กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #341  
เก่า 27-05-2016, 12:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่ฝั้นดัดสาวคะนอง

ท่านเล่าเหตุการณ์คราวหนึ่งเกิดขึ้นในระหว่างที่หลวงปู่ฝั้นท่านเป็นหัวหน้างาน กำลังควบคุมงานพาพวกลูกศิษย์ลูกหา พระเณร และประชาชนญาติโยมสานขัดแตะที่จะเผาศพหลวงปู่มั่น ดังนี้

“... อยู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงสองคนคึกคะนอง ขับจักรยานเข้ามานี่ พระท่านก็สานขัดแตะอยู่ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นหัวหน้าอยู่ ธรรมดา ๆ มันก็ขับรถมานี่ สะเปะสะปะมานี่ เฉียดพระนี่ ท่านเลย ‘มันอย่างไรเด็กเหล่านี้’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ


‘มันไม่รู้ภาษีภาษาอะไร’ พอว่าอย่างนั้นท่านบอกว่า ‘เอา.. จะให้มันล้มให้ดู จะไม่ให้เจ็บ’ ท่านบอกอย่างนั้นนะ ‘จะให้มันล้มให้ดู ขายหน้ามันสักหน่อย แต่ไม่ให้เจ็บ’ ท่านบอกอย่างนั้นนะ

ทีนี้พระเณรก็ปล่อยหมด คอยจ้องเลยเพราะท่านพูดเสียงดังด้วยนะ

‘มันเก่งนักเด็กเหล่านี้นะ เอาศาสนาปราบมัน’ ขับมาสะเปะสะปะมานี่แล้วเฉียดพระมานี่นะ ท่านก็นั่งอยู่นั้น ... พอออกไปก็ลงตูมเลย ทีนี้พระเณรหัวเราะกันลั่น.. เปิดเลย ป่านนี้มันกลับมาแล้วยังไม่รู้นะ เห็นไหมล่ะ พอว่าอย่างนั้น เห็นไหมล่ะ บาปมีบุญมีมาประมาทได้เหรอท่านว่า ท่านบอกว่าจะให้มันล้มให้ดู พระเณรได้ยินหมดเลย เฉียดพระมานี่ มันคึกคะนอง ไปนั่นก็ล้มทั้งสองต่อหน้าพระ


ทีนี้พระจ้องอยู่แล้ว กำลังสานขัดแตะปล่อยมือหมด จ้องคอย เพราะฟังเสียงคำพูดท่าน คอยดูจังหวะมันจะออก ตามที่ท่านสั่งพอว่าก็ตูมเลย อู๊ย.. มันอายมากนะ นี่แก้กันตกกับมันทะลึ่งพอไปแล้ว เห็นไหม.. บาปมีบุญมีมาประมาทได้เหรอ ท่านอาจารย์ฝั้นมีพลังจิตมาก...แรง...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2016 เมื่อ 17:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #342  
เก่า 03-06-2016, 18:56
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พิธีถวายเพลิงปรากฏเหตุอัศจรรย์

เมื่อถึงเวลาเคลื่อนย้ายหลวงปู่มั่นขึ้นสู่เมรุ ความเศร้าโศกร่ำไห้ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ครั้นพอถึงเวลาประชุมเพลิงก็ปรากฏเหตุการณ์อัศจรรย์ขึ้น องค์หลวงตาลำดับเหตุการณ์ของงานในครั้งนั้น ดังนี้

“... งานนี้มี ๓ คืนกับ ๔ วัน และงานนี้เป็นงานที่แปลกและอัศจรรย์เป็นพิเศษ คือคนมามากต่อมากแต่ไม่มีการส่งเสียงหนึ่ง ไม่ทะเลาะวิวาทฆ่าตีกันหนึ่ง ไม่มีการขโมยของกัน ล้วงกระเป๋ากันหนึ่ง เก็บสิ่งของมีค่าได้ยังอุตส่าห์นำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ที่กองโฆษณาหนึ่ง ไม่มีคนดื่มเหล้า.. เมาสุรามาอาละวาดเกะกะในบริเวณงานหนึ่ง พระเณรก็สงบเสงี่ยมงามตาน่าเคารพเลื่อมใสหนึ่ง..


ส่วนเมรุเป็นที่บรรจุศพท่านได้จัดขึ้นในบริเวณที่พระอุโบสถตั้งอยู่เวลานี้ รู้สึกสวยงามมาก สมเกียรติ ทำเป็นจตุรมุข มีลวดลายแปลกประหลาดมาก ... ถ้าจำไม่ผิดวันขึ้น ๑๑ ค่ำเป็นวันอาราธนาท่านไปสู่เมรุ ก่อนหน้าเล็กน้อย ... บรรดาลูกศิษย์ทั้งพระและประชาชนได้พร้อมกันทำวัตร ขอขมาโทษท่านเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนั้นก็อาราธนาไปสู่เมรุ ตอนนี้คงอดทนไม่ไหว ได้เกิดโกลาหลวุ่นวายกันขึ้นอีกจนได้ คราวนี้เป็นคณะลูกศิษย์ฝ่ายฆราวาสหญิงชาย พอเริ่มอาราธนาท่านเคลื่อนที่ไปสู่เมรุ ต่างมีอากัปกิริยาที่ไม่ค่อยแจ่มใสขึ้นมาในขณะนั้น น้ำหูน้ำตากิริยาเศร้าโศกและเสียงร้องไห้เริ่มแสดงออกเป็นลำดับ ... บรรดาลูกศิษย์บริวารต่างร้องไห้ด้วยความอาลัยเสียดาย ... จนศพท่านที่อาราธนาเข้าสู่เมรุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาการที่น่าเวทนาสงสารเหล่านั้นจึงค่อย ๆ สงบลง

พอได้เวลาที่กำหนดไว้ ๖ ทุ่ม คือเที่ยงคืนก็พร้อมกันเริ่มถวายเพลิงจริง แต่ผู้คนในขณะนั้นประหนึ่งจะล้นแผ่นดิน แออัดยัดเยียดเบียดเสียดกันจนจะหาทางเดินไม่ได้ เพราะต่างคนต่างมุ่งอยากดูอยากเห็นในวาระสุดท้ายเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ใจไปนาน ... เพราะปกติฟ้าก็แจ้งขาวดาวสว่างในฤดูแล้งธรรมดาเราดี ๆ นี่เอง

พอถึงเวลาถวายเพลิงท่านจริง ขณะนั้นปรากฏมีเมฆก้อนหนึ่งขนาดย่อม ๆ ไหลผ่านเข้ามา และโปรยละอองฝนมาเพียงเบา ๆ พร้อมกับขณะที่ไฟเริ่มแสดงเปลวและโปรยอยู่ประมาณ ๑๕ นาที เมฆก็ค่อย ๆ จางหายไปในท่ามกลางแห่งความสว่างแห่งแสงพระจันทร์ข้างขึ้น จึงเป็นที่น่าประหลาดและอัศจรรย์อย่างสุดจะคาดจะเดาได้ถูก ว่าทำไมจึงดลบันดาลให้เห็นเป็นความแปลกหูแปลกตาขึ้นมาในท่ามกลางความสว่างแห่งแสงเดือนเช่นนั้น เพราะปกติฟ้าก็แจ้งขาวดาวสว่างในฤดูแล้งธรรมดาเราดี ๆ นี่เอง แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ มีเมฆลอยมาและมีละอองฝนโปรยปรายลงมา ทำให้แปลกตาสะดุดใจระลึกไว้ไม่ลืมจนบัดนี้

การถวายเพลิงท่านมิได้ถวายด้วยฟืนหรือถ่านดังที่เคยทำกันมา แต่ถวายด้วยไม้จันทน์ที่มีกลิ่นหอม ซึ่งบรรดาศิษย์ท่านผู้เคารพเลื่อมใสในท่านสั่งมาจากฝั่งแม่น้ำโขงประเทศลาวเป็นพิเศษ จนเพียงพอกับความต้องการและผสมด้วยธูปหอมเป็นเชื้อเพลิงตลอดสาย ... นับแต่ขณะเริ่มถวายเพลิงท่านได้มีกรรมการทั้งพระและฆราวาสคอยดูแลกิจการอยู่เป็นประจำตลอดงานนั้น และมีการรักษาอยู่ตลอดไปจนถึงเวลาเก็บอัฐิท่าน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-06-2016 เมื่อ 19:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #343  
เก่า 10-06-2016, 09:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เวลา ๙ น. ของวันรุ่งขึ้น ก็เริ่มเก็บอัฐิท่านและแจกไปตามจังหวัดต่าง ๆ ที่มีผู้มาในงานนี้ เพื่อนำไปเป็นสมบัติกลาง ๆ โดยมอบกับพระในนามของจังหวัดนั้น ๆ เชิญไปบรรจุไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ตามแต่จะเห็นควร ส่วนประชาชนก็มีการแจกเหมือนกัน แต่คนมากต่อมากไม่อาจปฏิบัติได้โดยทั่วถึง ..

ตอนเก็บอัฐิท่านเพิ่งผ่านไปนั้น ก็น่าสงสารประชาชนอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีกวาระหนึ่ง ซึ่งทำให้ประทับตาประทับใจอย่างมาก คือพอคณะกรรมการเก็บอัฐิท่านเสร็จเรียบร้อยลงเท่านั้น ผู้คนชายหญิงต่างชุลมุนวุ่นวายกันเข้าเก็บกวาดเอาเถ้าและถ่านที่เศษเหลือจากที่เก็บแล้วไปสักการบูชา ได้คนละเล็กละน้อยจนสถานที่นั้นเตียนเกลี้ยงยิ่งกว่าล้างด้วยน้ำและเช็ดถูให้เกลี้ยงเสียอีก พอได้ออกมาต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสดีใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนตัวจะเหาะลอยในขณะนั้น มองดูในมือต่างคนต่างกำแน่น... ราวกับจะมีใคร ๆ มาแย่งชิงเอาดวงใจในกำมือไปเสียฉะนั้น

นี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าสงสารสังเวชอีกเหตุการณ์หนึ่ง ไม่ด้อยกว่าเหตุการณ์ทั้งหลายที่ผ่านมาในงานท่านอาจารย์มั่นครั้งนี้ ..

ก่อนจะพากันกลับไปถิ่นฐานบ้านเรือนของตน ๆ โดยมากพากันไปกราบลาท่านอาจารย์ที่เมรุ ซึ่งเป็นความมั่นใจว่าท่านย้ายจากศาลาไปอยู่เมรุแล้ว ขณะก้มกราบท่านถึงวาระที่สามจบลง ต่างพากันนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นลักษณะรำพึงรำพันด้วยความอาลัยเสียดายอย่างสุดซึ้ง แล้วแสดงอาการไว้อาลัยด้วยน้ำตาสะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร ..

พอคณะนั้นผ่านออกมาด้วยความเศร้าโศกหน้าชุ่มด้วยน้ำตา คณะนี้ก็ก้าวเข้าไปกราบลาท่านด้วยกิริยาท่าทางของคนที่มีความจงรักภักดีและเศร้าโศก .. สับเปลี่ยนเวียนกันไปมาอยู่ที่บริเวณเมรุท่านเป็นชั่วโมง ๆ ...

พอถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่นผ่านไปแล้วปรากฏว่า พระเณรสายของท่านมีความกระวนกระวายระส่ำระสายมากพอดู เพราะปราศจากที่พึ่งที่ยึดทางใจ ระเหเร่ร่อนไปทางทิศใต้ทิศเหนือ เหมือนว่าวเชือกขาดอยู่บนอากาศฉะนั้น .. ผู้เขียนได้เห็นโทษครั้งยิ่งใหญ่สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมรณภาพผ่านไปเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่ในสายตาและความรู้สึกปรากฏว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่านมีความซบเซาเหงาหงอย และอยากจะพูดว่าล้มละลายไปตาม ๆ กันมากมาย ทั้งนักบวชและฆราวาสจนไม่อาจประมาณได้ ...”

โดยสรุปกำหนดงานหลวงปู่มั่นนี้ ท่านทำพิธีเปิดมีกำหนด ๓ คืนกับ ๔ วัน เริ่มแต่วันขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ถวายฌาปนกิจศพท่านคืนวันขึ้น ๑๓ ค่ำ ราว ๖ ทุ่ม พอรุ่งเช้าของวันขึ้น ๑๔ ค่ำก็เป็นวันเก็บอัฐิท่าน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2016 เมื่อ 02:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #344  
เก่า 16-06-2016, 14:17
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ต้นเหตุเขียนประวัติหลวงปู่มั่น

ย้อนกล่าวถึงระยะที่หลวงปู่มั่นเริ่มป่วยปรากฏว่า เป็นระยะที่สภาวะจิตขององค์หลวงตากำลังหมุนตัว.. ด้วยสติปัญญาจากการออกพิจารณาด้านปัญญามาได้ระยะหนึ่งแล้ว ในวันนั้นหลวงปู่มั่นได้กล่าวข้อความสำคัญ อันเป็นเหตุให้องค์หลวงตาต้องเรียบเรียงหนังสือประวัติหลวงปู่มั่นขึ้นมา ดังนี้

“... ตอนท่านอาจารย์มั่นเริ่มป่วย จิตเราก็เริ่มชุลมุนวุ่นวายของมันไม่มีวันมีคืนเลย ตั้งแต่นั้นมาเรื่อย ๆ จิตเราก็ไม่ว่างเลย ท่านป่วยหนักเข้าเท่าไร เราก็ยิ่งต้องเป็นตัวตั้งตัวตีเกี่ยวกับการดูแลรักษา ตลอดถึงหมู่เพื่อนที่จะไปเกี่ยวข้องกับท่าน เราเป็นผู้คอยให้อุบายคอยแนะนำตักเตือน ไอ้เราเองก็หมุนติ้ว ๆ ลงจากกุฎิท่านก็เข้าทางจงกรม


พอออกจากทางจงกรมมาก็ขึ้นกุฏิท่าน นี่หมายถึงอยู่หนองผือ ออกจากกุฏิท่านก็เข้าทางจงกรม ปล่อยท่านก็ปล่อยไม่ได้ เป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะปล่อยไม่ได้ แม้หมู่เพื่อนจะมีมากก็ตาม แต่เราคอยแนะ คอยให้อุบาย คอยอะไรอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ

พอมีเวลาบ้างนิดหน่อยก็เข้าทางจงกรม เพราะตอนนั้นจิตมันพิลึกพิลั่นจริง ๆ ที่เรียกว่ามันเป็นของมันเอง ไม่มีใครบอกใครสอน ไม่มีใครแนะใครนำแหละ หากเป็นในตัวของมันเองถึงวาระที่มันเป็น นี่ถ้าเราเรียกก็เรียกว่าภาวนามยปัญญาอย่างว่า

เมื่อถ้าวถึงขั้นภาวนามยปัญญาแล้วต้องหมุนตัวไปเองเป็นอัตโนมัติ ไม่หยุดไม่ถอย มีแต่หมุนอยู่ตลอด หมุนกับกิเลสนั่นแหละไม่ใช่หมุนอะไร ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือน ลืมเวล่ำเวลา ไม่ได้ส่งออกนอก มีแต่พันกันอยู่กับกิเลสอาสวะประเภทต่าง ๆ อยู่ภายในนั้น ..

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2016 เมื่อ 14:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #345  
เก่า 29-06-2016, 16:58
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ตอนนั้นเรากำลังหมุนนะ.. จิตเรา ท่านเริ่มป่วย ตอนนั้นจิตของเราหมุนอยู่แล้ว หมุนเป็นธรรมจักร.. ไม่ได้นอน ถ้าตามธรรมดาแล้วทั้งวันทั้งคืนมันจะตายทิ้งเปล่า ๆ ต้องได้พัก หักเอาไว้ รั้งเอาไว้ อยู่ ๆ ท่านพูดลักษณะเอะใจขึ้นมา เราคิดไว้แล้วนะเป็นแต่เพียงว่าไม่พูด ท่านเอะใจขึ้นมา

‘เอ้อ เราก็มีลูกศิษย์ลูกหาหลายองค์ เฉพาะอย่างยิ่งคือพระ เราเทศนาว่าการสอนมานี้นานแสนนาน ใครได้คิดอะไรไว้บ้างไหม ?’


ท่านว่างั้นนะ ทางนี้เราก็กราบเรียนทันทีเลย ขึ้นก่อนใคร เราขึ้นเลย ‘คิดเต็มหัวอก แต่เวลานี้งานกำลังเต็มหัวใจ’ เราบอก

เราว่าอย่างนี้ ท่านปุ๊บมาหางานเต็มหัวใจเลย เพราะท่านเคยทราบจากเราแล้ว ที่ขึ้นหาท่านบางทีวันละ ๒ หน ๓ หน จิตใจมันหมุนนั่นละ ท่านก็ทราบแต่นั้นแล้ว แต่เวลานี้งานกำลังเต็มหัวใจ

‘เอ้อ ขึ้นเลย เอา..เอางานของตนให้ได้นะ งานนั้นเป็นงานนอก เอางานของตนให้ได้ พระพุทธเจ้าเอางานของตน สำเร็จแล้วสอนโลก สาวกทั้งหลายเอางานของตน.. สำเร็จแล้วสอนโลก นี่เอางานของตนให้สำเร็จสอนโลก’ ท่านว่า

เรื่องของท่านว่าใครคิดอะไรบ้างไหมเลยไม่พูดถึง คิดอะไรก็คือว่า จะจดจารึกเรื่องราวอะไรของท่าน อรรถธรรมของท่านนั่นแหละ เราก็ตอบขึ้นทันทีเลยเพราะเราเข้าใจแล้ว พอท่านพูดอย่างนั้นเข้าใจ คิดเต็มหัวใจ แต่เวลานี้งานกำลังเต็มหัวอก ท่านก็ปั๊บมาทางงานเต็มหัวอกเลย เพราะเคยกราบเรียนท่านอยู่แล้ว

ตั้งแต่ท่านไม่ถามข้อนี้ จิตของเรากำลังหมุนแล้ว ท่านเลยหมุนเข้ามา ‘เอางานของตนให้ได้ ถ้างานของตนเสร็จแล้วจะแตกกระจายไปหมด งานนั้นเป็นงานนอก งานในเป็นสำคัญ ท่านเลยหมุนมาทางงานในเสีย’

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2016 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #346  
เก่า 06-07-2016, 17:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นบอกให้พึ่งท่านมหานะ

ในช่วงเวลาเดียวกับที่สภาวะจิตของท่านกำลังหมุนเป็นธรรมจักรอยู่นี้ วันหนึ่งหลวงปู่มั่นก็ได้ปรารภกับพระที่ขึ้นไปทำข้อวัตร นวดเส้น ซึ่งมีผลให้หมู่เพื่อนต่างก็คอยแอบจดจ้องหวังพึ่งพาอาศัยท่านต่อไป ดังนี้

“... ท่านนอนให้พระนวดเส้นอยู่ ๒ – ๓ องค์ เวลาท่านจะขึ้น คือตอนนั้นท่านก็ทราบแล้วว่าจิตของเรากำลังหมุน ท่านทราบอยู่แล้ว ท่านเอะใจขึ้นมา ‘เอ้อ นี่เวลาผมตายแล้ว พวกท่านจะอาศัยใครจะเกาะใครล่ะ ?’


พระก็นิ่ง สักเดี๋ยวแอะขึ้นมาอีก ‘เอ้อ...ให้อาศัยท่านมหานะ’

ท่านไม่พูดมากละ พูดกับพระ ท่านไม่พูดกับเราแหละ ท่านเล่าให้พระฟัง ถ้าท่านเล่าเรื่องของเราให้พระฟังแล้ว พระต้องมาเล่าให้เราฟังหมดแหละ แต่เราก็เฉยเหมือนไม่รู้ ท่านก็เฉยเหมือนไม่รู้ เวลาท่านเล่าเรื่องของเรา

‘เอ้อ ให้อาศัยท่านมหานะ ให้เกาะท่านมหานะ ท่านมหาสำคัญอยู่มากทั้งภายนอกภายใน ภายนอกก็ข้อวัตรปฏิบัติ หลักธรรมวินัยตรงเป๋ง ๆ ไม่เคลื่อนคลาด หลักภายในก็คือภายในจิตใจได้แก่จิตภาวนา ก็หมุนติ้วอยู่แล้ว’


ท่านก็พูดเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านล่วงลับไปเท่านั้น พระเณรจึงเกาะเราพรึ่บเลย พระเณรจับอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยสนใจกับใคร เราไปแต่องค์เดียว เราไปเที่ยว บทเวลาท่านมรณภาพ พระเณรเกาะพรึ่บเลยเชียว เรื่อย ๆ มาจนกระทั่งป่านนี้...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2016 เมื่อ 17:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #347  
เก่า 21-07-2016, 18:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เมื่อเสร็จงานพิธีศพหลวงปู่มั่น พระเณรหลายสิบรูปต่างคอยติดตามท่านอยู่ตลอด แม้ท่านจะพยายามหลบหลีกปลีกตัวหนีไปทางอื่น ด้วยเพราะเป็นระยะที่ต้องการอยู่ลำพังคนเดียว แต่ก็มีหมู่เพื่อนคอยสืบรอยติดตามไปตลอดเวลา แทบจะทุกสถานที่ เพราะเพิ่งขาดร่มโพธิ์ร่มไทรคือหลวงปู่มั่นไปไม่นานนี้ เดี๋ยวองค์นี้ตามมา สักเดี๋ยวองค์นั้นตามมาอีกแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดในระยะนั้น ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ระยะนี้ว่า

“... ถึงระยะที่จะอยู่กับหมู่เพื่อนไม่ได้... มันอยู่ไม่ได้จริง ๆ เสียเวล่ำเวลา ใครมายุ่งไม่ได้นะ คิดดูสิ ไปบิณฑบาตที่ไหน หมู่บ้านใหญ่ ๆ ไม่อยู่ ไปหาอยู่บ้าน ๕ – ๖ หลังคาเรือน... บ้านใหญ่ไม่เอา ถ้ายิ่งบ้านไหนไปแล้วเขารุมมาหา โอ๋ย.. บ้านนี้ไม่ได้เรื่องแน่ นั่น.. เขาจะมายุ่งเราจนหาเวลาภาวนาไม่ได้ ไม่เอา


หนีไปหาอยู่หมู่บ้าน ๓ – ๔ หลังคาเรือน บิณฑบาตกับเขาพอมีชีวิตบำเพ็ญธรรมให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่านั้น ไปบิณฑบาตก็ทำความเพียรตลอด ยุ่งกับใครเมื่อไร ทั้งไปทั้งกลับมีแต่เรื่องความเพียรเหมือนกับเดินจงกรม มันเป็นอยู่ในหลักธรรมชาติของมันเอง เวลามันหมุนของมัน เห็นชัด ๆ อยู่ในหัวใจว่า ‘อยู่กับใครไม่ได้’

นี่มันก็รู้อยู่กับใจเราเอง ระยะหนึ่งมันบอกว่า ‘อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องได้วิ่งหาครูหาอาจารย์ ไม่งั้นจมแน่ ๆ ‘

มันรู้ชัดอยู่ก็ต้องได้เข้าหาครูหาอาจารย์ ถึงวาระที่จะอยู่คนเดียวนี่.. จะอยู่กับใครไม่ได้แล้วมันก็รู้อีก ใครติดตามไม่ได้นะ โอ๋ย ! ขโมยหนีจากพระจากเณรเหมือนขโมย ขโมยใหญ่ ๆ เลยนี่ โน่น...หัวโจรหัวโจกนั่น ขโมยหนีกลางคืน กลางวันหมู่เพื่อนจะเห็น ถ้าพอไปกลางวันได้ก็ไป พอไปกลางคืนได้ก็ไปกลางคืน ดึกดื่นไม่ว่านะ หนีจากหมู่เพื่อน มันไม่สบาย มันอยู่ไม่ได้ ก็งานของเราเป็นอยู่อย่างนี้ มีเวลาว่างเสียเมื่อไร อยู่อย่างนี้ตลอด แล้วจะไปอ้าปากพูดคุยกับคนนั้น อ้าปากคุยกับคนนี้ได้ยังไง งานเต็มมืออยู่นี่ นั่นถึงวาระมันเป็นในหัวใจรู้เอง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-07-2016 เมื่อ 20:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #348  
เก่า 27-07-2016, 17:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อยู่งานศพได้เพียง ๔ วัน

ด้วยสภาวะจิตใจของท่านในระยะนั้นหมุนตัวเป็นอัตโนมัติตลอดวันตลอดคืน จึงทำให้ท่านกลับมาพักอยู่ในช่วงเตรียมงานถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่นเพียง ๔ วันเท่านั้น พอเผาศพแล้วท่านก็ปลีกตัวหนีออกไปทันทีจนถูกครูบาอาจารย์บางองค์ตำหนิเอา ดังนี้

“...ในระยะที่ท่านพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นป่วย มรณภาพ จนกระทั่งถวายเพลิงศพท่านนั้น เราจะไม่มีเวลาเลย.. จิตมันหมุนเป็นธรรมจักร อยู่กับใครไม่ได้


ศพท่านเอาไว้ที่วัดป่าสุทธาวาส เรามากราบปั๊บ ๆ แล้วไปเลย เข้าไปอยู่ในป่าเขาคนเดียวทางภูพาน จิตเวลามันก้าวของมัน.. ก้าวไม่มีวันมีคืน ชัดเข้าไปจนสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว หมุนติ้ว ๆ จากนั้นก็เข้ามหาสติมหาปัญญา.. ยิ่งหมุนยิ่งละเอียด ยิ่งซึมซาบ ที่ชัดเจนก็คือว่า ‘อยู่กับใครไม่ได้ในเวลาเช่นนั้น ต้องอยู่คนเดียวกับอารมณ์แห่งธรรม กับกิเลสฟัดกันอยู่บนหัวใจเท่านั้น ใครมายุ่งไม่ได้

มางานถวายเพลิงศพพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมาอยู่ได้เพียง ๔ วัน พอเผาศพท่านเสร็จแล้วเปิดเลย จนครูบาอาจารย์บางองค์ก็ว่าเอาเหมือนกันนะ แต่เราไม่สนใจ เพราะท่านไม่รู้เรื่องของเรา ท่านว่า ‘ท่านมหาบัว เวลาท่านอาจารย์มั่นมีชีวิตอยู่เหมือนเงาเทียมตัว พอท่านมรณภาพไปแล้วหายเงียบไปเลย ไม่มามองดูครูบาอาจารย์เลย’

ท่านว่าอย่างนั้นก็มีอันนั้น ก็ภูมิจิตของท่านเป็นอย่างนั้น บอกภูมิแล้วนั่น มันบ่งบอกแล้วว่าผู้ตำหนิเราอย่างนั้นมีภูมิจิตใจเป็นอย่างไร มันบอกในตัว...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-07-2016 เมื่อ 21:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #349  
เก่า 08-08-2016, 17:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

อุปสรรคในการหลบหลีกหมู่เพื่อนเพื่อออกวิเวกของท่านยังมีอยู่บ้าง เมื่อได้พบกับพระผู้ใหญ่ฝ่ายปริยัติซึ่งเป็นพระอาจารย์เก่าของท่าน ในงานถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่นครั้งนี้...ดังนี้

“..ทีนี้ครั้งสุดท้าย ถวายเพลิงหลวงปู่มั่นเรานี่ละ
ท่าน (เจ้าคุณพิมพ์ ธัมมธโร) ก็มา แล้วเพื่อนของท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ เป็นน้องชายของท่านเจ้าคุณอุบาลี ท่านเป็นเพื่อนกัน นั่งอยู่ด้วยกัน เราเข้าไปกราบท่าน โอ๋ย.. เอาใหญ่เลยทีนี้นะ จะเอากลับกรุงเทพฯ เดี๋ยวนั้น กลับพร้อมกับท่านเลย ไม่ใช่เล่น ๆ ขนาด ๑๖ พรรษาแล้วนั่น ท่านจะเอากลับกรุงเทพฯ ...

ตอนนั้นจิตของเราหมุนเป็นธรรมจักรจะกลับไปได้อย่างไร พูดง่าย ๆ จิตมันเป็นธรรมจักร หมุนอัตโนมัติฆ่ากิเลส มีแต่ฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว ๆ แล้วจะเข้าไปสั่งสมกิเลสในกรุงเทพฯ ได้อย่างไร พูดตรง ๆ ท่านมีแต่จะให้กลับกรุงเทพฯ ดุอีกด้วยนะ เพราะท่านติดตามมาหลายครั้งหลายหนแล้วไม่ได้ผล คราวนี้ท่านเอาใหญ่ ท่านจะเอากลับกรุงเทพฯ พร้อมไปเลย มิแต่จะให้กลับกรุงเทพฯ ถ่ายเดียว

เราก็นิ่ง ‘เอ๊.. ทำอย่างไรน้า’ จนท่านพูดจบแล้ว เราถึงจะได้กราบเรียนท่าน ยังพูดไม่จบเลย เจ้าคุณศรีวรคุณท่านเป็นเพื่อนกันนี่ ฟังท่านเอาอย่างเข้มข้น ๆ ทางนั้นก็คงจะรำคาญ

‘ก็จะให้เขากลับไปหาอะไรอีก นี่ก็ใหญ่โตขึ้นมา ถ้าเป็นผู้เป็นคนก็มีครอบครัวเหย้าเรือนแล้ว จะให้ท่านไปเป็นเด็กได้อย่างไร ถ้าธรรมดาก็เป็นพ่อตาแม่ยายแล้ว ยังจะให้เป็นลูกเขยเขาอยู่หรือ อายุพรรษาก็มากแล้ว แก่ขนาดนี้แล้ว’

จากนั้นท่านก็ถามมาหาเรา เราอยากตอบตั้งแต่ท่านยังไม่ถาม ‘นี่ท่านมหาพรรษาเท่าไร ?’ ’๑๖ พรรษา’ โน่นน่ะ...ขึ้นอีกนะ

‘๑๖ พรรษาเป็นพระอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว จะเอาคืนไปเป็นลูกเขยใหม่อยู่ได้อย่างไร’

เราก็เลยรอดตัว ท่านนั่งนิ่งนะ รอดตัว องค์นี้ช่วยนะ ไม่อย่างนั้นจะแก้ยากเหมือนกัน แต่เรื่องให้กลับ.. กลับไม่ได้เลย พูดให้ตรงเสีย.. เวลานั้นจิตเป็นธรรมจักรแล้ว หมุนติ้ว ๆ เลย ไม่มีวันมีคืน ไปแต่องค์เดียวอยู่ในป่าในเขา มาเผาศพพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเพียง ๔ วัน คืออันนี้มันหมุนตลอด บังคับให้อยู่ได้เพียง ๔ วัน พองานเสร็จแล้วออกเลยทีเดียว เพราะอันนี้มันรุนแรงมาก มีแต่จะพุ่ง ๆ โดยถ่ายเดียว

นี่ละจิต...เมื่อถึงคราวที่มันจะออกเป็นอย่างนั้น เวลากิเลสพันไว้นี้... กิเลสก็กล่อมไปทางต่ำ ๆ ดึงลง ๆ ทางนี้ก็เคลิ้มหลับไปตามมัน ทีนี้พอธรรมตื่นตัวขึ้นมาแล้ว เอาละทีนี้ ฟัดกิเลสทั้งวันทั้งคืน บังคับให้หลับ บางทีไม่หลับ ต้องเอาพุทโธเป็นคำบริกรรม ไม่งั้นมันจะพุ่ง ๆ ทางปัญญาจะฆ่ากิเลส กิเลสตัวไหนโผล่ขึ้นมาขาดสะบั้น ๆ ถึงขนาดนั้นแล้วมันจะกลับไปได้อย่างไร ไปอยู่กับสมเด็จฯ ท่านได้อย่างไร แต่ท่านไม่รู้ภายในของเรานั่นซิ การที่จะกราบเรียนท่านอย่างไร ต้องมีมารยาทด้วยความเคารพ พอดีท่านเจ้าคุณท่านช่วย เราก็เลยรอดตัวไปได้

ฟังซิ...ในงานศพพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่เพียง ๔ วัน ขนาดนั้นละ.. มันอยู่ไม่ได้ มันพุ่ง ๆ ภายในจิต เรื่องฆ่ากิเลสนี่หมุนติ้ว ๆ มีแต่จะไปท่าเดียว ออกท่าเดียว นี่ถึงกาลเวลามันจะออกมันไม่ฟังเสียงอะไร มีแต่ฆ่ากิเลสตลอดเวลา พองานเสร็จก็โดดเลย พอเผาศพท่านได้ ๔ วันขึ้นเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ หลังจากนั้นก็เปิดลงอำเภอบ้านผือ เข้าศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-08-2016 เมื่อ 18:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #350  
เก่า 18-08-2016, 18:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สงสัยอุบายธรรม ที่วัดดอยธรรมเจดีย์

วันหนึ่งช่วงเดือน ๓ ข้างแรมหลังเสร็จพิธีถวายเพลิงหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านก็ไปภาวนาที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร ระยะนั้น ท่านยังอัศจรรย์กับความสว่างไสวของจิตดังนี้

“... จิตของเรามันสว่างไสว ก็อย่างว่านั่นแหละ คนเป็นบ้า อัศจรรย์ตัวเอง ไม่มีใครอัศจรรย์เท่าเจ้าของอัศจรรย์บ้าในตัวเอง ไม่ใช่อัศจรรย์ธรรม แต่เป็นอัศจรรย์บ้า ความหลง ความยึดจิตอวิชชา มันจึงอัศจรรย์ตัวเอง เวลาเดินจงกรมอุทานออกมาในใจว่า

‘แหม... จิตเราทำไมสว่างเอานักหนานะ ร่างกายเรามองดูมันเห็นพอเป็นราง ๆ เป็นเงา ๆ เพราะความรู้ทะลุไปหมด’


สว่างไปหมดเลยก็อัศจรรย์ล่ะซิ เราถึงว่าอัศจรรย์บ้า...”

ท่านอดอาหารมาได้เพียง ๓ วัน เนื่องจากระยะนั้นอดนานมากไม่ได้แล้ว เพราะนับแต่เริ่มปฏิบัติมาจนขณะนี้เป็นเวลา ๙ ปี ตอนนี้ก็พรรษาที่ ๑๖ แล้ว ท่านก็อดอาหารแบบสมบุกสมบันอย่างนี้ตลอดมา วันนั้นท่านจึงตั้งใจจะฉันจังหัน

เนื่องด้วยท่านพระอาจารย์กงมา (เจ้าอาวาสวัดดอยธรรมเจดีย์ในขณะนั้น) อนุญาตให้ชาวบ้านมาใส่บาตรที่วัดทุกวันพระ พระเณรจึงไม่จำเป็นต้องออกไปบิณฑบาตนอกวัด

ดังนั้นพอได้อรุณแล้ว เพื่อรอเวลาฉันอาหารท่านจึงออกจากกุฏิไปเดินจงกรมทางด้านตะวันตกของวัด ตั้งใจว่าจะเดินอยู่จนกระทั่งได้เวลาบิณฑบาต ขณะที่ท่านเดินจงกรมไปมาอยู่นั้น เกิดรำพึงขึ้นในใจว่า “เอ.. จิตนี่ทำไมอัศจรรย์นักหนานะ มันสว่างไสวเอามาก...”

ท่านอธิบายถึงสภาวะจิตใจของท่านในช่วงนี้ว่า

“... จิตเราอัศจรรย์ที่มันสว่างไสวอะไรนักหนานี่ .. เดินอยู่นั่งอยู่ที่ไหนมองดูอะไรนี้มันสว่างจ้าไปหมดเลย ร่างกายของเรานี่มันเหมือนกับตะเกียงเจ้าพายุเรานี้ แก้วครอบมันใสอยู่ข้างนอก คือจิตนี้เป็นเสมือนไส้ตะเกียงจ้าอยู่ข้างใน ทีนี้มันก็ส่องออกมาทะลุหมด แก้วครอบอยู่นี้เหมือนไม่มีทะลุออกหมด ร่างกายนี้เรียกว่าไม่มี ธรรมชาตินี้มันสว่าง มันซ่านออกไปหมดเลย มันกระจายไปหมด ร่างกายมีเหมือนไม่มี.. เราจึงอัศจรรย์ละซิ ยืนอยู่นั่งอยู่ดูอยู่นี้จะว่าไง จิตมีวันมีคืนที่ไหน..! ความสว่างของจิต.. ไม่มีมืด มีแจ้งนะ เป็นธรรมชาติอย่างนั้นจ้าอยู่


‘โถ.. จิตเรา ทำไมถึงอัศจรรย์ขนาดนี้เทียวนา’

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2016 เมื่อ 20:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #351  
เก่า 26-08-2016, 16:12
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นั่น...เห็นไหมล่ะ ? กำหนดทดลองดูนะ ไม่ใช่ธรรมดา คือมันสว่างขนาดนี้แล้ว ไปอยู่บนเขานี่นะ เอาภูเขาทั้งลูก.. กำหนดดูภูเขาทั้งลูกนี้เหมือนเงา เหมือนกับแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุนั่นแหละ ภูเขาทั้งลูกนี้เหมือนเงา เหมือนแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ จิตนี้พุ่งออกหมดเลยจึงได้อัศจรรย์

‘โอ้โห...จิตของเรานี้ทำไมถึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา’

นี่ละพระธรรม...ท่านกลัวเราติด ก็เราติดแล้วนั่นน่ะจะว่าไง ท่านกลัวเราติดจึงขึ้นมา นี่ละที่ว่าธรรมเกิด ฟังเอานะ เมื่อเห็นความอัศจรรย์เจ้าของมองไปที่ไหนมันว่างไปหมดเลย ... นี่ละจิตดวงนี้ เวลาชำระความมัวหมอง มลทินมืดตื้อออกมากน้อยเพียงไรมันจะแสดงตัวเต็มเหนี่ยว ๆ

ทีนี้ก็ขึ้นอัศจรรย์ในตัวเอง โอ้โห.. จิตของเราทำไมถึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เทียวนา กำหนดดูอะไรมันไม่มีเลย มองดูภูเขาต่อหน้านี้มันทะลุไปต่อหน้าต่อตาเลย อันนี้มันรุนแรงทะลุไปหมด ภูเขาไม่มีความหมายนะ เหมือนกับตะเกียงแก้วครอบไม่มีความหมาย ไส้ตะเกียงความสว่างทะลุออกไปหมดเลย อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เราเทียบได้อย่างนี้

ทีนี้ธรรมเกิดนะ เรียกว่าธรรมเตือน กลัวเราจะติด พอรำพึงอยู่นั้นเราก็นิ่ง สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำพูดนะ ออกมาจากหัวใจจริง ๆ เป็นคำพูดเหมือนเราพูดกัน แต่ให้ได้ยินเสียงไม่ได้ยิน หากเป็นคำพูดในใจบอก พอรำพึงถึงเรื่องความอัศจรรย์ของจิตจบลงเท่านั้น อุบายก็ผุดขึ้นมาในขณะจิตหนึ่งเป็นคำ ๆ เป็นประโยค ๆ อย่างไม่คาดไม่ฝันว่า ‘ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ’

ว่าอย่างนั้นเรางงทันที.. งงเป็นไก่ตาแตกไปเลยทั้ง ๆ ที่ธรรมท่านเตือนเราให้รู้ ว่าจุดก็คือจุดผู้สว่างนั้นแหละ แทนที่จะได้อุบายจากอุบายนั้นกลับไม่ได้ นี่ถ้าเป็นท่านผู้รู้ผู้ฉลาดท่านก็ว่า “ธรรมเกิด แต่เรามันโง่จึงไม่อาจคิดขึ้นได้” มิหนำซ้ำยังเพิ่มความสงสัยเข้าไปอีกว่า “เอ..จุดที่ไหน ? ต่อมที่ไหน ?”

ทั้งที่ก็มองเห็นชัด ๆ อยู่แล้ว เพราะจุดสว่างมันเห็นเป็นดวงอยู่ในจิต สว่างจ้าอยู่ภายในจิตนี้ พูดง่าย ๆ ก็เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ มันสว่างจากไส้ตะเกียง ไส้มันคือจุดที่สว่างมันก็เห็นอยู่แล้ว จุดแห่งความสว่างมันก็เห็นได้อย่างชัด ๆ แต่มันไม่จี้เข้าตรงนี้ กลับลูบคลำไปที่ไหนตามประสาความโง่นั่นแหละ อุบายผุดขึ้นมาขนาดนั้นแล้วน่าจะยึดได้ มันยังยึดไม่ได้ จึงไม่ได้ประโยชน์จากอุบายที่ผุดขึ้นบอกในเวลานั้น ปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่า ๆ ยังปลงวางกันไม่ได้ จึงได้แบกปัญหานี้ธุดงค์ไปคนเดียวในป่าในเขาทางอำเภอหนองผือ จังหวัดอุดรธานี และทางอำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2016 เมื่อ 20:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #352  
เก่า 01-09-2016, 19:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ถูกนายพรานด่าว่า

“... สมัยที่เราพักอยู่อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร มันเป็นกรรมบันดาลอย่างไรไม่ทราบ.. พูดถึงสัตว์กับพระนี้รู้เข้าใจกันมากทีเดียว ผ้าสีเหลืองหม่นของพระไปไหนไม่เป็นภัยต่อใคร ๆ เราไปอยู่ในป่าในเขาก็มีพวกสัตว์นี้เข้ามาอยู่ด้วย คือว่ามันอยู่ข้างนอกมันกลัวนายพราน กลัวพวกสัตว์ด้วยกัน เช่นเสือร้ายมาเอาไปกินบ้าง คนฆ่าบ้าง ถ้ามาแอบอยู่กับพระย่อมปลอดภัย ไม่ค่อยเป็นอะไร

เราไปพักคนเดียวในป่าเป็นที่ดงลุ่ม ๆ พวกเนื้อ พวกอีเก้ง พวกหมู พวกเสือ พวกหมีเต็มอยู่ในนั้น เห็นว่าที่นั่นมันสงัด ห่างจากหมู่บ้านกิโลกว่า ๆ ไม่ไกลนัก บางบ้านก็ ๒ กิโล บิณฑบาตกับเขาพอได้อาศัย

ขณะนั้นมีพวกนายพรานมาหาล่าเนื้อ เขาดาหน้ากระดานล้อมโอบป่าเข้ามา นายพรานดักอยู่ข้างหน้า ด้านกลางเป็นบริเวณสัตว์อยู่แล้วพวกนี้ไล่ดาหน้าเข้าไป เคาะไม้เคาะอะไรไป ร้องโหวกเหวก ๆ ไป เพื่อไล่ล่าเนื้อให้ไปรวมอยู่ในจุดเดียว

เราก็อยู่ที่ป่านั้น ล้อมเข้ามาจนกระทั่งถึงที่พักเรา มันทำให้เราสลดสังเวชเหลือประมาณ เราก็ดู ... บ้านเราเมืองเรามีศาสนา ถ้าเป็นคนไม่รู้เรื่องเราก็จะบอก นี่มันรู้เรื่องแล้ว มันแกล้งเฉย ๆ เราก็เลยไม่สนใจ ... เพียงคิดในใจว่า

‘เอ! บ้านนี้เมืองนี้ มันเป็นยังไงกันนะ คนเราก็ต้องมีความละอายแก่ใจ เกรงกลัวต่อบาป จะมาหาล่าสัตว์บริเวณพระอยู่ได้ยังไง โอ้!.. ชาวบ้านนี้ ช่างหยาบหนาเสียจริง ๆ’


พวกนายพรานเขามีข้อกติกากัน คือใครไปตรงไหนให้ไปตรงนั้น ไปที่อื่นไม่ได้ เวลาล่าเนื้อ เขามีกติกาอยู่ ๒ อย่าง ๑) นายพรานยิงไม่ถูกเขาเฆี่ยนนายพราน ๒) ถ้าลูกน้องไล่ไปไม่ตรงตามจุดที่เขาทำเครื่องหมายต้องถูกเฆี่ยน เพราะฉะนั้น พวกสัตว์และพวกพรานมันจึงมาถึงที่ที่เราพักอยู่

ไอ้นายพรานคนหนึ่ง เดินจ๊อกแจ๊ก ๆ มายืนอยู่ข้างหน้า มันโกรธที่พวกเนื้อตื่นหนีจึงตะโกนชี้หน้าด่าเป็นภาษาอีสานว่า ‘พระห่ากินหัวมึง! มึงมาอยู่ตายหยังบ่อนนี้! กูจะเอาปืนยิงหัวมึง มึงบ่ฮู้จักบ่อนไล่เนื้อคนหรือ? (พระห่ากินหัว มึงมาอยู่ตายทำไมตรงนี้ กูจะเอาปืนยิงหัวมึง มึงไม่รู้จักสถานที่ล่าเนื้อคนหรือ)

มันด่าว่าแล้วมันก็ไป มันไม่ยิงหัวเราหรอก มันด่าว่าเฉย ๆ แต่กริยามันอุจาด เราก็เฉย พวกลูกน้องได้ยินมันพูดอย่างนั้นก็ยืนฟังหน้าแห้ง เพราะมีบางคนที่เขาเคารพพระ เป็นแต่เพียงนายสั่งให้ไปอย่างไรก็ไปอย่างนั้น หลีกไม่ได้เขาจะเฆี่ยน

สักประเดี๋ยว ... ผู้เฒ่าซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากที่ดูแลเราก็เข้ามา แกจึงไปขนาบพวกนั้น พูดเสียงดังเหมือนกันว่า ‘พวกห่ากินหัวสู ครั้นสูหิวสิตาย สูเป็นหยังบ่เอางัวอยู่คอกกูมาฆ่ากิน สูมาไล่อีหยัง ไล่เนื้อพระวัดพระวา ครูบานี่ กูตั๊วเป็นผู้เอามา เอาเพิ่นมานี่’ (พวกห่านี่ ... ถ้าพวกมึงหิวเนื้อจนจะตาย ทำไมไม่เอาวัวในคอกกูมาฆ่ากิน ทำไมจึงมาไล่ฆ่าสัตว์ในวัดในวา พระรูปนี้ กูเป็นคนไปนิมนต์ท่านมา) พวกพรานฟังแกด่าว่าแล้วก็เฉย บ่ปาก (ไม่พูดอะไร)

ต่อมาอีกไม่นานนักประมาณเกือบ ๆ อาทิตย์ ... ไฟได้ลุกลามไหม้บ้านและยุ้งข้าวของนายพรานคนที่ด่าเราจนเกลี้ยงหมด ทั้ง ๆ ที่เขานอนอยู่บ้านในเวลากลางวันแสก ๆ ไหม้ก็ไหม้เฉพาะบ้านและยุ้งข้าวของแกหลังเดียวเท่านั้น แล้วหลวงก็ปรับสินไหมอีกในฐานละเมิด คือดูแลยุ้งข้าวไม่ได้

ต่อจากนั้นอีก... พอตกเดือนพฤษภาคม แกไปทอดแห ไปได้ปลามาแล้ว เดินไปเก็บใบมะขามอ่อนมาต้มใส่ปลา จึงปีนขึ้นต้นมะขาม ขณะปีนพลาดตกลงมาโดนเสาโคนรั้วปลายแหลม ๆ เสียบตูดทะลุ ตายคาที่

พวกชาวบ้านมาเห็นดังนั้น ก็ร้องเรียกบอกข่าวกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ‘มันจะตายกันทั้งบ้าน ไอ้พวกที่ไปหาไล่เนื้อขู่ยิงพระ’ จึงกลัวกันจนจะเป็นบ้าไปเลย

นี่มันเป็นสิ่งน่าคิด ... น่าพิจารณาเราพูดตามเรื่อง ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เรื่องศาสนานี่สำคัญอยู่นะ เป็นเรื่องลึก ๆ ลับ ๆ อยู่ ผ้าเหลืองนี้จึงมีอำนาจอยู่ลึก ๆ นะ ... เพราะธรรมเหนือวิทยาศาสตร์ เรื่องบุญเรื่องกรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-09-2016 เมื่อ 02:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #353  
เก่า 23-09-2016, 17:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร ... นิพพาน

“... พระสารีบุตรมีฤทธาศักดานุภาพมาก มาทูลไปนิพพาน วันนั้นพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ‘เออ นี่สารีบุตร เธอจะนิพพานแล้ว มีอะไร ๆ ก็ฝากน้อง ๆ ไว้เป็นที่ระลึก’

พระองค์แย้มเท่านี้เอง ... พระสารีบุตรก็แสดงฤทธิ์เต็มเหนี่ยว พระโมคคัลลาน์เหมือนกัน เหาะขึ้นเหาะลงอะไร วันนี้ประตูพระเชตวันเปิดหมดเลย บรรดาพระทั้งหลายที่อยู่ในวัดนี้ จะไปส่งพระสารีบุตรซึ่งเป็นพี่ของเธอทั้งหลายให้ไปได้ จะไปนิพพานที่ห้องประสูติ คือจะไปโปรดแม่ในวาระสุดท้าย แม่เป็นมิจฉาทิฐิ พระสารีบุตรก็ไปแสดงฤทธิ์ให้แม่เห็น

เริ่มแต่แสดงฤทธิ์ให้เทวดาชั้นต่าง ๆ ลงมา พระสารีบุตรเปิดโอกาสให้ทั้งเทวดาทั้งแม่ได้เห็นกันชัดเจน เหมือนเรามองเห็นกัน พอเทวดาชั้นนี้เคลื่อนออกไปก็เข้ามาถามลูก ลูกก็บอกว่านี่เทวดาชั้นนั้น เดี๋ยวมาอีก ๆ ฟังให้ดีนะ บรรดาเทวดาทั้งหลายมาเป็นชั้น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง.. การแต่งเนื้อแต่งตัว รูปร่างลักษณะทุกอย่าง ๆ จะละเอียดลออขึ้นเรื่อย ๆ แม่ดูอยู่ เพราะแม่เป็นมิจฉาทิฐิไม่ยอมฟังเสียงลูกเลย

เวลาลูกจะมานิพพานยังบอกว่า ‘เออ อุปติสสะออกไปบวชแล้ว แก่จนขนาดนี้จะยังมาสึกอะไรกัน

คือนึกว่าลูกจะมาสึก พระสารีบุตรจึงอบรมสั่งสอนแม่ ท้าวมหาพรหมมาเป็นวาระสุดท้ายเหลืองอร่ามไปหมด มหาพรหมเป็นหัวหน้าลงมา พระสารีบุตรก็เทศน์โปรดแม่ แม่ร้องไห้นะ

‘โอ้โห ลูกเราเป็นอย่างนี้เชียวเหรอ นึกว่าจะมาสึกบั้นแก่’


แล้วมาเป็นอย่างนี้ให้เราเห็น แม่เกิดความสลดสังเวช ร้องห่มร้องไห้ เหล่านี้เหมือนกับสามเณรของอาตมา ฟังซินะ ตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมานี้เท่ากับสามเณรของอาตมานั่นแหละ ก็ยิ่งเห็นชัดเจนว่าลูกของเรานี้ใหญ่โตขนาดไหน ยิ่งอัศจรรย์ พอเสร็จจากนั้นท่านก็นิพพาน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-09-2016 เมื่อ 21:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #354  
เก่า 30-09-2016, 19:00
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

แสดงอิทธิฤทธิ์

“ ...เรื่องพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เห็นหลายแห่งนะ .. เหรียญท่านก็เป็นฤทธิ์เป็นเดชอยู่นะ เหรียญรุ่นแรก ๆ เลยนะ เขาทำอยู่สกลนครเราจำได้ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์นี่แหละทำ พวก ต.ช.ด. ได้เหรียญแล้วเอาติดคอไปคืนวันนั้น เพราะรักสงวนท่านมากเลย เอาท่านไว้ใต้ที่นอนแล้วก็นอนทับกลัวใครจะมาคว้าไปเสีย

ปลดออกจากคอแล้วก็วางไว้ใต้ที่นอน ว่าหมอนก็ไม่ใช่หมอน พวก ต.ช.ด. นอนอยู่ในป่า เอาใส่ไว้ใต้ที่นอน พอนอนหลับไปก็ฝันถึงท่านอาจารย์เสาร์กับท่านอาจารย์มั่นเดินมาด้วยกัน เพราะท่านติดกันมาแต่ไหนแต่ไรมาว่า

‘พวกนี้เอาเรามาทิ้งไว้ในป่า เขาไม่นำพา พวกเราหนีนะไม่อยู่กับพวกนี้’
ว่างั้น

แล้วเขามองตามหลังท่านเดินไปสององค์ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาคว้าหาเหรียญก็ไม่เห็น เหรียญหายไป อย่างนั้นก็เป็น แปลกอยู่นะ ความฝันนะ พอความฝันผ่านไปแล้วก็ตื่นรู้สึกตัวก็ค้นที่เอาไว้ใต้ที่นอนเลย หายเงียบจริง ๆ เลย ไม่ได้เลย ตำรวจคนนั้นร้องไห้โฮ ไม่ได้จริง ๆ นะ.. หายเลย ค้นจนแหลกก็ไม่มี นั่นดูซิ เหรียญหายไปไหน...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-09-2016 เมื่อ 19:22
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #355  
เก่า 07-10-2016, 17:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ฆ่าล้างแค้นสะดุดปาฏิหาริย์หลวงปู่มั่น

“ ... มันเป็นปาฏิหาริย์ไหมนี่ เขามาเล่าให้ฟัง ไม่ใช่เรื่องโกหก เขาจะไปฆ่ากัน ถือปืนไปเลย ติดไปเลย จะฆ่าถ่ายเดียว เพราะเจ็บแค้นอย่างมากทีเดียว ไม่ได้ฆ่าไม่ได้ ว่างั้นเลย ตั้งหน้าจะไปฆ่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไปอยู่ ๆ มันเป็นปาฏิหาริย์ นี่ละธรรม ใครอย่ามาคาด ๆ เรื่องธรรมนี่เลย ทุกสิ่งทุกอย่างสุดที่เราจะคาดจะเดาได้

เขาเดินไปเลยตั้งใจจะไปฆ่า ไปก็เปรี้ยงเลย ไม่ต้องมีหลบมีหลีกอะไรเพราะมันถึงใจ เดินเข้าไปยิงเลย.. จะตายก็ตาม ขอให้คนนี้มันตายขนาดนั้นนะ กึ๊ก ๆ ไป พอไปไม่ทราบว่ายังไง อยู่ ๆ หลวงปู่มั่นเรานี่กึ๊กขึ้นตรงหน้าเลย นั่นเห็นไหม เขาเคารพหลวงปู่มั่นอยู่แล้ว เห็นไหมล่ะ นี่ละจุดสำคัญ ฟังเอาซิ

ตั้งหน้าตั้งตาจะไปฆ่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ พอไปนั้น ไม่ทราบหลวงปู่มั่นมาจากไหน ผุดขึ้นมายืนจังก้าข้างหน้านี่ ขึ้นเลยทีเดียว ‘เหอ นี่จะไปตกนรกหลุมไหน’

ว่างั้น โห.. ทิ้งปืนเลย กราบราบ กลับไปแล้วเป็นมิตรกัน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์อีกเหมือนกัน นั่นเห็นไหม กลับเป็นคนใหม่ขึ้นมากลับตัว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย กราบแล้วกลับมา โห.. เรายังมีวาสนาบารมี พาชมเจ้าของนะ ถึงคราวจะเป็นจะตายจะล่มจะจมจริง ๆ หลวงปู่มั่นท่านมาจากไหน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นท่าน เขาว่าอย่างนี้นะ เขาบอกเขาไม่เคยเห็น แต่เขาเคารพกราบไหว้บูชาตลอด อย่างฝังใจเหมือนกัน

อันนี้อยู่ ๆ หลวงปู่มั่นมาฉุดลากขึ้น เราจะไปลงนรกขุมไหน ว่างี้เลยนะ ฮึบขึ้นมาอย่างเด็ดขาดเสียด้วยนะ ยืนจังก้าอยู่นี้ แล้วมีที่ไหน เห็นไหมล่ะ โผล่ขึ้นมายืนจังก้าต่อหน้านี้ โห.. ทิ้งปืนแล้วกราบไหว้ เสร็จแล้วกลับเลย กลับตัวร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แล้วยิ่งมีความแน่นหนามั่นคงเข้าทางด้านศีลธรรม ไม่ทำอะไรตั้งแต่บัดนั้น พวกสัตว์ พวกเสืออะไร ตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ฆ่าเลย ฟังซิ.. ตัดได้หมด

นี่ละ อำนาจความดี ไม่อย่างนั้นคนนี้ก็จมลงในนรก คนนั้นก็ตาย คนนี้ก็จมลงนรก แล้วมาโผล่ ๆ ขึ้นมาฉุดลากขึ้นในปัจจุบัน .. ตั้งแต่นั้นมาก็เลยชมบารมีของตัวเอง โห... เรานี่ยังมีบารมีอยู่หนา ถ้าไม่มีบารมียังไงต้องพัง ไอ้นั้นต้องตาย เราต้องลงนรกอย่างแน่ ว่าละ.. กลับตัวเป็นคนดี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไปเลย สละตายกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กับครูบาอาจารย์ นี่เห็นไหมจุดแห่งความยับยั้ง เห็นอยู่อย่างนี้จะว่าไง ธรรมใครอย่าไปคาดนะ แต่เรื่องกิเลสมันยังคาดวาดภาพไป ธรรมเหนือหมด นี่ละเรื่องการยับยั้งตัวเอง เมื่อมีที่เคารพนับถืออยู่มันมีที่ยับยั้งนะ ถ้าไม่มีเลยก็อย่างว่านั่นแหละ...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-10-2016 เมื่อ 19:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #356  
เก่า 14-10-2016, 15:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ความจำเป็นของครูอาจารย์

ท่านกล่าวถึงความฉลาดของหลวงปู่มั่น ที่มีอุบายวิธีติดตามผลการภาวนาของลูกศิษย์แต่ละราย ๆ จะได้ไม่เสียเวลาและก้าวเดินอย่างถูกต้องเป็นลำดับไปดังนี้

“... ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรานี้มีมากที่สุด พวกเพชรน้ำหนึ่ง ๆ รู้สึกจะเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น ท่านไม่ยุ่งกับใคร แต่กับพระนี่ โถ.. ท่านติดตามนะ ใครภาวนาเป็นยังไง ๆ ท่านจะติดตามเรียกมาถามเรื่อย แม้แต่อย่างเรานี้ท่านยังใส่ปัญหา คือถ้าเราไม่ได้คุยธรรมะกับท่านโดยเฉพาะ ประมาณสักอาทิตย์กว่า ๆ แล้ว ท่านจะหาอุบายแหย่มา ‘ท่านมหาก็ภาวนาไม่เห็นได้เรื่อง’


ท่านยุหมาจะให้เห่าให้กัดใช่ไหม เพราะเรากำลังเป็นหมาอยู่นี่นะ ท่านก็แหย่มา ‘ท่านมหาภาวนาทุกวันนี้ไม่เป็นท่าแล้ว เสื่อมไปแล้ว’

โห.. ทางนี้มันคึกคัก มันเสื่อมที่ไหนน่ะ หมาตัวนี้มันคึกคัก มันจะเห่าทันทีเลย มันเสื่อมที่ไหนน่ะ พอได้โอกาสก็เข้ากราบเรียนท่าน ที่ว่านั่นก็หายไปเลยนะ ท่านไม่ได้พูดถึงเลย เพราะท่านแหย่หาเรื่องเฉย ๆ ท่านมหานี่ก็เสื่อมไปแล้ว หายเงียบไปเลย

‘แต่ก่อนก็เห็นว่าภาวนาดีหน่อย ทีนี้ก็เสื่อมไปหมดแล้ว’


ทางนี้มันก็คึกคัก จะกัดจะเห่าละซี ‘มันเสื่อมไปไหนน่ะ’ อยากว่าอย่างนั้นนะ พอได้โอกาสเราก็ไปหาท่านคุยเรื่องธรรมะ ท่านฟังเสร็จเรียบร้อยแล้ว.. คำเหล่านั้นก็ไม่มี เพราะท่านแหย่เฉย ๆ เราก็รู้ มันหากมีละท่าของท่าน แหย่ท่านั้นท่านี้

ครั้นนาน ๆ คุยกันนี้ ‘หือ เสื่อมไปถึงไหนแล้ว’ อย่างนั้นนะ มันก็โมโหซิ มันเสื่อมไปไหน ท่านแหย่เอาที่จุดสำคัญ ๆ นะ ... ก็คนหนึ่งเร่งภาวนาจนจะเป็นจะตาย จิตมันก็สง่างามตลอด แล้วอยู่ ๆ ก็มาแหย่เอา คือท่านหาอุบายจะให้คุยธรรมะให้ท่านฟัง ก็มีเท่านั้นละเรื่องน่ะ แต่ท่านไม่ได้พูดธรรมดาน่ะซี

บางทีนั่งอยู่เวลาประชุมพระมาก ๆ อยู่ด้วยกัน นั่งอยู่นี่ ‘ท่านมหาก็เห็นมีวี่ ๆ แวว ๆ บ้างภาวนาทีแรก เดี๋ยวนี้หายหมด เสื่อมหมดแล้ว ‘ว่างี้นะ ทางนี้ก็คึกคักล่ะซี หมาตัวนี้ลุกคึกคักขึ้นจะเห่าแล้ว มันเสื่อมไปไหน เห่าว้อก ๆ มันเสื่อมไปไหนน่า อยากว่าอย่างนั้น ท่านมีอุบายแปลก ๆ นะ

อู๋ย...ท่านฉลาดมาก ฉลาดจริง ๆ ยกให้เลยหลวงปู่มั่นนี้ อุบายวิธีการต่าง ๆ ท่านเอาจริงเอาจัง ติดตามนะ ใครภาวนาได้ผลมากน้อยเพียงไรนี้ ท่านจะติดตามเรื่อย ๆ อย่างนี้ละ ติดตามแบบนี้ละ คนละแบบ ๆ องค์หนึ่งเป็นแบบหนึ่ง ๆ ส่วนเราแบบนี้ว่างั้นเถอะ ทีไรก็แบบนี้เท่านั้น ให้คึกคัก ๆ ขึ้นจะเห่าทันทีเลย แปลกอยู่นะ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2016 เมื่อ 17:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #357  
เก่า 20-10-2016, 17:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงมั่นใจว่าหากหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ ปัญหาธรรมภายในใจของท่านที่เป็นอยู่ขณะนี้ หลวงปู่มั่นท่านจะสามารถแก้ให้ได้ในทันที ท่านเปรียบความรู้ความชำนาญของหลวงปู่มั่นที่สามารถแก้ปัญหาของศิษย์ได้อย่างรวดเร็วไว้ดังนี้
“...เวลาออกมาจากป่าจากเขา หอบปัญหามาจนจะก้าวไม่ออก พอมากราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านก็ใส่เปรี้ยง ๆ ความสงสัยพังทลายลงไปหมด ตัวเบาหวิว ๆ ถ้าตรงไหนยังไม่ลงกันก็ถกกัน บรรดาครูอาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ไม่มีใครเป็นพระตัวชน ตัวขี้ดื้อยิ่งกว่าเรา คือเราต้องการความจริง ท่านก็ทราบความจริงของเรา เพราะเราไม่ใช่เป็นคนหน้าด้านที่จะไปอวดทิฎฐิมานะต่อท่าน ท่านก็ทราบ ท่านจึงแสดงให้เราฟัง


ผู้รู้แก้ปัญหามันผิดกันกับผู้ไม่รู้มาก ก็เหมือนหมอเถื่อนกับหมอปริญญานั่นแหละ ผิดกันยังไงก็ดูเอาสิ หมอเถื่อนนั่นทุ่มกันทั้งหีบ ดีไม่ดีคนไข้ตาย หมอปริญญาเขาไม่ใช่อย่างนั้น เขาถามอาการแล้วตรวจดูแล้ว เขาก็หยิบยามานิดเดียวเท่านั้น ใส่ปั๊บเลย ควรฉีดก็ฉีด ควรให้รับประทานก็รับประทาน มันก็หายไปเลย มันผิดกัน.. ไม่จำเป็นต้องยกยามาทั้งหีบ

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมอันใดที่จำเป็นเหมาะสมกับปัญหาที่เกิดเวลานี้ ของคนนี้ใส่เปรี้ยงเดียวเท่านั้น จบเลย...”

แต่เนื่องจากขณะนี้หลวงปู่มั่นได้จากไปแล้ว อุบายที่ผุดขึ้นภายในจิตของท่านว่า “ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ” เป็นปัญหาธรรมที่ท่านยังไม่เข้าใจความหมายในเวลานั้น ท่านจึงได้แต่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ว่าหากหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่.. องค์ท่านจะสามารถแก้ปัญหานี้ให้ได้ในทันที ดังนี้
“…หากท่านอาจารย์มั่นยังทรงธาตุทรงขันธ์อยู่ ท่านจะแก้อุบายนี้ได้ทันที และจิตอวิชชาดวงสว่างไสวน่าอัศจรรย์นี้จะต้องพังทลายขาดสะบั้นไปในตอนนี้เลยทีเดียว แต่เพราะด้วยขณะนั้นปัญญายังไม่ทันกับอุบายที่ผุดขึ้น จึงไม่สามารถพังทลายได้ มิหนำซ้ำยังติดยังยึดมันเข้าเสียอีกด้วย...”


ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงพูดอย่างถึงใจอยู่เสมอว่า ครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงนั้นมีความจำเป็นอยู่ทุกระยะดังนี้
“ ถ้าสมมติว่านำปัญหานี้มาเล่าถวายท่านอาจารย์มั่นตรงนี้ปั๊บ ... ท่านจะใส่ผางมาทันที ทีนี้จะเข้าใจ .. ปุ๊บเดียวจุดนั้นก็พังทลายไปเลย นี่มันไม่เข้าใจ ปัญหาก็บอกชัดอยู่แล้ว นี่ซิถึงได้ว่าความจำเป็นมีอยู่ทุกระยะนา ...


เรื่องจิตนี่จึงสำคัญที่ครูที่อาจารย์ผู้ให้การอบรมสั่งสอน ผู้ที่ท่านรู้แล้วไม่ต้องพูดมากเลย ท่านใส่ปั๊บเดียวได้ความ ใครจะมาสุ่มครอบทั้งหนองทั้งบึงไม่ได้ จะโยนมาใส่กันทั้งตู้ทั้งหีบมันไม่ได้

เรื่องความจำเป็นกับครูอาจารย์ มันจำเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าขั้นไหน ๆ ความก้าวหน้าของเรามันช้าผิดกัน ปัญหาบางอย่างแก้กันอยู่ ๒ วัน ๓ วัน แก้กันยังไม่ตก... ไม่ตกมันก็ไม่ถอย จะต้องแก้ให้ตกจนได้ นี่ซิมันจะตาย เพราะคำว่าแพ้นั้นมีไม่ได้ ถ้าจะแพ้ให้ตายเสียดีกว่า นอกจากต้องทะลุโดยถ่ายเดียว ถ้าไม่ทะลุก็ต้องเจาะกันอยู่อย่างนั้น หมุนติ้ว ๆ อยู่นั้น...”
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #358  
เก่า 28-10-2016, 11:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หมู่เพื่อนเกาะพรึบ

ท่านไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าจะมาเป็นครูเป็นอาจารย์ของใครเนื่องจากอุปนิสัยชอบอยู่คนเดียวตลอดมา ดังนี้

“.. จังหวะที่หลวงปู่มั่นมรณภาพ เป็นจังหวะที่หมู่เพื่อนขาดที่พึ่ง จึงเกาะพรึบเลยตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ พอเผาศพท่านแล้วออกหลบหลีกปลีกตัว หนีไปอยู่ในป่าในเขาลูกไหนลูกไหนก็ตาม ขโมยนี้สุดยอด คำว่าขโมยจากหมู่เพื่อนนี้ คำว่าสุดยอดคือยังไง


กลางคืนเงียบ ๆ ดึก ๆ ก็ไปเพราะหมู่เพื่อนไปรุมนี่ เรารำคาญเราไม่อยากอยู่ ทีนี้พอเงียบ ๆ ก็เดินดู เห็นหมู่เพื่อนบางองค์เดินจงกรม บางองค์นั่งสมาธิ นี่เรียกว่าไปดูลาดเลา เราเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว พอมาปั๊บ หนีหมู่เพื่อนออกทางนี้นะ สะพายบาตรหนีกลางคืนเงียบไปเลย พอตื่นเช้ามา หมู่เพื่อนยุ่งไปหมดเลยเหมือนฟ้าดินถล่มละ

‘ไปแล้ว ไม่ทราบไปทางไหนละ’


หายเงียบ พอประมาณสัก ๒ อาทิตย์นะ เพราะพวกนี้เก่งนี่นะ... จมูกพระนี่ติดตามถึงเขาลูกไหน ถ้ำไหน ตามถึงหมด... ตามจนกระทั่งถึง ไม่ว่าจะไปอยู่ป่าไหน เขาลูกไหน ถ้ำไหน รู้หมดเลย โอ๋.. เราจึงว่าให้ ‘จมูกหมานี้สู้จมูกพระไม่ได้นะ’

เราว่าถึงยังงี้ ว่าขนาดไหนก็เฉย (หัวเราะ) ขอให้ได้อยู่ด้วยก็เอาอย่างนั้นละนะ ว่าขนาดไหนก็เฉยเหมือนไม่มีหูมีตา ไม่มีจิตมีใจนะ เฉยคือหมายความว่า เราได้ที่แล้วจะว่ายังไงว่าเถอะ ทีนี้เอาอีกนะ พอเผลอเอาอีก บางทีกลางวันแสก ๆ หมู่เพื่อนเดินจงกรมอยู่ในเขาในป่านี่ว่ะ ไปเดินฉากนู้นฉากนี้ดู เราเตรียมของไว้แล้ว ไปเดินดูนั้นดูนี้ เห็นองค์นั้นเดินจงกรมอยู่บ้าง องค์นี้นั่งสมาธิอยู่บ้าง ไปเอาของที่เตรียมออกทางนี้นะ ทางที่ไม่มีใครนี่ไปเลย ๆ อยู่ยังงั้นไม่ทราบว่ากี่ครั้งกี่หน สุดท้ายมันก็พ้นไปไม่ได้นะ...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-10-2016 เมื่อ 13:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #359  
เก่า 03-11-2016, 19:21
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

มันเกาะไม่ถอยนี่ หลบโน้นหลีกนี้ ๆ ยิ่งท่านสิงห์ทองนี่ยิ่งเกาะใหญ่ ตามเลยเทียว ได้ยินว่าเราไปทางอำเภอบ้านผือเข้าในเขาแล้ว ตามเข้าไป ๆ ได้ยินแต่ข่าว ท่านไปนี้ ๆ ไปโน้น ๆ (พอ) ท่านสิงห์ทองไปพักอยู่ที่นั่น เขาก็มาขอฟังเทศน์ ท่านสิงห์ก็บอก

‘โอ๊ยตาย... ยังไงกันนี่ อาตมาเทศน์ไม่เป็น กำลังเสาะแสวงหาครูอาจารย์อยู่นี้.. อาจารย์มหาบัว ท่านมาพักอยู่ที่นี่ ท่านไปทางไหน ?’


เรากำลังหนักเสียด้วยตอนนั้น หนักภายในจึงได้หลบหนี หลีกหลบตะพึดตะพือละตอนนั้น เกาะเท่าไรก็สลัด เขาบอก ‘ท่านไปทางโน้น ๆ ท่านอาจารย์มหาบัวก็ว่าเทศน์ไม่เป็น ท่านไม่ยุ่งกับใครนะ ใครมาท่านไล่หนีหมดเลย ท่านบอกท่านเทศน์ไม่เป็น บทเวลาวันที่ท่านจะไป.. พวกญาติโยมมามากต่อมาก ท่านทนไม่ไหว ท่านก็เทศน์ให้ฟัง โอ้โห.. บทเวลาเทศน์วัวคู่ร้อยสู้ไม่ได้เลย

แต่ก่อนวัวคู่หนึ่ง ๑๐๐ บาทแล้วเรียกว่าเยี่ยม ว่างั้นเถอะนะ มันไม่เคยมีแหละ วัวคู่หนึ่งที่ซึ้อถึง ๑๐๐ บาทนะ อย่างมากก็ ๖๐ ๗๐ ๘๐ บาทเท่านั้นพอ อันนี้วัวคู่ร้อยสู้ไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกัน ท่านสิงห์ทองเลยว่า ‘โอ๊ย ไม่ใช่ อาตมาเทศน์ไม่เป็น’..

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2016 เมื่อ 21:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #360  
เก่า 16-11-2016, 18:59
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ธรรมลี (หลวงปู่ลี กุสลธโร) นี้ละที่เกาะเรา เกาะติด เกาะไม่ปล่อย ธรรมลีคงจะเห็นโทษหรือเห็นคุณอย่างไรไม่ทราบ มีอะไรตอบรับเราเรื่อย ๆ คือเราไปคนเดียว เที่ยวกรรมฐานเราไม่ค่อยไปกับใคร เราไปคนเดียว แต่ธรรมลีนี้ขโมยเกาะ ๆ สลัดอย่างไรไม่หลุด เกาะติด นี่คงจะคิดย้อนหลังเพราะขัดนิสัยเรา ท่านคงคิดอย่างนั้นละ ขัดนิสัยเราที่ชอบไปคนเดียว อย่างไม่มีใครติดตามได้เลย แต่ธรรมลีติดตามได้ สลัดอย่างไรไม่หลุดธรรมลี ..

เราไปแต่คนเดียว เที่ยวกรรมฐานไปคนเดียว คนเดียวไม่ใช่อะไรมันเป็นตามนิสัย นิสัยมันชอบเด็ด ถ้าไปคนเดียวป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ ถ้ามีหมู่เพื่อนป่าช้าอยู่สองแห่ง แบ่งนู้นแบ่งนี้ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าไปคนเดียวแล้วป่าช้าอยู่กับเรา มันต่างกันอย่างนั้นละ นี่ธรรมลีชอบเกาะ ธรรมลีนี้เกาะ ใครไม่ได้ติดตามเราได้ง่าย ๆ ละ การเที่ยวนี่พูดได้ชัดเจนเลยว่าเด็ด การเที่ยวธุดงค์เด็ดไปแต่องค์เดียวคือมันสนุก.. มอบเลย ทุกอย่างมอบเลย ๆ ไม่ได้แบ่งรับแบ่งสู้ ถ้ามีเพื่อนมีฝูงมันแบ่งของมัน คิดนั้นคิดนี่ ถ้าไปคนเดียวพุ่งเลย มันต่างกัน เราไปคนเดียวเราพุ่งเลย การทำความเพียรก็พุ่งแบบเดียวกันเลย ไม่ได้มีอะไรแบ่งรับแบ่งสู้ มันผิดกันตรงนั้นละ

แต่นี้ธรรมลีเกาะติด คงจะคิดย้อนหลัง ท่านคือขัดนิสัยเรา ธรรมลีนี้เกาะติด นอกนั้นเกาะไม่ติด กลางคืนเตรียมของเรียบร้อย ถ้าจะไปวันพรุ่งนี้ ไปเที่ยวใครก็ทราบ ๆ เราเตรียมของกลางคืนแล้วก็เดินฉากนู้นฉากนี้ องค์นั้นเดินจงกรม องค์นี้นั่งภาวนา เดินฉากดูหมดแล้ว ของเตรียมไว้แล้ว พอกลับมาออกทางหลังเลย ตื่นเช้ามาไม่เห็นเรา เป็นแต่อย่างนั้น ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-11-2016 เมื่อ 19:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 7 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 7 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว