|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๖
ภายในห้องน้ำที่พื้นเย็นมาก วันพฤหัสบดีที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ตื่นตีหนึ่งครึ่ง กำหนดใจนึกถึงพระ ภาวนาชักยันต์ทำน้ำมนต์เสร็จแล้ว จึงเดินไปเข้าห้องน้ำ แหม..พื้นเย็นจนสะดุ้ง ปัสสาวะแล้วจัดการเปิดน้ำร้อน ดื่มเข้าไปสามแก้วรวด แล้วมานอนภาวนา อิติปิ โสฯ ๗ จบ ดันว่าเพลินไปหน่อย เลยกลายเป็น ๑๐ จบไปเสียนี่ ดีเหมือนกัน..เกินย่อมดีกว่าขาด ต่อด้วยคาถานะมะพะทะ ๑๕ จบ เพื่อปลุกยันต์ทำน้ำมนต์... ส่งใจไปถึงเทวดาที่รักษาเส้นทางตลอดการเดินทางในวันนี้ อุทิศส่วนกุศลให้กับท่าน แล้วขอความปลอดภัยตลอดการเดินทางในวันนี้ "ท่านผู้นำ" หัวเราะกับอาการ "ปลอดภัยไว้ก่อน" ของอาตมา เออน่า..ถ้ามาตายต่างแดนเขาส่งศพกลับยากเว้ย..! จากนั้นภาวนาคาถาชินบัญชร เพิ่งได้ ๒ จบ ร่างกายก็เรียกร้องให้รีบเข้าห้องน้ำ จัดการถ่ายหนักแบบ "ลื่นไหล" สุด ๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ไม่มีท้องผูกกับใครเลย มิหนำซ้ำยังทำธุระส่วนตัวเสร็จภายในไม่เกิน ๓ นาที นิสัยนี้ติดมาตั้งแต่ยังอยู่กองโรงเรียน ครูฝึกจะให้ทหารทุกคนเก็บที่นอน แต่งตัว ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำห้องส้วมให้เสร็จภายใน ๓ นาที..! |
สมาชิก 96 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
การตกแต่งห้องของโรงแรมแห่งนี้ออกไปทางสีไว้ทุกข์ เมื่อเป็นอย่างนี้จึงกลายเป็นความเคยชินส่วนตัว หลายครั้งที่เข้าห้องน้ำออกมาญาติโยมมักจะสงสัยว่า "อะไร..เข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว ?" ต้องยืนยันว่าเสร็จแล้ว ซ้ำยังช้ามากอีกด้วย เล่นเอาคนได้ยินทำท่าจะเป็นลม เพราะบางคนเข้าทีเป็นชั่วโมง และ "ไม่ประสบความสำเร็จ" อีกด้วย... มาเปิดไฟเปิดเครื่องโน้ตบุ๊กเพื่อพิมพ์บันทึกย่อ ชอบใจโรงแรมนี้ที่มีโต๊ะทำงานแบบโต๊ะสำนักงานให้ ไม่ใช่โต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจกแบบที่อื่น หลวงพ่อพระครูเรืองที่สีหไสยาสน์เงียบฉี่ไม่มีกรนลุกขึ้นถามเวลา อาตมาดูเวลาที่จอบวกลบแล้วบอกว่าเพิ่งจะตีสามครึ่ง ท่านจึงไปเข้าห้องน้ำ แล้วกลับมานอนใหม่ พักหนึ่งก็มีเสียงกรน อ้าว..ทำไมมากรนเอาตอนนี้..? เสียงกรนของท่านแปลก ๆ ฟังไปนาน ๆ รู้สึกเหมือนกับมีงูเห่ามาขู่อยู่ใกล้ ๆ..! พิมพ์งานจนหกโมงก็หมดสภาพ ทำท่าไข้จับอีกแล้ว พอมาลาเรียกำเริบทีไร อาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่เป็นมาหลายชาติ ก็จะโดนกระทุ้งออกมาด้วย ซึ่งตอนนี้ที่หนักที่สุดก็คืออาการเจ็บสะโพกที่หลุด แต่จะนอนก็ไม่ได้...เพราะยิ่งนอนก็ยิ่งไข้จับหนักขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องนอนห้องนี้ ที่ตกแต่งแบบไม่ค่อยจะเป็นมงคลเอาเสียเลย ออกไปในโทนสีขาวดำเหมือนกำลังไว้ทุกข์อย่างไรพิกล ขืนนอนแล้ว “ไปยาว” เลย ก็ได้เข้ากับบรรยากาศเท่านั้นเอง..! |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
"...ฯลฯ มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด เหมือนผ้าลาดขาวละออหนอน้องเอ๋ย...ฯลฯ" หยิบน้ำดื่มขนาด ๖๐๐ ซี.ซี. ของทางโรงแรมใส่ลงในกระเป๋าโน้ตบุ๊ก ๑ ขวด สะพายกระเป๋าขึ้นไหล่ คว้ากล้องถ่ายรูปติดมือไปด้วย วางบัตรกุญแจไว้บนเตียง กำชับหลวงพ่อพระครูเรืองว่า ถ้าออกจากห้องเมื่อไร หลวงพ่ออย่าลืมเอา Key Card ติดไปด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นเราจะกลับเข้าห้องไม่ได้ อีกฝ่ายเอื้อมมือมาคว้าเอาไปซุกใส่กระเป๋าอังสะไว้เลย เห็นแบบนั้นก็หมดห่วง อาตมาจึงเปิดประตูเดินไปกดลิฟท์ลงชั้น ๑... อ้าว...ประตูลิฟท์เปิดออกมาดันไม่ใช่ชั้นล่างสุด ยังเป็นห้องพักอยู่เลย เห็นมีปุ่มชั้น ๐ อยู่ด้วยจึงลองกดดู เออ...คราวนี้ใช่แฮะ เดินออกไปเปิดประตูกระจกที่เมื่อวานเย็นคุณโอ๋เข้ามานั่นแหละ... แหม..อากาศเย็นสดชื่นไหลพรูเข้ามาทันที แสงแดดจัดจ้าส่องกระทบโรงแรมด้านนี้แบบเต็ม ๆ สูดลมหายใจสดชื่นเข้าไปเต็มปอด มีกลิ่นหอมชื่นใจแทรกอยู่ในอากาศด้วย ขอดูหน่อยเถอะว่าเป็นดอกไม้อะไร ? เดินตามกลิ่นไปตามถนนลาดยางข้างโรงแรม ด้านนี้มีรถเก๋งจอดอยู่สี่ห้าคัน บริเวณกำแพงที่รถเสียบหัวจอดอยู่นั่นเอง มะลิวัลย์ขึ้นคลุมกำแพงเป็นแนวยาวเหยียด มีต้นไม้คล้ายต้นเมเปิลแต่ใบสีม่วงทั้งต้นขึ้นแทรกอยู่เป็นระยะ มะลิวัลย์กำลังออกดอกสีขาวบานสะพรั่ง กลิ่นหอมตลบไปไกล มีผึ้งเล็กคล้าย ๆ กับชันโรงของบ้านเรา บินตอมอยู่ไม่น้อยเลย... |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ป้ายจราจรบริเวณสี่แยกหน้าโรงแรม อาตมาถ่ายรูปงามประทับใจเอาไว้หลายรูป ถ้าบ้านเรามีมะลิวัลย์แบบนี้ ว่าจะหาไปปลูกเป็นแนวรั้ววัดดูบ้าง เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ บรรยากาศชักจะไม่เข้าท่า เหมือนกับว่าถนนด้านนี้ไม่มีใครใช้งาน สองข้างทางรกได้ใจทีเดียว พยายามนึกภาพเมื่อคืนดู ถนนสายนี้ขนานไปกับคลองจนถึงทะเลแน่ ๆ เส้นทางรกแบบนี้ ขืนเดินต่อไปถ้าไม่ถูกผีหลอก ก็อาจจะเจอกลุ่มมาเฟียเข้าก็เป็นได้... เดินย้อนกลับมาทางเดิมผ่านไปจนถึงถนนหน้าโรงแรม เอ๊ะ..น่าจะเป็นถนนด้านข้างโรงแรม เพราะหน้าโรงแรมต้องเป็นด้านที่เมื่อวานพวกเราเข้าไปเช็คอิน บนเกาะกลางถนนปลูกกุหลาบเอาไว้เป็นระยะ มีทั้งสีแดง สีขาว เสียดายที่หญ้ารกไปหน่อย อาตมาเดินถ่ายรูปไปเรื่อย นาน ๆ จะมีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาเสียที จนมาถึงสี่แยกที่ขวามือเป็นด้านหน้าของโรงแรม... ตรงนี้มีป้ายจราจรชี้ว่าตรงไปเป็น MARGHERA ซึ่งอาตมาไม่รู้จัก แต่ทางขวามือซึ่งผ่านหน้าโรงแรมเขียนว่า centro VENEZIA ซึ่งคงจะเข้าไปใจกลางเมืองเวนิส อาตมาถ่ายรูปดอกกุหลาบ และกอหญ้าที่มีดอกคล้าย ๆ หญ้าหางกระรอกของบ้านเรา จนเดินข้ามสี่แยกแล้วเลี้ยวขวาผ่านหน้าโรงแรม ซึ่งตรงนี้มีเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) ที่ขึ้นคลุมเป็นพุ่มใหญ่ ดูแล้วน่าจะกินได้ ฮ่า..! เช้า ๆ ท้องว่าง ๆ แบบนี้ เห็นอะไรก็อยากจะกินไปหมด... |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
รถตำรวจนี่หว่า..! เลยโรงแรมไปหน่อยหนึ่งมี “ซอย” แยกซ้ายมือ อาตมาเลี้ยวเข้าไปอย่างไม่ลังเล ด้านในมีบ้านเดี่ยวตั้งอยู่เป็นระยะ รั้วบ้านเป็นต้นไม้สูงประมาณ ๒ ฟุต ตัดเป็นระเบียบเรียบร้อย ลึกเข้าไปจนสุดถนนมีสวนหย่อมเล็ก ๆ แบ่งถนนออกเป็นซ้ายขวา ทางขวาไปได้ไม่ไกลก็เป็นชายป่า มีถังขยะขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลายใบ ส่วนทางซ้ายเป็นอาคารขนาดใหญ่ ที่น่าจะเป็นส่วนราชการหรือสำนักงานบริษัทอะไรสักอย่าง มีต้นไม้สวย ๆ ขึ้นอยู่รอบตัวอาคาร... เดินย้อนกลับมาค่อนทาง ด้านซ้าย (ขาเข้าเป็นด้านขวา) มีซอยย่อยเข้าหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีกระถางดอกไม้ประเภทบัตเตอร์คัพอยู่หลายกระถาง อาตมาเดินเข้าไปถ่ายรูปแบบไม่ต้องเกรงใจเจ้าของบ้าน วนขวาไปตามทางซอยข้างบ้าน มาเจอรถยนต์จิ๋วสองที่นั่ง น่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า มีตัวอักษรว่า UNIPOL แฮ่..แฮ่..รถตำรวจนี่หว่า เผ่นก่อนดีกว่า..! หลุดออกมาถนนใหญ่ ข้ามถนนไปฝั่งเดียวกับโรงแรม เดินมาถึงประตูหน้าโรงแรมเปิดประตูกระจกเข้าไป เจอพระครูปรีชารี่เข้ามาหา “อาจารย์ไปพูดกับพนักงานให้ทีครับ ท่านอาจารย์คณบดีลืม Key Card ไว้ในห้อง” ตูว่าแล้ว...เรื่องดี ๆ มาถึงแต่เช้า จึงเดินไปหาน้องหนูประชาสัมพันธ์ที่หน้าตาเหมือน “แขกขาว” บอกกับเธอว่า “My master lose key card in his room.” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-03-2017 เมื่อ 12:07 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ท่านอาจารย์คณบดียืนเหี่ยวเพราะลืมบัตรกุญแจ น้องหนูถามหมายเลขห้อง อาตมาเสียมารยาทตะโกนถามท่านอาจารย์คณบดีที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่บริเวณล็อบบี้ ท่านบอกว่า “๓๗๒” อาตมาแจ้งหมายเลขให้ทราบ น้องหนูจึงหยิบบัตรกุญแจสำรองส่งมาให้ พลางบอกว่าให้รีบคืนทันทีที่ใช้งานเสร็จ อาตมาเอาบัตรกุญแจไปส่งให้ท่านอาจารย์คณบดี ท่านรับไปพร้อมกับขอบอกขอบใจขนานใหญ่ แล้วขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของตนเอง... อาตมาเดินแยกไปทางห้องอาหาร เห็นเขาเปิดแล้ว มีญาติโยมกำลังตักอาหารอยู่เป็นสิบคน จึงเข้าไปหยิบจานช้อนเข้าแถวไปตักอาหารกับเขาด้วย ได้แฮม ๓ ชิ้น ไข่คน ๑ ม้วน ขนมปัง ๑ คู่ แยมส้ม ๑ ชิ้น บริกรหน้าผากกว้างไปเกือบถึงท้ายทอยเดินเข้ามาถามชื่อ พออาตมาแจ้งไปก็เปิดบัญชีที่ถือมาหาดูเป็นการใหญ่ ท้ายสุดบอกว่าไม่มีชื่อของอาตมา..! พอบอกว่ามากับรีเจนซี่ทัวร์ อีกฝ่ายจึงถึงบางอ้อ แจ้งว่าของรีเจนซี่ทัวร์ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง อาตมาชี้อาหารในจานแล้วถามว่าจะให้ทำอย่างไร ? บริกรผู้น่าสงสารเกากลางหน้าผาก (กบาล) ตัดสินใจว่าในเมื่อตักมาแล้วก็ฉันได้เลย พาอาตมาเข้าไปนั่งโต๊ะมุมในสุด ที่มี “ป้าแหม่ม” ๓ คน นั่งกินอาหารกันอยู่แล้ว “ป้าแหม่ม ๑” ถามทันทีว่า “Are you Chinese Monk ?” นี่หน้าตูออกเจ๊กชัดขนาดนี้เลยหรือ ? อาตมารีบบอกว่าไม่ใช่ เป็นพระจากเมืองไทย “ป้าแหม่ม ๒” อุตส่าห์ถามต่อว่า “แล้วเป็นกังฟูไหม ?” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2017 เมื่อ 07:21 |
สมาชิก 80 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
"คุณเหม่ง" บริกรนิสัยดีประจำห้องอาหารของโรงแรม “No, I learn about Muay Thai” พอได้ยินแบบนั้น “ป้าแหม่ม ๓” ทำหน้าสยดสยอง “Oh my god, you're very terrible..!” อ้าว..ซวยแล้วตู จากศากยบุตรพุทธชิโนรส กลายเป็น "ไอ้โหด" ในสายตาของป้าไปซะแล้ว ถามว่ารู้จักมวยไทยด้วยหรือ ? “ป้าแหม่ม ๓” บอกว่าเคยไปดูที่ฝรั่งเศสเมื่อไม่นานมานี้ ชกกันหน้าแตกเลือดท่วมน่ากลัวมาก แต่ก็ดี...เพราะ "ป้าแหม่ม" ทั้งสามเลิกถามไปเลย อาตมาจึงรีบกวาดอาหารลงท้องจนเกลี้ยง บริกรยกน้ำส้มมาเสิร์ฟให้ทุกคน อาตมารับมากรอกลงคอไปเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องอาหาร ไปยังบริเวณที่นั่งเล่นข้างอู่จอดเรือ... พรรคพวกนั่งรอกันอยู่ทางนี้เป็นตับ บ้างก็คุยกันบ้างก็ถ่ายรูป ท่านประธานรุ่นเรียกพวกเราให้ไปถ่ายรูปด้วย เสร็จแล้วชวนกันเข้าไปในห้องอาหาร อาตมาเดินไปหยิบแอปเปิลแดง ๑ ลูก ส้ม ๑ ลูก ไปนั่ง “ฉันเจ” กับเพื่อน ๆ “หญิงใหญ่” ไปตักอาหารอีกชุดหนึ่ง ที่น่าจะมีไว้สำหรับแขกชุดต่อไป เลยโดนไล่เดินหน้าเหี่ยวกลับมา ต้องหันไปยกกาแฟมาบริการพระแทน บริกรคนเดิมเดินเสิร์ฟน้ำส้มสำหรับทุกคน อาตมาลุกไปหยิบกล้วยหอม ๑ ลูก แอปเปิลเขียวอีก ๑ ลูก กลับมาถึงที่นั่งพระครูญาณฯ ยัดเยียดแอปเปิลแดงมาให้อีกครึ่งลูก บอกว่า “ช่วยผมหน่อย ฉันพวกนี้มากไปเดี๋ยวจะกลายเป็นลิง” อ้าว..แล้วตูล่ะ ? ปฏิบัติการเพื่อกลายร่างเป็นลิงเสร็จแล้ว ยกน้ำส้มให้กับพระครูปรีชา อาตมาชวนหลวงพ่อพระครูเรืองกลับห้อง เข้าห้องน้ำปลดทุกข์เบา แล้วยกกระเป๋าไปไว้หน้าห้อง รอให้เขามายกไปขึ้นรถ จากนั้นชวนหลวงพ่อพระครูเรืองลงมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ คืนบัตรกุญแจให้กับน้องหนู “แขกขาว” เสร็จเรียบร้อยพรรคพวกเพิ่งจะเดินลงมากันเป็นพรวน ตามมาด้วย “พี่บึ้ก” ที่เป็นพนักงานโรงแรม ๒ คน เข็นรถเข็นใส่กระเป๋าของพวกเราลงมาด้วย หนุ่มอิตาเลียนนี่หุ่นมะขามข้อเดียวเหมือนกันหมดเลยแฮะ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-03-2017 เมื่อ 15:51 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
มีนักท่องเที่ยวหลายคณะ ถ้าพลาดก็ "ยาว" มัคคุเทศก์รูปหล่อไปตรวจสอบกระเป๋าของพวกเรา อาตมาไปยืนดูอยู่ด้วย ที่ต้องดูกันละเอียดเพราะว่ามีคณะทัวร์มาพักหลายคณะ ห้องพักก็เป็นชั้นเดียวกัน ถ้ากระเป๋าของเราหลุดไปกับคณะอื่นจะยุ่งยากมาก พอ พี่บึ้ก ยกกระเป๋าเก็บในห้องใต้ท้องรถเสร็จ อาตมาก็เดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เห็นมีแผนที่เมืองเวนิสวางอยู่ปึกหนึ่ง จึงหยิบมา ๑ แผ่น ไปนั่งที่เก้าอี้กางแผนที่ดูว่าตอนนี้เราอยู่ที่บริเวณไหน ท่านประธานรุ่นเดินไปหยิบมาบ้าง... พระครูญาณฯ บอกว่า Give me one. น่าน...มาหลายวันเริ่มเก่งภาษา แต่ไปใช้ท่านประธานรุ่นระวังเวรกรรมจะตามทันเอานะ แล้วหยิบคนเดียวหลายแผ่นเดี๋ยวเขาจะด่าเอาได้ อย่างนั้นคุณไปเอามาให้ผมสักแผ่นสิ ทำลิงทำค่างอะไรก็กล้าไปหมด เรื่องแค่นี้ทำไมไม่กล้าก็ไม่รู้..? อาตมาเดินไปตีเนียนด้วยการขอถ่ายรูป สาวแขก กว่าที่แม่เจ้าประคุณซึ่งกำลังยิ้มแป้นที่ได้เป็นดาราหน้ากล้องจะรู้ตัว ก็คว้าเอาแผนที่มาอีกสองแผ่นส่งให้พระครูญาณฯ ไปแบ่งกัน... คุณโอเล่ทำหน้าที่ ต้อน พระขึ้นรถ แผนที่แผ่นใหญ่ไปหน่อย แล้วส่วนใหญ่ก็ฝากกระเป๋าไว้ใต้ท้องรถหมดแล้ว มีแต่อาตมาที่มีกระเป๋าโน้ตบุ๊กติดตัว พรรคพวกก็เลยส่งแผนที่มาฝากเก็บให้ด้วย ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐบอกว่า ระวังนะครับ...ถ้าทำหายก็ไปทีเดียวหมดเหมือนกับเน็คไทของผมเมื่อวานนี้ ถามดูแล้วได้ความว่า ท่านหัวหน้าภาควิชาซื้อเน็คไทเพื่อไปฝากบรรดาเพื่อนอาจารย์ที่คณะสังคมศาสตร์ ตอนถ่ายรูปบนเรือเผลอวางทิ้งไว้ ขึ้นจากเรือแล้วลืมหยิบมาด้วย ป่านนี้ พี่บึ้ก คนดูแลเรือทั้งสองคงกลุ้มใจจนหัวล้านไปแล้ว เพราะตัวเองก็ใส่แต่เสื้อยืด แล้วจะเอาเน็คไทครึ่งโหลไปทำอะไรดี... |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
นึกถึงสวิส นึกถึงนาฬิกา พระครูโจไปซื้อเชอรี่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ? เอามาแจกให้เพื่อน ๆ คนละกำมือ นายสันโดษนำรถออกขณะที่มัคคุเทศก์รูปหล่อจับไมค์บรรยายตามหน้าที่ “พระอาจารย์ทุกท่านครับ วันนี้เราออกจากเมืองเวนิส (Venice) แคว้นเวเนโต (Veneto) ของประเทศอิตาลีแล้วนะครับ โดยจะวิ่งขึ้นเหนือไปยังเมืองลูกาโน่ (Lugano) ในแคว้นทิซิโน่ (Ticino) ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองนี้เป็นเมืองใต้สุดของสวิส มี “ชื่อเสีย” ในฐานะเป็นแหล่งฟอกเงินของบรรดามาเฟีย นักค้ายาเสพติด และนักการเมืองทั่วโลก... ...เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เมืองเดียว มีธนาคารถึงสองร้อยกว่าแห่ง ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักฟอกเงินเลยครับ คุณจะเป็นใคร มาจากไหนเขาไม่สนใจ ขอเพียงเอาเงินไปฝากไว้ก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของเขา ไม่มีใครสามารถที่จะไปตรวจสอบได้ พระอาจารย์ทุกท่านได้ยินชื่อสวิตเซอร์แลนด์แล้วนึกถึงอะไรบ้างครับ ?” “นาฬิกา” พระครูโจให้คำตอบ “โอวัลติน ช็อกโกแล็ต” พระครูญาณฯ หวังจะกินอย่างเดียว “มีดพับสารพัดประโยชน์ Victorinox” อาตมาตอบบ้าง “ยอดเขา Jungfrau” พระครูกุ้ยไฮ้ไปไกลกว่าเพื่อน “ถูกต้องทุกท่านนะครับ ประเทศนี้เล็กกว่าเมืองไทยประมาณ ๑๓ เท่า ไม่มีทางออกทะเล พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา แต่สภาพเศรษฐกิจแข็งแกร่งมาก เพราะวางตัวเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศมาตลอดตั้งแต่ยุคสงครามโลก เอาแต่ทำมาหากิน จึงเป็นคนหลังเขาที่รวยที่สุดในโลก ดัชนีความสุขของประชากรสูงมาก มีคนสวิสแค่ ๐.๐๕ % เท่านั้น ที่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุข” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2017 เมื่อ 07:52 |
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
นั่งคู่กับท่านอาจารย์คณบดีทำวัตรเช้าตามที่ถูก "ผี" ทวง ท่านผู้นำ ที่โผล่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ? ถามว่า เมื่อไรจะทำวัตรเช้าขอรับ ? ฮ่วย...ท่านอาจารย์ยังไม่ทันจะทวง ผี ดันมาทวงเสียก่อน อาตมาจึงขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ ส่งไปให้กับท่านประธานรุ่นเพื่อให้นำทำวัตร อีกฝ่ายส่งต่อให้กับพระครูด็อกเตอร์แทน เมื่อผู้บังคับบัญชามอบหมาย ท่านเจ้าคณะตำบลถ้ำรงค์จึงต้องนำทำวัตรเช้าแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้... เมื่ออุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย ท่านผู้นำ ก็แจ้งกับอาตมาว่า เมื่อพ้นเขตประเทศอิตาลี กระผมก็หมดหน้าที่ในการดูแลท่านและคณะแล้วนะขอรับ อ้าว...แล้วใครมารับช่วงต่อวะ ? อีกฝ่ายยิ้มกว้างจนดูหล่อขึ้นถนัดใจ คนคุ้นเคยของท่านขอรับ ท่านนายพล แห่งฝรั่งเศส เฮ้ย...อยู่ฝรั่งเศสแล้วมายุ่งอะไรกับสวิตเซอร์แลนด์ ? เขตประเทศเป็นเขตของทางโลกมนุษย์ขอรับ ทาง เบื้องบน มอบหมายให้ ท่านนายพล ดูแลประเทศฝรั่งเศสมาถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย อาตมารับทราบด้วยความยินดี เมื่อมีผู้คุ้นเคยที่ ติดหนี้ เพราะอาตมาเคยเป็นเจ้าภาพบวชพระอุทิศส่วนกุศลให้แบบนี้ เชื่อใจได้ว่า ท่านนายพล กับคณะต้องบริการสุดใจขาดดิ้นไม่แพ้ ท่านผู้นำ เหมือนกัน แต่คณะ ห้าเสือ ที่รับบุญไปเต็ม ๆ คราวนั้น คงจะมา ใช้หนี้ กันไม่ครบหรอก เพราะว่าคณะของเราไปไม่ถึงเขตของอีกสามเสือ มัวแต่ดีใจและคุยเพลิน ร่างกายที่ทนรับการตรากตรำไม่ไหว ฟิวส์ขาดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? มารู้เอาตอนที่ตัวเองหลับคอพับไปแล้ว..! |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ในยุโรปถนนทุกสายลาดยาง บ้านเราเจริญกว่าเพราะใช้คอนกรีต..! รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา สายตาเหลือบดูนาฬิกาหน้ารถบนหัวนายสันโดษโดยอัตโนมัติ เป็นเวลา ๐๙.๔๐ น. ได้พักไปเกือบชั่วโมงเหมือนกัน แล้วนี่มาถึงที่ไหนก็ไม่รู้ ? เห็นหลวงพ่อพระครูญาย้ายที่มานั่งฝั่งตรงข้ามกับอาตมา กำลังพยายามใช้กล้องตัวจิ๋วถ่ายรูปรถตู้คันจิ๋ว แต่รถยุโรปวิ่งเร็วชิดซ้าย ก็เลยมั่นใจว่าท่านเจ้าคณะอำเภอท่ายางถ่ายไม่ทันแน่ เพราะนายสันโดษแกรักเดียวใจเดียว ยึดเลนขวาด้วยความเร็ว ๖๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงตลอดกาล... วิ่งผ่านรถที่ขนลูกหมูเป็นร้อยตัว ซึ่งน่าจะเอาไปส่งฟาร์มที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ก็เห็นป้ายบอกว่าเรากำลังวิ่งอยู่บนถนนสาย A4 (217) ที่มีรถเยอะมากทั้งขาเข้าขาออก ผ่านตึกสีฟ้าขนาดใหญ่ที่เรียบ ๆ เหมือนกับเอาแท่งคอนกรีตมาตั้งไว้ มีป้ายบอกทางไปเมืองมิลาน (Milano) นึกเทียบกับแผนที่ประเทศอิตาลีในหัว เมืองเวนิสอยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ แสดงว่านายสันโดษนำรถวิ่งมาทางตะวันตก ผ่านแคว้นลอมบาร์ดี (Lombardy) เพื่อขึ้นเหนือไปสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากอาตมาจำได้ว่า มิลานเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดี... สองข้างทางเป็นนาข้าว บางช่วงมีอาคารที่เหมือนกับไซโลเก็บข้าวเปลือกขนาดใหญ่ วิ่งไปอีกหน่อยหนึ่งมีป้ายบอกว่าข้างหน้ามีปั๊มน้ำมัน ซึ่งแจ้งระยะทางพร้อมกับราคาน้ำมันเอาไว้ด้วย ถนนบ้านเขาลาดยางตลอดสาย อาตมาเห็นว่าช่วยให้รถเกาะถนนและวิ่งนิ่มกว่าถนนคอนกรีตตั้งเยอะ ส่วนบ้านเราเอามักง่ายเข้าว่า ไปสร้างถนนด้วยคอนกรีตที่รถไม่ค่อยเกาะถนน วิ่งแต่ละทีกระเด็นกระดอนพร้อมที่จะหลุดลงข้างทาง มิหนำซ้ำยังมีการผสมคอนกรีตให้หมดอายุอีกด้วย เพราะว่าถนนหลายสายพังพร้อมกันแทบจะตลอดเส้นทาง โดยเฉพาะถนนพหลโยธินที่ขึ้นเหนือ และถนนสุขุมวิทที่ไปภาคตะวันออก ใครจะแก้ตัวอย่างไรผลงานที่ทำอยู่ก็ฟ้องให้เห็นอย่างชัดเจน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2017 เมื่อ 04:03 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
มันเทศ...เอ๊ย...น่าจะเป็นจำพวกหมูแฮม ร้านสะดวกซื้อ Auto Grill ขนาดมหึมาสร้างคร่อมถนนสองฝั่ง มีสะพานเชื่อมกลางให้เดินข้ามไปมาได้ด้วย นายสันโดษนำรถเข้าไปทางด้านขวาตามสภาพบังคับของถนน มัคคุเทศก์รูปหล่อส่งเสียงผ่านไมโครโฟน ปลุกทั้งพระและฆราวาสที่ยังหลับอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าห้องน้ำกัน ลานจอดรถกว้างขวางใหญ่โตมาก มีรถทัวร์จอดอยู่แล้วสองคัน บรรดา แหม่ม ทั้งระดับคุณป้า คุณพี่และน้องหนูเป็นสิบ ๆ คน กำลังอัดบุหรี่กันควันโขมงอยู่ข้างรถ น่าแปลกใจว่าผู้หญิงยุโรปสูบบุหรี่มากกว่าผู้ชายหลายเท่า หรือว่าบรรดาผู้ชายเอาแต่กินเหล้าก็ไม่รู้ ? อาตมาลงรถก่อนตามความเร็วเฉพาะตัว มุดเข้าในร้านตรงไปยังห้องน้ำทันที แต่ร้านนี้ใหญ่มาก เหมือนกับเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดมหึมา ห้องน้ำไปอยู่ด้านในสุด ถ้าไม่ใช่เหลือบเห็นป้ายบอกทางเล็ก ๆ หลังป้ายบอกประเภทสินค้า งานนี้คงมีเดินงมโข่งกันสักพักเป็นแน่ โอ้โฮเว้ย... ห้องน้ำหรูมาก ระดับสนามบินนานาชาติเลยนะนี่ เข้าประตูไม้สังเคราะห์หนาปึกเข้าไปปัสสาวะอย่างมีความสุข ถ้าเจอห้องน้ำหรู ๆ สะอาด ๆ แบบนี้ทุกที่ก็ดีหรอก... ออกจากห้องน้ำมาเจอ หญิงใหญ่ กำลังยืนเลือกของอยู่ตรงแผงจำหน่ายตุ๊กตา ที่ทำเป็นรูปหมูสีชมพูน่ารักน่าชัง โดยมีพระครูชินฯ เป็นกองเชียร์อยู่ใกล้ ๆ อาตมาเดินดูสินค้าที่เป็นอาหารแทบทั้งสิ้น มีสิ่งที่น่าจะเป็นหมูแฮม ทำเป็นก้อนหน้าตาเหมือนกับหัวมันเทศขนาดใหญ่ ดูแล้วเป็นอาหารแห้งแบบที่เก็บได้เป็นปีโดยไม่ต้องใช้ตู้เย็น ผลไม้สดมีแอปเปิล ส้ม กล้วยหอม บรรจุในถาดโฟมทั้งชนิดเดียวกัน ๔ ผล และที่ปนกันในถาดเดียวมีแอปเปิล ๒ ผล ส้ม ๒ ผล กล้วยหอม ๑ ผล ให้เลือกซื้อกันตามความชอบของแต่ละคน... |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
นางสาวช่างที่คุมงานอยู่ เพื่อน ๆ หลายคนไปกระจุกอยู่ตรงมุมขายของที่ระลึก ประเภทโปสการ์ด พวงกุญแจ และหนังสือ อาตมาไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร จึงเดินออกมาถ่ายรูปด้านนอก ซึ่งมีส่วนบริการน้ำมัน เป็นหัวจ่ายน้ำมันชนิดที่ต้องหยอดเหรียญก่อน ทั้งหมด ๙ ตู้ ๑๘ หัว มีตู้ที่ด้านหนึ่งให้เติมลมอีกด้านหนึ่งเป็นก๊อกน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้สีแดงสดใสตามสไตล์ของ Auto Grill แม้แต่ที่ทิ้งก้นบุหรี่และถังขยะก็ยังเป็นสีแดง เมื่อตั้งอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวจึงดูสะดุดตามาก... ด้านหลังปั๊มน้ำมันเป็นถนนเลนเดียว มีพนักงานในชุดสะท้อนแสงสีส้มสดใส กำลังลงกรวดคลุกแอสฟัลด์ เพื่อซ่อมถนนบริเวณที่ได้ขุดของเก่าออกไปแล้ว มีนายช่างผู้ควบคุมงานที่น่าจะเป็น “นางสาวช่าง” มากกว่า ใส่หมวกนิรภัย เสื้อกั๊กสีเขียวสะท้อนแสง และแว่นกันแดดอันโต ยืนคอยดูแลการทำงานอยู่อย่างใกล้ชิด มีการกั้นเขตที่ทำงานด้วยริบบิ้นสีขาวแดง และวางกรวยเพื่อชะลอความเร็วรถที่ผ่านมาอีกด้วย อาตมาจึงถ่ายรูปพวกเขาไปสองรูป... หลังจากถ่ายรูปต้นสนพันธุ์ที่เลื้อยแบกับดิน เถาไม้บางชนิดที่ออกดอกสีม่วง เห็ดและดอกไม้ที่หน้าตาคล้ายกับดาวดินบ้านเราแล้ว อาตมาก็กลับขึ้นไปบนรถ เจอคุณโอเล่ซึ่งกำลังเตรียมของว่างพวกกาแฟและข้าวโอ๊ตเพื่อถวายพระ เมื่อเห็นอาตมาก็ถามว่า “พระอาจารย์คะ รบกวนหน่อยค่ะ อะไรที่สมควรจะถวายพระบ้าง เรื่องนี้ 'เล่ไม่รู้เรื่องเลยค่ะ” อาตมาต้องชี้แจงว่า ถ้าก่อนเพลจะถวายอาหารอะไรก็ได้ ยกเว้นพวกที่เป็นเนื้อสัตว์ที่ยังสดยังดิบอยู่ ส่วนหลังเพลไปแล้วให้ถวายจำพวกปานะที่ไม่ใช่อาหาร ถ้าพวกที่จัดเป็นอาหารอย่างพวกน้ำเต้าหู้ ไมโล โอวัลติน ข้าวโอ๊ต นี่ไม่สมควรถวาย... |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ประกอบด้วยประชากรหลายเชื้อชาติ แต่ 'เล่ก็เห็นหลายท่านฉันของพวกนี้หลังเพลนะคะ นั่นก็แล้วแต่ท่านเถอะ อาตมาว่าไปตามศีลของพระ ส่วนท่านจะมีข้อยกเว้นอะไรในใจก็ต้องแล้วแต่ท่านเอง แล้วต้องทำอย่างไรถึงจะสมควรคะ ? เอาอย่างนี้...จัดทุกอย่างไปถวายตามปกติ ให้ท่านเลือกเอาเอง แบบนี้เราก็ไม่ได้สนับสนุนให้ท่านทำผิด ส่วนท่านก็ได้เลือกของที่ตัวเองชอบใจอีกด้วย... มัคคุเทศก์สาวแต่มาทำหน้าที่บริการทั่วไปรับทราบ พอท่านอื่น ๆ ขึ้นรถมาครบก็ยก หาบเร่ เดินไปเสนอสินค้า จะตัดกำลังกันก่อนเพลใช่ไหม ? พระครูวิสุทธฯ ถาม เจตนาดี บริการดี แต่โดนแปรเป็นเจตนาร้ายไปเสียแล้ว แต่คุณโอเล่ก็ ภูมิคุ้มกัน สูงในระดับใช้ได้ จะโดนแซวแรงแค่ไหนก็ยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส คุณโอ๋ซึ่งทำหน้าที่มัคคุเทศก์ตัวจริง จับไมโครโฟนบรรยายตามระเบียบ... ประเทศสวิสเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีเชื้อสายหลากหลาย ด้านเหนือส่วนมากเป็นพวกเยอรมัน มีประชากรประมาณ ๖๐ % ด้านตะวันตกเป็นพวกฝรั่งเศส มีประชากรประมาณ ๒๐ % ด้านใต้ที่เรากำลังจะเดินทางไปถึงเป็นพวกอิตาลี มีประชากรประมาณ ๑๐ % ส่วนที่เหลือเป็นเชื้อชาติอื่น ๆ รวมกันประมาณ ๑๐ % ครับ |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ต้องผ่านมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดมากถึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้คำนี้ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) นายสันโดษเป็นคนที่มีสมาธิดีมาก ทำหน้าที่ของตนเองอย่างซื่อสัตย์และแข็งขัน เท่าที่อาตมาเห็นตั้งแต่วันแรกมาจนถึงวันนี้ แกขับแซงเฉพาะรถที่จอดอยู่เท่านั้น ถ้าเป็นรถบนถนนด้วยกันแกมีน้ำใจให้เขาแซงตลอด ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์หรือถนนปกติ ก็ไปด้วยความเร็วในดวงใจ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น ใครจะเฮ ใครจะฮา ใครจะสวดมนต์ ใครจะร้องเพลง พี่ท่านตีหน้าตายขับรถไปเรื่อยเปื่อย ไม่พูดไม่จาเหมือนกับว่าอยู่คนเดียวในโลก..! สวิสใช้ภาษาเยอรมันและฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก แต่ก็ใช้ภาษาอังกฤษได้ทั่วไปครับ เมืองหลวงของสวิตเซอร์แลนด์ชื่อไม่ค่อยคุ้นหูพระอาจารย์ทุกท่านนัก ไม่ใช่เจนีวา ไม่ใช่ซูริค แต่เป็นเมืองเบิร์น (Bern) ซึ่งมาจากคำว่า Bear ในภาษาอังกฤษ เป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาใหม่เพื่อให้เป็นเมืองหลวงโดยเฉพาะ ใช้เวลา ๔๐ ปีจึงสำเร็จ เหตุที่ช้าส่วนหนึ่งก็เพราะมัวแต่ถกเถียงเพื่อลงมติกันว่าควรจะสร้างเมืองหลวงที่ไหน พวกเชื้อสายเยอรมันก็อยากจะให้อยู่ใกล้ประเทศเยอรมัน พวกเชื้อสายฝรั่งเศสก็อยากจะให้อยู่ใกล้ฝรั่งเศส ท้ายสุดก็มาพบกันครึ่งทางที่เมืองเบิร์นนี่แหละครับ... บ้านเราส่วนใหญ่แล้วคนจะทำงานสายบริการ แต่คนสวิสใช้วิธีสร้างแบรนด์สินค้าให้ติดตลาด เพราะเขาถือว่าทรัพยากรอื่น ๆ มีน้อย ใช้สอยมากเกินไปก็อาจจะหมดได้ แต่ถ้าสร้างสินค้าแบรนด์เนมขึ้นมา ก็จะสามารถผลิตเพิ่มขึ้นได้เรื่อย ๆ โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้น้อยที่สุด รัฐบาลสวิสจึงสนับสนุนการผลิตสินค้าให้ติดตลาด โดยการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ต้องผ่านมาตรฐานถึงจะออกใบอนุญาตให้ใช้คำว่า Swiss Made ได้ มัคคุเทศก์รูปหล่อเทข้อมูลให้แบบไม่ยั้ง... |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ด่านพรมแดนอิตาลี - สวิตเซอร์แลนด์ “เมื่อได้คำว่า Swiss Made มา ก็เท่ากับว่ามีสินทรัพย์มูลค่ามหาศาลอยู่ในมือ อย่างเช่นนาฬิกาสวิส ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อไหนก็ตาม จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไปเรื่อยตามระยะเวลาที่ผ่านไป ขนาดตลาดหุ้นที่นิวยอร์กถึงกับรับรองให้เป็นอสังหาริมทรัพย์ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกันอยู่ในระดับเดียวกับบ้านและที่ดินเลยครับ” ฟังข้อมูลมาถึงตรงนี้รู้สึกว่าหิวข้าว มองดูนาฬิกาในรถเป็นเวลา ๑๑.๑๕ น.แล้ว พอดีพลขับหน้าตายนำพาหนะมาถึงด่านขนาดใหญ่ จอดให้มัคคุเทศก์รูปหล่อกับคุณโอเล่ลงไปจัดการเรื่องใบอนุญาตผ่านทาง... ดูสถานการณ์แล้วไม่เหมาะที่จะลงไปเพ่นพ่าน หรือไม่ทุกคนก็คงจะหิวข้าวกันจนหมดแรง จึงนั่งกันสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่บนรถ “ท่านผู้นำ” ปรากฏตัวใกล้ ๆ อาตมากล่าวว่า “หมดหน้าที่ของกระผมเท่านี้นะขอรับ “ฝั่งโน้น” เป็นหน้าที่ของ “ท่านนายพล” ตามที่ “เจ้านาย” ท่านมอบหมายให้” อาตมาขอบคุณและอวยชัยให้พร “ท่านผู้นำ” พนมมือไหว้แข็ง ๆ แบบฝรั่งไหว้พระ ก่อนที่จะอันตรธานไป ขนาดเป็นเทวดาแล้วจะพัฒนาการไหว้ให้ดูดีกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้... คุณโอ๋กับคุณโอเล่หอบเอกสารที่ผ่านการประทับตราเรียบร้อยแล้วกลับขึ้นรถ นายสันโดษนำรถผ่านด่านไปแบบสะดวกโยธิน วิ่งไปได้ไม่กี่นาทีก็มีด่านใหญ่อีกด่านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นฝั่งสวิตเซอร์แลนด์ ทั้งสองคนต้องหอบเอกสารวิ่งลงไปให้เขาตรวจประทับตราอีกตามเคย “บงชูร์ครับท่าน” เฮ้ย..มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง ตกใจหมดเลย คิดว่า “นายจันทร์หนวดเขี้ยว” แห่งบ้านบางระจันโผล่มาเที่ยวสวิสกับเขาซะอีก แล้วนี่มา “คน” เดียวหรือลุง ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-03-2017 เมื่อ 15:19 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
วงเวียนปากขวด ตาลุงหัวล้านหนวดเขี้ยวยิ้มหนวดกระดิก บุคลิกแบบนี้ทำให้อาตมานึกถึง จรกา ในพระราชนิพนธ์เรื่อง อิเหนา ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ซึ่งบรรยายว่า ยิ้มเหมือนหลอก หยอกเหมือนขู่ ถ้าเด็ก ๆ เห็นหน้ามีหวังร้องไห้จ้าแน่ ๆ ขืนให้บริวารทั้งหมดมาด้วย เกรงว่าท่านจะตกใจมากกว่านี้อีกครับ เออ...แล้วนี่จะให้เรียกว่าอะไรดี ? ท่านนายพล ? ท่านนายกฯ ? เอาที่ท่านสบายใจแล้วกันครับ จะเรียก ลุง อย่างเมื่อกี้นี้ผมก็ไม่ว่า ราชสีห์แห่งเวอร์ดัน บอกอย่างเป็นกันเอง ขัดกับบุคลิกขึงขังเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก... ถ้าอย่างนั้นอาตมาเรียกตาม ท่านผู้นำ ที่เรียกว่า ท่านนายพล ก็แล้วกันนะลุง แล้วแต่ท่านจะสะดวกครับ สองมัคคุเทศก์ปฏิบัติภารกิจเรียบร้อยกลับมาขึ้นรถ นายสันโดษนำรถคู่ใจผ่านด่านเข้าไปไม่ไกล ก็เป็นวงเวียนที่มีโครงโลหะ หน้าตาเหมือนกับเอาขวดขนาดยักษ์ฝังดินไว้ค่อนใบ โผล่แค่เลยปากขวดขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ปลูกต้นไม้ใบหญ้าไว้หลายชนิด มีสป็อตไลท์หลายอันติดตั้งไว้ช่วยเพิ่มแสงสว่าง ปลูกต้นไม้เป็นตัวอักษรว่า BENVENUTI A COMO... รถของเราวนขวาครึ่งรอบแล้วตรงไป เป็นอาคารที่พักอาศัยที่ปลูกสร้างเป็นช่วงสั้น ๆ จากนั้นเป็นวงเวียนที่มีต้นไม้หน้าตาคล้ายหลิว (Weeping Willow) อยู่หลายต้น แต่ดูแล้วไม่น่าจะใช่ต้นหลิว เลยไปอีกนิดเดียวก็มีอีกวงเวียนหนึ่ง แต่เหมือนกับเป็นวงเวียนร้าง เพราะว่าต้นไม้ในวงคอนกรีตขึ้นไม่เป็นระเบียบ ซ้ำด้านล่างยังมีหญ้ารก ๆ อีกด้วย วนเกือบรอบวงเวียนแล้วนายสันโดษนำรถมาจอดลงที่ริมทางเดิน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ดูร่มรื่นขึ้นเรียงรายอยู่ข้างทะเลสาบขนาดมหึมา... |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ที่หน้าตาเหมือนป้อมตำรวจนั่นแหละครับ...ร้านปิ้งย่าง ลงจากรถกันครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็นำทางพวกเราข้ามทางม้าลาย ตรงไปยังอาคารทรงประหลาด ที่หน้าตาเหมือนแท่งคอนกรีต ดูจากหน้าต่างแล้วมีสามคูหาสูงประมาณหกชั้น ด้านหน้าตึกหลังนี้เป็นห้องกระจกหน้าตาคล้ายกับป้อมตำรวจของบ้านเรา แต่ต้องขยายขนาดออกไปเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดกว้างด้านละ ๘ เมตร หลังคา “ป้อม” มุงสังกะสีลอนเล็กสีเขียวขี้ม้า มีตัวหนังสือสีขาวขนาดใหญ่อยู่ที่ใต้ชายคาว่า RISTORANTE – PIZZAERIA – GRIGLIERIA... ดูจากชื่อแล้วอาตมารู้แค่ว่าเป็นภัตตาคารกับร้านพิซซ่า ไอ้คำสุดท้ายนี่เดาไม่ออกว่าคืออะไร ? “เป็นอาหารจำพวกเนื้อทอดหรือปิ้งย่างครับ” ยังโชคดีที่ “ลุงหนวด” แกมาด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะหูหนวกตาบอดเป็นแน่ พวกเราชักแถวเข้าประตูกระจกที่มีบริกรชายในชุดกันเปื้อนสีขาวเปิดประตูให้ คุณโอ๋ซึ่งตรงเข้าไปเจรจาที่เคาน์เตอร์ หันกลับมาบอกพวกเราว่า “โต๊ะที่จองเอาไว้อยู่ด้านในของตึกนี้ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านที่ด้านในเลยครับ” อาตมาเดินเข้าประตูอีกชั้น เหลือบเห็นป้ายห้องน้ำ จึงเดินอ้อมเคาน์เตอร์เครื่องดื่มตรงเข้าไปทันที... ยืนงงอยู่อึดใจหนึ่ง จน “ลุงหนวด” ต้องชี้ไปที่ประตูไม้ปิดมิดชิดเหมือนกับห้องส่วนตัว อาตมาจึงเห็นป้ายทองเหลืองเล็ก ๆ มีภาษาอังกฤษแบบเล่นหางว่า GENTLEMEN กับ LADIES นี่ถ้ามาคนเดียวคงไม่กล้าเปิดเข้าไปหรอก กลัวเจอแหม่มสาวสุดเซ็กซี่นุ่งลมห่มฟ้าอยู่ในห้องส่วนตัว รีบมุดเข้าไป “ถ่ายน้ำ” ทิ้ง ก่อนที่จะรีบออกมาเพื่อให้ท่านอื่นได้เข้าบ้าง เดินกลับมาที่มุมตึกด้านติดถนน มีโต๊ะกลมต่อกับโต๊ะยาวอยู่ทางด้านนี้ บนโต๊ะวางแก้วน้ำแบบก้านสูง มีดและส้อม พร้อมกับผ้ากันเปื้อนซึ่งอาตมาใช้เช็ดปากทุกทีเอาไว้ด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2017 เมื่อ 19:47 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
อาหารจานแรกหน้าตาแบบนี้ ท่านอาจารย์คณบดี ท่านประธานรุ่น พระครูด็อกเตอร์ มหานพพล กับองปลัด จองที่นั่งรอบโต๊ะกลม ที่เหลือนั่งสองฝั่งของโต๊ะยาว ครบ ๒๒ รูปพอดี นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงหกนาทีแล้ว แต่อาหารยังไม่มาสักอย่างเดียว กระทั่งน้ำสักขวดก็ยังไม่มาเสิร์ฟ อาตมาจึงเดินกลับออกไปด้านนอก ข้ามทางม้าลายไปยังบริเวณที่จอดรถ ซึ่งนายสันโดษพารถไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ? ตั้งใจจะไปถ่ายรูปทะเลสาบ แต่ติดรั้วตาข่ายที่กั้นไว้กันคนตกน้ำ จึงใช้วิธียื่นเลนส์กล้องผ่านรูตาข่ายออกไปถ่ายรูปจนได้... บริเวณนี้เป็นต้นไม้หน้าตาคล้ายกับประดู่กิ่งอ่อนของบ้านเรา ปลูกเป็นสามแถวร่มรื่นมาก มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่สิบกว่าตัวด้วยกัน แต่ไม่มีใครนั่งสักคนเดียว น่าจะเปิดเฉพาะกลางคืนเท่านั้น ถ้าเปิดกลางวันนั่งฉันอาหารกินลมชมวิวข้างทะเลสาบน่าจะ เวิร์ก กว่าในร้านโน้นตั้งเยอะ มีนกปรอดฝรั่ง (Mockingbird) เดินหาหนอนอยู่ตามเถาตำลึงฝรั่ง (Ivy) อาตมาจึงถ่ายรูปไปด้วย จากนั้นเดินข้ามถนนฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบ ซึ่งเป็นสถานีรถรางไฟฟ้า ถ่ายรูปทั้งรอบบริเวณสถานี ที่จอดรถจักรยาน ตลอดจนถังขยะคู่แฝดที่ติดไว้กับเสา แล้วจึงกลับมาที่ภัตตาคารอีกครั้ง... นั่งลงยังที่ว่างข้างท่านไพฑูรย์ ตรงกันข้ามกับหลวงพ่อพระครูสันติฯ จนป่านนี้ยังไม่มีอะไรมาเสิร์ฟ นอกจากขนมปังกระจาดเล็ก กับชุดเครื่องปรุงพวกพริกไทยกับเกลือที่วางไว้ตั้งแต่ต้น พรรคพวกแต่ละคนหน้าตาบอกบุญไม่รับทั้งนั้น จนกระทั่ง ๑๒.๒๘ นาฬิกา บริกรจึงนำอาหารจานแรกออกมาเสิร์ฟให้ เป็นพาสต้า (Pasta) ที่หน้าตาดูแหยะ ๆ พิกล 'ผีถึงป่าช้าแล้วไม่เผาก็ต้องฝัง' แม้ว่ารสชาติจะเค็ม ๆ เลี่ยน ๆ แถมยังไม่ร้อนอีกต่างหาก อาตมาก็กวาดลงท้องหมดภายในสองนาที..! |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
แต่ละท่านกำลังจะบรรลุมรรคผล..! เมื่อมีแต่มีดกับส้อม ซ้ำอาหารยังหน้าตาและรสชาติไม่ถูกปากอีกด้วย ท่านอื่นจึงฉันกันแบบซังกะตาย หลวงพ่อพระครูสันติฯ ลองไปสองสามคำก็วางส้อม เลื่อนจานมาให้อาตมาแทน มีหรือจะปฏิเสธ อาตมายกจานไปข้างหน้าหลวงพ่อเทศบาล เอ๊ย...หลวงพ่อพระครูเลิศ เอาส้อมกวาดแบ่งพาสต้าไปให้ท่านครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งที่เหลือจัดการเสกหายลงท้องไปในพริบตา หยิบขนมปังมาเช็ดจานจนสะอาดเอี่ยมก่อนที่จะส่งขนมปังเข้าปาก บริกรที่เอาขวดน้ำแร่สีฟ้าใสมาวางให้ หยิบเอาจานเปล่ากลับไปด้วย ท่านอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นถ้าไม่ส่งพาสต้าไปให้ "หลวงพ่ออ้วน" ก็ยกส่งคืนให้กับบริกรไปเลย ตกลงว่าหลวงพ่อพระครูเลิศคนเดียวเจอพาสต้าไปสามจานครึ่ง..! "ผมเพิ่งรู้ว่าพระครูวิลาศฯ ท่านฉันมากขนาดนี้ แล้วทำไมไม่อ้วนวะ ?" พระครูกล้าสงสัย ก็ลองมาเป็นมาลาเรียแบบผมดูสิ ลงไปเท่าไรเชื้อโรคก็เอาไปกินหมด พระครูชินฯ ชี้ความว่างเปล่าตรงหน้าตัวเองแล้ว บอกให้อาตมาช่วยขอน้ำให้สักขวด "Hey boy, a bottle of aqua." บริกรรีบเอาน้ำแร่มาวางให้ แต่ดันเก็บแก้วไปด้วย "Never mind, I can drinks by bottle." อาตมากวนเล่น อีกฝ่ายรีบ "Sorry" แล้ววางคืนให้ สรุปแล้วพระ ๒๒ รูป ได้น้ำแร่มา ๑๐ ขวด ดูจากราคาที่ติดไว้ขวดละตั้ง ๖ ยูโร แพงอิ๊บอ๋าย..! จานถัดมาเป็นสะเต๊กปลาแซลมอน มีมันฝรั่งและมะนาวอีกซีกหนึ่งมาให้ด้วย แต่ละท่านที่ทำหน้าเหมือนจะบรรลุมรรคผลจากพาสต้า ค่อยสดชื่น "มีแฮง" ขึ้นมาทันใด อาตมาหยิบมะนาวมาบีบใส่ปลาที่ทอดมาเกรียมกำลังดี เพิ่งจะตักใส่ปากหลวงพ่อพระครูสันติฯ ก็ร้องขึ้นว่า "พระครูวิลาศฯ ของผมทำไมไม่มีมันฝรั่งล่ะ ?" เออหนอ..ตูกลายเป็นพ่อครัวไปแล้วมั้ง ? ถึงต้องมาตอบคำถามแบบนี้ ร้องเรียกบริกรมาพลางชี้ให้ดูว่า "He have no potato." อีกฝ่ายทำหน้าตกใจ รีบคว้าจานคืนไปโดยด่วน ปากก็ร้อง "Sorry..Sorry." ไปตลอดทาง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2024 เมื่อ 15:56 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|