|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๙
เช้าวันอาทิตย์ที่เงียบสงบ วันอาทิตย์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ ตื่นเพราะเสียงหลวงพ่อพระครูเรืองเข้าห้องน้ำ หยิบกล้องถ่ายรูปมาดูเวลา เห็นว่าตีสามครึ่งของที่นี่เข้าไปแล้ว อาการหนาวสั่นไม่มี ไข้ก็ลดแล้ว เหลือแค่อาการเจ็บคอและเจ็บสะโพกนิดหน่อย แต่เสียงหายหมดเลย อาการแบบนี้ยังเชื่ออะไรไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่ได้พักก็พร้อมที่จะกำเริบได้ทุกเวลา จึงฉันยาเข้าไปอีก ๑ ชุด นอนภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้องไป ๗ จบ แล้วลุกมาเปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์บันทึกการเดินทาง จนถึงตีห้าจึงไปสรงน้ำร้อน จากนั้นมาพิมพ์งานต่อจนหกโมงเช้า เสียงโทรศัพท์ปลุกก็ดังขึ้น... ยกหูโทรศัพท์เพื่อตัดเสียง สวมถุงเท้ารองเท้าและอังสะกันหนาว หยิบกล้องถ่ายรูปใส่กระเป๋าอังสะ แล้วขอคีย์การ์ดจากหลวงพ่อพระครูเรือง บอกกับท่านว่า “เวลาออกไปให้หลวงพ่อดึงคีย์การ์ดของผมออก ไฟในห้องจะดับเองนะครับ” แล้วเปิดประตูออกมาเจอกับสามแยกหน้าห้อง ที่ไปได้ทั้งตรงหน้าและซ้ายขวา เมื่อวานไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่ตั้งสติประคองตัวไม่ให้ล้ม จึงถ่ายบริเวณหน้าห้องเอาไว้ พอดีพระครูปรีชากับท่านไพฑูรย์เปิดประตูออกมา ทั้งสองกำลังจะลงไปข้างล่างเหมือนกัน จึงลงลิฟท์มาพร้อมกันในเที่ยวเดียว... เจอหลวงพ่อพระครูเลิศที่หน้าประตูห้องอาหาร พนักงานต้อนรับชายบอกว่าอีก ๑๐ นาทีห้องอาหารถึงจะเปิด ขอบคุณเขาแล้วอาตมาจะออกไปถ่ายรูปข้างนอก พระครูเลิศบอกว่า "ฝนกำลังตกนะครับ" มองออกไปเห็นว่าฝนแค่พรำ ๆ เท่านั้น จึงออกประตูไปแบบไม่มีลังเล อากาศกำลังเย็นสดชื่นทีเดียว เดินไปทางสี่แยกหน้าโรงแรมเจอรถยนต์แค่ ๒ - ๓ คัน วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผู้คนหยุดพักผ่อนกัน จึงไม่ค่อยออกมาบนท้องถนน เลี้ยวซ้ายไปข้างโรงแรม เดินไปได้สองซอยไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จึงย้อนกลับมาทางสี่แยก เดินไปจนเกือบถึงสะพานลอยสำหรับรถยนต์ แล้วหันกลับมาถ่ายรูปโรงแรมเอาไว้ ฝนที่พรำลงมาทำเอาไข้กลับอีกแล้ว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2017 เมื่อ 05:36 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ตักอาหารเช้าปะปนกับญาติโยม กลับเข้ามาในโรงแรม มัคคุเทศก์รูปหล่อแจ้งว่า ให้นำเอาซองใส่คีย์การ์ดลงมาด้วย เพราะต้องใช้ในการเข้าห้องอาหาร พวกเราหลายรูปจึงยัดกันเข้าไปลิฟท์ เพื่อกลับห้องพักไปเอาซองคีย์การ์ด อาตมาเดินมาถึงบริเวณที่พักแล้ว นึกไม่ออกว่าตัวเองอยู่ห้องไหน เพราะไข้ขึ้นจนมึนไปหมด จึงเสียบกุญแจดูที่ห้องหมายเลข ๓๑๔ ตรงหน้า หลวงพ่อพระครูสันติฯ บอกว่าเป็นห้องของหลวงพ่อพระครูเลิศ พอดีหลวงพ่อพระครูเรืองเปิดประตูออกมา ที่แท้ของอาตมาเป็นห้องพักหมายเลข ๓๑๐ ยังดีที่ไม่ต้องไล่เสียบดูทั้งชั้นค่อยหาห้องเจอ..! เอาซองคีย์การ์ดแล้วกลับลงไปใหม่ มัวแต่ช้าเลยมีกลุ่มคนจีนเข้าไปจนแน่น ต้องต่อแถวเดินตามกันไป ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐให้ความเห็นว่า "เหมือนตอนบิณฑบาตในงานปริวาสเลย" แต่งานปริวาสกรรมไม่มีญาติโยมแย่งเข้าแถวแบบนี้นะครับ เนื่องจากแถวต้องผ่านของหวานก่อน อาตมาจึงหยิบส้ม แอปเปิลเขียวกับกล้วยหอมมาอย่างละลูก แล้วจัดการคีบหมูแฮมและไส้กรอกอย่างละชิ้นใส่จาน ตักไข่คนตามไปอีกทัพพี อาตี๋ที่เดินตามมา ตักไข่คนใส่จานที่พูนไปด้วยหมูแฮมและไส้กรอก เลยหกเรี่ยราดเต็มพื้น ต้องวางจานเอากระดาษซับกวาดไปทิ้งใส่ถังขยะ เล่นเอาคุณมืดที่ดูแลห้องอาหารมองตาเขียวปั๊ด..! อาตมาเดินหาที่นั่ง พระครูกุ้ยไฮ้บอกว่าที่ตรงข้างท่านว่างอยู่ อาตมานั่งลงยังไม่ทันจะตักอาหารเข้าปาก ก็มีฝรั่งหนุ่มมายกเอาจานอาหารที่เก้าอี้ตรงข้ามไปหาที่นั่งใหม่ แล้วย้อนกลับมาหยิบเอาแก้วน้ำส้มไปด้วย ฮ่า..ไม่ว่างจริงเสียแล้ว หลวงพ่อพระครูเรืองจึงนั่งแทนซะเลย มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟ เอากาแฟและนมสดมาเสิร์ฟพระทุกรูป อาตมาปฏิเสธไม่รับ ฉันอาหารเช้านี้แบบลิ้นจระเข้ เพราะไข้จับจนไม่รู้รส เสร็จแล้วขอตัวกลับขึ้นห้องพัก รออยู่เป็นนานกว่าหลวงพ่อพระครูเรืองจะมา ท่านบอกว่านอกจากกดลิฟท์ผิดชั้นแล้ว เมื่อกี้ยังเสียบการ์ดเปิดประตูห้องไม่ได้ ต้องให้พระครูปรีชามาช่วย แสดงว่าหลวงพ่อท่านมือหนักเหมือนกับอาตมาแน่เลย... |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เตรียมปั่นจักรยานตั้งแต่ยังอยู่ในล็อบบี้ นอนพักหวังจะให้ไข้ลด กำลังจะหลับอยู่แล้ว “ท่านนายพล” ก็เข้ามาเตือนว่า จวนจะได้เวลาเดินทาง จึงต้องกดลิฟท์ลงข้างล่างไปแบบมึน ๆ ดูท่าวันนี้คงดูอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องเป็นแน่แท้ เพราะต้องคอยตั้งสติประคองตัวไม่ให้ล้ม แล้วจะเอาอารมณ์ที่ไหนไปดูฟ้าดูดินกับเขา ตรงไปนั่งที่ชุดรับแขกข้างประตูทางออก เห็นฝรั่ง ๕ – ๖ คน ทั้งหนุ่มทั้งสาว ที่แต่งตัวในชุดขี่จักรยาน มีเสื้อกันฝนแบบบางสวมทับ กำลังตรวจสอบรถจักรยานกันอยู่ ถ้าเป็นบ้านเราเอาจักรยานเข้ามาเต็มล็อบบี้แบบนี้ มีหวังโดนตะเพิดแน่ แต่ของเขาไม่มีใครเห็นว่าเกะกะเลยแม้แต่คนเดียว... จากที่นั่งก็เริ่มประคองตัวไม่ไหว จึงนอนยาวลงบนโซฟา พรรคพวกมานั่งด้วยหลายคน “หลวงพ่อเล็ก...เป็นอย่างไรบ้างครับ ?” พระครูกล้าสอบถาม “ยังไม่ตาย แต่ก็ดูท่าว่าจะไม่รอด” อาตมาตอบด้วยเสียงแหบยิ่งกว่าเป็ด “ดีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นรบกวนควักย่ามมาเลยครับ คนละ ๓๐ กิโล” อะไรนะ ? “พวกเราคุยกันว่าว่าจะเก็บเงินมอบให้ท่านอาจารย์เป็นสินน้ำใจ ที่ท่านต้องมาเหนื่อยยากกับคณะของเรา สรุปได้ว่าเก็บคนละ ๓๐ ยูโร แล้วให้หลวงพ่อชุบเป็นผู้มอบให้ครับ” เวรเอ๊ย...ป่วยจนเพี้ยน ฟังคำว่า “ยูโร” ดันได้ยินเป็น “กิโล”..! ขยับล้วงเอาเงินออกจากกระเป๋าจิงโจ้ มีใบละ ๒๐ ยูโรพอดี จึงส่งให้ไปสามใบ บอกกับเลขานุการรุ่นว่า “ของพระครูปรีชาด้วย” อีกฝ่ายยิ้มหน้าทะเล้นตามปกติ “นึกว่าจะช่วยจ่ายให้เลขาฯ ด้วย” เลขาฯ แบบคุณขึ้นธรรมาสน์ทีดีกว่าผมเจริญพระพุทธมนต์เป็นเดือน ยังจะมีหน้ามารีดเลือดกับปูอีก เพื่อน ๆ ก็ควักจ่ายคนละหนุบคนละหนับ “ได้ยินว่างานนี้ที่มาแพง ก็เพราะเขาเอาของพวกเราไปเฉลี่ยเป็นค่าตั๋วเครื่องบินให้กับท่านอาจารย์ แล้วยังต้องมีพ็อกเก็ตมันนี่ให้อีกด้วยหรือวะ ?” เสียงบางท่านบ่นอยู่ข้างหู แต่อาตมาป่วยจนลมออกหูเลยฟังไม่ถนัดว่าใครเป็นคนพูด ฮ่า..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2017 เมื่อ 05:08 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ท่านประธานรุ่นมอบเงินขวัญถุงให้กับท่านอาจารย์ทั้งสามท่าน “นิมนต์ขึ้นรถครับ” เสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อดังมาจากทางประตูลิฟท์ มาถึงก็เร่งพระเชียว อาตมาเดินขึ้นรถไปแบบมึน ๆ งง ๆ พลขับของเราคือนายสันโดษที่ขับรถตามมา กลับมาทำหน้าที่ของตนเองแล้ว นั่งลงแล้วอาตมาสะดุ้งเพราะว่ามาลาเรียพาให้สะโพกอักเสบ โดนแล้วเจ็บไปทุกมุม อ้าว..ลืมบันทึกประจำวัน รีบบอกกล่าวเพื่อนฝูงให้รอนิดหนึ่ง แล้วกลับลงไปเพื่อจะเอาบันทึกที่ห้อง “ท่านอาจารย์คณบดียังไม่มาเลย ช่วยตามให้ด้วยเน้อ” ท่านประธานรุ่นฝากงานคนป่วยเฉยเลย ยังดีที่มาถึงหน้าลิฟท์ก็สวนกับท่านอาจารย์พอดี เห็นท่านมองแบบสงสัยจึงกราบเรียนว่า “ผมลืมบันทึกประจำวันครับ กำลังจะไปเอาที่ห้อง” แล้วกดลิฟท์ขึ้นไปยังห้องพัก... คว้าบันทึกกับปากกาได้ก็รีบกลับลงมาแบบลืมเจ็บสะโพกไปเลย เพราะไม่เคยชินกับการที่ให้ใครมารอ “Let's go.” มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกกับพลขับผู้ไร้ปากเสียง อีกฝ่ายนำรถออกอย่างนุ่มนวล “เชิญท่านประธานรุ่นบอกกล่าวท่านอาจารย์ในเรื่องที่เราจะทำกันครับ” หลวงพ่อพระครูกุ้ยไฮ้ส่งเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวมาจากท้ายรถ “ฮื้อ...ว่าไปจนขนาดนี้แล้วก็บอกเองไปเล้ย” ท่านประธานตอบกลับมาด้วยเสียงเหน่อเพชรบุรี... ท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำสิงโตทองจึงกราบเรียนท่านอาจารย์คณบดี และแจ้งให้ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ และท่านอาจารย์ ดร.วันชัยทราบ ว่าพวกเราขอตอบแทนน้ำใจท่านอาจารย์ ที่เมตตาสงเคราะห์มาตลอด ด้วยการรวบรวมปัจจัยมอบให้เป็นเงินขวัญถุง แล้วพระครูกล้าก็นำซองที่เตรียมไว้มามอบให้ท่านประธานรุ่น ซึ่งเป็นตัวแทนพวกเรา มอบเงินให้กับท่านอาจารย์ทั้งสามคนละ ๒๕๐ ยูโร (๑๐,๐๐๐ บาท) ท่านอาจารย์คณบดีกล่าวตอบขอบคุณ แล้วส่งไมโครโฟนให้ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ที่กล่าวตอบมาว่า “นิมนต์ทำวัตรเช้าครับ” เรียกเสียงโห่ได้ลั่นไปทั้งคันรถ..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2020 เมื่อ 00:35 |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พระราชวังแวร์ซาย (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) อาตมาหลับตาทำวัตรเช้าในใจ เพราะว่าไม่มีเสียงจะออกกับใคร จนกระทั่งอุทิศส่วนกุศลเสร็จเรียบร้อย อาการไข้มาลาเรียก็ลดลงเป็นปกติ แสดงว่าเป็นการจับแบบ ๑๒ ชั่วโมงต่อครั้ง แปลว่าเย็นนี้ได้เจอกันอีกรอบ อาตมาเป็นมาลาเรียมาเกินสามสิบปีจนชำนาญแล้ว เวลาไข้ลดก็เหมือนกับคนปกตินี่เอง แต่ตอนจับไข้นี่แค่หายใจยังลำบากเลย ซ้ำไข้มาลาเรียยังเป็นโรคประเภทเพื่อนมาก จับไข้เมื่อไรจะพาอาการเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามมาช่วยซ้ำกันเป็นพรวน อะไรที่เป็นน้อยก็กลายเป็นหนักมาก อะไรที่เป็นหนักถ้าทนไม่ไหวก็ถึงตาย..! “เช้านี้ผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปชมพระราชวังแวร์ซายนะครับ แต่เดิมนั้นแวร์ซายเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและเขา พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๓ นิยมการล่าสัตว์ ทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายมีความเหมาะในการประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมา ในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมสำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น ครั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขึ้นครองราชย์ มีพระประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครอง จึงปรับปรุงพระตำหนักเดิมในเมืองแวร์ซายนี้ โดยใช้เวลาอยู่ถึง ๓๐ ปีจึงแล้วเสร็จ... พระราชวังแวร์ซายที่ปรับปรุงใหม่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวที่มีความงดงามมาก ภายในแบ่งออกเป็นห้อง ๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องทรงพระสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง การปรับปรุงก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายนี้ ใช้เงินจากการเก็บภาษีอากรชาวบ้านอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ต่อมาจึงมีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวัง และจับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ กับพระนางมารี อังตัวเน็ต ไปประหารด้วยกิโยติน ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายเป็นแหล่งเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากของฝรั่งเศสครับ”... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2017 เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถ่ายไว้ก่อนหนึ่งรูป “ถึงแล้วครับ” หา..! อาตมาลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจ ภาพที่เห็นก็คือรถของเรากำลังเลี้ยวเข้าไปสู่ลานจอดขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งจะตกไปไม่นาน แม้ว่าเพิ่งจะแปดโมงสี่สิบกว่านาที แต่ก็มีรถบัสขนาดใหญ่จอดอยู่แล้วหลายคัน พวกเราตามมัคคุเทศก์รูปหล่อลงมาสู่พื้นเปียก ๆ ที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยไอฝน มองตรงไปยังอาคารรูปตัวยูขนาดใหญ่ที่อยู่เยื้องไปทางขวามือ โอ้แม่เจ้า...ขนาดเช้าอย่างนี้ยังมีนักท่องเที่ยวต่อแถวกันยาวเหยียด “นั่นเป็นนักท่องเที่ยวที่มากันเอง ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วครับ คณะของเราจะซื้อเป็นตั๋วกรุ๊ปทัวร์ ไม่ต้องไปเข้าแถวแบบนั้น แค่รอเวลาตามหน้าตั๋วก็เข้าชมได้แล้วครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่ออรรถาธิบาย... ลมชื้น ๆ ค่อนข้างแรงพาเอาหนาวสะท้าน ทำท่าว่ามาลาเรียเพื่อนรักจะคิดถึงมาก จึงย้อนกลับมาทันใจอะไรปานนั้น มิหนำซ้ำฝน “เยี่ยวจักจั่น” ยังพรำ ๆ อยู่ตลอดเวลา พวกเราส่วนหนึ่งที่ลงมาก่อน เริ่มเดินหามุมถ่ายรูปกันแล้ว คุณโอ๋นำคณะของเราเดินเข้าไปยังบริเวณรั้ว เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้วอาตมาก็เอาบ้าง ด้วยการส่งกล้องถ่ายรูปให้กับพระครูปรีชา แล้วไปยืนหันหลังให้ด้านขวาของตึกรูปตัวยู ถ่ายรูปเอาไว้ก่อนว่าได้มาถึงแล้ว จากนั้นก็ถ่ายให้พระครูปรีชากับท่านไพฑูรย์ ส่วนท่านอื่น ๆ ที่มีกล้องของตัวเอง ก็ผลัดกันส่งให้เพื่อนฝูงที่อยู่ใกล้ มัวแต่ถ่ายรูปกันอยู่ หันมาอีกที มัคคุเทศก์รูปหล่อพาเพื่อนส่วนหนึ่งเดินไปไกลแล้ว... พวกเรารีบเดินตามไป ผ่านแถวนักท่องเที่ยวยาวเหยียด ที่อดทนต่อคิวเพื่อซื้อตั๋ว มุ่งไปจนมาติดที่รั้วโปร่งสีทอง ซึ่งติดอยู่เสาคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งบางเสาก็มีรูปปั้นหรือรูปหล่อสวย ๆ ประดับอยู่ข้างบน ตรงบริเวณประตูใหญ่มีสัญลักษณ์มงกุฎฝรั่งอยู่ด้านบนสุด บอกให้รู้ว่าเป็นรั้วของพระราชวังจริง ๆ อาตมายื่นมือที่ถือกล้องลอดรั้วเข้าไป เพื่อถ่ายรูปพระราชวังด้านใน ส่วนเพื่อน ๆ พากันถ่ายรูปกับประตูใหญ่ที่มีรูปมงกุฎ จึงต้องเล่น “วิ่งผลัด” กับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ซึ่งต่างก็อยากได้รูปมุมเดียวกัน ใครไปยืนแช่นาน ๆ จะมีสายตาเขียวปั๊ด “ด่า” มาจากรอบด้าน..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2020 เมื่อ 00:52 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
รูปหมู่ที่ไม่รู้ว่าจะมองกล้องตัวไหนดี ? อาตมารอจนได้จังหวะ ก็เข้าไปยืนที่หน้าซุ้มประตู โดยมีพระครูโจช่วยเป็นตากล้องให้ “ขอผมถ่ายกับหลวงพ่อเล็กบ้างซิ ท่านจะได้มีรูปผมไปลงหนังสือของท่านบ้าง” พระครูกล้ารีบเข้ามายืนตีคู่ด้วย “ผมด้วยครับ เรื่องอะไรจะให้ท่านได้ลงหนังสือคนเดียว” พระครูโจส่งกล้องให้พระครูปรีชา แล้วเข้ามาประกบอีกข้าง ทำเอาพรรคพวกหลายรายเห็นเป็นเรื่องขบขัน แต่ “รังสีอำมหิต” จากบรรดานักท่องเที่ยว ทำพวกเราต้องรีบสลายกลุ่มย่อยทันทีที่พระครูปรีชาถ่ายเสร็จ อาตมารับกล้องคืนมา แล้วเดินถ่ายรูปตัวพระราชวังที่เป็นอาคารรูปตัวยูไปทุกซอกทุกมุม... “พระอาจารย์ทุกท่านครับ...รวมพลครับ” เสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อตะโกนเรียก พวกเราละออกจากจุดถ่ายรูปอย่างเสียไม่ได้ เดินไปรวมตัวกันแบบเชื่องช้าสุด ๆ “ไว ๆ หน่อยครับ ถ่ายรูปหมู่ครับ” เสียงพระครูกล้าสำทับมาอีกคน จุดรวมพลก็คือจุดจอดรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์ ซึ่งไม่ใช่ซุ้มกลางของประตูใหญ่ที่เป็นมุมยอดฮิตและไม่ว่างเว้น แต่เป็นด้านหน้าส่วนหนึ่งของกำแพงสีทองอร่ามนั่นเอง จะถ่ายซะอย่างก็ไม่ต้องไปคิดถึงสถานที่ เป็นการรวมตัวที่ครบครันทุกรูปอีกครั้งหนึ่ง แต่กล้องไม่ได้รับเชิญของบรรดานักท่องเที่ยวมีมากกว่าของพวกเราหลายเท่า... นอกจากรุมถ่ายรูปแล้ว หลายรายยังถือวิสาสะโดดเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเราด้วย ซึ่งก็ต้องอะลุ้มอล่วยกันไป ในที่สุดฝนที่เริ่มตกแรงขึ้นก็มาเป็นกรรมการห้ามทัพ มัคคุเทศก์รูปหล่อรีบพาพวกเราอ้อมไปยังด้านข้างของอาคารรูปตัวยู ที่เวลาหันหน้าเข้าซุ้มประตูจะอยู่ทางด้านซ้าย เมื่อเดินเลยเข้าไปจนเกือบสุดข้างตัวยู ก็มีหลังคายื่นออกมาส่วนหนึ่ง ที่ด้านซ้ายขวาใต้หลังคาเป็นซุ้มเว้า มีรูปปั้นหรือสลักยืนอยู่ในซุ้มนั้น รูปหนึ่งเป็นผู้พิชิตถือดาบสั้นเหยียบร่างของผู้แพ้เอาไว้ อีกรูปน่าจะเป็นกษัตริย์ทรงขัตติยราชภูษิตาภรณ์เต็มที่ ซึ่งทำให้ดูเหมือนผู้หญิง เพราะว่านอกจากผมยาวสลวยแล้ว ยังมีผ้านุ่งทับที่เป็นกระโปรงอีกด้วย พวกเราเผ่นเข้าไปหลบฝนกันโดยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2017 เมื่อ 18:23 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
กองทัพธรรมโดนกองทัพ "คุณเฉาก๊วย" รุมโจมตี..! "คณะของเราได้เวลาเข้าชมพระราชวังตอน ๑๐.๑๕ น.นะครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อแจ้งเวลาให้ทราบ อาตมาเห็นว่ายังเหลือเวลาตั้งเยอะ จึงเดินเลาะชายคาถ่ายรูปไปเรื่อย มาเจอร้านกาแฟเปิดอยู่ เขียนป้ายว่า ๐๙.๓๐ น. เปิดดูนาฬิกาในกล้อง เห็นว่ายังเหลือไม่ถึงยี่สิบนาที ในเมื่อหน้าร้านเปิดแล้ว อาตมาจึงเดินเข้าไปหวังว่าจะหลบลมหนาวสักหน่อย บริกรชายอายุน่าจะอยู่ในช่วงสามสิบต้น ๆ เดินมาผลักหน้าอกให้ออกจากร้าน พร้อมกับตะโกนลั่นว่า "No..no..nine thirty only." เออหนอ..บ้านตูหลับอยู่ยังปลุกได้เลย ที่นี่จะเอาตรงเวลาเป๊ะเท่านั้น... สงสัยว่าบริกรจะเสียงดังมาก จึงมี "ป้าแหม่ม" คนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน มายืนท้าวเอวอยู่ที่หน้าประตู เพื่อดูว่าใครกันแน่ที่มาก่อกวน เจ้าประคุณเถอะ..คุณป้าหน้าโหดยิ่งกว่า "ครูไหวใจร้าย" อีก ตาคมกริบเหมือนเหยี่ยวกวาดมองพวกเราแบบไม่ไว้ใจ มือซ้ายที่คีบบุหรี่ไว้ยกขึ้นอัดแรง ๆ แล้วพ่นควันจนกลบใบหน้าตัวเอง เหมือนกับยายแม่มดกำลังเสกคาถาอะไรประมาณนั้น ทำเอาพรรคพวกที่เดินตามมาหลายท่านถอยกันกรูด ยอมโดนลมหนาวกระหน่ำข้างนอกดีกว่าให้คุณป้าแกมองแล้วหนาวเข้าไปถึงหัวใจ มัคคุเทศก์รูปหล่อเห็นเข้าก็บอกกับพวกเราว่า "ผมขอปรับแผนดีกว่านะครับ เรายังมีเวลาเหลือแบบนี้ ไปซื้อของกันก่อนดีกว่าครับ" เสียงเฮรับมารอบข้างทันที... ฝนฟ้าก็เป็นใจหยุดลงเม็ดให้เสียด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงพาพวกเราเดินยาวออกนอกประตูรั้ว ตรงไปยังขอบลานจอดรถ ซึ่งมีบรรดา "คุณเฉาก๊วย" หลายรายยืนถือสินค้ากันเต็มมือ เมื่อเห็นพวกเรามาถึงก็ฮือเข้ามารุมล้อมทันทีส่งเสียงภาษาไทยกันให้แซ่ด "เท่าไร..เท่าไร" "อันเล็ก..อันใหญ่..ขายถูก ๆ" ทำเอามัคคุเทศก์รูปหล่อต้องตะโกนแทรกว่า "ทุกท่านระวังกระเป๋านะครับ" อาตมาชี้ไปที่หอไอเฟลจำลอง ขนาดสูงประมาณ ๑๐ นิ้ว "How much ?" อีกฝ่ายตอบว่า "10 Euros, Sir." อาตมาแกล้งถามว่ารับบัตรเครดิตหรือเปล่า ? "Do you take a credit cards ?" อีกฝ่ายร้องเสียงหลงว่า "No, take cash only." รับเงินสดเท่านั้น ฮ่า..ฮ่า..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2023 เมื่อ 00:32 |
สมาชิก 56 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ท่านไพฑูรย์กับท่านประธานรุ่น “พระอาจารย์ทุกท่านต่อราคาตามสบายนะครับ ของที่ระลึกที่นี่ราคาถูกที่สุด ใครมีฝีมือก็ต่อได้มากกว่าคนอื่น” อาตมาต่อราคาที่ ๕ ยูโร “คุณเฉาก๊วย” สั่นหัวอย่างแรง “๔...๓...๒...” อีกฝ่ายตาเหลือกจนเห็นแต่ตาขาวล่อกแล่ก ทำไมยิ่งต่อราคาก็ยิ่งต่ำติดดินวะ ? เมื่อเห็นว่าจริงก็ไม่ลด เล่นก็ไม่ลด อาตมาจึงเดินหนี แต่มีหรือที่ “คุณเฉาก๊วย” จะยอมถอดใจง่าย ๆ ตามประกบข้างแจ “ขายถูก ๆ...ขายถูก ๆ..” อาตมายืนยันว่าถ้าขายถูกก็ต้องชิ้นละ ๒ ยูโรเท่านั้น พ่อมืดหยิบอันเล็กส่งให้ อาตมาเดินหนีต่อไป “OK Sir, 2 euros.” ฮ่า...งานนี้อาตมาชนะใส ๆ ควักธนบัตรใบละ ๑ ยูโร ๒ ใบส่งให้ รับเอาหอไอเฟลจำลองมาชูให้พรรคพวกดู “๒ ยูโรครับ” เสียงเฮรับอย่างชอบใจ... มีราคากลางมาแล้วก็ซื้อหากันง่ายขึ้น มัคคุเทศก์รูปหล่อมีเทคนิคในการต่อราคาที่น่าทึ่งมาก สอบถามความต้องการของทุกคนว่าต้องการอะไรบ้าง แล้วเอายอดรวมมาต่อราคา จนได้พวงกุญแจ ๕๐ พวงมาในราคา ๖ ยูโรเท่านั้น นายไม่ได้มีแต่ความหล่อเท่านั้น หากแต่แน่มากเลยว่ะ..! อาตมาหันไปสอนภาษาไทยให้กับบรรดา “คุณเฉาก๊วย” บอกให้เปลี่ยนคำว่า “เท่าไร ?” เป็น “ซื้อไหม ?” บรรดาลูกศิษย์ผิวหมึกเรียนรู้ได้เร็วมาก พักเดียวก็แย่งกันตะโกนว่า “ซื้อไหม ? ซื้อไหม ? ราคาถูก ๆ” เมื่อเห็นว่าภาษาพอที่จะหากินได้แล้ว อาตมาก็เดินยาวตรงไปที่อนุสาวรีย์ทรงม้าหน้าลานกว้างของพระราชวัง... ถ่ายรูปอนุสาวรีย์ทรงม้าหล่อจากสัมฤทธิ์เขียว ตั้งอยู่บนแท่นสีขาวสองชั้น จากทางด้านหลังจนมาถึงด้านหน้า ถึงได้เห็นว่าที่ฐานมีตัวหนังสือว่า “LOUIS XIV” ที่แท้เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส ที่ร่วมสมัยกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระองค์เป็นผู้ดำริสร้างพระราชวังแวร์ซายแห่งนี้นั่นเอง “พี่เล็ก..ถ่ายรูปให้ผมหน่อยครับ” ท่านไพฑูรย์ที่เดินตามมาตอนไหนก็ไม่รู้ ? ร้องขอขึ้นมา จึงผลัดกันถ่ายรูปกับพระบรมราชานุสาวรีย์ สักพักท่านประธานรุ่นก็ตามมาขอร่วมเฟรมด้วยอีกคน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2017 เมื่อ 18:21 |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|