กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-11-2014, 12:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default โอวาทบวชเนกขัมมะ ๑๙-๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๖

อะไรที่เราโกรธ เราเกลียด เราไม่ชอบ เราจะเห็นได้ง่าย แต่อะไรที่เราเห็นแล้ว เรารัก เราชอบ เราต้องการ คิดว่าดีนั้น แย่พอกันเลย เพราะทำให้ยึดติดเหมือนกัน แล้วแกะยากมากเพราะเราคิดว่าดี ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติต้องระวังเรื่องเหล่านี้ให้จงหนัก

สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น อันดับแรก ก็คือ สติ..ต้องรู้จักยั้งคิด อันดับที่สอง สมาธิ..ต้องมีกำลังที่จะหยุดตัวเองไม่ให้ คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ให้ได้ อันดับที่สาม ปัญญา..ต้องเห็นว่าทำอย่างไรจะเกิดคุณ ทำอย่างไรจะเกิดโทษ แล้วทิ้งด้านที่เป็นโทษ ทำแต่ในส่วนที่เป็นคุณ ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ การปฏิบัติธรรมของเราจะก้าวหน้าทุกคน แต่ถ้าทำไม่ได้ เราก็จะโดนกิเลสจูงจมูกไปเรื่อย ถึงเวลาเราก็จะมานั่งคิด ๆ ๆ คิดเมื่อไรก็เพิ่มทุกข์ให้กับตัวเองเมื่อนั้น

อย่างที่เมื่อครู่แม่ชีเล่าว่าจะหนีกลับมาจากพม่า ไม่มีรถก็จะเดินกลับบ้าน พม่าเขาไม่เหมือนเรานะ บ้านเราไปถึงท่ารถเมื่อไรก็ออกตามเวลา ส่วนของพม่ารถเขาออกตามอารมณ์ มีอารมณ์เมื่อไรถึงจะออก ไปถามว่ารถเที่ยวนี้ออกกี่โมง เขาบอก ๑๐ โมงออก รอไปเถอะ..บ่ายสองแล้วยังไม่ออกเลย แต่มาอีกวันหนึ่งไปถามว่าออกเมื่อไร เขาบอกเจ็ดโมงครึ่ง อาตมาลงไปรอ ปรากฏว่ารถออกไปตั้งแต่ ๗ โมงแล้ว เขาออกตามอารมณ์ไม่เหมือนกับบ้านเรา

ฉะนั้น..ช่วงที่อาตมาไม่อยู่ ๒ วัน ก็เป็นภาระของพระและแม่ชีผลัดกันดูแลพวกเราอยู่ ให้พวกเรามีสติรู้ว่าเรามาปฏิบัติธรรม สิ่งใดที่เกิดการกระทบกระทั่ง จะยินดีหรือไม่ยินดีก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเราทั้งสิ้น อะไรไม่ดี ๆ ที่เกิดขึ้น ให้รู้ว่านั่นคือครูของเราทั้งนั้น

ครูของเราเป็นคนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว อะไรที่กระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจของเราเป็นครูทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราฉลาดพอที่จะรับความรู้จากครูมาเป็นประโยชน์ หรือว่าเราจะโง่ดักดาน ปล่อยให้ความรู้นั้นผ่านข้ามไป ไม่เคยไขว่คว้าได้เลยสักทีเดียว ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกเอาเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2014 เมื่อ 17:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-11-2014, 12:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของคาถา ถ้าจะว่าไปแล้ว นักปฏิบัติธรรมทุกคนควรจะซักซ้อมการใช้พระคาถาต่าง ๆ ไว้ เพราะว่าเรื่องของคาถาให้ผลง่าย แค่อารมณ์ใจของเราสูงกว่าอุปจารสมาธินิดหนึ่งก็เริ่มให้ผลแล้ว เขาเรียกว่า อุปจารฌาน คืออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแน่วแน่ ตอนนั้นความฟุ้งซ่านไม่มี จิตก็เริ่มมีกำลัง

ดังนั้น..จะเห็นว่าถ้าจะใช้คาถาแบบโบราณ ๆ คาถาหลายบทท่านให้กลั้นใจว่า อย่างเช่นกลั้นใจว่า ๓ จบ ๗ จบ ๙ จบ ตอนที่เรากลั้นใจจิตจะนิ่ง ไม่นิ่งก็ไม่ได้เพราะจะตายอยู่แล้ว เนื่องจากไม่หายใจ พอจิตนิ่งก็จะเกิดพลังขึ้นมา ถ้าเราทำคาถาใดคาถาหนึ่งแล้วเกิดผล เราจะเกิดความมั่นใจ พอเกิดความมั่นใจ ก็เอากำลังระดับนั้นไปใช้กับคาถาทุกบท จะได้ผลเหมือนกันหมด

แต่คราวนี้คาถาที่ได้ผลนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุ อาตมาค่อนข้างจะค้นคว้ามาเยอะ สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหลอกให้ทำโน่นทำนี่ บทโน้นก็ดีลูก บทนี้ก็ดีลูก ว่าไปเรื่อย แล้วก็ไปรายงานท่านเวลาทำได้ผลแล้ว คาถาที่ได้ผลเกิดจาก ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก..จิตเรานิ่งพอ สมาธิทรงตัวพอ เกิดผล..แต่ว่าเกิดในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่เต็มที่ คาถาจะเกิดผลอย่างเต็มที่ต้องเข้าใจแตกฉานในตัวคาถานั้นด้วย

ถ้าใครเคยอ่านประวัติหลวงปู่ปาน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่าท่านโดนผีกดมือไว้ กดมือซ้าย พอเอื้อมมือขวาไปหยิบหวาย ผีก็กดมือขวาไว้ เป่าคาถาใส่ผีก็บอกว่า "กูไม่กลัว มึงท่องได้ครึ่งเดียว" ท้ายสุดหลวงพ่อท่านบอกว่าไม่มีที่พึ่งแล้ว มานึกขึ้นได้ว่า ๓ โลกนี้ไม่มีใครเหนือกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว ในเมื่อไม่มีใครเหนือกว่าพระพุทธเจ้าอีกแล้ว ผีก็ไม่มีทางเหนือที่จะกว่าพระพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น..เราขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง แล้วท่านก็ว่า "พุทโธ" เป่าทีเดียวผีหกคะเมนไปเลย

นั่นคือการที่เข้าถึง เข้าใจในตัวคาถาจริง ๆ ทำให้กำลังสมาธิทั้งหมด เกิดขึ้นจากความเชื่อมั่นและความเคารพอย่างแท้จริง ถ้าใครสามารถทำถึงตรงจุดนี้ได้ คาถาทุกบทนอกจากจะได้ผลแล้ว ยังได้ผลอย่างมหาศาลอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2014 เมื่อ 17:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 26-11-2014, 12:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างการใช้คาถา พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต สมาธิทรงตัวหรือไม่ ? ทรงตัวก็ได้ผล แต่ถ้าจะได้ผลเต็มที่ต้องเข้าใจว่า พระอรหัง สุคโต พระผู้หมดกิเลส ไปดีแล้ว นะเมตตาจิต ประกอบไปด้วยความเมตตา ความเมตตาในดวงจิตขนาดไหน ? พระอรหันต์ท่านเมตตาขนาดไหน ? ถ้าเข้าใจตรงนี้ ขอให้ความเมตตานี้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่นมีต่อเรา เหมือนกับที่พระอรหันต์มีต่อเรา คราวนี้คงเอาไปใช้กันมั่วแหละ เอาไปเป่าคนข้าง ๆ เลย..ลองดู...

อาตมาบอกเคล็ดลับไปแล้ว ตัวเองค้นแทบเป็นแทบตายกว่าจะเจอ แต่พวกเราเองไม่เข้าใจตรงนี้ ในเมื่อไม่เข้าใจตรงนี้ก็ได้ผลไม่เต็มที่หรอก แต่อย่าคิดเกินไปนะ เมตตาจิตคือเมตตาอย่างเดียว อย่าไปคิดถึงพรหมวิหาร ๔ เดี๋ยวจะกลายเป็นพระอรหันต์ท่านอุเบกขาขนาดไหน ? ซวยเลยคราวนี้..! ปล่อยให้เอ็งรับกรรมไปคนเดียวเถอะ เพราะท่านยอมรับกฎของกรรม วางอุเบกขาไปแล้ว..!

แล้วถามว่าคาถาอื่นล่ะ ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่า หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ มีคาถาอยู่บทหนึ่ง หลวงพ่อเรื่องท่านเปิดสำนักเรียนบาลี ลูกศิษย์ลูกหามาเรียนเป็นร้อย ๆ เลย แล้วก็มากินมาอยู่กับท่านนั่นแหละ ถ้าวันไหนข้าวไม่พอเลี้ยงพระเลี้ยงเณร ท่านจะขึ้นกุฏิไปจุดธูปไหว้พระ แล้วด่าลั่นไปสามบ้านแปดบ้าน พักเดียวเท่านั้นเอง ชาวบ้านหอบเอาข้าวสารอาหารแห้ง ผักหญ้าอะไรมาถวายให้เป็นหาบ ๆ เลย พอให้พระท่านได้ฉัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามหลวงพ่อเรื่องว่า ทำไมต้องด่าหยาบคายขนาดนั้นด้วย ? หลวงพ่อเรื่องท่านว่า "ก็คาถาเป็นอย่างนั้นเองนี่หว่า..!" อันนี้ท่านตอบปัญหาเดียว คือท่านไม่มีวิจิกิจฉา ไม่มีความลังเลสงสัยว่า คาถานี้ครูบาอาจารย์ท่านให้มา ต้องมีผลแน่นอน ต่อให้เป็นคำด่าหยาบคายขนาดไหนกูก็ไม่สนใจ ครูบอกว่าใช้ได้ก็คือใช้ได้ นี่คือการวัดว่า กำลังใจเรามีวิจิกิจฉาในครูบาอาจารย์หรือเปล่า ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2014 เมื่อ 12:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 26-11-2014, 12:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วการเข้าถึงคาถาเข้าถึงอย่างไร ? เราลองมานึกว่า คนเป็นเพื่อนกัน ถ้าไม่สนิทกันจริงจะด่ากันไหม ? ต้องเพื่อนรักชนิดไล่เตะตูดกันได้ ตายแทนกันได้ใช่ไหม..? ถึงจะด่ากัน ประเภทยิ่งด่าก็ยิ่งรัก พ่อแม่ด่าเราเพราะรักเราใช่ไหมถึง ? เราไปถึง "พ่อขอสตางค์หน่อย" ด่ากระจายเลย "ไอ้ลูกล้างลูกผลาญ..!" แต่เดี๋ยวก็ควักให้แล้ว

เราต้องเข้าถึงตัวคาถาให้ได้ คำด่าก็เหมือนคำด่าของพ่อของแม่ หรือคำด่าของเพื่อนรักของเรา สักแต่ว่าด่า แต่ใจจริงพร้อมที่จะเมตตาสงเคราะห์ เราขอความช่วยเหลือ เพื่อน ๆ ก็ด่ามา "ไอ้ห่..ไม่รู้จักทำมาหาแด..หรือวะ..!" แต่ท้ายสุดก็ควักสตางค์ให้เรา ก็เหมือนกัน ก็คือลักษณะเดียวกันว่า "ด่า..แต่ให้" ถึงเวลาท่องคาถาเป็นคำด่าล้วน ๆ แล้วทำไมคนเอาของมาให้ ?

ฉะนั้น..เรื่องของการเข้าถึงพระคาถานี้บอกกันไม่ได้ ถ้าวันไหนที่เรามีความเข้าใจอย่างชัดเจนในตัวพระคาถานั้นเมื่อไร เราจะใช้ได้ผลอย่างเต็มที่ทันที แต่ถ้ายังเข้าถึงไม่ได้ ก็ได้ประมาณครึ่งเดียวจากสมาธิเท่านั้น เพราะขาดความเข้าใจ ความแตกฉาน และความศรัทธาเชื่อมั่นอย่างแท้จริง บอกเคล็ดลับให้แล้วนะ ไปจัดการกันเอาเอง

ถาม : ขอคาถาเงินล้านอีกคาถาหนึ่งได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาแค่ล้านเดียวหรือ ...(หัวเราะ)... สมัยนี้ล้านหนึ่งไม่พอใช้หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2014 เมื่อ 12:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 26-11-2014, 12:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น เรื่องสำคัญที่สุด ก็คือ สามารถใช้งานได้จริง งานจะหนักหนาสาหัสขนาดไหนก็ตาม ถ้ามีสติ..เราก็จะลำดับความ ก่อน หลัง เร็ว ช้า ของงานได้ งานไหนมาก่อนก็ทำงานนั้นก่อน งานที่มาทีหลัง แม้จะหลังเพียงนาทีเดียวเราก็ทำทีหลัง ถ้าอย่างนี้เราจะมีงานตรงหน้าครั้งละงานเดียว และไม่หนักเกินกำลังของเรา

อาตมาเองต้องไปแก้โครงร่างวิทยานิพนธ์ ที่อาจารย์ ๕ ท่านให้ความเห็นมา แล้วต้องส่งภายในวันที่ ๒๕ นี้ พรุ่งนี้ ๒๓ กฐิน แปลว่ามีเวลาวันที่ ๒๔ วันเดียว แต่..ตั้งวันที่ ๒๔ ..เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปเดือดร้อน..ทิ้งไว้ก่อน นี่คือการจัดลำดับงาน ก่อน หลัง เร็ว ช้า แล้วก็ทำสิ่งที่มาถึงก่อน เราจะมีงานอยู่ตรงหน้างานเดียวตลอดเวลา และไม่หนักเกินกำลังของเรา

โดยเฉพาะว่าเรื่องของการปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราอยากได้ดี แต่ว่าอยากไม่จริง ถ้าคนที่อยากได้ดีจริง ๆ ต้องทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ทุ่มเทขนาดไหน ? ก็ต้องขนาดที่คนรอบข้างลงความเห็นว่า “บ้าไปแล้ว” ขนาดนั้นบางทียังทุ่มไม่จริงเลย เพราะปากคนบางทีก็ชิงว่าไปก่อน เราต้องต่อสู้กับแรงกดดันสารพัดอย่างที่มารอบข้างเรา

แม้กระทั่งฝรั่งเขาก็ทำงานวิจัยว่า เรื่องของสมาธิทำให้สภาพร่างกายและจิตใจของคนเรา เหมือนกับได้รับการเปลี่ยนถ่ายเอาน้ำมันเครื่องเก่าทิ้งไป รับน้ำมันเครื่องใหม่เข้ามา ทำให้ประคับประคองชีวิตของตนเองให้อยู่ในโลก ท่ามกลางการแข่งขันและมีแต่ความเครียดได้ดี โดยไม่เจ็บไข้ได้ป่วยหรือสติแตกไปเสียก่อน

ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญทั้งทางโลกและทางธรรม โดยเฉพาะว่า เราหวังการหลุดพ้นทางธรรมซึ่งเป็นส่วนที่ละเอียดกว่า ในเรื่องของการปฏิบัติก็ต้องทุ่มเทให้มากกว่า อย่าใช้คำว่าเวลาไม่มี ตราบใดที่ยังหายใจอยู่ ตราบนั้นต้องมีเวลา เพราะเราแค่เอาสติรู้ตามลมหายใจเท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2014 เมื่อ 13:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-11-2014, 05:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(หลังจากพระอาจารย์นั่งฟังเสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจนจบ) สมัยก่อนที่อาตมาฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง ยังเป็นเทป ยังไม่มีซีดี ไม่มีดีวีดี ไม่เอ็มวี สารพัดดียังไม่มี อาตมาฟังจนยืดมานับม้วนไม่ถ้วน พอฟังต่อเนื่องไปเรื่อยก็ยืด ฟังไม่รู้เรื่อง ก็อาศัยยัดเข้าตู้เย็นเทปก็หายยืด เอามาฟังใหม่ แต่ก็ได้ไม่กี่ครั้งก็ยืดใหม่ กระทั่งไม่ไหวแล้วก็ควักกระเป๋าไปซื้อม้วนใหม่ จนกระทั่งทุกวันนี้บางทีพระท่านก็สงสัยว่า ทำไมอาจารย์นั่งฟังไป ๆ รู้ว่าจะจบตรงไหน ? ต้องบอกว่าฟังมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ฟังจนแทบจะท่องได้แล้วว่าแต่ละตอนหลวงพ่อท่านเทศน์ว่าอะไร

การฟังในลักษณะนั้นก็เกิดผลกับตนเองหลายอย่าง อย่างแรกก็คือว่า เป็นการซักซ้อมการทรงสมาธิแบบตั้งเวลาได้ ถ้ากำลังใจของเรารู้สึกว่ายังมีเสียงธรรมอยู่ ก็จะไม่คลายออกมา พอฟังบ่อย ๆ เข้า ท้ายสุดก็สามารถจำกำหนดได้ว่า ระยะเวลายาวสั้นแค่ไหน อย่างต่อไปก็คือ เมื่อฟังแล้วพยายามไตร่ตรอง เงี่ยหูฟังเพื่อพิจารณาในเนื้อความนั้น หลายครั้งรู้ว่าตัวเองหลับไปแล้ว แต่หูยังได้ยินเสียงเป็นปกติ จึงทำให้เข้าใจว่า ในเรื่องของสภาพจิตกับประสาทร่างกายนั้น จริง ๆ แล้วเป็นคนละส่วนกัน

แล้วยังมีสิ่งที่นอกเหนือประสาทร่างกายอีก ก็คือบางทีฟังไปนาน ๆ รู้สึกว่าได้เวลาจบแล้ว เพราะตั้งเวลาได้แน่นอน แต่ทำไมยังไม่จบ ? ก็ตั้งใจฟังไปเรื่อย ๆ “เอ..ชักจะนานเกินเหตุแล้วนะ” เมื่อรู้สึกว่าชักจะนานเกินเหตุ ก็ขอลืมตาดูนาฬิกาเสียหน่อยว่ากี่นาทีแล้ว เพราะปกติเทปของหลวงพ่อวัดท่าซุงจะไม่เกิน ๓๐ นาที พอลืมตาขึ้นมาเกือบชั่วโมงแล้ว ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เสียงเทปก็หายวับไปเลย เพราะว่าเทปจริง ๆ ดีดขึ้นไปตั้งนานแล้ว แล้วเราได้ยินอะไรล่ะ ? เนื้อหาต่อเนื่องกันไม่มีขาดตอนเลย ก็เท่ากับว่าถ้าตั้งใจทำจริง ๆ อาจจะได้รับการสงเคราะห์พิเศษ ฟังได้มากกว่าเนื้อหาที่มีอยู่ในเทปอีกด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2014 เมื่อ 14:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 27-11-2014, 06:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เคยมีแม่ชีอยู่ ๑ ท่าน อยู่ทางด้านภาคตะวันออก วัดไหนอย่าไปรู้เลย อาตมากำลังเข้าเวรอยู่ที่ศาลานวราชบพิตรหลังเก่า ติดกับหอนาฬิกาหน้าโบสถ์ แม่ชีมาถึงกระทุ้งประตูโครม ๆ บอกว่า “ท่าน ๆ ขอซื้อหน่อย เทปม้วนที่หลวงพ่อด่าฉันน่ะ” อาตมาก็..เทปอะไรวะ ? แม่ชีบอกว่าที่ท่านเพิ่งเปิดไปนี่แหละ อาตมาก็ว่า “ที่เปิดไปเมื่อครู่เป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่มีหรอกที่ด่าโยม” เขาก็บอกว่า “มีสิ..มีแน่ ๆ”

ถามว่าด่าโยมอย่างไร ? โยมก็เล่าว่า ฉันปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่าตัวเองดี ก็เลยตั้งใจจะมาคุยอวดกับหลวงพ่อว่าตัวเองทำแล้วดีอย่างไร พอฟังไป ๆ เสียงหลวงพ่อท่านก็บอกว่า “ไอ้พวกที่เพิ่งปฏิบัติ ความรู้ได้แค่หางอึ่ง ยังอุตส่าห์ตั้งใจจะมาคุยให้ข้าฟัง ไอ้ประเภทนี้ถ้าหากว่าขืนปล่อยไป เดี๋ยวก็ลงนรกเสียเปล่า ๆ” แล้วแกก็บรรยายของแกไปเรื่อย อาตมาก็ยืนยันว่า เทปของหลวงพ่ออาตมาฟังมาทุกม้วน ไม่มีอย่างนี้หรอก แล้วที่เปิดไปเมื่อครู่นี้ก็เป็นเทปปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่มีด่าแม่ชีแน่นอน แม่ชีก็เลยตั้งคำถามว่า “แล้วเมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงอะไร ?” อาตมาก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2014 เมื่อ 14:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 27-11-2014, 06:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พระมหากัสสปะเป็นหนึ่งในบุคคลที่บวชพิสดารกว่าชาวบ้านเขา สองสามีภรรยาถึงเวลาต่างคนต่างสละทรัพย์ ๘๐ โกฏิออกบวช ก็คงพอ ๆ กับเจ้าสัวซีพีสมัยนี้ แจกทรัพย์สินชาวบ้านเขาจนหมดแล้วออกบวช ตั้งใจโกนหัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อุทิศเฉพาะพระอรหันต์ที่มีอยู่ในโลก แปลว่าการบวชครั้งนี้ ถ้าโลกนี้มีพระอรหันต์อยู่ ขอถวายบูชาคุณแก่พระอรหันต์นั้น คือท่านบวชกันเอง

พระพุทธเจ้าเสด็จมาดักรออยู่ที่ต้นไทรเรียกว่า พหุปุตตนิโครธ อยู่ระหว่างเมืองราชคฤห์กับนาลันทา ต้นไทรใหญ่ต้นนี้อยู่กลางทางพอดี ใครเดินทางมาก็ต้องมาพักที่นั่น พระมหากัสสปะไปถึง พอเห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดความเลื่อมใส เข้าไปถวายความเคารพ พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทให้ ๓ ข้อ

ข้อที่ ๑ ดูก่อนกัสสปะ...เธอจงเข้าไปตั้งอยู่ในความละอายต่อภิกษุ ทั้งที่เป็นผู้เก่า ผู้ปานกลาง และผู้ใหม่อย่างแรงกล้า
ข้อที่ ๒ เธอจงอย่าละสติที่ไปในกาย
ข้อที่ ๓ เมื่อเธอฟังธรรม จงตั้งใจเงี่ยหูฟังและพิจารณาในเนื้อความนั้น


แค่นี้ถือว่าพระมหากัสสปะเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นการบวชโดยรับประทานโอวาท ๓ ข้อ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2014 เมื่อ 14:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 27-11-2014, 17:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การบวชประหลาด ๆ นี้มีอยู่หลายท่านด้วยกัน อย่างโสปากะสามเณร เป็นสามเณรแต่ข้ามชั้นไปเป็นพระได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามปัญหาตั้งแต่อะไรชื่อว่าหนึ่ง อะไรชื่อว่าสอง อะไรชื่อว่าสาม สามเณรอายุ ๗ ขวบตอบถูกหมดเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นเธอจงมาเป็นภิกษุเถิด สามเณรข้ามชั้นเป็นพระได้ เพราะว่าท่านบรรลุอรหัตผลไปเรียบร้อยแล้ว ในระหว่างที่ตั้งใจตอบคำถามนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ว่า ถ้าเราฟังธรรม จงตั้งใจเงี่ยหูฟังและพิจารณาในเนื้อความ ส่วนใหญ่แล้วพวกเราทำผิด เพราะฟังธรรมแล้วเอาหลักธรรมนั้นจูงเราเข้าสู่สมาธิ พอสมาธิทรงตัวมากเราก็พิจารณาไม่ได้ ในเมื่อพิจารณาในเนื้อความไม่ได้ ประโยชน์ที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงก็น้อย ร้อยละ ๙๙.๙๙ ในปัจจุบันนี้ทำในลักษณะนี้ทั้งหมด อาศัยเสียงธรรมจูงให้ใจตนเองเป็นสมาธิ

บางคนสมัยก่อนอยู่วัดท่าซุง พอจะเปิดเสียงตามสายหลวงพ่อจะมีเสียงนาฬิกาดังก่อน แล้วหมาก็จะแย่งกันหอน พอเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุงขึ้น “โย โส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ” คนฟังไม่จบประโยค ได้ยิน "โยโส" เท่านั้นสมาธิทรงตัวเงียบไปเลย คล่องตัวขนาดนั้น แต่ขอโทษ...คล่องแต่เข้าอย่างเดียว ออกไม่เป็น ในเมื่อขาดความเชี่ยวชาญในการออก ถึงเวลาสมาธิทรงตัวแน่นเกินไป ก็เลยพิจารณาหลักธรรมไม่ได้ ได้รับประโยชน์น้อยไปนิดหนึ่ง ไม่ใช่ไม่ดี...ดี แต่เสียประโยชน์

อย่างเมื่อเช้าก็มีพระท่านมาปรารภว่า ญาติโยมส่วนใหญ่แล้วถนัดในเรื่องของสมถกรรมฐาน ก็คือชอบภาวนาอย่างเดียว พิจารณาไม่เป็น ขอให้พระอาจารย์นำพิจารณามาก ๆ หน่อย อาตมานำมาจนถ้าอัดเป็นเทปก็น่าจะเป็นคันรถแล้ว นำไปนำมาก็เลยเลิก เดินเองบ้าง ถ้าปล่อยให้ลากไปเรื่อย แปลว่าถ้าขาดผู้นำก็ไปไหนไม่เป็น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2014 เมื่อ 17:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 27-11-2014, 17:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ย้อนกลับมาตรงที่ว่า เราอาศัยหลักธรรมเป็นเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ สังเกตชัด ๆ ก็ตอนทำวัตร หลายท่านพอถึงเวลาอารมณ์ใจทรงตัวก็เงียบ บางทีมือก็ร่วงแปะ สมาธิทรงตัวไปแล้ว บังคับร่างกายไม่ได้ โยมอาจจะคิดว่าที่นี่แปลก นั่งสมาธิแล้วมาสวดมนต์ สมาธิที่นั่งก็พังหมดสิ ใช่..สำหรับท่านที่ทำไม่เป็นก็พังหมด แต่อาตมาย้ำอยู่เสมอว่า ก่อนที่จะเคลื่อนไหว ให้กำหนดสมาธิให้แนบแน่นก่อน แล้วค่อยขยับเคลื่อนไหว ถ้าอย่างนั้นสมาธิจะทรงตัวอยู่ได้ เวลาเราสวดมนต์ ก็เอาใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับสมาธิด้วย พร้อมกับสวดมนต์ไปด้วย ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการซักซ้อมการเข้าฌานแบบใช้งานจริง ไม่ใช่ฌานแบบเป็นสมาธิ นั่งเป็นหัวหลักหัวตอไปเลย

แต่ปรากฏว่าทำมาหลายปี น้อยคนที่จะได้ประโยชน์ตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่แล้วกลายเป็นว่า พอทำวัตรสมาธิก็หลุดหมด ไม่เป็นไร..รู้ตัววันสุดท้าย พรุ่งนี้ยังมีทำวัตรเช้าอีก พรุ่งนี้ลองใหม่อีกที ว่าจะได้ประโยชน์แค่ไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2014 เมื่อ 17:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 30-11-2014, 09:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ที่มาบอกกล่าวกับพวกเราก็คือว่า เรื่องของการปฏิบัตินั้นต้องเป็นการลองผิดลองถูก แบบเดียวกับที่เมื่อคืนกล่าวถึงเรื่องของการใช้คาถาว่า นอกจากสมาธิทรงตัวแล้ว ผลของคาถาเกิดแล้ว ถ้าจะให้เกิดเต็มที่จริง ๆ ต้องมีความเข้าใจแตกฉานด้วยในคาถานั้น ๆ มีพระท่านถามว่าแปลออกใช่ไหม? ไม่ใช่..เป็นความเข้าใจ ไม่ใช่แปลออก เพราะอย่างคาถาที่เป็นคำด่าล้วน ๆ จะไปแปลท่าไหน ? แต่ต้องเข้าใจว่าลักษณะของการด่าแล้วเกิดประโยชน์นั้นคืออะไร ?

อย่างเรื่องของคาถาเงินล้านที่ถามก็เหมือนกัน ถ้าเราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา พยายามใช้ปัญญาคิดต่ออีกหน่อยซิว่า ทำอย่างไรเราจะรวยเพราะพระคาถานั้น อันนี้ฝากเป็นการบ้าน ไปคิดเองบ้าง ถ้าไม่รู้จักคิดก็ทรงสมาธิให้ได้เยอะ ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นการภาวนาก็จะเกิดผลน้อย แต่ถ้ารู้จักคิด เกิดความแตกฉาน เข้าใจขึ้นมา จะเข้าถึงประโยชน์สูงสุดของพระคาถานั้นได้ แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ไม่ต้องการทุกอย่างก็จะไหลมาเทมา

ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ เราต้องลองผิดลองถูกและอย่ากลัวผิด อาตมาเองทำในลักษณะนี้มาโดยตลอด หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไช ไม่ได้มาเคี่ยวเข็ญ ตั้งแต่ยังเป็นเด็กกะโปโลวิ่งรับใช้ท่านอยู่ ท่านก็ “ไอ้หนู..คาถาบทนี้ดีนะลูก เอาไปลองภาวนาดู อย่าลืมรักษาศีล ๕ ด้วยนะ ถ้าไม่รักษาศีล ๕ จะไม่เกิดผลนะลูก เอาสักครั้งละครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน” ก็แปลว่าอาตมามีหน้าที่ ๒ อย่าง อย่างแรก ก็คือ ภาวนาคาถาให้ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง อย่างที่ ๒ คือรักษาศีล ๕ ให้ทรงตัว

พอถึงเวลาได้ผลก็วิ่งหน้าบานไปรายงานหลวงพ่อว่า “ทำได้แล้วครับ ตอนนี้ผลเป็นอย่างนี้ ๆ” ท่านก็ว่า “ดีลูก..เอาบทนี้ไป บทนี้ทำแล้วจะได้ผลอย่างนี้” กว่าจะรู้ตัวก็โดนท่านหลอกให้ภาวนาจนชินไปแล้ว ถึงเวลาก็ต้องภาวนา ถ้าไม่ได้ภาวนาจะรู้สึกแปลก ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 10:37
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 30-11-2014, 09:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นั่นคือลักษณะที่ท่านให้เราทำโดยการลองผิดลองถูกไปเรื่อย ว่าทำไมภาวนาแล้วไม่เกิดผล ? ตอนที่เกิดผลเราวางกำลังใจอย่างไร ? ลักษณะนี้ภาษาบาลีท่านเรียกว่า ธัมมวิจยะ คือการรู้จักแยกแยะในธรรม ผลไม่ดีเกิดขึ้นเพราะเราสร้างเหตุอะไร ? ผลดีเกิดขึ้นเพราะเราสร้างเหตุอะไร ? แล้วก็ละเว้นในเหตุที่ไม่ดี สร้างแต่ที่ดี ๆ ผลที่เกิดขึ้นกับเราก็จะดีตลอดไป

จะว่าไปแล้วก็เป็นแค่หลักการง่าย ๆ แต่ว่าพวกเรามักจะคิดไม่ถึง หรือคิดถึง..แต่ก็ทำไม่ถึง จึงเป็นเรื่องที่ต้องมาเคี่ยวเข็ญให้ปฏิบัติกันอยู่ โดยจัดการปฏิบัติปีหนึ่ง ๙ ครั้งบ้าง ๑๐ ครั้งบ้าง ๑๑ ครั้งบ้าง อย่างปีนี้ก็ ๑๑ ครั้ง ถ้ารวมส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็ครบโหลพอดี ๑๒ ครั้งด้วยกัน แต่อย่ารอให้จัดปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมาภาวนา เพราะว่าการปฏิบัติของเรานั้น เป็นการทวนกระแสโลก เราปล่อยเมื่อไรก็ไหลตามกระแสเมื่อนั้น เมื่อเป็นดังนั้น..ก็จำเป็นที่เราต้องว่ายทวนกระแสอยู่ตลอดเวลา ถึงจะเอาตัวรอดพ้นจากวัฏสงสารนี้ได้

ถ้ารอว่าเมื่อไรจะมีการจัดปฏิบัติธรรม แล้วเราค่อยไปปฏิบัติ ชาตินี้คงจะเอาดีได้ยาก เวลาทุกวินาทีเป็นเวลาที่กิเลสมารหลอกเรา ล่อเรา ลวงเราให้หลงทาง เราหลงเตลิดเปิดเปิงไปเป็นระยะทาง สมมติว่า ๑๐๐ กิโลเมตร แล้วเราเดินกลับมาได้สักครึ่งกิโลเมตร ก็โดนเขาหลอกเปิดเปิงไปอีกเป็นร้อยกิโลเมตรเลย แล้วเดินกลับมาได้อีกสักกิโลเมตรหนึ่ง แบบนี้อีกกี่ชาติเราถึงจะไปสู่จุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ ?

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติจึงต้องมีวิริยะ ความพากเพียร ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด มีสัจจะ ความจริงจัง จริงใจ ไม่เปลี่ยนแปลงต่ออุดมการณ์ของเราที่ตั้งใจไว้ว่าปฏิบัติแล้วต้องการอะไร อย่าลืมเป้าหมายของตัวเอง และท้ายสุดต้องมีปัญญา รู้ว่าอะไรหนัก อะไรเบา อะไรควร อะไรไม่ควร การปฏิบัติของเราจึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วมีแต่จะถอยหลังขาดทุนอยู่ร่ำไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2014 เมื่อ 10:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 01-12-2014, 09:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (การวางกำลังใจในการภาวนา)
ตอบ : ถ้าเราภาวนาอย่างเดียวโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่นก็ใช้ได้แล้ว ถ้ามัวแต่ไปกังวลว่าเราจะวางอุเบกขาแบบไหน บางทีก็ทำให้เราฟุ้งซ่านไปเปล่า ๆ ขอให้ใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาก็พอ ถ้าหลุดจากตรงนี้ไปเมื่อไรก็แปลว่าเริ่มฟุ้งซ่านแล้ว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต่อให้ไม่ใช่คาถาบทนั้น ถ้ากำลังใจของเรามุ่งว่าจะให้เกิดผลอย่างไร ถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะเกิดผลอย่างนั้น คาถาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิเท่านั้น คำด่าแท้ ๆ ยังกลายเป็นคาถามหาลาภได้ เพราะใจมุ่งไปว่าจะให้เกิดลาภผลขึ้นมา ฉะนั้น..คาถาจะว่าอย่างไรช่าง เรามีหน้าที่ภาวนา ตั้งใจไว้ว่าต้องการอะไร แล้วลืมความตั้งใจนั้นเสีย ภาวนาอย่างเดียว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2014 เมื่อ 09:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 01-12-2014, 09:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลาภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วเราจับลมหายใจไม่ได้ อย่างเวลาขับรถหรือว่าทำงาน เราไม่ได้จับอานาปานสติแต่เราภาวนาอย่างเดียว ผลจะเป็นอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ให้เรานั่งภาวนาอยู่จนอารมณ์ใจทรงตัวก่อน แล้วร่างกายจะทำหน้าที่โดยอัตโนมัติ จะรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาเอง เรามีหน้าประคับประคองเอาไว้เท่านั้น ถ้าหากว่าทำถึงตรงนี้เมื่อไร ก็แปลว่าต้องเกิดผลแล้วแน่นอน พอถึงเวลานั้นทุกอย่างจะเป็นอัตโนมัติไปเอง จะทำอะไรอยู่ก็ภาวนาได้ ยกเว้นว่าเราเผลอขาดสติ ให้รัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาได้ ก็จะหลุดไป ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

ถ้าทรงอารมณ์ใจถึงระดับนั้นได้อีก ก็จะภาวนาเองโดยอัตโนมัติ รู้ลมเองโดยอัตโนมัติ ส่วนการภาวนาโดยที่ไม่ได้กำหนดรู้ลมก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ทำ จะมากจะน้อยผลเกิดขึ้นแน่ ๆ เพียงแต่ว่าถ้าเกิดขึ้นในลักษณะทรงสมาธิ ก็จะได้ผลมากหน่อย ถ้าเกิดขึ้นแบบสมาธิทรงตัวน้อย ก็จะได้ผลน้อยหน่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2014 เมื่อ 09:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 01-12-2014, 09:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วคอตก แต่ยังรู้ว่าภาวนาอยู่ อย่างนี้หลับหรือเปล่าคะ ?
ตอบ: คอตกก็เก็บคอขึ้นมา..! ไม่เป็นไรจ้ะ ขอให้สมาธิทรงตัวได้ เรื่องของร่างกายอย่าไปใส่ใจมาก ถ้ามัวกังวลอยู่กับร่างกาย บางทีจิตใจจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน อารมณ์ใจไม่ทรงตัวเสียที หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทรงสมาธิจริง ๆ ครั้งแรก ด้วยการนั่งพิงโอ่งน้ำแล้วหลับ ของเรานี่คอตกยังถือว่าสถานเบา

หลวงพ่อท่านจะไปสรงน้ำเพราะอากาศร้อน นุ่งผ้าอาบน้ำผืนเดียว เข้าห้องน้ำก็นั่งพิงโอ่ง เย็นสบายดี แล้วจิตหลุดออกไปเลย ฉะนั้น..เรื่องอาการของร่างกายอย่าไปใส่ใจมาก หกคะแมนตีลังกาอย่างไรก็ได้ ให้ใจเป็นสมาธิได้ก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2014 เมื่อ 09:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 01-12-2014, 09:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ทำไมพระพุทธรูปเขาสร้างเปิดหัวนมข้างหนึ่ง ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารู้สึกว่าไม่เข้าท่าก็หาผ้าห่มให้ท่านไป คือไม่ต้องสมัยก่อนหรอก แค่อาตมาเด็ก ๆ ก็ไม่เห็นผู้หญิงจะนุ่งเสื้อนุ่งผ้าอะไรกันมากมาย อย่างเก่งก็ผ้าถุงผืนหนึ่ง ถึงเวลาจะอาบน้ำก็ดึงขึ้นมากระโจมอกตักน้ำราดไป ไม่อย่างนั้นก็เอาลงไปเหน็บเอวเอาไว้แทน

ต้องบอกว่าผู้คนในสมัยก่อน จริตมารยาและการปรุงแต่งมีไม่มากเหมือนสมัยนี้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเขาก็เลยเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งเรื่องของการนุ่งผ้านุ่งผ่อนของเราเอง ในราชสำนักก็เพิ่งจะมีการกำหนดให้นุ่งห่มในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา เพื่อให้เหมือนกับนานาอารยประเทศ แต่ชาวบ้านยังคงชินกับการที่ถึงเวลาก็นุ่งผ้าผืนเดียว

เพราะฉะนั้น..พระพุทธรูปท่านเปิดนมข้างเดียวก็ถือว่าห่มไปตั้งเยอะแล้ว มาถึงสมัยของเราต่างหาก ที่ต้องบอกว่าจริตมารยาตลอดจนกระทั่งการปรุงแต่งมีมาก คิดฟุ้งซ่านได้มาก ก็เลยทำให้การแต่งกายมีมากขึ้นไปตามลำดับ โดยเฉพาะพวกแฟชั่นต่าง ๆ เกิดขึ้นมาจากการที่อยากจะขาย ในเมื่ออยากจะขาย ก็ต้องทำให้ได้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทันสมัย คนไม่มีกลัวจะไม่ทันสมัย ก็ต้องหามาใส่ไปเรื่อยเปื่อย

ฝรั่งเขาเพิ่งจะทำวิจัยว่า ยกทรงไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากทำให้เป็นมะเร็งกันมากขึ้น เขาบอกว่า โดยปกติแล้วการหมุนเวียนของเลือดลมเรา ถ้าไม่มีอะไรขัดขวางเลยก็ไม่มีปัญหา แต่พอใส่ยกทรงเพิ่มเข้าไปตัวหนึ่ง ไปบีบรัดอยู่ตลอดเวลา เลือดลมเดินไม่ถนัด พอถึงเวลาเนื้อบางส่วนขาดออกซิเจนขึ้นมา ก็ทำให้แปรสภาพไป ท้ายสุดก็กลายเป็นมะเร็ง สงสัยเหมือนกันว่าต่อไปคงจะขายยกทรงไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2014 เมื่อ 10:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 01-12-2014, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างพังหมด ล่มสลายหมด คืออะไรครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณ สามารถเห็นซึ่งการดับของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่อย่าเห็นเฉย ๆ สรุปเข้ามาหาตัวเราเองด้วยว่า ท้ายสุดตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อตัวเราเองก็เสื่อมสลายตายพังไปอย่างนี้ เกิดมากี่ชาติก็เป็นอย่างนี้ เพียงพอกันทีหรือยัง ? ถ้าพอแล้วเราควรที่จะไปไหน ? กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนเอาไว้

ไม่ใช่เห็นเฉย ๆ เห็นแล้วต้องน้อมนำเข้ามาด้วย ภาษาบาลีเขาเรียก โอปนยิโก น้อมเข้ามาในกายของเรา กว้างศอก ยาววา หนาคืบ หลักธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อยู่ตรงนี้แหละ อย่าคิดเลยตัวไป อย่างที่ครูบาอาจารย์สมัยก่อนว่า “คลำเลยหัวเมื่อไรก็ผิดธรรมแล้ว” เพราะธรรมะอยู่ในร่างกายของเรานี้เอง




พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทงานบวชเนกขัมมะ
วันที่ ๑๙-๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2014 เมื่อ 10:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:05



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว