กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 26-10-2023, 19:49
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,642
ได้ให้อนุโมทนา: 216,883
ได้รับอนุโมทนา 747,478 ครั้ง ใน 36,409 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-10-2023, 00:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,022 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ งานสำคัญของทางคณะสงฆ์ คือการสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไป บุคคลที่จะต้องเหนื่อยต่อก็คือทางกองงานเลขานุการของแต่ละอำเภอ ที่ต้องจัดเรียงข้อสอบให้เรียบร้อย ถูกต้อง ส่งต่อกองงานเลขานุการจังหวัด ทางกองงานเลขานุการจังหวัดดำเนินการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ส่งต่อกองงานเลขานุการภาค เมื่อกองงานเลขานุการภาคตรวจสอบแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะกำหนดวันตรวจข้อสอบขึ้นมา ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็คงต้องรับภาระอีกตามเคย

การเป็นคณะกรรมการตรวจข้อสอบสนามหลวง ไม่ทราบว่ารุ่นปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อีกหรือเปล่า ? แต่รุ่นของกระผม/อาตมภาพ จะต้องมีตราตั้ง ที่ลงพระนามโดยสมเด็จพระสังฆราชด้วย ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่โก้มาก แต่ก็เป็นภาระที่หนักมาก พูดง่าย ๆ ว่าได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ไม่สามารถที่จะ "เบี้ยว" ได้เลย แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต

ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป กระผม/อาตมภาพต้องเข้ากรรมฐาน ๓ วัน หลายท่านถ้าหากว่าสังเกตรายการ "เสบียงบุญ" ที่ส่งเข้ากลุ่มไลน์ จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพค่อย ๆ เพิ่มเวลา จาก ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมงครึ่ง เหล่านี้เป็นต้น

เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว ช่วงเข้ากรรมฐาน กระผม/อาตมภาพจะใช้เวลาเข้ากรรมฐานรอบละประมาณ ๖ ชั่วโมง จึงต้องซักซ้อมเอาไว้ก่อน ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังไม่ชำนาญถึงขนาดตั้งเวลาได้ ใครนั่งได้ถึง ๖ ชั่วโมงนี่สุดยอดมาก..! เพราะว่าถ้าเราไม่สามารถที่จะทรงอัปปนาสมาธิ จนระงับกายสังขารได้ ก็ไม่มีอะไรทรมานกว่านั้นอีกแล้ว..!

สมัยที่กระผม/อาตมภาพลองฝึกทำอยู่ใหม่ ๆ พอชั่วโมงที่ ๒ ที่ ๓ นี่เหงื่อไหลท่วมตัว ความรู้สึกเหมือนกับมีงูตัวเล็ก ๆ เลื้อยตามหลังไปเลย แล้วก้นของเราก็เหมือนกับบางลง..บางลงทุกที เหมือนกระดูกจะทะลุออกมาจากร่างกาย นั่นเป็นเพราะว่าจิตกับประสาทของเราไม่ได้แยกจากกัน เนื่องจากสมาธิต่ำเกินไป

แต่ว่ามีกรรมฐานบางสาย เขาให้พินิจพิจารณาตรงนั้น โดยกำหนดว่า "ทุกข์หนอ..ทุกข์หนอ" ถ้าหากว่าสามารถกำหนดได้ก็เป็นเรื่องดี แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเครียดจนเกือบจะบ้าแทบทุกราย..! เนื่องเพราะว่าถ้าเราไม่สามารถทรงกำลังใจเป็นอัปปนาสมาธิได้ จิตกับประสาทยังแนบแน่นกันอยู่ ความรู้สึกทุกขั้นตอนจะสมบูรณ์แบบมาก เจ็บก็เจ็บมากเป็นพิเศษ พูดง่าย ๆ ว่ารู้สึกเหมือนกับตัวจะหลุดเป็นชิ้น ๆ..!

แต่ถ้าหากว่าทรงอัปปนาสมาธิได้จนคล่องแล้ว กำหนดใจวูบเดียวก็ผ่านไปเลย บางทีนั่งไป ๓ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง พอคลายกำลังใจออกมา สามารถที่จะลุกเดินได้เลย แต่ว่าคนปกติส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะว่ามักจะเป็นเหน็บจนขยับไม่ออก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-10-2023, 01:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,022 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนหน้านี้สมัยที่เรียนปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งมีหลักสูตรบังคับว่า นิสิตทุกรูป/ทุกคน จะต้องเข้ากรรมฐานปีละ ๑๐ วัน โดยมีครูฝึกคอยกำกับอยู่ กระผม/อาตมภาพไป "ส่งอารมณ์" ตามวิธีการที่เขากำหนดเอาไว้ โดยที่ครูฝึกก็จะพยายามถามว่า "มีเวทนาหรือไม่ ?" แล้วกระผม/อาตมภาพยืนยันว่า "ไม่มี" ซึ่งเป็นเรื่องที่ครูฝึกรับไม่ได้..!

เพราะว่าการสอบอารมณ์นั้น เขามีสูตรตายตัวว่าต้องเป็นไปตาม กาย เวทนา จิต ธรรม ก็พยายามที่จะไล่ตั้งแต่พองยุบเป็นอย่างไร ? เวทนาเป็นอย่างไร ? สภาพจิตของเรารับอารมณ์ในลักษณะอย่างไหน ? มีรัก มีโลภ มีโกรธ มีหลงอย่างไร ? เป็นต้น

พอกระผม/อาตมภาพยืนยันวาระที่ ๒ บอกว่าไม่มีเวทนา ครูฝึก..ขอออกชื่อก็ได้ ชื่อพระอาจารย์ประเสริฐ อย่าเพิ่งรู้เลยว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน เพราะกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ท่านบอกว่า "คุณนั่งให้ผมดูเดี๋ยวนี้เลย" กระผม/อาตมภาพก็นั่งภาวนาอยู่ตรงนั้น ท่านก็ "สอบอารมณ์" คนอื่นต่อไป ผ่านไปประมาณ ๔๕ นาที ท่านก็บอกว่า "คลายสมาธิได้" พอคลายสมาธิออกมา ท่านสั่ง "ลุกเดินเดี๋ยวนี้" กระผม/อาตมภาพก็เดินให้ท่านดู แล้วท่านก็ยอมรับว่า "เออ..คนที่ไม่มีเวทนามีจริง ๆ ด้วย..!"

เนื่องเพราะว่าถ้าเราสามารถเข้าอัปปนาสมาธิได้ จะมีลมหายใจละเอียด ที่โบราณท่านใช้คำว่า "ปราณ" ก็คือลักษณะของพลังชีวิต หรือที่คนจีนเรียกว่า "ชี่" สามารถที่จะแล่นไปได้ทั่วตัว เลือดลมเหมือนอย่างกับปกติ เพียงแต่ว่าบางทีละเอียดเกินไป จนกระทั่งคนทั่วไปจับไม่ได้ ก็เลยทำให้คนไปเข้าใจว่า ถ้าหากว่านั่งกรรมฐานนาน ๆ แล้ว จะต้องมีเวทนามาก จะต้องไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้

แต่กระผม/อาตมภาพเชื่อว่าหลายท่านที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ ก็ทำได้แบบที่กระผม/อาตมภาพทำ ก็คือนั่งนานแค่ไหน ลุกขึ้นก็สามารถเดินได้เลย เนื่องเพราะว่าเราไม่รู้สึกเลยว่าร่างกายนั่งนาน เวลาเหมือนอย่างกับผ่านไปครู่เดียวเท่านั้น เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็น "ปัจจัตตัง" ก็คือผู้ปฏิบัติถึงจะรู้เห็นด้วยตนเอง

คราวนี้ถ้าคนที่ยังทำไม่ถึง บอกไปเขาก็ไม่เชื่อ จึงกลายเป็นเรื่องระหว่างเต่ากับปลา ที่จะไปคุยกันเรื่องบนบกกับเรื่องในน้ำ แล้วก็ไม่เข้าใจกัน เต่านั้นสามารถเข้าใจเรื่องของปลาได้ เพราะว่าตนเองลงน้ำได้ แต่ปลาไม่สามารถเข้าใจเรื่องของเต่าได้ เพราะว่าขึ้นบกไม่ได้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-10-2023, 01:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,022 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในการปฏิบัติธรรมต่าง ๆ ถ้าเรายังทำไม่ถึง อย่าเพิ่งไปตำหนิว่าคนอื่นทำผิด เพราะอาจจะเป็นการเข้าใจผิดของเราเองก็ได้ จึงเป็นเหตุให้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกรรมฐานสายต่าง ๆ นั้น มีข้อขัดแย้งกันอยู่บ่อยมาก ซึ่งความจริงถ้าเลิกคุยกัน แล้วมาตั้งหน้าตั้งตาทำ ท้ายสุดก็เหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วทำยังไม่ถึงที่สุดก็เอาไปคุยอวดกัน แล้วก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกันในระหว่างหมู่ลูกศิษย์

คล้าย ๆ กับสมัยก่อน ลูกศิษย์หลวงพ่อจันทร์ วัดนาคู กับหลวงพ่อภักตร์ วัดโบสถ์ ไป "เกทับ" กัน ลูกศิษย์หลวงพ่อภักตร์ก็คุยว่า "หลวงพ่อกูแน่กว่า" ลูกศิษย์หลวงพ่อจันทร์ก็บอกว่า "หลวงพ่อของกูถึงจะแน่" เพราะว่ามา "สายเหนียว" ทั้งคู่ คุยกันไป คุยกันมา ไอ้ลูกศิษย์ไม่รู้อ้างคำพูดอาจารย์หรือเปล่า ? บอกว่า "หลวงพ่อกูบอกมาอย่างนี้..!"

ในเมื่อลูกศิษย์ฝ่ายหลวงพ่อจันทร์พูดมาอย่างนี้ ลูกศิษย์หลวงพ่อภักตร์ก็ไปรายงานหลวงพ่อของตนเอง สรุปก็คือครูบาอาจารย์แทบจะวางมวยกัน มีการท้าประลองยุทธกัน ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถ้าคนที่เรียนไม่จบ ส่วนใหญ่แล้วถ้าคุยเรื่องกรรมฐานไม่สำเร็จหรอก ทะเลาะกันทุกครั้ง เพราะว่าเอากิเลสตัวเองมาพูด ไม่ได้เอาความเป็นจริงในการปฏิบัติธรรมมาพูด

กระผม/อาตมภาพเองเข้ากรรมฐานก็ไม่เหมือนกับชาวบ้านชาวเมืองเขา เนื่องเพราะว่าครูบาอาจารย์สอนมา ไม่ได้ให้นั่งนิ่ง ๆ ท่านให้ทำงานทำการทุกอย่าง พร้อมกับทรงอารมณ์ภาวนาไปด้วย เพียงแต่ว่าจะกำหนดเวลาเอาไว้ว่า รอบหนึ่งประมาณ ๖ ชั่วโมง พอผ่านไป ๓ รอบก็พักผ่อน แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มรอบใหม่

เพียงแต่ว่าการเข้ากรรมฐานลักษณะแบบนี้ ถ้าหากว่าเริ่มวันที่สองเป็นต้นไป ใครที่ความรู้สึกดี ๆ จะรู้สึกเลยว่าร่างกายของเราดึงเอาธาตุอาหารไปใช้งาน เพราะว่าไม่ได้ฉันอะไรนอกจากน้ำ กระผม/อาตมภาพรู้สึกเลยว่าร่างกายโดนดึงเอาธาตุอาหารไปใช้งานเยอะมาก แล้วเป็นเรื่องแปลกที่ว่าไขมันก็มี..แต่ไม่เอา เขาไปดึงจากกล้ามเนื้อก่อน เพราะว่าง่ายดี จนกระทั่งไม่มีจะให้ดึงแล้ว ถึงไปเอาจากไขมัน แต่ก็เป็นเรื่องธรรมชาติในระบบร่างกายของเรา ว่าเขาจะบริหารจัดการอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวกับสมาธิ

แต่ว่าในช่วง ๓ วันนี้ ต้องฝากภาระเอาไว้กับทุกท่าน ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดี ท่านใดที่ได้รับภาระหน้าที่ใหม่ ๆ ขึ้นมา ก็จัดการให้เรียบร้อย ติดขัดตรงไหน มีใครที่สามารถสอบถามและแก้ไขให้ได้ก็ทำไปเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-10-2023, 01:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,653
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,416,022 ครั้ง ใน 34,243 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยเฉพาะในเรื่องของการเข้ากรรมฐาน ๓ วัน ก็อย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก เพราะว่าวาระจำกัด แต่สามารถว่างที่จะเข้าได้ทุกครั้ง เพียงแต่ว่าอายุกาลที่มากขึ้นทุกปี ๆ ออกจากกรรมฐานมาแล้ว ความจริงมีงานวันที่ ๓๑ ก็คือนั่งปรกคุมธาตุในการหล่อพระประธานของวัดบางหลวงหัวป่า แล้ววันที่ ๑ เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดธรรมิกาวาส (วัดค้างคาว) แต่ทั้งสองงานนี้น่าจะต้องขอยกเลิก เพราะว่าออกจากกรรมฐานใหม่ ๆ คลานยังไม่ค่อยจะไหวเลย..!

ที่ท่านทั้งหลายเห็นว่า กรผม/อาตมภาพสามารถเดินขึ้นเขาไปรับบาตรเทโวได้ คนรู้นี่เขาพยายามเดินระวังอยู่ข้างหลัง ว่าจะหงายท้องลงไปเมื่อไรก็ไม่รู้ ?! ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา คนแก่ด้วย แถมยังอดข้าวมา ก็ต้องมีอาการบ้าง แต่ท่านอาจจะสังเกตไม่ออกเท่านั้น เห็นว่ายังสามารถเดินขึ้นเขาได้รวดเดียวโดยไม่ต้องพัก ก็คิดว่ากระผม/อาตมภาพแข็งแรงมาก ซึ่งความจริง
เป็นการใช้กำลังใจบังคับให้ร่างกายไป โดยนิสัยของกระผม/อาตมภาพ ก็คือถ้ายังไม่พังลงไปกองกับพื้น ก็จงไปก่อน..!

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทำมาถึงระดับนี้เมื่อไร ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แต่คราวนี้กระผม/อาตมภาพ เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น..เราต้องสั่งร่างกาย ไม่ใช่ให้ร่างกายสั่งเรา ก็เลยสามารถทำอย่างที่ท่านทั้งหลายเห็นได้ แต่ถ้าปล่อยให้ร่างกายสั่งเรา เขาบอกว่าไม่ไหว เราก็ต้องพัก

แต่เรื่องพวกนี้อย่าได้ฝืนจนเกินไป เพราะว่ามีญาติโยมบางคนที่คุ้นเคยกันมาแต่ดั้งเดิม พอถึงเวลาพยายามฝืน แล้วก็ล้มทั้งยืน ให้เขาหามไปโรงพยาบาล อับอายขายหน้าชาวบ้านเขา กระผม/อาตมภาพตำหนิไป เขาก็ตอบกลับมาว่า "ทีท่านยังทำได้เลย..!" ก็เข้าท่าดีนะ..ได้แต่อวยพรให้เขาทำให้ได้สักวัน ไม่อย่างนั้นก็คงจะตายตาไม่หลับ เพราะว่าอยากจะทำได้เหมือนกัน

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2023 เมื่อ 01:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:55



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว