กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-11-2023, 19:51
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,640
ได้ให้อนุโมทนา: 216,875
ได้รับอนุโมทนา 747,389 ครั้ง ใน 36,405 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-11-2023, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,854 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพไม่อยู่ ๑๒ วัน ก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันบริหารดูแลวัดท่าขนุนให้เป็นไปได้ด้วยดี

ความจริงยังมีงานเรื่องการอบรมนักธรรมชั้นโท - ชั้นเอก ต่อเนื่องอยู่ แต่ว่าพรุ่งนี้กระผม/อาตมภาพต้องไปโรงพักเพื่อคุยเรื่องคดีความ ซึ่งผู้รับเหมาสร้างหัวรถไฟโบราณรับเงินไปแล้วก็ทิ้งงาน ทางด้านตำรวจจึงออกหมายเรียกให้มาคุยกันว่าจะทำอย่างไร จึงมีเหตุผลพอที่จะแจ้งผู้บังคับบัญชาว่าติดงานสำคัญ

พอกลับมาแล้ว ตรวจดูสมุดลา เห็นพวกท่านเกือบทั้งวัดไปฝังเข็มกันมา จากประสบการณ์ส่วนตัวของ
กระผม/อาตมภาพที่ฝังเข็มมา จะดีเฉพาะครั้งแรกครั้งที่สองเท่านั้น เนื่องเพราะว่าส่วนใหญ่แล้วโรคภัยไข้เจ็บของเรานั้น เกิดจากการที่เลือดลมเดินไม่สะดวก การฝังเข็ม หลัก ๆ เลย ก็คือเปิดชีพจรให้เลือดลมเดินได้สะดวก เราก็จะรู้สึกดีขึ้นทันตาเห็น เหมือนอย่างกับว่าตัดถนนให้เดินทางได้คล่องขึ้น

แต่พอครั้งที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็เหมือนอย่างกับไปตัดถนนที่มีอยู่แล้ว ประโยชน์ก็จะน้อยลงไปเรื่อย แปลว่าถ้าจะไปฝังเข็มไม่ควรที่จะไปบ่อย ยิ่งถ้าแบบที่กระผม/อาตมภาพไปฝังเข็มมา นั่นครั้งละ ๔,๐๐๐ บาท..! แล้วหมอเขายังต้องให้นัดลูกค้าให้ได้อย่างน้อย ๓ คน ถึงจะมาทำการฝังเข็มให้

คราวนี้พอได้รับการฝังเข็มไปแล้ว ครั้งแรกอาการดีขึ้น ญาติโยมที่เป็นเจ้าภาพก็มีกำลังใจ จึงเชิญหมอมาบ่อย แต่กระผม/อาตมภาพเป็นคนช่างสังเกต เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า พอครั้งที่ ๓ ไปแล้ว แทบจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องเพราะว่าฝังบ่อยเกินไป ตอนช่วงนั้นประมาณอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากว่ายังเรียนหนังสืออยู่

แต่คราวนี้ต้องบอกว่าหมอเขามีความสามารถที่แท้จริง การฝังเข็มนั้น ถ้าทำได้ถูกต้องและมีฝีมือจริง จะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่เข็มปักเต็มตัวของเรา อย่างเก่งก็รู้สึกหนึบ ๆ หน่อยเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่าเจ็บ แสดงว่าฝังผิดจุดแล้ว..!

โดยเฉพาะ "หมอหยาง" ฝังเข็มที่ท้ายทอยกระผม/อาตมภาพ พอถึงเข็มที่ ๔
กระผม/อาตมภาพก็บอกกับหมอว่า "ขอนอนลงได้ไหม ? เพราะรู้สึกว่าจะเป็นลม" หมอแกพยายามพูดทั้งภาษาจีน ภาษาไทย กระท่อนกระแท่น จับความได้ว่า "หลวงพ่อเก่งมาก" แกฝังให้หลวงจีนเส้าหลิน เข็มแรกก็ร่วงสลบทั้งยืนเลย..! เนื่องเพราะว่าถ้าเลือดลมอั้นมาก ๆ แล้วอยู่ ๆ เราไปเปิดให้พุ่งพรวดพราด บางทีร่างกายก็รับไม่ไหว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2023 เมื่อ 01:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-11-2023, 01:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,854 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพฝึกกรรมฐานเรื่องสติมานาน สามารถที่จะรับรู้ได้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายตอนนี้เป็นอย่างไร ไหวหรือไม่ไหว ก็เลยฝังไปถึงเล่มที่ ๔ แล้วถึงได้บอกกับหมอว่าขอนอนลงได้ไหม ? เพราะว่าถ้านั่งอยู่ เดี๋ยวอาจจะเป็นลมล้มลงไป แต่พอนอนลงแล้วหมอเขาฝังจนเต็มตัวสองสามร้อยเล่ม ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ก็แสดงว่าเรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าสติของเราสมบูรณ์พอ จะสามารถรับรู้ได้แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของเลือดลมภายในร่างกายของเรา

ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพยืนยันว่าการฝังเข็ม ถ้าจะให้ได้ผลจริง ๆ ก็สักเดือนละครั้ง ถ้าถี่เกินไป ขนาดอาทิตย์ละครั้ง อย่างที่กระผม/อาตมภาพเจอมา พออาทิตย์ที่สามก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว เปลืองสตางค์เปล่า ๆ ท้ายสุดก็เลยเสียดายเงินแทนญาติโยม บอกยกเลิกไป ไม่ใช่หมอไม่เก่ง หมอเก่งมาก แต่ถ้าหากว่าร่างกายเราดี ๆ ไปฝังเข็มก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แล้วถ้าหากว่าฝังแบบต้องเสียเงิน ก็กลายเป็นเสียเงินเปล่า ๆ

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่อยากพูดในวันนี้ก็คือ ทุกท่านจะเห็นว่ามหากว้าง (พระมหากว้าง ญาโณ ป.ธ.๓) กลับมาจากการจำพรรษาที่บ้านหนองบัว ประเทศพม่า ไปมีปัญหาคับอกคับใจ ต้องมาถามกระผม/อาตมภาพ เนื่องเพราะว่าปีนี้มหากว้างไปจำพรรษาอยู่บริเวณป่าช้า ก็คือสถานที่ซึ่งคนบ้านหนองบัวเอาไว้เผาศพ เขาก็จะเผาตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ตรงนั้นบ้าง ด้วยกองฟอนแบบโบราณ ก็คือเอาฟืนเรียง ๆ กันขึ้นไป เอาศพไว้ข้างบนแล้วก็จุดไฟเผา พอถึงเวลาก็ทำการเก็บกระดูกใส่หม้อ พื้นที่ตรงนั้นก็เหลือรอยเผาอยู่วงหนึ่ง วนไปวนมาเดี๋ยวก็กลับมาเผาซ้ำที่เดิมอีก

แต่คราวนี้ปรากฏว่าเมื่อจำพรรษาอยู่ตรงนั้น ก็เลยมีญาติโยมปวารณาจะถวายกฐิน พอข่าวดังออกไปก็มีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย ไปฟ้องทางด้านเจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ ทางด้านโน้นก็เลยเรียกมหากว้างไป บอกว่าห้ามไม่ให้รับกฐิน เพราะว่าจำพรรษาอยู่ในป่าช้า รับกฐินไม่ได้ กระผม/อาตมภาพฟังมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คิดว่า "มันบ้า..!"

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ภิกษุจำพรรษาอยู่ในป่าช้า อยู่ในป่าชัฏ อยู่ในเรือนว่าง อยู่ในถ้ำ แม้กระทั่งอยู่กองเกวียน ถ้าอนุญาตให้จำพรรษาอยู่ที่ไหนได้ ก็แปลว่ารับกฐินที่นั่นได้ โดยเฉพาะกฐินเป็นญัตติทุติยกรรม ก็คือสวดประกาศแล้วก็สวดอนุสาวนาเลย ก็แปลว่าตั้งญัตติว่าคณะสงฆ์จะให้ผ้ากฐินนี้แก่ผู้ใด แล้วก็สวดประกาศตามนั้นเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2023 เมื่อ 01:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-11-2023, 01:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,854 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของการสวดกฐินจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในสีมาก็ได้ เพราะว่าสีมานั้นเอาไว้สำหรับญัตติญัตติจตุตถกรรม ก็คือการตั้งญัตติ และสวดอนุสาวนา ประกาศท่ามกลางสงฆ์ ๓ ครั้ง เมื่อรวมการตั้งญัตติเป็น ๔ ครั้ง เขาถึงเรียก "จตุตถกรรม" ก็คือ "กระทำ ๔ รอบ" ถ้าเป็นญัตติจตุตถกรรมต้องทำในเขตสีมาเท่านั้น

ในเมื่อกฐินเป็นแค่ญัตติทุติยกรรม หลายท่านอาจจะเห็นว่า มีบางวัดสวดกันบนอาสน์สงฆ์นั่นเลย ก็คือพอผู้สวดสมมติประกาศว่าเป็นของผู้ใดรับกฐิน เขาก็ให้คู่สวดสวดกันตรงนั้น โมทนาตรงนั้น ไม่ใช่เขาทำผิด เขาทำถูก แต่ที่พวกเราเข้าไปสวดกันในโบสถ์ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกไม่รู้จริง หรือรู้ไม่จริง จะมาสร้างเวรสร้างกรรมทางวาจาอีก..!

ในเมื่อเป็นอย่างนั้น มหากว้างของเราก็ถือว่าศึกษามามาก ถามคณะสงฆ์กลับไปว่า "ไอ้ที่ว่าห้ามรับกฐิน พระพุทธเจ้าห้ามหรือทางคณะสงฆ์ห้าม ?" ถ้าเป็น
กระผม/อาตมภาพก็น่าจะ "โบก" ให้สักทีก่อน..! ก็คือถามแรงไป

ในเมื่ออ้ำอึ้งกันหมด ในที่สุดทางพระเถระเจ้าคณะปกครองก็มีผู้ได้สติ บอกว่า "ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะทำให้เกิดการแตกแยก เนื่องเพราะว่าผู้ที่เลื่อมใสมหากว้างก็จะไปทอดกฐินในป่าช้า อีกส่วนหนึ่งก็จะมาทอดกฐินในวัด จะเป็นต้นเหตุให้เกิดการแตกความสามัคคีกัน" กระผม/อาตมภาพบอกว่า "คำอธิบายนี้กระผม/อาตมภาพยอมรับและควรจะเป็นไปตามนั้น เพราะว่าเรื่องใหญ่ทุกเรื่องเกิดจากเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งนั้น"

อย่างเรื่องที่ภิกษุโกสัมพีทะเลาะกัน แม้แต่พระพุทธเจ้าไปห้ามก็ไม่ฟัง จนพระองค์ท่านต้องหลีกไปอยู่ที่ป่าปาลิไลยกะ ก็เกิดจากเรื่องเล็กนิดเดียว ก็คือพระธรรมธรเข้าห้องน้ำ เมื่อทำธุระเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วไม่ได้คว่ำภาชนะ เหลือน้ำติดก้นภาชนะไว้หน่อยหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นอาบัติ เนื่องเพราะว่าถ้าเหลือน้ำติดก้นภาชนะไว้ ยุงอาจจะลงไปวางไข่ แล้วถ้าเราเอาน้ำนั้นไปใช้ ก็อาจจะโดนศีลข้อที่ว่า "ในน้ำมีตัวสัตว์ ถ้าเอาไปรดดินหรือหญ้า ทำให้สัตว์นั้นตาย" ต้องอาบัติปาจิตตีย์

พระธรรมธรท่านได้ยินเช่นนั้นท่านก็บอกว่า ท่านยังไม่ทราบว่าข้อนี้เป็นความผิด ในเมื่อเป็นความผิดก็ขอแสดงคืนอาบัติท่ามกลางสงฆ์ พระวินัยธรบอกว่า "เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เมื่อรู้ผิดแล้วก็แล้วกันไปเถอะ" ถ้าแค่นี้ก็น่าจะจบ แต่ไม่จบตรงที่ว่าพระวินัยธรไปตำหนิพระธรรมธร อย่าลืมว่าพระวินัยธรส่วนใหญ่ก็คือฝ่ายเรียนตำรา ไปตำหนิพระธรรมธรฝ่ายปฏิบัติให้ลูกศิษย์ของตนเองฟังว่า "เป็นอาจารย์ใหญ่เสียเปล่า ศีลแค่นี้ก็ไม่รู้..!" ถ้าแค่นั้นก็น่าจะไม่มีปัญหา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2023 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 15-11-2023, 01:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,854 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่คราวนี้ลูกศิษย์เอาไปพูดต่อ ก็คือเอาไปพูดกับลูกศิษย์ของทางฝ่ายพระธรรมธรว่า "อาจารย์ของคุณใช้ไม่ได้ เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ แล้วจะอบรมพวกคุณให้ดีอย่างไร ?" ก็บรรลัยสิครับ..! กลายเป็นต่างฝ่ายต่างทะเลาะกันใหญ่โต เพราะว่าพระธรรมธรก็ "ของขึ้น" ไหนตอนแรกบอกว่าไม่เป็นไร จะแสดงอาบัติก็บอกว่าไม่ต้อง แล้วทำไมตอนนี้ไปตำหนิกันทีหลัง..!?

ในเมื่อพระทะเลาะกัน ญาติโยมที่นับถือฝ่ายพระธรรมธรก็แยกไปฝ่ายโน้น ที่นับถือพระวินัยธรก็แยกมาฝ่ายนี้ กลายเป็นว่ากรุงโกสัมพีแตกเป็นสองฝ่าย แค่นั้นก็ยังถือว่าเบา ไปหนักตรงที่ว่าเทวดาที่รักษาแต่ละฝ่ายพลอยแตกกันไปด้วย ก็บรรลัยไปถึงภพอื่นด้วย..! พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปห้าม แต่ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายกำลังหน้ามืดตามัว ไม่มีใครฟัง พระองค์ท่านก็เลยหลีกไปอยู่ที่ป่าปาลิไลยกะ อยู่กับช้างสบายใจดี อยู่กับพระกับเณร กับญาติโยมแล้วยุ่งยากมากนัก

ท้ายสุดญาติโยมเริ่มรู้ตัวก่อน พระพุทธเจ้าไม่อยู่นาน ๆ แล้วคิดถึง ท่านไม่ใช่ว่าไม่อยู่ ๑๒ วันแบบ
กระผม/อาตมภาพนะ ท่านไม่อยู่ทีเป็นพรรษาเลย ก็พากันไปขอร้องให้กลับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้ายังไม่สามัคคีกันก็ไม่กลับ" ญาติโยมไปขอร้อง พระท่านก็ยังถือทิฏฐิอยู่ จำไว้เลยนะ..ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงมรรคไม่เข้าถึงผลนี่ เรื่อง "ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์" เป็นเรื่องปกติ เขาถึงได้บอกว่า เวลาอบรมนี่ วิทยากรกลัวที่สุดอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือพระ ประเภทที่สองคือครู เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะรู้ไปทุกเรื่อง แล้วถ้ายิ่ง "พระครู" แบบกระผม/อาตมภาพ ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก..!

ในเมื่อชาวบ้านเห็นว่าพระถือทิฏฐิหนักนัก ก็เลยรวมหัวกันเลิกใส่บาตร พออดเข้า ไม่มีแรงจะทะเลาะกัน ต้องส่งคณะทูตไปแจ้งกับพระพุทธเจ้าว่ายอมสามัคคีกันแล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้เสด็จออกมา แล้วท่านทั้งหลายจะเห็นว่า มีการแสดงปาฏิโมกข์ในวันสามัคคีด้วย

บรรดาพระวินัยธรทรงปาฏิโมกข์ให้รู้ไว้ด้วยว่า ไอ้วันสามัคคีที่ว่าก็คือวันนี้แหละ ก็คือมาทวนศีลด้วยกันอีกรอบหนึ่ง ให้รู้ ๆ กันไปเลยว่ามีอะไรบ้าง เราจะเห็นว่าสาเหตุต่าง ๆ ล้วนแต่เกิดจากเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น

ทีนี้พอมหากว้างเข้าใจเหตุผล ก็รับปากว่าจะไม่รับกฐิน ซึ่ง
กระผม/อาตมภาพก็เห็นด้วยเหมือนกัน เพราะว่าถ้าเริ่มต้นเริ่มแตกแล้ว ต่อไปก็จะแตกหนักขึ้นเรื่อย เจ้าคณะปกครองจึงควรที่จะใช้เหตุผลชี้แจงทั้งทางโลกทางธรรมให้ชัดเจน แล้วค่อยแจ้งกับมหากว้างว่าทำไมถึงห้าม ? ไม่ใช่ไปพูดชุ่ย ๆ ว่าห้ามรับกฐิน เพราะไปจำพรรษาอยู่ในป่าช้า..!

ถ้าตอน
กระผม/อาตมภาพอายุเท่ามหากว้าง กระผม/อาตมภาพก็คง "สวน" เหมือนกันแหละ แต่ก็จะประเภทว่า ต่อไปมหากว้างก็คงจะอยู่ยากขึ้น เจ้าคณะปกครอง "เอาปูนหมายหัว" ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าตรงนั้นเป็นเรื่องภายภาคหน้า กระผม/อาตมภาพไม่ได้ใส่ใจ วัดท่าขนุนของเราก็มีวัดสาขาอีกเป็นสิบ กลับจากพม่ามา จะอยู่วัดไหนก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2023 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 15-11-2023, 01:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,647
ได้ให้อนุโมทนา: 151,944
ได้รับอนุโมทนา 4,415,854 ครั้ง ใน 34,237 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าส่วนที่ใส่ใจก็คือว่า ถ้าเป็นพระเถระแล้วไม่แม่นในเรื่องของพระธรรมวินัยนี่อันตรายมาก ถึงขนาดพระพุทธศาสนาพังได้เลย เพราะว่าจะกลายเป็นอัตโนมติ ก็คือเอาความคิดของกูเป็นใหญ่ ไม่ใช่เอาหลักธรรมเป็นใหญ่

ท่านทั้งหลายจะได้เห็นว่าที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้บุคคลเป็นพระอุปัชฌาย์นั้น
"ต้องรู้พระธรรมวินัยครบถ้วน และอาจสอนสัทธิวิหาริกให้รู้ตามได้" ตรงนี้สำคัญที่สุดเลย เพราะฉะนั้น..พระอุปัชฌาย์จึงไม่ใช่แค่ครบ ๑๐ พรรษาตามที่พระพุทธเจ้าตามพุทธานุญาตเท่านั้น ส่วนสำคัญก็คือต้องรู้ธรรมวินัยครบถ้วน

แต่คราวนี้ทางด้านคณะสงฆ์ไทยนั้น โดยเฉพาะในส่วนของการปกครองหนกลาง พระเดชพระคุณหลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ฐานิสฺสรมหาเถร) อดีตเจ้าคณะใหญ่หนกลาง วัดชนะสงคราม ท่านมีมติว่า ในหนอื่นเขาจะใช้กี่พรรษาก็ช่าง แต่ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ขอให้ผู้เข้าสอบพระอุปัชฌาย์ได้ ๒๐ พรรษาก่อน

มีบุคคลสงสัยว่าทำไมต้องพรรษามากขนาดนั้นถึงเป็นพระอุปัชฌาย์ได้ ? เพราะว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แค่ ๑๐ พรรษา ท่านบอกว่าพระอุปัชฌาย์เปรียบเหมือนพ่อ อายุห่างลูกสัก ๒๐ ปี พอที่จะกราบไหว้บูชากัน
ได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ แต่ถ้าหากว่าอายุน้อยกว่านั้น ไปเจอพวกลูกศิษย์หัวแข็ง หรืออายุมากแล้วเข้ามาบวช บางทีก็ไม่ฟังพระอุปัชฌาย์เหมือนกัน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเฉพาะของคณะสงฆ์หนกลางเท่านั้น

แต่ถ้าที่กันดารอย่างของพวกเรา อำเภอศรีสวัสดิ์ อำเภอทองผาภูมิ อำเภอสังขละบุรี ก็มีการผ่อนผันเหมือนกัน เคยมีผู้ที่มีพรรษา ๑๒ ได้รับอนุญาตให้เข้าสอบพระอุปัชฌาย์ได้ เพราะว่าเขตนั้นหาพระอุปัชฌาย์ไม่ได้จริง ๆ ส่วนใหญ่สึกเสียก่อนที่จะครบ ๒๐ พรรษา

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๑๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-11-2023 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว