กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 23-08-2009, 20:31
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)


หลวงปู่ฝากไว้
บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา

ของ
พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

โดย
พระโพธินันทมุนี
(พระมหาสมศักดิ์ ปณฺฑิโต)
รูป
ชนิดของไฟล์: jpg normal_a_dul.jpg (18.3 KB, 991 views)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 23-08-2009, 20:47
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ธรรมะปฏิสันถาร

.....เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์
เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัย และการอยู่สำราญแห่งอิริยาบถของหลวงปู่
ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชปุจฉาว่า
"หลวงปู่ การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน"

หลวงปู่ตอบว่า "กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน"


ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว
เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี
เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"

"อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 23-08-2009, 21:13
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

.....พระเถระเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙
หลังฟังโอวาท และข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่น ๆ แล้ว หลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

"จิตที่ส่งออกนอก........................เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก........เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต..................................เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต................เป็นนิโรธ"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 23-08-2009, 21:29
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

หยุดเพื่อรู้


เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูปได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาท
และรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก
หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะทั้งเพื่อสอนผู้อื่น และเพื่อปฏิบัติตนเองให้เข้าถึงสัจธรรมนั้นด้วย
ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า

"คิดเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้
ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้
"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 23-08-2009, 22:17
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย


.....กาลครั้งนั้น หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า

....."ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ประกาศพระศาสนานั้น
เป็นได้ทั้งส่งเสริมพระศาสนาและทำลายพระศาสนา
ที่ว่าเช่นนี้เพราะ องค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ
เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม
มีสมณสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย
ผู้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น
ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้
ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก
จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้ และความประพฤติไม่ประมาท
สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 23-08-2009, 22:33
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ทุกข์เพราะอะไร


.....สุภาพสตรีวัยเลยกลางคน ๆ หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณนาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี
ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้ ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี
ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้
ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์ และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย
หลวงปู่แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องราวนั้น ๆ ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางให้เป็น

.....เมื่อสุภาพสตรีคนนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า

"คนสมัยนี้ เขาทุกข์เพราะความคิด"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 23-08-2009, 22:50
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

อุทานธรรม


.....หลวงปู่กล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า สมบัติพัสถานทั้งหลาย
มันมีประจำอยู่ในโลกนี้มาแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ
ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้ ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝีดเคืองและลำบากขันธ์
ส่วนผู้ที่มีปัญญามีความสามารถ ย่อมแสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมาย
อำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณี
.....ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย เพราะว่า

"ในทางโลกมีสิ่งที่มี ส่วนทางธรรมมีส่วนที่ไม่มี"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 23-08-2009, 23:12
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

อุทานธรรมต่อมา


.....เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว
จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโลก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งหมด และจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง
ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรัดรึงไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง

"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทาง ความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 23-08-2009, 23:47
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

อยากได้ของดี


.....เมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย
โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ
ได้นำคณะแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญประโยชน์
สังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน ได้ถือโอกาสแวะนมัสการหลวงปู่
.....หลังจากกราบนมัสการถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่
และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว
เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบายก็รีบออกมา
แต่ก็ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถือโอกาสพิเศษกราบเรียนหลวงปู่ว่า
"ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ"

.....หลวงปู่จึงเจริญพรว่า
"ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กาย วาจา ก็สงบ
แล้วกายก็ดี วาจา ใจ ก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง"

....."ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนาได้
งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ"

.....หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า
"การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ
ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 103 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 25-08-2009, 23:23
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

การค้ากับการปฏิบัติธรรม


...พวกกระผมมีภาระหน้าที่ในการค้าขาย ซึ่งบางครั้งจะต้องพูดอะไรออกไปเกินความจริงบ้าง
ค้ากำไรเกินควรบ้าง แต่กระผมก็มีความสนใจและเลื่อมใสในการปฏิบัติทางสมาธิภาวนาอย่างยิ่ง
แล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติมาบ้างแล้วโดยลำดับ แต่บางท่านบอกว่าภาระหน้าที่อย่างผมนี้มาปฏิบัติภาวนาไม่ได้ผลหรอก
หลวงปู่เห็นว่าอย่างไร เพราะเขาว่าขายของเอากำไรก็เป็นบาปอยู่

...หลวงปู่ว่า
..."เพื่อดำรงชีพอยู่ได้ ทุกคนจึงต้องมีอาชีพการงาน และอาชีพการงานทุกสาขา
ย่อมมีความถูกต้อง ความเหมาะความควรอยู่ในตัวของมัน เมื่อทำให้ถูกต้องพอเหมาะควรแล้ว
ก็เป็นอัพยากตธรรม ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญแต่ประการใด ส่วนการประพฤติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เพราะผู้ประพฤติธรรมเท่านั้น ย่อมสมควรแก่การงานทุกกรณี"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2009 เมื่อ 23:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #11  
เก่า 26-08-2009, 23:13
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

เป็นการดัดนิสัยหรือเปล่า

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลา ๖ ปี
ผลที่สงครามฝากไว้ให้ก็คือ ความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ
ด้วยความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคได้แผ่ปกคลุมไปทั่ว
โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มขาดแคลนอย่างยิ่ง
พระเณรในวัดต่าง ๆ มีสบงจีวรชุดเดียวก็บุญหนักหนาแล้ว
วันหนึ่ง สามเณรพรมซึ่งเป็นหลานหลวงปู่ เห็นสามเณรชุมพลห่มจีวรใหม่และสวย จึงถามว่า จีวรนี้ท่านได้แต่ไหนมา
เณรชุมพลตอบว่า เราเข้าไปทำวาระถวายหลวงปู่ หลวงปู่เห็นจีวรของเราขาด ท่านจึงประทานให้มาผืนหนึ่ง
เมื่อถึงวาระ เณรพรมจึงห่มจีวรขาดไปนวดเท้าหลวงปู่ ด้วยคิดว่าจะได้อย่างเขาบ้าง
พอเสร็จวาระกำลังจะออกมา หลวงปู่เห็นจีวรขาด จึงลุกไปเปิดตู้หยิบเอาของมายื่นให้ พร้อมกับสั่งว่า

"นี่เอาไปเย็บให้ดี อย่าห่มทั้งที่ขาดอย่างนี้"

สามเณรพรมต้องจำใจรับด้ายกับเข็มจากหลวงปู่อย่างรวดเร็ว
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 93 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #12  
เก่า 29-08-2009, 00:51
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

วิธีระงับทุกข์แบบหลวงปู่

ระหว่าง พ.ศ.๒๕๒๐ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์กำลังครอบงำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในกระทรวงมหาดไทยอย่างหนัก คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา
และแน่นอนความทุกข์โศกอันนี้ย่อมปกคลุมถึงบุตร ภรรยาด้วย
จึงมีอยู่วันหนึ่ง คุณหญิงคุณนายหลายท่านได้ไปนมัสการหลวงปู่
พรรณาถึงความทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ เพื่อให้หลวงปู่ได้แนะวิธี
หรือช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ท่านจะเมตตา

หลวงปู่
"บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งนอกกายทั้งหลายที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว
เพราะสิ่งเหล่านั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #13  
เก่า 30-08-2009, 19:43
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ไม่ยากสำหรับผู้ไม่ติดอารมณ์

วัดบูรพารามที่หลวงปู่ประจำอยู่ตลอดห้าสิบปี ไม่ได้ไปจำพรรษาที่วัดอื่นเลย
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง หน้าศาลากลางติดกับศาลจังหวัดสุรินทร์
ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงรบกวนความสงบอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะเมื่อถึงงานช้างแฟร์ หรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ภิกษุสามเณรผู้ที่มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อนำเรื่องนี้กราบเรียนหลวงปู่เมื่อใด ก็จะได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันทุกครั้งว่า

"มัวสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้น
ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง
เราไม่ใส่ใจฟังเสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง
จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง
เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #14  
เก่า 01-09-2009, 21:14
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

รู้จากการเรียนกับรู้จากการปฏิบัติ

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ที่กระผมจำจากตำราและฟังครูสอนนั้น จะตรงกับเนื้อหาตามที่หลวงปู่เข้าใจหรือไม่

หลวงปู่อธิบายว่า
"ศีล คือ ปรกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล คือ จิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร
วิมุตติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่างจากความว่าง คือ
ละความสบาย เหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 04-09-2009 เมื่อ 00:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #15  
เก่า 04-09-2009, 01:13
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง

..........บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า ผู้ที่มาปฏิบัติยังลังเลใจ
เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลก ๆ จนไม่อยากละมาปฏิบัติธรรม

..........ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า
.........."ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต
ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยรู้เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น
มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป
มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดที่พิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย
เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย
"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #16  
เก่า 04-09-2009, 20:00
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ทิ้งเสีย

สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว
ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม เขาจึงพูดปรารภขึ้นว่า
คนสมัยนี้ไว้ทุกข์ไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน ทั้ง ๆ ที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น
เมื่อญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรม ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง ๑๐๐ วันบ้าง
แต่ปรากฏว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ
ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า การไว้ทุกข์ที่ถูกต้องนั้น ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ

หลวงปู่บอกว่า
"ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #17  
เก่า 04-09-2009, 20:22
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

หนัก ๆ ก็มีบ้าง

พระอาจารย์สำเร็จ บวชมาแต่วัยเด็กจนอายุใกล้หกสิบปี เป็นพระฝ่ายวิปัสสนา
ปฏิบัติเคร่งครัด ชื่อเสียงดีมีคนเคารพนับถือมาก
แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เนื่องจากไปหลงรักลูกสาวของโยมอุปัฏฐาก ถึงขั้นมาขอลาหลวงปู่สึกไปแต่งงาน
ทุกคนตกตะลึงกับข่าวนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เพราะปฏิปทาของท่านเป็นที่ยอมรับว่าจะต้องอยู่ในสมณวิสัยจนตลอดชีวิต
หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นการเสื่อมเสียแก่วงการฝ่ายวิปัสสนาอย่างยิ่ง
พระเถระ คณะสงฆ์ และสานุศิษย์ของท่านจึงช่วยกันป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านเปลี่ยนใจที่จะคิดสึกเสีย
โดยเฉพาะหลวงปู่เรียกมาตักเตือนแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
สุดท้ายอาจารย์สำเร็จกล่าวต่อหน้าหลวงปู่ว่า
กระผมอยู่ไม่ได้ เพราะนั่งภาวนาเมื่อไร เห็นใบหน้าเขามาล่องลอยปรากฏต่อหน้าอยู่ตลอดเวลา

หลวงปู่ตอบเสียงดังว่า
"ก็ไม่ภาวนาดูจิตของตัวเอง ไปภาวนาดูก้นของเขา มันก็เห็นแต่ก้นเขาอยู่ร่ำไปนั่นแหละ
ไป อยากไปไหนก็ไปตามสบาย ไปเถอะ"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 04-09-2009 เมื่อ 20:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #18  
เก่า 05-09-2009, 23:34
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

พระหลอกผี

หลวงปู่ชอบแนะนำส่งเสริมพระเณรให้ใส่ใจเรื่องธุดงคกัมมัฏฐานเป็นพิเศษ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสานุศิษย์มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งพรรษามากและพรรษาน้อย
หลวงปู่ชี้แนวทางว่า ให้พากันไปอยู่ป่าหาทางวิเวกหรืออยู่ตามเขาตามถ้ำเพื่อเร่งความเพียร
จะได้พ้นจากภาวะตกต่ำทางจิตบ้าง
ก็มีพระรูปหนึ่งพูดออกมาว่า ผมไม่กล้าไปครับเพราะผมกลัวผีหลอก

หลวงปู่ตอบอย่างรวดเร็วว่า
"ผีที่ไหนเคยหลอกพระ มีแต่พระนั่นแหละหลอกผี และตั้งขบวนการหลอกผีเป็นการใหญ่เสียด้วย
คิดดูให้ดีนะ วัตถุสิ่งของที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคทำบุญนั้นแทบทั้งหมด
ล้วนทำเพื่ออุทิศส่งไปให้ผีทั้งนั้น ผีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องเขา
แล้วพระเราเล่าประพฤติตนเหมาะสมแล้วหรือ มีคุณธรรมอะไรบ้างที่จะส่งผลให้ถึงผีได้
ระวังอย่ามาเป็นพระหลอกผี"

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 06-09-2009 เมื่อ 23:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #19  
เก่า 07-09-2009, 23:53
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ไม่ค่อยแจ่ม

กระผมได้อ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์
หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า จิตปรุงกิเลส หรือว่า กิเลสปรุงจิต ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร

หลวงปู่อธิบายว่า
"จิตปรุงกิเลส คือ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้ดี ให้เลว ให้เกิดวิบาก
แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
ส่วนกิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามาทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน
แล้วยึดว่ามีตัวมีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่ร่ำไป"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #20  
เก่า 08-09-2009, 20:50
มายา มายา is offline
ผู้สนับสนุนเว็บวัดท่าขนุน
 
วันที่สมัคร: Feb 2009
ข้อความ: 81
ได้ให้อนุโมทนา: 15,599
ได้รับอนุโมทนา 6,730 ครั้ง ใน 159 โพสต์
มายา is on a distinguished road
Default

ต้องปฏิบัติจึงหมดความสงสัย

เมื่อมีผู้ถามถึง การตาย การเกิดใหม่ หรือถามถึงอนาคตชาติ อดีตชาติ หลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ
หรือเมื่อมีผู้กล่าวถึงว่าเชื่อหรือไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่จริงประการใด
หลวงปู่ไม่เคยค้นคว้าหาเหตุผลเพื่อจะเอามาค้านใคร
หรือไม่เคยหาหลักฐานเพื่อยืนยันให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด ท่านกลับแนะนำว่า

"ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลัง หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้
ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้
ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้งความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง"
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:17



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว