#21
|
||||
|
||||
ถ้าเรารู้จักมีปัญญาคิดพินิจพิจารณาต่อเพียงแค่นี้ เราก็จะเห็นคุณพระรัตนตรัยอย่างเต็มที่ เกิดความเคารพพระรัตนตรัยขึ้นมาอย่างจริงจัง จริงใจ คราวนี้ กาย วาจา ใจ ทุกอย่างของเรา ก็จะนอบน้อมเคารพต่อพระรัตนตรัย เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เราว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง” เราก็นอบน้อมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จริง ๆ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราก็ยึดจริง ๆ ยึดด้วยกาย ยึดด้วยวาจา ยึดด้วยใจ ไม่ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงล้ำก้ำเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง นี่เป็นกฎกติกาข้อแรกของความเป็นพระโสดาบัน คือต้องเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ นอกจากนี้แล้วก็เหลือเพียงแค่ว่า พยายามทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีปัญญารู้ตัวว่าเราจะต้องตายอยู่เสมอ ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานที่เดียว เป้าหมายและการกระทำทุกอย่างก็จะรวบรัดชัดเจน ความเป็นพระโสดาบันก็อยู่แค่เอื้อมมือถึง ถึงได้กล่าวว่าพวกเราต้องขยันให้ถูกทาง เน้นในอานาปานสติ เมื่อทรงปฐมฌานหรือมากกว่านั้นได้ ก็ยกมาพินิจพิจารณาในคุณพระศรีรัตนตรัย ว่ามีความดีอย่างไรที่ควรแก่การเคารพนอบน้อมกราบไหว้ของพวกเรา ท้ายสุดก็ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ มีปัญญารู้เห็นว่าชีวิตนี้ต้องตายไว้เป็นปกติ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ายังรู้สึกว่ากฎกติกามามากมายจนเกินไป ก็ลดลงมาว่าเราเคารพในคุณพระรัตนตรัย เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ และท้ายที่สุด ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน ถ้ายังรู้สึกว่ามากเกินไปก็ลดกติกาเหลือข้อเดียว คือเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะเราจะไปพระนิพพาน ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะปิดอบายภูมิ ไม่มีโอกาสที่จะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานอีก เกิดเป็นคนอย่างแย่ที่สุดก็คือลงมาเป็นมนุษย์ขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์กลับขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์กลับไปเป็นเทวดา แล้วกลับลงมาเป็นมนุษย์อีกทีก็เข้าสู่พระนิพพาน ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่งก็คือระหว่างคน ๔ เทวดา ๓ หรือ ๓ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง จากมนุษย์ไปเป็นนางฟ้าหรือเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์อีกทีแล้วเข้าสู่พระนิพพาน หรือถ้าอย่างละเอียดก็เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้เลย ขึ้นอยู่กับกำลังของเราที่เข้าถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-12-2014 เมื่อ 14:02 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
เรื่องของการปฏิบัติจึงต้องขยัน ทำให้ต่อเนื่อง อย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ทำแล้วต้องหวังผล โดยเทียบตนเองกับสังโยชน์ ๓ เป็นปกติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้จะต้องสิ้นสุดลงไปในวันใดวันหนึ่ง หรือถ้ารู้ตัวมากกว่านั้นก็คือเราไม่แน่ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ หรือถ้าจะเอาละเอียดกว่านั้นก็คือ เราหายใจเข้าไม่รู้ว่าจะได้หายใจออกหรือไม่ เราหายใจออกไม่รู้ว่าจะได้หายใจเข้าหรือไม่ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว
เมื่อมีเป้าหมายทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่าญาติโยมทุกท่านจะได้เอาไว้เป็นหลักยึดถือในการปฏิบัติของเรา อย่าทำแบบตาบอดคลำช้าง ให้เทียบตัวเองอยู่ทุกวัน ถามตัวเองว่าถ้าวันนี้เราตายลงไป เราพร้อมที่จะตายหรือไม่ ? ให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ตอบว่า “พร้อมที่จะตาย” เพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก ให้เป็นคำตอบจากใจของเราจริง ๆ ว่าพร้อมหรือไม่พร้อม ถ้ารู้ตัวว่าไม่พร้อมก็เร่งความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะได้พร้อมมากกว่านี้ ถ้าหากว่าพร้อม ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีต่อไปอย่าได้ประมาท ถามตนเองว่าคนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติที่เรายึดถือหวงแหนมีหรือไม่ ? ซึ่งเชื่อว่ามีกันทุกคน แล้วถามตนเองว่าถ้าเราต้องทิ้งทุกอย่างไปในเวลานี้เราพร้อมหรือยัง ? นี่เป็นแค่สถานการณ์สมมุติเท่านั้น ถ้าของจริงเข้ามาเราจะไม่มีเวลาในการตัดสินใจเลย เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ให้เราทั้งหลายยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ก็คือต้องเร่งขวนขวายนำตนให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารแห่งนี้ให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2014 เมื่อ 11:25 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
พวกเราทั้งหลายถือว่าโชคดี เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใส น้อมใจเข้ามาประพฤติปฏิบัติ ประชากรทั่วโลกห้าพันกว่าเกือบหกพันล้านคน มีบุคคลที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ประมาณสี่ร้อยล้านเท่านั้น สี่ร้อยล้านที่ว่านี้จำนวนสองร้อยล้านเศษถือพุทธศาสนามหายานที่ปรารถนาการเกิดอีก อีกครึ่งที่เหลือยึดถือและปฏิบัติตาม ๆ กันมาโดยไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน
ประเทศไทยเราบอกว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาพุทธ แต่มั่นใจได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่แสนคนที่ได้เข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แล้วบุคคลที่เข้าวัดทำบุญเป็นประจำก็ไม่แน่ว่าจะทำเพื่อความหลุดพ้น วัดใหญ่ ๆ ที่คนเข้าเป็นแสนเป็นล้าน อาตมาเคยสงสัยว่าทำไมเขาอธิษฐานขอถึงพระนิพพานในอนาคตกาล ทำไมไม่ขอเอาในปัจจุบันนี้ คนที่ได้ยินคำถามทำหน้างงมาก ว่าเราสามารถไปพระนิพพานในชาตินี้ได้ด้วยหรือ ? จึงเป็นที่ยืนยันว่า บุคคลอีกเป็นแสนเป็นล้าน ที่ไม่รู้จักคำว่าพระนิพพานอย่างแท้จริง แล้วจะไปได้อย่างไร ? พวกเราจึงกลายเป็นคนส่วนน้อย ในเมื่อเป็นคนส่วนน้อย อัตราว่างมีมาก ถ้าเราไม่เร่งขวนขวาย ฉวยโอกาสที่อัตราว่างยังมีอยู่มากนี้ จับจองให้ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งที่จะหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่าพวกเราประมาทมาก ดังนั้น..ให้เร่งจองสถานที่ได้แล้ว จองตั๋วล่วงหน้าไปเลยครึ่งชาติ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเรา ไม่ต้องสนใจว่าเป็นสายไหน ไม่ต้องสนใจว่าเป็นโควตาของใคร ไม่ต้องสนใจว่าใครจะไปได้กี่คน แต่ “เราจะไป” ให้ตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ แล้วก็ขี่ลาของเราไปอย่างที่ว่า ค่อย ๆ เดินทีละก้าว ท้ายสุดก็ถึงจุดหมายปลายทางไปได้เอง พระครูวิลาศกาญจนธรรม โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗ ณ วัดท่าขนุน (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-01-2015 เมื่อ 00:47 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|