ามญาติไม่ให้ทะเลาะกันก็เกิดจากความคิดที่เป็นกุศล และอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง พอท่านบรรลุแล้ว ท่านก็คิดกุศล เช่นท่านทำเทปธรรมะ สอนพุทธบริษัท และช่วยสาธารณประโยชน์ เช่นสร้างโรงพยาบาล ให้ทุนการศึกษาเป็นต้น และผมเคยอ่านที่หลวงพ่อเล่าว่า หลวงปู่มหาอำพัน ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ทำบุญ ทำทานปกติ ต่อให้ท่านก็ไม่ได้ใช้บุญแล้ว

๒. ผมเคยอ่านมาว่า จิตที่เข้าถึงความเป็นพระอนาคาก็เหลือสังโชยน์เบื้องสูง ๕ และในข้อ อุทธัจจะ หรือ มีความฟุ้งซ่าน แต่เป็นความฟุ้งซ่านที่เป็นกุศล เช่นอยากหาวิธีเข้าถึงสภาวะนิพพาน หรืออรหัตผลคำถามคือ อย่างคนธรรมดา หรือเป็นเสขบุคคลที่เจริญสมถะ และวิปัสสนาเพื่ออรหัตผลแบบจิตของพระอนาคามี ผมเลยอยากทราบว่าจะตัดตัวอุทธัจจะที่ฟุ้งดีอย่างไรดีครับ หรืออย่างน้อยทำให้เบาลงก็ดีครับ?

๒.๑ ในสังโยชน์ตัวมานะทิฐิ ถ้าผมเอาคำสอนที่ว่า อย่าทำตัวให้เป็นน้ำเต็มแก้ว อยากทราบว่าคำสอนนี้เป็นเหตุปัจจัยทำให้สังโยชน์ตัวมานะทิฐิลดลงหรือเปล่าครับ

๒.๒ ในเรื่องทางโลก เวลาผมเห็นเพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ที่เรียนเก่ง และทำงานเก่งมาก หรือ คนที่หุ่นดี แข็งแรง และผมก็คิดว่าผมก็ทำได้เหมือนกัน เพราะทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าเราสร้างเหตุแบบเขา ไม่ว่าอย่างไรผลก็เกิดแน่นอน อยากทราบว่าที่ผมเล่ามาสามารถจัดเป็นสังโยชน์ในข้อมานะทิฏฐิได้หรือเปล่าครับ

๓. ธรรมของพระพุทธเจ้ามีความสัมพันธ์กัน และผมเคยอ่านธรรม ท่านอื่น ๆ และของหลวงพ่อในเรื่องเมตตา และเรื่องที่หลวงพ่อเล่าประมาณว่าพอคนตายเป็นผีเท่านั้นแหละ ฉลาดขึ้นมาทันที คืออยากได้บุญจากหลวงพ่อ และผมคิดและก็สรุปได้ว่า จิตทุกดวงจิตตั้งแต่โลกันต์นรก ถึงพรหมโลก ทุกดวงจิตอยากดี อยากมีความสุข และเกลียดความทุกข์ กันทั้งนั้น แต่ดวงจิตที่อยู่ในนรกท่านเหล่านี้ดันไปเห็นผิด หรือมีความคิดวิปลาส และไปยึดว่าความชั่วเป็นของดี พอดวงจิตเหล่านี้ตาย ก็ตกนรก ก็แก้ไขไม่ทันแล้ว

แต่ถ้าดวงจิตที่ตกนรกเหล่านี้สามารถย้อนเวลาได้ ดวงจิตเหล่านี้ก็คงไม่ไปทำบาปเหมือนเก่าแน่ ๆ พอคิดได้แบบนี้ก็เกิดสลดใจ และสงสารดวงจิตทั้งหลาย ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และดวงจิตที่ทำชั่วและลงนรกเพราะความไม่รู้ คำถามคืออารมณ์ที่ผมเจอน่าจะเป็น พรหมวิหาร ๔ ในระดับอัปปมัญญา และเป็นวิปัสสนาในข้อเห็นโทษเห็นภัยวัฏสงสาร หรือเปล่าครับ? เพราะผมเห็นภัยและโทษของวัฏสงสาร เช่น ถ้าจิตไปคบเจตสิกชั่ว ก็ลงนรก เลยไม่อยากให้จิตดวงอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนในวัฏสงสาร ไปคบเจตสิกชั่ว ให้คบเจตสิกที่ดี จะได้ไปสวรรค์และการทำความดีจะเป็นเหตุปัจจัยให้หลุดพ้นในที่สุด และหลวงพ่อพอจะแนะนำส่งเสริมอารมณ์ที่สูงกว่านี้ได้หรือเปล่าครับ?

๔.พระพุทธเจ้า และ พระท่านอื่น ๆ เวลาท่านเทศน์ ท่านก็มักจะมีคำอุปมาอุปไมย เพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย และ ณ ปัจจุบันจะเป็นเรื่องวิชาทางโลก หรือวิชาทางธรรม ครูผู้สอนก็จะอธิบาย และก็อุปมาอุปไมย หรือเปรียบเทียบเพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย คำถามคือในข้อ รื่นเริงในธรรม อย่างผมเคยอ่านการ์ตูน และเรื่องลี้ลับต่าง ๆ และมักจะอธิบาย สรุป และเปรียบเทียบสิ่งที่เรียนมาเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ และรื่นเริงในสิ่งที่ผมเคยอ่านมา ยกตัวอย่างเช่น ผมเปรียบเทียบว่าตัวเราจริง ๆ คือจิต และจิตประกอบด้วยบารมี ๑๐ และถ้าจิตมีปัญญาบารมีมาก ก็เปรียบเหมือน นักดาบที่มีดาบ Excalibur ซึ่งเป็นดาบที่แหลมคมที่สุดสามารถตัดทุกสิ่งได้ และจิตที่มีปัญญาบารมีก็สามารถตัด สังโยชน์ ๑๐ และสามารถพัฒนาจิตจากโลกียภูมิ เข้าถึง สาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือ พุทธภูมิก็ได้ และสิ่งเหล่านี้อาศัยจากปัญญาบารมีเป็นต้น

คำถามคือ อย่างผมเปรียบเทียบ ปัญญาบารมีเหมือนดาบ Excalibur เพื่อให้ตัวเองเข้าใจสิ่งที่เรียนมาดีขึ้นและรู้สึกสนุก การทำแบบนี้จะมีโทษอะไรหรือเปล่าครับ? เพราะปกติผมชอบคิดอะไรสนุกสนาน

๔.๑ ปัญญาบารมีเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริฐเป็นที่สุด ในบารมี ๑๐ และผมอ่านเรื่องที่หลวงพ่อเล่าเกี่ยวกับพระเจ้ามิลินท์ที่ท่าน มีปัญญามาก สามารถตั้งคำถามยาก ๆ เพื่อโต้วาทีกับฤาษี ศาสนาอื่น และพระในพุทธศาสนาได้ และบุพกรรมของท่านที่มีปัญญาบารมีมากคือการที่เอาขยะไปทิ้ง และท่านก็อาศัยพุทธคุณ ขอให้มีปัญญามากมายเหมือนสายน้ำ

และอย่างสมัยนี้เป็นยุควิทย์ศาสตร์ และวิทย์ศาสตร์บอกว่า จักรวาลนั้นขยายตัวตลอดเวลา ผมเลยสงสัยว่า สมมุติคนสมัยนี้เอาวิทย์ศาสตร์กับพุทธศาสตร์มารวมกัน เช่น ทำธรรมทาน และสร้างพุทธรูปเป็นต้น และตั้งจิตอธิษฐานอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ขอให้ความดีที่จากธรรมทาน และสร้างพุทธรูป ขอให้ดวงจิตมีปัญญาบารมีที่ยิ่งใหญ่เหมือนจักรวาลที่ขยายตัวตลอดเวลา แบบนี้จะมีผลตามคำอธิษฐาน และดีกว่า พระเจ้ามิลินท์หรือเปล่าครับ? เพราะท่านอาศัยคุณของพระรัตนตรัยขอให้มีปัญญามากเหมือนสายน้ำ แต่คน ๆ นั้นทำกรรมดียิ่งกว่าพระเจ้ามิลินท์ ทั้ง ธรรมทาน และสร้างพุทธรูป และขอให้มีปัญญาบารมียิ่งใหญ่เหมือนจักรวาลที่ขยายตัวตลอดเวลา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นักเดินทางสังสารวัฏ : 19-08-2023 เมื่อ 22:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 9 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นักเดินทางสังสารวัฏ ในข้อความที่เขียนด้านบน
เด็กใต้ (08-08-2023), ถิรธรรม (08-08-2023), นาย หวังดี (05-09-2023), พี่เสือ (09-08-2023), มนตรีหกเก้า (09-08-2023), สายใจ (04-09-2023), สุธรรม (08-08-2023)
  #2  
เก่า 04-09-2023, 04:00
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,800
ได้ให้อนุโมทนา: 270,267
ได้รับอนุโมทนา 840,579 ครั้ง ใน 12,828 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ถาม : "อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ก็คือการปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้ายทั้งในสิ่งที่ดีและสิ่งที่ชั่ว" จากข้อความข้างต้นผมสงสัยในเรื่อง อย่างการที่เราคิดดี คิดสิ่งที่เป็นกุศล เราจะไม่ยินดียินร้ายสิ่งที่เป็นความคิดดี หรือ กุศลมโนกรรมอย่างไรหรือครับ? ผมขอยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าเวลาตอนเช้า พระพุทธเจ้าท่านก็คิดจะไปโปรดใคร และจะเทศน์บทไหนเพื่อตรงกับกำลังใจของคนฟัง หรือพระพุทธเจ้าไปห้ามญาติไม่ให้ทะเลาะกันก็เกิดจากความคิดที่เป็นกุศล และอย่างหลวงพ่อวัดท่าซุง พอท่านบรรลุแล้ว ท่านก็คิดกุศล เช่นท่านทำเทปธรรมะ สอนพุทธบริษัท และช่วยสาธารณประโยชน์ เช่นสร้างโรงพยาบาล ให้ทุนการศึกษาเป็นต้น และผมเคยอ่านที่หลวงพ่อเล่าว่า หลวงปู่มหาอำพัน ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ทำบุญ ทำทานปกติ ต่อให้ท่านก็ไม่ได้ใช้บุญแล้ว
ตอบ : รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ทำให้ถึงก่อนจะเข้าใจชัดเจนที่สุด

ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า จิตที่เข้าถึงความเป็นพระอนาคามีก็เหลือสังโยชน์เบื้องสูง ๕ และในข้อ อุทธัจจะ หรือ มีความฟุ้งซ่าน แต่เป็นความฟุ้งซ่านที่เป็นกุศล เช่นอยากหาวิธีเข้าถึงสภาวะนิพพาน หรืออรหัตผลคำถามคือ อย่างคนธรรมดา หรือเป็นเสขบุคคลที่เจริญสมถะ และวิปัสสนาเพื่ออรหัตผลแบบจิตของพระอนาคามี ผมเลยอยากทราบว่าจะตัดตัวอุทธัจจะที่ฟุ้งดีอย่างไรดีครับ หรืออย่างน้อยทำให้เบาลงก็ดีครับ ?
ตอบ : แค่ทรงฌานได้ก็ตัดอุทธัจจะได้แล้ว

ถาม : ในสังโยชน์ตัวมานะทิฐิ ถ้าผมเอาคำสอนที่ว่า อย่าทำตัวให้เป็นน้ำเต็มแก้ว อยากทราบว่าคำสอนนี้เป็นเหตุปัจจัยทำให้สังโยชน์ตัวมานะทิฐิลดลงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลดได้นิดหนึ่ง

ถาม : ในเรื่องทางโลก เวลาผมเห็นเพื่อน ๆ หรือคนอื่น ๆ ที่เรียนเก่ง และทำงานเก่งมาก หรือ คนที่หุ่นดี แข็งแรง และผมก็คิดว่าผมก็ทำได้เหมือนกัน เพราะทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ถ้าเราสร้างเหตุแบบเขา ไม่ว่าอย่างไรผลก็เกิดแน่นอน อยากทราบว่าที่ผมเล่ามาสามารถจัดเป็นสังโยชน์ในข้อมานะทิฏฐิได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ดีกว่า เท่ากัน น้อยกว่า เป็นทั้งนั้น

ถาม : ธรรมของพระพุทธเจ้ามีความสัมพันธ์กัน และผมเคยอ่านธรรม ท่านอื่น ๆ และของหลวงพ่อในเรื่องเมตตา และเรื่องที่หลวงพ่อเล่าประมาณว่าพอคนตายเป็นผีเท่านั้นแหละ ฉลาดขึ้นมาทันที คืออยากได้บุญจากหลวงพ่อ และผมคิดและก็สรุปได้ว่า จิตทุกดวงจิตตั้งแต่โลกันตนรก ถึงพรหมโลก ทุกดวงจิตอยากดี อยากมีความสุข และเกลียดความทุกข์ กันทั้งนั้น แต่ดวงจิตที่อยู่ในนรกท่านเหล่านี้ดันไปเห็นผิด หรือมีความคิดวิปลาส และไปยึดว่าความชั่วเป็นของดี พอดวงจิตเหล่านี้ตาย ก็ตกนรก ก็แก้ไขไม่ทันแล้ว

แต่ถ้าดวงจิตที่ตกนรกเหล่านี้สามารถย้อนเวลาได้ ดวงจิตเหล่านี้ก็คงไม่ไปทำบาปเหมือนเก่าแน่ ๆ พอคิดได้แบบนี้ก็เกิดสลดใจ และสงสารดวงจิตทั้งหลาย ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และดวงจิตที่ทำชั่วและลงนรกเพราะความไม่รู้ คำถามคืออารมณ์ที่ผมเจอน่าจะเป็น พรหมวิหาร ๔ ในระดับอัปปมัญญา และเป็นวิปัสสนาในข้อเห็นโทษเห็นภัยวัฏสงสาร หรือเปล่าครับ? เพราะผมเห็นภัยและโทษของวัฏสงสาร เช่น ถ้าจิตไปคบเจตสิกชั่ว ก็ลงนรก เลยไม่อยากให้จิตดวงอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนในวัฏสงสาร ไปคบเจตสิกชั่ว ให้คบเจตสิกที่ดี จะได้ไปสวรรค์และการทำความดีจะเป็นเหตุปัจจัยให้หลุดพ้นในที่สุด และหลวงพ่อพอจะแนะนำส่งเสริมอารมณ์ที่สูงกว่านี้ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วรีบไปภาวนา อารมณ์ก็จะสูงกว่านี้เอง

ถาม : พระพุทธเจ้า และ พระท่านอื่น ๆ เวลาท่านเทศน์ ท่านก็มักจะมีคำอุปมาอุปไมย เพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย และ ณ ปัจจุบันจะเป็นเรื่องวิชาทางโลก หรือวิชาทางธรรม ครูผู้สอนก็จะอธิบาย และก็อุปมาอุปไมย หรือเปรียบเทียบเพื่อให้คนฟังเข้าใจได้ง่าย คำถามคือในข้อ รื่นเริงในธรรม อย่างผมเคยอ่านการ์ตูน และเรื่องลี้ลับต่าง ๆ และมักจะอธิบาย สรุป และเปรียบเทียบสิ่งที่เรียนมาเพื่อให้ตัวเองเข้าใจ และรื่นเริงในสิ่งที่ผมเคยอ่านมา ยกตัวอย่างเช่น ผมเปรียบเทียบว่าตัวเราจริง ๆ คือจิต และจิตประกอบด้วยบารมี ๑๐ และถ้าจิตมีปัญญาบารมีมาก ก็เปรียบเหมือน นักดาบที่มีดาบ Excalibur ซึ่งเป็นดาบที่แหลมคมที่สุดสามารถตัดทุกสิ่งได้ และจิตที่มีปัญญาบารมีก็สามารถตัด สังโยชน์ ๑๐ และสามารถพัฒนาจิตจากโลกียภูมิ เข้าถึง สาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ หรือ พุทธภูมิก็ได้ และสิ่งเหล่านี้อาศัยจากปัญญาบารมีเป็นต้น

คำถามคือ อย่างผมเปรียบเทียบ ปัญญาบารมีเหมือนดาบ Excalibur เพื่อให้ตัวเองเข้าใจสิ่งที่เรียนมาดีขึ้นและรู้สึกสนุก การทำแบบนี้จะมีโทษอะไรหรือเปล่าครับ? เพราะปกติผมชอบคิดอะไรสนุกสนาน ?
ตอบ : ถ้าคุมได้ ไม่ฟุ้งไปไกลกว่านี้ ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของความรื่นเริงได้ ถ้าคุมไม่อยู่ตายตอนกำลังฟุ้งซ่านก็ตัวใครตัวมัน..!

ถาม : ปัญญาบารมีเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริฐเป็นที่สุด ในบารมี ๑๐ และผมอ่านเรื่องที่หลวงพ่อเล่าเกี่ยวกับพระเจ้ามิลินท์ที่ท่าน มีปัญญามาก สามารถตั้งคำถามยาก ๆ เพื่อโต้วาทีกับฤๅษี ศาสนาอื่น และพระในพุทธศาสนาได้ และบุพกรรมของท่านที่มีปัญญาบารมีมากคือการที่เอาขยะไปทิ้ง และท่านก็อาศัยพุทธคุณ ขอให้มีปัญญามากมายเหมือนสายน้ำ

และอย่างสมัยนี้เป็นยุควิทย์ศาสตร์ และวิทย์ศาสตร์บอกว่า จักรวาลนั้นขยายตัวตลอดเวลา ผมเลยสงสัยว่า สมมุติคนสมัยนี้เอาวิทย์ศาสตร์กับพุทธศาสตร์มารวมกัน เช่น ทำธรรมทาน และสร้างพุทธรูปเป็นต้น และตั้งจิตอธิษฐานอาศัยคุณของพระรัตนตรัย ขอให้ความดีที่จากธรรมทาน และสร้างพุทธรูป ขอให้ดวงจิตมีปัญญาบารมีที่ยิ่งใหญ่เหมือนจักรวาลที่ขยายตัวตลอดเวลา แบบนี้จะมีผลตามคำอธิษฐาน และดีกว่า พระเจ้ามิลินท์หรือเปล่าครับ ? เพราะท่านอาศัยคุณของพระรัตนตรัยขอให้มีปัญญามากเหมือนสายน้ำ แต่คน ๆ นั้นทำกรรมดียิ่งกว่าพระเจ้ามิลินท์ ทั้ง ธรรมทาน และสร้างพุทธรูป และขอให้มีปัญญาบารมียิ่งใหญ่เหมือนจักรวาลที่ขยายตัวตลอดเวลา ?
ตอบ : อย่าเสียเวลาถาม ให้ไปอธิษฐานเลย
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:20



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว