กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-12-2023, 17:26
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 346
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,899 ครั้ง ใน 824 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-12-2023, 01:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,190 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง แล้วมีความหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าบุคคลผู้นั้นไม่ทราบว่าไปรับเอา "ตำนาน" หรือ "คำบอกเล่า" มาจากผู้หนึ่งผู้ใด จึงปักใจเชื่อว่า กระผม/อาตมภาพเป็นหนึ่งในพระอรหันต์ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้กล่าวถึงเอาไว้สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

เหตุที่หนักใจมากก็เพราะว่า สมัยนี้กับสมัยพุทธกาลนั้น มีการ "เห่อ" หรือว่า "บ้า" พระอรหันต์กันตามปกติ ในสมัยพุทธกาลนั้น คนรู้จักพระอรหันต์แค่ว่าเป็นบุคคลที่หมดกิเลสแล้ว ตัวอย่างก็คือท่านพาหิยทารุจีริยะซึ่งอยู่ในสมัยพุทธกาล ท่านเดินทางไปทางเรือ แล้วเกิดเรือแตก โดนคลื่นซัดไปติดฝั่ง เสื้อผ้าหลุดหายหมด..!

แต่เมื่อพบผู้คนเข้า กลับลือกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่หมดกิเลสแล้ว แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ต้องการ..! จึงเอาเครื่องสักการะ ข้าวปลาอาหารต่าง ๆ มาถวายให้ท่านเป็นจำนวนมาก ทำให้ท่านพาหิยะรู้สึกว่า "การไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลยก็เป็นการดี มีแต่ผู้คนเคารพนับถือ" จึงติดอยู่ในสักการะ ที่ชาวบ้านผู้โง่เขลาต่าง ๆ ปักใจเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์

จนกระทั่งผู้ที่เคยร่วมบุญกันมาแต่ปางก่อน ซึ่งปัจจุบันไปเกิดเป็นท้าวมหาพรหม เห็นว่าท่านจะสูญสิ้นจากความดีเสียแล้ว จึงได้ลงไปเตือนว่า "ดูก่อนพาหิยะ ท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นแล้วในโลก คือพระสมณโคดมศากยบุตร" เมื่อท่านพาหิยะได้รับคำเตือนจากอดีตเพื่อน ซึ่งปัจจุบันเป็นท้าวมหาพรหม ก็สอบถามว่าจะพบกับพระสมณโคดม ซึ่งก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ที่ไหน ? เมื่อท้าวมหาพรหมบอกทางให้ ท่านก็เร่งเดินทางภายในคืนเดียว จนกระทั่งไปถึง พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จออกบิณฑบาต ก็เข้าไปกราบแทบเท้า ขอให้พระองค์ท่านแสดงธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่า พาหิยะผู้นี้กำลังใจล้นเกิน ถ้าหากว่าให้ธรรมะไปแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะนำไปขบคิดให้เกิดประโยชน์ได้ จำเป็นที่จะต้องให้ลดกำลังใจลงมาก่อน จึงได้ตรัสว่า "อย่าเลยพาหิยะ ตถาคตกำลังออกบิณฑบาตภิกษา เธอจงรอก่อน" ท่านพาหิยะในสมัยก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ ก็กอดพระบาทองค์สมเด็จพระภควันบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้ กล่าวว่า "ข้าพเจ้านั้นไม่ไว้ใจในชีวิตของตนเองว่าจะสิ้นสุดลงไปเมื่อไร ขอพระองค์ท่านจงแสดงธรรมเถิด"

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง จนกระทั่งกำลังใจของพาหิยะลดลงมาในจุดที่พอเหมาะพอดีแล้ว จึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนพาหิยะ เธอจงอย่าสนใจในรูป" ซึ่งความหมายก็คือ อย่าได้ยึดถือร่างกายซึ่งหาความเที่ยงไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขานี้ ท่านพาหิยะพอได้สดับรับรสพระพุทธพจน์เทศนา ก็บรรลุอรหัตผลด้วยปุพเพกตปุญญตาที่สั่งสมมาดี เหมือนกับดอกบัวพ้นน้ำ เมื่อกระทบแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานในทันที
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2023 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 15-12-2023, 01:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,190 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ด้วยความที่ไม่เคยสร้างบุญกุศล ด้วยการถวายผ้าผ่อนท่อนสไบแก่สมณชีพราหมณ์เอาไว้ จึงไม่มีจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ปรากฏขึ้นให้ท่านได้ครองเพศเป็นสมณะ ท่านจึงต้องออกแสวงหาผ้าจีวรนั้น ๆ แต่เนื่องจากว่าบุคคลผู้เป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าหากว่าผู้หนึ่งผู้ใดปรามาสท่านด้วยกาย ด้วยวาจา หรือว่าด้วยใจ ก็จะเกิดโทษมหาศาล จึงไม่ควรที่จะอยู่ในเพศฆราวาส นอกจากอยู่ในเพศของนักบวชซึ่งเป็นอุดมเพศ ซึ่งผู้คนเคารพนับถือ ดังนั้น..จึงมีนางยักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อน ขวิดท่านจนถึงแก่ความตาย..!

องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้จัดการงานศพให้กับพระพาหิยทารุจีริยะ เมื่อทำการฌาปนกิจแล้ว นำอัฐิธาตุมาก่อสถูป บรรจุเอาไว้ เพื่อให้คนได้เคารพบูชา พร้อมกับตั้งเป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้ยอดเยี่ยมที่สุดในการบรรลุธรรมเร็ว นั่นเป็นความโชคดีของพระพาหิยทารุจีริยะ ประกอบกับคุณงามความดีที่สร้างสมมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ท่านพอรับคำเตือนแล้วก็ได้สติ รีบเดินทางไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์จริง ๆ

แต่ว่าสมัยก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบรรลุมรรคผล เป็นองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้มีคณาจารย์ใหญ่อยู่ ๖ ท่าน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากหมู่ศิษย์ว่าเป็นพระอรหันต์ ประกอบไปด้วย ท่านมักขลิโคสาล ท่านอชิตเกสกัมพล ท่านปกุธกัจจายนะ เป็นต้น โดยเฉพาะท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ด้วยความที่หลงในลาภสักการะ ติดอยู่ในโลกธรรม ไม่สามารถที่จะถอนตัวออกมาได้ จึงทำให้ไม่ได้รับผลที่สมควรจะได้ เพราะว่าไม่อาจจะลดตัวตนลงไปฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยเฉพาะท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร เคยเป็นอาจารย์ของอุปติสสมาณพและโกลิตมาณพ ซึ่งภายหลังก็คือพระสารีบุตรเถระ และพระโมคคัลลานเถระ เมื่อทั้งสองเป็นพระโสดาบันแล้ว จึงชวนท่านสญชัยเวลัฏฐบุตรไปฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความโง่เขลา งมงาย ติดอยู่ในตำแหน่งที่ลูกศิษย์ตั้งให้ว่าเป็นพระอรหันต์เสียแล้ว ถ้าหากว่าต้องไปเป็นศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตนเองอาจจะสูญเสียลาภสักการะ เกียรติยศชื่อเสียงต่าง ๆ ที่พึงมี

ท่านสญชัยเวลัฏฐบุตรถึงขนาดออกปากว่า "ในโลกนี้ บุคคลผู้โง่เขลาและผู้ฉลาดนั้น ใครมีมากกวว่ากัน ?" โกลิตมาณพและอุปติสสมาณพก็ตอบตามความเป็นจริงว่า "ในโลกนี้ผู้ที่โง่เขลามีจำนวนมากกว่า ผู้ที่ฉลาดนั้นมีอยู่น้อยนัก" ท่านสญชัยเวลัฏฐบุตรจึงกล่าวว่า "ผู้ที่ฉลาดอย่างท่านทั้งสอง จงไปหาพระสมณโคดมเถิด ผู้ที่โง่เขลาจักมาหาเราเอง..!"

ด้วยความที่ไม่สามารถจะถอนตัวออกมาจากลาภสักการะต่าง ๆ จึงทำให้ท่านสญชัยเวลัฏฐบุตร ไม่สามารถที่จะได้รับประโยชน์ใด ๆ จากหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2023 เมื่อ 02:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 15-12-2023, 01:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,657
ได้ให้อนุโมทนา: 151,979
ได้รับอนุโมทนา 4,416,190 ครั้ง ใน 34,247 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..เมื่อได้ยินญาติโยมที่พยายามจะเสาะหาพระอรหันต์ โดยเฉพาะไปนำเอาคำเล่าลือมากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นพระอรหันต์ บุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ กระผม/อาตมภาพจึงมีความหนักใจมาก เพราะว่าปัจจุบันนี้ "พระอรหันต์ลูกศิษย์ตั้ง" หรือ "พระอรหันต์ญาติโยมตั้ง" นั้น มีจำนวนมากต่อมากด้วยกัน

บุคคลที่กล่าวว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้นเป็นพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ท่านนี้เป็นพระอรหันต์ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นฆราวาสปุถุชน บางทีศีล ๕ ก็ยังมีไม่ครบเลย พูดง่าย ๆ ว่า คุณสมบัติความเป็นชาวบ้านชั้นดียังไม่มี แล้วจะไปรู้คุณสมบัติของกัลยาณชน หรือว่าพระอริยชนได้อย่างไร ?

เหมือนกับตัวเองเรียนหนังสือยังไม่ทันจบชั้น ป.๖ แต่เที่ยวไประบุว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้นจบปริญญาเอก ครูบาอาจารย์ท่านนี้จบปริญญาเอก โอกาสที่ผิดพลาดก็มีถึง ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์..! แล้วถ้าหากว่าท่านมั่นใจไปบอกกล่าวต่อ เกิดมีผู้คนเชื่อถือตาม ก็จะกลายเป็นการพาผู้คนให้หลงผิดตามไปด้วยเป็นจำนวนมาก

ถ้าครูบาอาจารย์ท่านนั้นเป็นพระอรหันต์จริง ก็เท่ากับว่าท่านเสมอตัว ก็คือไปแล้วได้รับฟังคำสอนต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์เหล่านั้น นำมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองได้ แต่ถ้าครูบาอาจารย์เหล่านั้นเป็นเพียงพระอรหันต์ที่ลูกศิษย์ตั้ง โดยที่ลูกศิษย์เองก็อย่างเหมือนกับคนตาบอด เมื่อไปขี่ม้าตาบอด คือครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้บรรลุธรรมอย่างแท้จริง ก็ย่อมมีแต่จะตกเหว ตกห้วย บาดเจ็บล้มตายไปเสียเปล่า ๆ..!

จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายพึงจักสังวรว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราปฏิบัติในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ให้ทุกคนทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พยายามทำสมาธิภาวนา จนอย่างน้อยเกิดปฐมฌานละเอียดขึ้นแก่ตน เพื่อที่จะได้ใช้ประโยชน์ในการก่อให้เกิดปัญญา จนสามารถที่จะตัดกิเลสได้

และท้ายที่สุด พยายามพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนได้ ทั้งตนเอง ทั้งผู้อื่น ทั้งสัตว์อื่น ตลอดจนกระทั่งทั้งโลกนี้ แล้วถอนความยินดี อยากมีอยากได้ในร่างกายนี้ ถอนความยินดีในการอยากเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ ถอนความยินดีในการต้องการเกิดมาในโลกนี้ ถ้าหากว่าท่านสามารถทำได้ดังนี้ ต่อให้ไม่ไปเสาะหาครูบาอาจารย์ที่ไหน ท่านก็ถือเอาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นครูบาอาจารย์ได้อย่างแท้จริง

แต่ต่อให้ท่านไปเสาะหาแล้วพบพระอรหันต์อย่างที่ต้องการ แต่ว่าเป็นการไปตามการถือมงคลตื่นข่าว ก็คือไปเพื่อให้ได้ชื่อว่าตนเองก็ไปกราบพระอรหันต์รูปนั้นมาแล้ว ไม่ได้นำเอาพระธรรมคำสอนที่ท่านมอบไว้ให้มาปฏิบัติจนเกิดประโยชน์แก่ตน ท่านก็เสียโอกาสในการได้พบพระอรหันต์ไปเปล่า ๆ แล้วถ้าไปพบพระอรหันต์ลูกศิษย์ตั้ง ซึ่งเปรียบเสมือนกับม้าตาบอด ถ้าหากว่านำทางให้กับท่านที่เป็นคนตาบอด ก็อาจจะหลงเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏสงสารนี้ไปอีกนานแสนนาน..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2023 เมื่อ 02:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว