กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ > ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ

Notices

ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ คุณสามารถตั้งคำถาม และทีมงานจะรวบรวม และคัดกรองเพื่อนำไปถามหลวงพ่อในตอนเย็นวันอาทิตย์ที่หลวงพ่อมารับสังฆทาน

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-08-2023, 11:53
นักเดินทางสังสารวัฏ นักเดินทางสังสารวัฏ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2016
ข้อความ: 77
ได้ให้อนุโมทนา: 139
ได้รับอนุโมทนา 2,967 ครั้ง ใน 205 โพสต์
นักเดินทางสังสารวัฏ is on a distinguished road
Default พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ แท้ที่จริงคือพระโพธิสัตว์ที่บารมียังไม่เต็ม?

๑.ผมได้อ่านเกี่ยวกับพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งงานหลัก ๆ ของท่านคือ นอกเหนือจากการดูแลประชาชน พระเจ้าจักรพรรดิก็เป็นผู้นำสอนความดีอย่างเบื้องต้น เช่นศีล ๕ เพราะว่าประชาชนของท่านจะได้มีความสุขขณะมีชีวิต และตายไปก็ไปเป็น เทวดา

และผมอ่านมาว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาสายพุทธภูมิ และท่านก็เคยเล่าเรื่องสมัยท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และพระพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็หลายครั้งแล้ว

ผมเลยสงสัยแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ๑๐ เช่นเมตตาบารมี เพราะจะได้ฝึกจิตให้ชินกับการสงเคราะทุกคนไม่เลือกหน้า หรือเปล่าครับ?

๒. คำถามข้อนี้เป็นคำถามที่น่าคิด คำถามคือ ผมได้อ่านวิธีทำบุญเพื่อที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ทำธรรมทาน ทำกฐิน ทำสังฆทาน เจริญเมตตา มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น และก็มีชาวพุทธที่ทำบุญแบบที่ผมว่ามาเยอะ แต่สงสัยจริง ๆ ครับ การที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ต้องมีการคัดเลือกไหมครับ ? เพราะธรรมดาคนเราตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า อาจจะมัวเมาในโลกธรรม ๘ ได้ดังนั้น ดวงจิตที่จะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ควรจะมีความดี และคุณธรรมสุดยอดจริง ๆ ไม่งั้นอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้

๓. ผมอ่านเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ท่านต้องฝึกจิต อบรมณ์จิตตนเองให้ชินกับอารมณ์เมตตา ซึ่งก็คือเมตตาบารมี ในบารมี ๑๐ นั่นเอง ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือหลวงปู่ปาน ที่ท่านได้อภิญญาแล้วก็เอาอภิญญามารักษาญาติโยม แต่สงสัยครับพระโพธิสัตว์ในเมื่อต้องฝึกจิตให้ชินกับอารมณ์เมตตา

ท่านสามารถไปเกิดเป็นพระยายมได้หรือเปล่าครับ เพราะจะได้กันดวงจิตไม่ให้ลงนรกเยอะ ๆ ?

๔.ผมอยากถามเรื่องมหาสติ ในธรรมในธรรม เท่าที่ผมเข้าใจก็คืออยู่ในลักษณะ สติดูจิต เช่น พอจิตเข้าฌาน ๑ รู้ลม ๓ ฐานอย่างแน่ชัดและอัตโนมัติ และอารมณ์ของจิตเบาลงทันที พอตัวสติรู้ตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต อาการรู้ตัวนั่นแหละ คือธรรมในธรรมใช่ไหมครับ? เพราะเรารู้สาเหตุว่าอารมณ์นี้เกิดมาจากไหน พูดง่าย ๆ รู้เหตุ รู้ผลวของอารมณ์ที่ปรากฎในจิตว่าเกิดมาได้อย่างไร หรือ ถ้าในชีวิตประจำวันเราเห็นคนรวย หรือดู Netflix บางทีเกิดอารมณ์หมั่นไส้ อิจฉา ตัวละครใน Netflix สติก็รู้ทันว่าตอนนี้เกิดอาการอิจฉา ตาร้อนแล้ว หรือยกตัวอีกอย่าง ถ้าเห็นหมา แมวน่ารัก และเกิดอารมณ์รักเช่นอยากให้ข้าวหมา อยากเอามันไปเลี้ยง สติก็รู้ทันทีว่าตอนนี้อารมณ์เมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นเกิดขึ้นแล้ว
พอสติรู้ว่าอารมณ์อกุศล เช่นอิจฉาตาร้อน อารมณ์ราคะเกิดขึ้น ชัดเจนก็ต้องเอาปัญญามาแก้ ตัวปัญญาอาจจะใช้ ธัมมวิจยะ ในโพชฌงค์ ๗ มาแก้อารมณ์อกุศล

๔.๑ คำถามข้อนี้เกี่ยวกับวิปัสสนา ในฐานะที่ผมลองทำสมาธิ เจริญสติ สมาธิ และปัญญา จนเข้าฌาน ๑ ได้ และเคยได้อ่านปริยัติ และอภิธรรมมานิดหน่อย อยากถามว่าในระดับปรมัตถธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้รู้เท่าทันเจตสิกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตหรือครับ?

ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่

หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมาลที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นักเดินทางสังสารวัฏ : 19-08-2023 เมื่อ 22:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นักเดินทางสังสารวัฏ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 04-09-2023, 04:13
สุธรรม's Avatar
สุธรรม สุธรรม is offline
ผู้ตรวจการณ์เว็บวัดท่าขนุน - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jun 2009
ข้อความ: 4,796
ได้ให้อนุโมทนา: 270,174
ได้รับอนุโมทนา 840,359 ครั้ง ใน 12,820 โพสต์
สุธรรม is on a distinguished road
Default

ถาม : ผมได้อ่านเกี่ยวกับพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งงานหลัก ๆ ของท่านคือ นอกเหนือจากการดูแลประชาชน พระเจ้าจักรพรรดิก็เป็นผู้นำสอนความดีอย่างเบื้องต้น เช่นศีล ๕ เพราะว่าประชาชนของท่านจะได้มีความสุขขณะมีชีวิต และตายไปก็ไปเป็น เทวดา

และผมอ่านมาว่า หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมาสายพุทธภูมิ และท่านก็เคยเล่าเรื่องสมัยท่านเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และพระพุทธเจ้าของเราก็เคยเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็หลายครั้งแล้ว

ผมเลยสงสัยแท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าจักรพรรดิส่วนใหญ่ ก็คือพระโพธิสัตว์ที่ลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมี ๑๐ เช่นเมตตาบารมี เพราะจะได้ฝึกจิตให้ชินกับการสงเคราะทุกคนไม่เลือกหน้า หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลงมาเพื่อสร้างทุกบารมี

ถาม : คำถามข้อนี้เป็นคำถามที่น่าคิด คำถามคือ ผมได้อ่านวิธีทำบุญเพื่อที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งมีเยอะมาก เช่น ทำธรรมทาน ทำกฐิน ทำสังฆทาน เจริญเมตตา มีจิตเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เป็นต้น และก็มีชาวพุทธที่ทำบุญแบบที่ผมว่ามาเยอะ แต่สงสัยจริง ๆ ครับ การที่จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ต้องมีการคัดเลือกไหมครับ ? เพราะธรรมดาคนเราตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า อาจจะมัวเมาในโลกธรรม ๘ ได้ดังนั้น ดวงจิตที่จะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ควรจะมีความดี และคุณธรรมสุดยอดจริง ๆ ไม่งั้นอาจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ ?
ตอบ : สร้างสมบารมีถึงระดับก่อนก็เป็นก่อน

ถาม : ผมอ่านเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ และพระโพธิสัตว์ท่านต้องฝึกจิต อบรมณ์จิตตนเองให้ชินกับอารมณ์เมตตา ซึ่งก็คือเมตตาบารมี ในบารมี ๑๐ นั่นเอง ตัวอย่างชัด ๆ เลยคือหลวงปู่ปาน ที่ท่านได้อภิญญาแล้วก็เอาอภิญญามารักษาญาติโยม แต่สงสัยครับพระโพธิสัตว์ในเมื่อต้องฝึกจิตให้ชินกับอารมณ์เมตตา

ท่านสามารถไปเกิดเป็นพระยายมได้หรือเปล่าครับ เพราะจะได้กันดวงจิตไม่ให้ลงนรกเยอะ ๆ ?
ตอบ : เป็นกันเป็นปกติ

ถาม : ผมอยากถามเรื่องมหาสติ ในธรรมในธรรม เท่าที่ผมเข้าใจก็คืออยู่ในลักษณะ สติดูจิต เช่น พอจิตเข้าฌาน ๑ รู้ลม ๓ ฐานอย่างแน่ชัดและอัตโนมัติ และอารมณ์ของจิตเบาลงทันที พอตัวสติรู้ตัวอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต อาการรู้ตัวนั่นแหละ คือธรรมในธรรมใช่ไหมครับ ? เพราะเรารู้สาเหตุว่าอารมณ์นี้เกิดมาจากไหน พูดง่าย ๆ รู้เหตุ รู้ผลของอารมณ์ที่ปรากฎในจิตว่าเกิดมาได้อย่างไร หรือ ถ้าในชีวิตประจำวันเราเห็นคนรวย หรือดู Netflix บางทีเกิดอารมณ์หมั่นไส้ อิจฉา ตัวละครใน Netflix สติก็รู้ทันว่าตอนนี้เกิดอาการอิจฉา ตาร้อนแล้ว หรือยกตัวอีกอย่าง ถ้าเห็นหมา แมวน่ารัก และเกิดอารมณ์รักเช่นอยากให้ข้าวหมา อยากเอามันไปเลี้ยง สติก็รู้ทันทีว่าตอนนี้อารมณ์เมตตา ปรารถนาดีต่อผู้อื่นเกิดขึ้นแล้ว
พอสติรู้ว่าอารมณ์อกุศล เช่นอิจฉาตาร้อน อารมณ์ราคะเกิดขึ้น ชัดเจนก็ต้องเอาปัญญามาแก้ ตัวปัญญาอาจจะใช้ ธัมมวิจยะ ในโพชฌงค์ ๗ มาแก้อารมณ์อกุศล
ตอบ : คำถามคืออะไรวะ ?

ถาม : คำถามข้อนี้เกี่ยวกับวิปัสสนา ในฐานะที่ผมลองทำสมาธิ เจริญสติ สมาธิ และปัญญา จนเข้าฌาน ๑ ได้ และเคยได้อ่านปริยัติ และอภิธรรมมานิดหน่อย อยากถามว่าในระดับปรมัตถธรรมจริง ๆ แล้วเราสามารถสรุปได้ว่า เราฝึกพัฒนา ยกระดับ สติ สมาธิ ปัญญา ให้รู้เท่าทันเจตสิกหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตหรือครับ ?

ผมขออธิบายเพิ่มเติมตามความเข้าใจผม พอสติ สมาธิ ปัญญา เราพัฒนาและยกระดับมาถึงที่สุด จนจิตเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ คือจิตเข้าถึงอรหัตผลแล้ว จิตก็รู้เท่าทันเจตสิก หรือพูดในอีกมุมหนึ่ง จิตก็รู้ทันสังขาร ก็คือเจตสิกนั่นแหละ และสังขาร มี ๓ ประเภท ปุญญาภิสังขาร (ความคิดกุศล ความคิดดี) อปุญญาภิสังขาร (ความคิดอกุศล ความคิดเลว) และ อเนญชาภิสังขาร (จิตน่าจะอยู่ในอรูปฌานอันนี้ไม่กล้ายืนยันนะครับ) ดังนั้นจิตที่รู้ทันสังขาร หรือ เจตสิก ถ้าเป็นความคิดดี ความคิดกุศล ความคิดเป็นประโยชน์เช่น ความคิดบริจาคเงินช่วยเหลือคนอื่น สร้างวัด สร้างโรงพยาบาล จิตก็เก็บมาคิดและไตร่ตรองเอาหลักโยนิโสมนสิการ เอาปัญญามาคิดว่าความคิดนี้มีประโยชน์หรือมีโทษอันตรายใด ๆ ถ้ามีแต่ประโยชน์ก็ก็ทำตาม แต่จิตไม่ได้ติดดี นะครับ เพราะจิตทราบแน่ชัด รู้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วว่า ปุญญาภิสังขาร หรือ อปุญญาภิสังขาร คือเจตสิกนั่นเอง ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น คนเราตอนแรกอาจจะเป็นคนเลว แต่พอได้ฟังธรรม ก็กลับตัวกลับใจ เป็นคนดี และถ้าคนเราเลวจริง ๆ เป็น นิจจัง คือเป็นคนเลวตลอดเวลาทุกวินาที คนเราก็คงกลับตัวเป็นคนดีไม่ได้แน่

หรืออีกตัวอย่างชัด ๆ เช่นพระองคุลิมาลที่ตอนแรกวิ่งไล่จะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่สุดท้ายท่านได้ฟังธรรมสำนึกผิด ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เป็นต้น หรือพูดในอีกแง่มุมหนึ่ง ทุกดวงจิตในวัฎสงสาร ตั้งแต่นรก จนถึงพรหมโลก แท้ที่จริงแล้ว คือดวงจิตดี ดวงจิตที่อยากมีความสุข แต่จิตดันถูกอวิชชาครอบงำ ไม่เห็นตามความเป็นจริง วิธีแก้ก็เอา ปัญญา ธรรมวิจยะ และ โยนิโสมนสิการ มายกระดับจิตตนเองจากโลกียภูมิ จนเข้าถึงโลกุตระภูมิ นั่นเอง
ตอบ : รู้ทัน หยุดคิด เลือกคิด พูด ทำ แต่ส่วนดี
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:14



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว