|
ปลดหนี้ที่เนปาล ปลดหนี้ที่เนปาล โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร. (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
ปลดหนี้ที่เนปาล ตอนที่ ๓
ถ่ายรูปอีแก แต่..ได้มาแค่นี้เอง วันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ตื่นขึ้นมาตีหนึ่งสี่สิบห้านาทีของเนปาล หนาวจนนอนไม่หลับ เจ้าแม่คนสวยที่คอยดูแลอยู่ด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าถ้าอาตมาหนาวตายก่อน ตัวเองกับบริวารจะไม่ได้บุญ จึงจัดการทำบรรยากาศให้ "เสียของ" พักเดียวก็รู้สึกอุ่นขึ้นมาก อาตมาลองเปิดหน้าต่างดู อา..สบายดีจริง ๆ ขอบคุณที่อุตส่าห์เมตตาสงเคราะห์ อีกฝ่ายยิ้มหวานให้ "ยินดีรับใช้เจ้าค่ะ"... เปิดโน้ตบุ๊ก (๒) เข้าอินเตอร์เน็ต แต่เครื่องรวนมาก จึงจัดการ "ล้างเครื่อง" แล้วเข้าใหม่ แต่ก็ยังช้าอยู่ดี จึงไปต้มน้ำร้อนที่เดือดทันใจดีเหลือเกิน ฉันน้ำร้อนลงไปสองแก้วแล้วมานั่งพิมพ์บันทึกการเดินทางต่อจนตีสี่สิบนาที (ตั้งแต่นี้ไปจะบอกเป็นเวลาของเนปาล) มีเสียงเคาะประตู เปิดออกไปเจอน้องเล็กกับคุณชวง มาทำบุญยามเช้ารวม ๕๒๐ บาท รับแล้วปิดประตูมาพิมพ์บันทึกต่อ... หกโมงเช้ามีเสียงโทรศัพท์ปลุกดังขึ้น อาตมาเดินหาอยู่นานจึงรู้ว่าเป็นเครื่องในห้องส้วม..! ยกหูแล้ววางคืนให้เงียบเสียง เห็นนอกหน้าต่างสว่างมากแล้ว ชะโงกออกไปดูมีต้นไม้เขียวขจี อีแกหลายตัวร้อง แอ้..แอ้..วนเวียนอยู่แถวนั้น จึงเอากล้องมาจะถ่ายรูป เจ้านกแสนฉลาดเผ่นหนีทันทีเพราะกลัวอันตราย จึงได้แต่รูปป่าข้างตึกมาอย่างเดียว ปิดหน้าต่างแล้วเก็บข้าวของ แต่ไม่แน่ใจเรื่องที่พักคืนนี้ จึงไปเคาะประตูถามคุณชวงกับน้องเล็ก ทั้งสองยืนยันว่าพวกเราต้องค้างที่นี่อีกคืน อาตมาถึงพับผ้าเฉย ๆ โดยไม่เก็บใส่กระเป๋า แล้วไปล้างหน้าเช็ดตัวเพราะหนาวจนอาบไม่ไหว จากนั้นมาพิมพ์หนังสือต่อ... |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ท่าทางเหมือนกับว่าถ้าไม่ทำให้เจอชก..! หกโมงห้าสิบนาทีน้องเล็กมาเคาะประตู เปิดออกไปเจอมหาโรจน์ยืนอยู่ด้วย บอกว่าได้เวลาอาหารเช้าแล้ว มหาโรจน์ทำบุญมา ๑ ดอลลาร์ อาตมาเอาเก็บไว้ในซองสำหรับทำบุญ เซฟข้อมูล ปิดโน้ตบุ๊ก (๒) ห่มจีวรแล้วหยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กที่ใส่กล้อง สมุดบันทึก และข้าวของจุกจิกไว้ สะพายลงไปด้วย ห้องอาหารอยู่ที่ด้านหลังโรงแรมข้างสวนนั่นเอง อากาศข้างนอกหนาวเยือกมาวูบหนึ่ง พอเดินเข้าไปในห้องอาหารก็ร้อนวาบทีเดียว พนักงานหลายคนกล่าว "มนัสเต" อาตมาตอบกลับไปตามมารยาท ถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ในห้องอาหารแล้วไปนั่งโต๊ะในสุดที่เขาจัดไว้ให้... อาหารเช้าวันนี้ทางเอ็น.ซี.ทัวร์สั่งเป็นข้าวต้ม หมูทอด ไข่เค็ม แต่เมื่อเห็นบนโต๊ะมีจาปาตี (แป้งปิ้ง) สองแผ่นกับแกงถั่ว อาตมาก็ยึดเอาไว้ก่อน จัดการบรรเลงควบไปกับผักต้มโรยเกลือ หมูแฮม ไส้กรอก และไข่คนที่คุณชวงไปยืนกำกับพ่อครัวให้ทำมา พอหมดแล้วก็ยกถ้วยข้าวต้มขึ้นซดรวดเดียวหมด ตามด้วยมิโซะ (น้ำซุปญี่ปุ่น) ที่ไม่เข้ากับใครเลย ทิพย์เอาส้มลูกเล็กมาถวาย ๖ ลูก อาตมากวาดไปคนเดียว ๔ ลูก... มหาโรจน์รับกาแฟที่บริกรหนุ่มเทให้มากพออาบไปสองวัน เติมนมสดเพิ่มเข้าไปอีกจนพออาบได้สามวัน อาตมาเห็นแก้วน้ำสีชาจึงยกขึ้นชิมรส กลายเป็นน้ำแอปเปิลไปเสียนี่ ต้องวางคืนไปด้วยความผิดหวัง พวกเรายึดโต๊ะไปหลายโต๊ะ กินกระจายกันอย่างมีความสุข ขณะที่อาตมาถอนสมอเดินกลับมาถึงห้อง จัดการเปิดโน้ตบุ๊ก (๒) พิมพ์เนื้อหาช่วงนี้ แล้วนอนภาวนาเอากำไรไว้ก่อน... |
สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
แสงสะท้อนตู้กระจกทำให้ถ่ายรูปยากมาก สงสัยงวดนี้เจ้าแม่เธอจะเห็นอาตมาเป็น "ไข่ในหิน" เพราะทั้งกลางวันกลางคืนเธอและบริวารเล่นคุมแบบไม่ยอมกระดิกไปไหน เพิ่งภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ได้ ๑๐ จบ พระคาถาชินบัญชร ๒ จบ เธอก็บอกให้เตรียมตัว ใส่ถุงเท้ารองเท้าเสร็จก็มีเสียงเคาะประตู พร้อมกับเสียงน้องเล็กเรียกว่า "รถมาแล้วค่ะ" อาตมาทำมือ OK กับ "ยายกระรอก" ว่าคุณเธอแม่นใช้ได้ ห่มจีวรแล้วคว้ากระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) สะพายบ่า เปิดประตูเดินตัวปลิวไปแบบไม่ต้องให้คนเรียกรอนาน... เดินลงมาถึงหน้าโรงแรม พวกเราเพิ่งออกมาไม่กี่คน คุณปราโมทย์ คุณศรัณย์ หนุ่มโจ้ และคุณมาลีรัตน์ เดินตามหลังมาติด ๆ อาตมาเอากระเป๋าโน้ตบุ๊ก (๒) ไปวางไว้ยังที่นั่ง แล้วคว้ากล้องลงมายัง "ร้าน" ข้างที่จอดรถ ซึ่งมีพระพุทธรูป รูปพระโพธิสัตว์ และเทวรูปต่าง ๆ ทั้งที่แกะสลักจากไม้ หล่อด้วยโลหะ อยู่ใน "ตู้กระจก" หน้าร้าน ทำการช็อปปิ้งด้วยกล้องตามถนัด แต่ว่าถ่ายรูปยากมาก เพราะว่าแสงที่ส่องมาจากทางด้านหลัง สะท้อนกระจกตู้ใส่หน้ากล้อง ต้องหมุนหามุมที่ไม่มีแสงสะท้อนหรือมีน้อยที่สุดจึงถ่ายได้ ตากล้องมืออาชีพอย่างเอ๋ก็เจอปัญหาเดียวกัน... พออาตมาขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อย มัคคุเทศก์ชีวันที่วันนี้ใส่เสื้อยืดสีส้มคล้ำ สะพายเป้มาด้วยก็ยกมือในท่า Anjali mudra (อัญชลี มุทรา) ไปยังทุกคน "Namaste, Good Morning, Sawasdee krub" เล่นทีเดียวสามภาษาอีกแล้ว พร้อมกับบรรยายว่า "วันนี้จะพาทุกท่านไปยังพระสถูปสวยัมภูวนารถ ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่สูงที่สุดของเนปาล อยู่บนยอดเขาที่สูงจากพื้นในแนวดิ่ง ๗๗ เมตร ก็ประมาณตึก ๒๕ ชั้น มีจุดเด่นคือ Wisdom Eyes ที่เป็นดวงเนตรพระโพธิสัตว์ มองไปยังสรรพสัตว์ในทิศทั้ง ๔ ที่วัดนี้มีลิงมาก จนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดลิง (Monkey Temple) ทุกท่านทั้งชายหญิงกรุณาอย่าให้อาหารลิงนะครับ เพราะอาจจะโดนกัดเอาได้" |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
พระธยานิพุทธะ ๕ พระองค์ พลขับพารถบัสของเราวิ่งไปเรื่อย พออาตมาแปลข้อความจบ คุณโอเล่ก็ขอไมโครโฟนไปบรรยายต่อว่า "ชาวพุทธมหายานเชื่อกันว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ตัดพระเกศาสร้างเป็นป่าไม้ เหาที่ติดไปกับพระเกศาจึงกลายเป็นลิง สืบลูกสืบหลานมาเป็นลิงที่พระสถูปจนทุกวันนี้" ทำเอาพวกเรา "ฮากลิ้ง" กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ ที่น่าจะไม่เคยสระพระเกศาด้วยแชมพูยี่ห้อใด ๆ ในโลกปัจจุบันนี้เลย "... อาตมาเพิ่มเติมข้อมูลให้ว่า "ชาวพุทธมหายานมีความเชื่อว่า พระอาทิพุทธะผู้เป็นต้นธาตุต้นธรรม ทรงสร้างพระธยานิพุทธทั้ง ๕ คือ พระไวโรจนพุทธะ พระรัตนสัมภวะพุทธะ พระอมิตาภพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ และพระอโมฆสิทธิพุทธะ ขึ้นมาจากอำนาจฌานสมาบัติของพระองค์ และทรงสร้างนิรมาณกายเป็นพระมนุสสีพุทธะ ให้ลงมาเกิดเพื่อช่วยชาวโลก เช่น พระศากยมุนีโคดม เป็นต้น แล้วยังมีพระโพธิสัตว์ที่พระธยานิพุทธะทรงสร้างขึ้นมา เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เป็นต้น" เจอข้อมูลจากมัคคุเทศก์ทั้งตัวจริงตัวปลอมเข้าไป ทุกคนที่ไม่คุ้นเคยก็ชักทำ "หน้ามึน" ไปตาม ๆ กัน พลขับนำรถเลี้ยวขวาเข้าซอยที่แคบมาก จนรถของเราไปแค่คันเดียวก็แทบจะไม่รอดแล้ว นี่ยังมีรถที่วิ่งสวนมา และรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีน้ำมันจอดตายอยู่อีกเป็นตับ แต่..เชื่อเถอะ จากคราวที่แล้วพบมา ไม่ว่าซอยจะแคบแค่ไหนเขาก็ไปกันจนได้แหละ เด็กรถของเราเปิดประตูโดดลงไปอำนวยการจราจร ให้พลขับของเราถอยหลังก่อน เพราะรถที่วิ่งสวนมายังมากอยู่ ขืนมุดเข้าไปก็ติดกันทั้งแผงเท่านั้นเอง... |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
การจราจรแบบนี้เขาก็ไปกันจนได้ (ภาพฝีมือทิดจิตร) อาตมาถ่ายรูปชีวิตชาวบ้านที่เอากะหล่ำปลี หัวหอม กระเทียม กล้วยหอม มันฝรั่ง มาวางขายข้างถนน และรถจักรยานที่บรรทุกข้าวของมาจำหน่าย จนแทบจะไม่มีที่ให้คนขี่นั่ง พอดีเด็กรถของเราโบกมือให้พลขับนำรถเข้าซอยไป สวนกับรถที่วิ่งมาชนิดที่พวกเราส่วนมาก "เหวอ" ไปตาม ๆ กัน ต่างคนต่างหลบหลีกกันตามภูมิประเทศ กว่าจะหลุดจากซอยไปขึ้นถนนใหญ่ได้ ก็เล่นเอาคณะของเราเกือบจะหัวใจวายไปหลายราย..! แต่ทางนี้ช่วยให้ลัดไปได้มาก เพราะวิ่งไปอีกหน่อยเดียวก็มาถึงเชิงเขาที่ตั้งพระสถูปสวยัมภูวนารถ แต่..ทำไมวันนี้รถมากนักวะ ? ล้นลงมาถึงลาดเนินข้างล่าง มีทั้งรถ 4 X 4 W รถตู้ รถบัส ฯลฯ คนก็มากมายเหมือนกับกำลังจะไปประท้วงร่างรัฐธรรมนูญ เอ๊ย..กำลังมีงานเทศกาล นี่เราจะโชคดีขนาดนี้เลยหรือ ? พลขับพยายามนำรถขึ้นไปให้ใกล้ที่สุด แต่ก็ติดจนเบียดเข้าไปไม่ไหว ท้ายสุดก็ต้องยอมแพ้ จอดให้พวกเราลงกันที่ถนนกลางเนินนั่นแหละ... ลงไปถึงก็เห็นชาวบ้านหน้าตา "ทิเบต ๆ" จำนวนนับร้อยคน เข้าแถวชิดขวาขึ้นบันไดไปยังองค์พระสถูป นายชีวันตะโกนบอกคุณโอเล่ให้นำคณะของเราขึ้นไปก่อน ส่วนตัวเองตรงไปซื้อบัตรที่ป้อมขายตั๋ว อาตมาเข้าแถวเดินตามชาวบ้านไปได้หน่อยเดียว คุณชวงกับน้องเล็กก็แซงซ้ายตามกฎจราจรยุโรปนำหน้าไปก่อน อาตมาจึงออกจากแถวเดินตามไปบ้าง ชาวบ้านทั้งหมดก็ไม่มีใครทักท้วงอะไร ในเมื่อเขาสมยอมพวกเราก็แซงลิ่วไปเลย... |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ไม่ให้เข้าแล้วขายตั๋วทำไมวะ ? (ดูดี ๆ ไม่ใช่นิ้วกลาง..!) ไปติดแหง็กอยู่ตรงหัวบันไดด้านบนข้างร้านขายของที่ระลึก ตรงนี้มีขวดน้ำขนาด ๒๐ ลิตรสองใบวางขวางผูกเชือกกั้นเอาไว้ พร้อมกับฝรั่งหนุ่มสองรายที่ยืนบอกกับผู้คนที่แออัดยัดเยียดว่า "ห้ามเข้า" เนื่องจากพวกเขากำลังถ่ายทำสารคดีท่องเที่ยวเนปาลอยู่ เฮ้ย..หมายความว่าอย่างไรวะ ? "ต้องขออภัยพระคุณท่านเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ คณะของเขาต้องการช่วยโปรโมต (นั่น..ใช้คำฝรั่งด้วย) ให้คนมาท่องเที่ยวเนปาลหลังแผ่นดินไหว จึงปิดทางเพื่อถ่ายทำสารคดีกันวันนี้พอดี ชาวบ้านที่เห็นนั้นถูกเกณฑ์มาเพื่อเข้าฉากในการถ่ายทำ จะได้แสดงให้เห็นว่ายังมีคนมากราบไหว้พระสถูปตามปกติเจ้าค่ะ" แล้วทำไมมาบอกเอาตอนนี้วะ ? "ยายกระรอก" พูดแบบเกรงใจมากว่า "บอกก่อนพระคุณท่านก็ไม่เชื่อ ใช่ไหมเจ้าคะ ?" เออ..ตูผิดเองที่ชอบเจอของจริง..! คุณโอเล่คิ้วขมวดจนแทบจะติดกันอยู่แล้ว แน่นอนว่าการพาลูกทัวร์มาเที่ยวแล้วมีอุปสรรคแบบนี้ ทางบริษัทต้องรับผิดชอบ และอาจจะเสียลูกค้าไปเลยก็ได้ จึงเครียดกว่าพวกเราอีก ทั้งไทย ทั้งทิเบต ทั้งเนปาลี ทั้งฝรั่ง ยืนแออัดยัดเยียดกันแน่นทางเดินจนขึ้นลงไม่ได้ คุณชวงบอกกับเขาว่าคณะของเรานี่แหละคือนักท่องเที่ยวที่พวกคุณต้องการ แต่มาแล้วถูกกีดกันแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ? ถ้าคุณไม่ให้ขึ้นก็ควรที่จะมีป้ายบอกไว้ตั้งแต่เชิงเขา และที่ไม่สมควรที่สุดก็คือ ขึ้นไม่ได้แล้วขายตั๋วทำไมวะ ?!? พอดีนายชีวันถือตั๋วมาถึง ร่างใหญ่อย่างกับหมีควายแหวกคนมาเป็นช่องเลย พอรู้จากคุณโอเล่ว่าเกิดอะไรขึ้น นายชีวันก็ตบะแตก ชูตั๋วเข้าชมใส่หน้าฝรั่ง พร้อมกับใส่เป็นชุด ๆ จนแทบไม่มีใครฟังทัน ประมาณว่า "ลูกทัวร์ของข้าจ่ายเงินเพื่อมาเที่ยวนะโว้ย..! เข้าไม่ได้แบบนี้พวกแกจะรับผิดชอบจ่ายเงินคืนไหม ?" ทั้งฝรั่งทั้งแหม่มที่เป็นทีมงานเถียงไม่ทันแน่ เพราะแค่ฟังให้ทันก็ยากแล้ว จึงเรียกชาวเนปาลีผู้ประสานงานออกมา ลูบหน้าลูบหลังขอโทษขอโพย ปลอบใจว่าไม่ได้ปิดทางเสียทีเดียว ให้ลงไปที่เชิงเขาแล้วขึ้นอีกทางหนึ่งที่เป็นทางอ้อมก็ได้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2015 เมื่อ 11:15 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เจอ "เหา" กำลังแทะข้าวโพดอย่างเพลิดเพลิน อาตมาเองคิดว่าถ้าลุยขึ้นไปเลยก็ไม่ยาก ใครขวางก็ "เถรกวาดลาน" ไปเลย แต่คงทำเอา "ชื่อเสีย" ของพระไทยดังไปทั่วโลกอย่างแน่นอน เพิ่งสร้าง "ชื่อเสียง" จากการช่วยเหลือแผ่นดินไหวมาเป็นอย่างดี จะมาเสียเพราะอาตมารักษาสิทธิ์คงไม่เข้าท่าแน่ เมื่อนายชีวันและคุณโอเล่หันมาขอโทษพวกเราทุกคน พร้อมกับขอให้เดินลงไปขึ้นอีกทางหนึ่ง จึงเดินตามไปแต่โดยดี ในเมื่อ "หัวหน้าคณะตัวจริง" ไม่อาละวาด พวกเราที่เหลือก็เดินตามกันลงมาอย่างสงบ บรรดาฝรั่งนักท่องเที่ยวเห็นพวกเรายอมเดินลงก็ตามกันลงมาด้วย ทำให้ทีมงานสารคดีทั้งฝรั่งทั้งแหม่มทั้งเนปาลีถอนใจโล่งอกไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะ "ยายกระรอก" ที่ยังไม่ได้รับ "ค่าแรง" อะไรเลย... สงสารก็แต่คุณยายภัทริณที่อายุปานนี้แล้ว ยังต้องมาเดินขึ้นลงเขาตั้งสองรอบ "คุณยายไหวไหมจ๊ะ ?" อีกฝ่ายพยักหน้าแบบสู้สุดใจ "ไหวค่ะ..ไม่เป็นไร" ทั้งคุณบัญชา คุณศรินยา คุณศรินธร ห้อมล้อมแม่ (ยาย) ช่วยกันประคับประคองลงไป ฝรั่งนักท่องเที่ยวอีกหลายรายที่กำลังขึ้นมา ส่งเสียงถามพวกเราว่าเกิดอะไรขึ้น ? เมื่อทราบว่าถูกนักเลงโตที่ทำงานได้ "ชุ่ยมาก" ปิดทางขึ้น (ต้องโทษผู้ประสานงานและทีมงานที่รับผิดชอบด้านนี้) ก็กลับหลังตามพวกเราลงจนกลายเป็น "มวลมหาประชาชน" ไปโดยปริยาย... ลงมาถึงด้านล่าง อาตมาเห็น "เหา" ตัวหนึ่งกำลังนั่งแทะข้าวโพดอยู่ที่ข้างพระสถูป จึงถ่ายรูปไปด้วย แล้วอ้อมพระสถูปไปยังบันไดทางขึ้นอีกด้าน ซึ่งตอนนี้ทุกคนมุ่งไปทางเดียวกัน มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน จึงไม่ได้เห็นเหยี่ยวเนปาล ที่หน้าตาลายพร้อยคล้ายเหยี่ยวดำ (Black kite) วัยรุ่นของเมืองไทยมาก ทิดจิตรเป็นคนถ่ายรูปเอาไว้ได้ แล้วนำมาเปิดให้ดูถามว่าเป็นนกอะไร ? จึงได้รู้ว่าเดินผ่านของดีไปเสียแล้ว ก็ใครจะคิดว่านกที่เปรียวขนาดนั้น จะมาเอ้อระเหยลอยชายอยู่ข้างทางเดิน... |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ทางโน้นก็ห้ามเข้า ทางนี้ก็ห้ามเข้า ตกลงว่าจะเอา "นิ้วกลาง" ใช่ไหม ? ทางด้านนี้ไม่ได้ชันกว่าอีกด้านหนึ่ง แต่ที่คนไม่นิยมมากันเพราะต้องเดินอ้อม อาตมานำหน้าตามด้วยมหาโรจน์ ยายจี๋ ตากล้องเอ๋ ทิดจิตรกับทิพย์ พี่มุกดา คุณชวงกับน้องเล็ก ที่ทิ้งช่วงไปเป็นหนุ่มโจ้กับสาวมด ครอบครัวคุณยายภัทริณ คุณโอเล่ พอดีลับโค้งจึงไม่เห็นว่าคนข้างหลังยังมีใครอีก พอมาถึงช่วงที่มองเห็นยอดเขาอีกด้านหนึ่ง ที่มีธงมนต์สีสดใสโยงอยู่ตามต้นไม้มากมาย ทุกคนก็ถ่ายรูปเป็นการใหญ่ ถือเป็นการพักไปในตัว... เดินขึ้นไปอีกสองช่วงก็มีร้านชื่อ Cafe De Stupa (ร้านสถูปกาแฟ) แต่แทนที่จะเห็นขายกาแฟ กลับขายแต่ของที่ระลึก พวกเราส่วนหนึ่งและฝรั่ง หยุดดูของที่ระลึกกัน อาตมาเดินขึ้นบันไดที่ผ่านองค์พระพุทธรูปปูนปั้นลงสีองค์ใหญ่ แถวนี้ก็เป็นร้านขายของที่ระลึกทั้งนั้น แล้วก็ไปติดแหง็กอยู่หน้าลาน ซึ่งมีหมู่พระเจดีย์โลหะเรียงราย แต่ถูกกั้นไว้ด้วยเทปสีลายขาวแดง มีเจ้าหน้าที่ในชุดสีฟ้าหมวกแดง รปภ.อยู่ พร้อมทีมงานในเสื้อกั๊กสีเขียวหลายคน "มวลมหาประชาชน" จึงโดนกักเอาไว้ ห้ามเข้าอุทยานราชภักดิ์ เอ๊ย..ห้ามเข้าสู่บริเวณพระสถูปสวยัมภูวนารถเหมือนกับฝั่งโน้นเช่นกัน... อาตมาเดินเบี่ยงจนเห็นมุมหนึ่งของพระสถูปสวยัมภูวนารถ จึงยืนถวายสักการะ (นั่งไม่ได้..โดนเหยียบแน่) และถ่ายรูปเอาไว้ แล้วถอยออกมาให้กัปตันวิทย์กับคุณนายแขกและคนอื่น ๆ ได้ถ่ายบ้าง หนุ่มโจ้กับสาวมดคู่หวานแหววเซลฟี่ด้วยตัวเอง หนุ่มแจ๊ค สาวโอ คุณมาลีรัตน์ ครอบครัวคุณยายภัทริณยืนไหว้แต่ไกล แล้วถอยหลบแดดไปหาที่ร่ม นายชีวันไปเจรจากับฝรั่งที่อย่างไรก็ไม่ยอมให้เข้าไป พอชูตั๋วให้ดูก็บอกว่าเขาปิดถ่ายทำแค่ครึ่งวัน สามารถมาชมในตอนบ่ายได้ โชคดีที่นายบึ้กแกเป็นเนปาลีที่รักสงบ ไม่ใช่คนเลือดร้อนแบบอาตมา ไม่อย่างนั้นคงได้ฟาดปากกับฝรั่งไปแล้ว... |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
เข้าชมไม่ได้ก็ดูของที่ระลึกดีกว่า ในเมื่อไม่อยาก "หักด่าน ๑๐ ตำบล" แล้วจะไปยืนให้แดดเผาหน้าทำไม ? อาตมาจึงหลบมาดูของที่ระลึกแทน ข้าวของอื่น ๆ ก็เห็นจนชินตาแล้ว มีที่น่ารักก็คือ "หมากกระดานเสือตกถัง" ส่วนที่น่าสนใจจนต้องหยิบขึ้นมาดูก็คือกระทิงที่สลักลายทั้งตัว ทีแรกคิดว่าทำมาจากเขาจามรี แต่พอจับดูก็รู้ว่าทำมาจากเรซิ่น เจ้าของร้านนำเสนอว่าแกะลายด้วยมือ เออ..ยังดีที่บอกว่าแค่ "แกะลาย" แสดงว่ามาตอกเพิ่มทีหลัง ถ้าบอกว่าแกะด้วยมือทั้งตัวตูจะเลิกคบเลย เพราะเป็นงานหล่อถอดพิมพ์มาชัด ๆ... ถามราคาเผื่อว่าจะนำมาเสกเป็น "วัวธนู" เจอราคาห้าสิบดอลลาร์เข้าไปอาตมาไม่ต่อสักคำ วางลงแล้วเดินหนีไปเลย พวกเล่นจะขายตัวเดียวอยู่ไปเป็นเดือนเลยนี่หว่า..! ถ้าแค่ห้าดอลลาร์ยังพอจะสนใจบ้าง ร้านถัดไปมีคนกำลังแกะลายพระพุทธรูปลงบนหินชนวน อ้อ..เขาแกะลายกันแบบนี้นี่เอง อาตมาเดินลงไปเรื่อย ร้านขายหน้ากากชวนเข้าไปดูข้างในร้าน บอกว่าเป็นหน้ากากของเทพพิทักษ์พระพุทธศาสนาทั้งนั้น แต่อาตมาไม่คุ้นตาเลย เพราะเคยชินกับท้าวจตุมหาราชและบริวารเท่านั้น... มาถึงหัวโค้งทางลงตรงแยกซ้ายมือที่ตีสังกะสีปิดเอาไว้ มี "เหา" ๓ - ๔ ตัววิ่งไล่กันอยู่ อาตมาหยิบซองอาหารสุขภาพที่พกมาด้วย ฉีกซองหยิบสารพัดถั่วส่งให้ เจ้าตัวใหญ่ขย่มตัวขู่คร่อกเดียว บรรดาตัวเล็กร้องเจี๊ยกเผ่นกันกระจาย แต่เจ้าตัวใหญ่ก็ไม่กล้าเข้ามา จึงต้องนั่งลงแล้วยื่นมือส่งให้ เจ้าหัวโจกเมียงเข้ามาใกล้ ครั้นเห็นว่าไม่มีอันตราย ก็เข้ามานั่งตรงหน้า คว้าเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เม็ดอัลมอนด์ ลูกเกด ถั่วลิสง ใส่ปากอย่างรวดเร็ว พอเจอมะเดื่อแห้งก็ลองกัดชิมดูแล้วโยนทิ้ง... |
สมาชิก 122 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
บำเพ็ญตนเป็น "ฤๅษีเลี้ยงลิง" อาตมาหยิบกำใหม่ออกจากถุง เลือกมะเดื่อแห้งใส่ปากเคี้ยวให้ดู แล้วส่งอีกผลไปให้ เจ้านั่นหยิบไปดมแล้วขู่คร่อก กระชากจีวรเหมือนกับจะบอกว่า "แบบนี้ไม่ชอบ อย่าเอามาอีก ไม่สบอารมณ์โก๋นะโว้ย..!" ปกติถ้าเราตกใจบางทีมันจะกัดซ้ำเลย แต่อาตมานอกจากไม่ตกใจแล้ว ยังขำอีกต่างหาก พอมีให้มากเอ็งก็เลือกเชียว แบบนี้ต้องเจอแบบ "คุณนายลีลาจัง" หมาของอาตมาที่วัดท่าขนุน วันไหนทำท่าเลือกมาก อาตมาก็ปล่อยให้อดไปสามวันเป็นอย่างน้อย พอหิวโซเข้าก็เลิกเลือกไปเอง... พอเห็นอาตมาเฉย ๆ เจ้าตัวแสบก็แสดงฤทธิ์ใหม่ ด้วยการแย่งถุงใส่ถั่วเอาดื้อ ๆ แต่ขอโทษ..ต้องดูว่าเอ็งกำลังแย่งใคร เมื่อเห็นว่าอาตมาไม่เผลอและกระชากไม่หลุด ก็ยอมเข้ามาหยิบจากมือแต่โดยดี อาตมาแกล้งหยิบเม็ดอัลมอนด์ด้วยสองนิ้ว เหลือโผล่ออกมาให้นิดเดียว เจ้า "เหา" ตัวแสบพยายามดึงเท่าไรก็ดึงไม่ออก จึงก้มลงมาแทะจากมือเลย พอหมดก็ค้นหาเม็ดใหม่ อาตมาแกล้งหยิบมะเดื่อแห้งให้อีก มันเลิกคิ้วแล้วขว้างทิ้ง ฮ่า..ฮ่า..กิเลสมากพอกับตูเลยเว้ย..! จากครั้งแรกที่มีไม่กี่คน ตอนนี้เสียงฝีเท้า เสียงพูดคุยกัน เสียงชัตเตอร์กล้องดังมารอบตัว แสดงว่าทั้งคณะของเราและบรรดานักท่องเที่ยวที่ผิดหวังจากการเข้าสักการะพระสถูป หันมาถ่ายรูปลิงกับ "เหา" เอ๊ย..พระเลี้ยงลิงกันแทน ดูท่าภายในวันนี้อาตมาคงได้ออก Facebook ไปทั่วโลก ให้บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ของอาตมาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยแซวอีกว่า "พระครูเล็กท่านเป็นคนไม่เล่นเฟซบุ๊ก ที่มีรูปออกเฟซบุ๊กมากที่สุดในโลก" อีกเป็นแน่แท้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-12-2015 เมื่อ 08:36 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|