|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๒
ถาม : ถามนิดหนึ่งครับหลวงพี่ ถ้าหลวงพี่อธิษฐาน (เสกของ) เรียบร้อยแล้วต้องเอาไปเข้าพิธีอีกไหมครับ
ตอบ : มันอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่เชื่อ ขาดความมั่นใจก็ไปหาทางเข้าพิธีสัก ๗-๘ ครั้ง ก็อาจจะดีขึ้น ถาม : อย่างนี้จะกลายเป็นการปรามาสไหมครับ หลายรอบ หลายหน ตอบ : จะเรียกว่าปรามาสโดยตรงก็ไม่ใช่ แต่คนที่ขาดความมั่นใจขนาดนั้นจะเอาดีอะไรก็ยาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อคะ หลังจากครั้งล่าสุดที่หนูติดอยู่ หนูก็ไปภาวนาแบบไม่สนใจอะไรมาก มันก็ผ่านไปได้ค่ะ มันก็ไปอยู่ที่อารมณ์นิ่งสนิท เฉยสนิทค่ะ ทำให้หนูเข้าใจว่าเป็นฌานสี่ แต่พอลองเงี่ยหูฟังก็ยังได้ยินเสียง แล้วก็ยังหายใจอยู่ด้วยค่ะ แสดงว่ามันยังไม่ใช่ฌานสี่ใช่ไหมคะ
ตอบ : เราจะไปเอาฌานสี่แบบนิ่งสนิทมันไม่ได้ เพราะว่ามันมีฌานสี่แบบใช้งานด้วย ฌานสี่แบบใช้งานมันเหมือนกับอารมณ์ปกติทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ว่าเราจะสนใจอาการภายนอกหรือเปล่า ถ้าสนใจ...มันรับรู้ แต่ถ้าหากเป็นฌานสี่ที่เป็นสมาธิตั้งใจฝึกอย่างเดียว โดยไม่สนใจอย่างอื่นเลย มันจะไม่รับรู้อาการภายนอก ต้องไปสังเกตด้วยตัวของเราเอง สำคัญที่สุดว่าขณะนั้นนิวรณ์ ๕ กินใจเราหรือเปล่า ถ้านิวรณ์มันกินใจเราไม่ได้ ถือว่ากำลังมันเพียงพอที่จะสู้กิเลสแล้วแม้ว่ามันไม่มากพอที่จะตัดกิเลสก็ตาม ถาม : แล้วพอถึงจุดนั้นหนูก็รู้สึกว่า ถ้าพิจารณาได้มันจะดี แต่พอนึกอย่างนั้นแล้วมันก็พิจารณาไม่ไป เหมือนมันเฉื่อย ๆ อยากจะแช่อยู่อย่างนั้น ตอบ : ต้องคลายกำลังใจออกมา ตั้งเวลาให้มัน ตั้งใจว่าอีกครึ่งชั่วโมงเราจะคลายออกมา พอมันคลายออกมาแล้วเราก็มาคิด ถาม : แล้วแบบลืมตา ลุกขึ้นมานั่งแบบนี้ แล้วมันจะคลายไหมคะ ตอบ : ยาก ถ้ากำลังใจมันแน่นจริง ๆ หกคะเมนตีลังกามันยังไม่หลุดเลย ถาม : ในการพิจารณาแล้วเราเกิดอารมณ์เหมือนกับว่าละอะไรบางอย่างได้ แล้วทรงอารมณ์นั้นได้นาน ๆ นี่ขึ้นอยู่กับสมาธิเป็นหลักใช่ไหมคะ ตอบ : ทำบ่อย ๆ ย้ำบ่อย ๆ จนกระทั่งใจมันยอมรับจริง ๆ มันก็จะละได้ไปเอง แต่ว่าทั้งหมดนี่มันเป็นส่วนของสมาธิเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้ากำลังสมาธิไม่พอมันก็ตัดไม่ได้ ละไม่ได้ ถาม : หลวงพ่อคะแล้วถ้าเจอเรื่องตลกขำ ๆ แล้วหัวเราะก๊าก ๆ นี่มันเป็นกิเลสหรือเปล่า ตอบ : จะหัวเราะก๊าก..ใครเขาจะว่าอะไร แต่ว่าก๊ากเสร็จแล้วมาอยู่กับอารมณ์เดิมของเรา จะเรียกว่าเป็นกิเลสไหม มันก็ยังมีส่วน มันยังไปยินดียินร้ายกับมัน ถาม : แล้วพระอรหันต์หัวเราะกับปุถุชนหัวเราะมันต่างกันไหมคะ ตอบ : อันหนึ่งเป็นแค่อาการ อาการที่สักว่าแต่แสดงออก อีกอันหนึ่งใจไปด้วย ความรู้สึกมันเป็นไปตามนั้นเลย ปุถุชนนี่ความรู้สึกมันไหลตามตลอด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2009 เมื่อ 07:37 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อขา จะถึงสังขารุเปกขาญาณได้ อย่างไรก็ต้องผ่านนิพพิทาญานใช่หรือเปล่าคะ
ตอบ : แน่นอน จะผ่านมากผ่านน้อยขึ้นอยู่กับปัญญาของเรา บางคนติดอยู่เป็นปี ๆ เฉาไปเลย ถาม : แล้วสังขารุเปกขาญาณมีหลายระดับใช่ไหมคะ ตอบ : มันมีตั้งแต่ระดับปุถุชน ก็คือคำว่าธรรมดา ธรรมดาของปุถุชนมันวางได้แค่ไหน ก็อาจช่างหัวโคตรพ่อโคตรแม่มัน แล้วธรรมดาของกัลยาณชนทั่ว ๆ ไป ก็ช่างหัวมัน ธรรมดาของพระโสดาบันก็อาจจะช่างมัน ธรรมดาของพระอนาคามีก็ช่าง ธรรมดาของพระอรหันต์ ไม่ช่างกับใครแล้ว ไม่แตะเลย มันธรรมดาเหมือนกันแต่ว่ามันธรรมดาคนละระดับ ใครสามารถหาคำว่าธรรมดาเจอ นี่สามารถหากินได้ตั้งแต่ต้นยันปลาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2009 เมื่อ 07:37 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
หลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า "โบราณบอกว่าถึงไม่ใช่ญาติไม่ใช่เชื้อ ถ้ามีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้ออาตมา ถึงเป็นญาติเป็นเชื้อถ้าไม่มีความเอื้อเฟื้อก็เหมือนเนื้อในป่า" (เนื้ออาตมา คือ เนื้อเราเอง)
"พระพุทธเจ้าท่านจึงได้บอกว่า วิสาสา ปรมา ญาติ ความคุ้นเคยเป็นเสียยิ่งกว่าญาติ สังเกตสิว่าญาติธรรมมันรักกันยิ่งกว่าพี่น้องของตนเองเสียอีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2009 เมื่อ 07:36 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ผีอำมันก็คล้าย ๆ กับคนเราแหละ ที่มันจะหลอกเรา เพียงแต่ว่า คนอำพอหลอกเสร็จ มันก็หัวเราะแล้วบอกให้ฟังว่าความจริงเป็นอย่างไร แต่ผีอำนี่มันอำแล้ว อำเลย ไม่ค่อยบอกหรอก
ถาม : แล้วเหตุที่ผีอำค่ะหลวงพ่อ มีประการใดบ้าง ตอบ : อันดับแรกต้องแยกก่อน เพราะผีอำมันมีสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกมันเกิดจากเลือดลมไม่ดี พอเลือดลมไม่ดี การเดินของเลือดลมมันไม่คล่อง ความรู้สึกมันเหมือนกับมีอะไรใหญ่ ๆ ดำ ๆ มาทับให้เราอึดอัด ถ้าพยายามดิ้นรนสักพักก็หลุดออกมาได้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือผีจริง ๆ เลย คราวนี้เรามากล่าวถึงอย่างที่สอง ว่าผีมันมาอำด้วยสาเหตุอะไรบ้าง สาเหตุแรกก็คือ เคยมีกรรมเนื่องกันมาในอดีต และเห็นว่าเรามีบุญพอที่จะสงเคราะห์เขาได้ พยายามมาติดต่อ แต่เราก็ห่วยเหลือเกิน รับมันไม่ชัด มันก็เลยทำให้ดิ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ประการที่สองก็คือ เขาต้องการจะบอกสิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่เรา คราวนี้ก็เหมือนกันว่าสภาพจิตของเรามันมืดมัวจนเกินไป มันไม่สามารถรับได้ชัดเจน อาการก็เลยออกมาอย่างที่เห็น ประการสุดท้ายเลยมันหวงที่ ตั้งใจที่จะมาขับมาไล่ แต่ทีนี้ของเรารู้ไม่ชัด มันก็ดีเหมือนกันนะ ถ้าหากรู้ชัด ๆ เดี๋ยวมันไล่เราสำเร็จ นี่รู้ไม่ชัด ตกลงผีมันกลุ้มทั้งขึ้นทั้งล่อง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถาม : สงสัยว่าอย่างอารมณ์ปฏิฆะซึ่งมันเป็นอารมณ์กระทบของโทสะ แล้วทีนี้ตัวกามราคะมันไม่มีอารมณ์กระทบบ้างหรือคะ
ตอบ : มีสิ ตาได้เห็น จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส หูได้ยิน กายได้สัมผัส ทั้งนั้น ถาม : เพียงแต่ว่าอารมณ์มันเบากว่า ? ตอบ : มันไม่ใช่เบากว่า มันเป็นสิ่งที่เรายินดี ไม่ไปผลักไสมัน มันก็เลยไม่รู้สึกว่ามันกระทบ แต่ว่าในเรื่องของโทสะนี่เราไม่ยินดี กระทบเมื่อไหร่ยันมันโครมเลย มันก็เลยกระทบเยอะ ถาม : หนูสงสัยว่า เอ๊ะ ตัวกามราคะมันก็มีอารมณ์กระทบไม่มาก แต่ทีนี้มันก็ไม่เห็นมีอารมณ์กระทบในภาษาบาลีบ้าง ตอบ : มันมาอย่างนี้ (ทำมือโอบเข้ามา) แต่โทสะมันไปอย่างนี้ (ทำมือผลักออกไป) คนละอย่างกัน อันหนึ่งเราไปคว้ามันเข้ามาเราจะไปรู้สึกอะไร มันมีแต่อยากให้กระทบมากขึ้น ถาม : ทีนี้ถามต่อไปในเรื่องของกามคุณ ๕ ซึ่งประกอบไปด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สงสัยว่าเป็นไปได้ไหมที่แต่ละคนจะติดในแต่ละตัวที่หนักแตกต่างกันไป ตอบ : ใช่ มีเด่นเฉพาะของตัวเอง ถาม : แล้วทีนี้อย่างที่หนูเคยถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องอรูปราคะว่า บางคนที่ไม่ได้ฝึกในอรูปฌานแต่ว่าท่านไปละในอรูปราคะ ละในเรื่องของนามธรรมอย่างกลิ่น เสียง รส แล้วเป็นไปได้ไหมที่คนละกามราคะได้ เขาละได้เฉพาะตัวรูปหรือตัวสัมผัส ตอบ : แล้วแต่ว่าเขาติดเด่นตรงจุดไหน ตัวนั้นมันเหมือนกับว่าเราละเฉพาะตรงจุดนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้ามันละตัวใดตัวหนึ่งแล้วมันละทั้งหมด เพราะกำลังในการตัดมันเท่ากัน ถ้าเราสามารถละอันแรกได้ สอง สาม สี่ มันก็เหมือนกัน ถาม : แล้วคำว่าละ กับปล่อยวาง ต่างกันหรือเปล่าคะ ตอบ : ละ เดินจากไปเฉย ๆ มันกองอยู่ตรงนั้น ไปสะดุดเมื่อไหร่มันอาจจะเป็นโทษได้ แต่ถ้าหากวาง สลัดมันพ้นไปเลย ไม่มีวันที่จะมาข้องเกี่ยวกันอีก แต่ว่าเราจะมาเอาศัพท์เรื่องนี้มันไม่ได้ เพราะว่าบางคนอาจจะมีความรู้สึกว่าละ เขาก็ทิ้งหมดเหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับว่ากำลังใจของเรามันขึ้นอยู่ตรงจุดไหน ถ้าหากว่าเอาเฉพาะศัพท์มันใช้ไม่ได้ ถาม : ก็คืออย่างเมื่อก่อนมีความรู้สึกว่าปฏิบัติเพื่อที่จะละ ๆ ๆ มันออกไป ทีนี้ตอนหลังมันรู้อยู่แล้ว เหลือแค่ว่าจะยึดหรือว่าจะปล่อย มันเหลือแค่นี้ ตอบ : แล้วทีนี้จะยึดหรือจะปล่อย ถาม : ปล่อยแล้วค่ะ ยึดแล้วมันทุกข์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วทีนี้อารมณ์ที่มันชุ่มฉ่ำอยู่ในอกค่ะหลวงพ่อ มันออกมาเป็นกระแส สามารถที่จะบังคับให้มันไปในทิศทางไหนก็ได้ บังคับให้ไปที่คนนี้ก็ได้ ตรงนี้มันเป็นตัวพรหมวิหาร ๔ หรือเปล่าคะ
ตอบ : มันเกิดจากสมาธิที่ทรงตัว แล้วกดรักโลภโกรธหลงให้ดับลงชั่วคราว มันเป็นทั้งปีติและสุขในฌาน แล้วหลังจากนั้นถ้าเราใช้ความสามารถจากตรงนี้ในการแผ่ความรู้สึกออกไป ในการปรารถนาดีหวังดีต่อผู้อื่น มันก็จะเป็นตัวพรหมวิหาร ถาม : อย่างเมื่อก่อน ตัวรัก มันก็จะเป็นอารมณ์รักที่มันรัดรึงใจค่ะ พอตอนหลังอารมณ์ตัวนี้กระแสมันเปลี่ยนไปเลย มันเปลี่ยนไปในทางที่เป็นตัวเมตตาเฉย ๆ แล้วมันไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นค่ะหลวงพ่อ ตอบ : อันแรกมันยังเป็นราคะอยู่ อันหลังมันเป็นพรหมวิหารแล้ว ถาม : แล้วทีนี้หนูมาสังเกตเห็นตัวเองว่ามันเหมือนคนบ้า บ้าในที่นี้คือมันทุ่มเลยค่ะ ทุ่มในลักษณะที่ว่า ทำ ทำ ทำ ทุ่มสุดตัว เหมือนกับว่ากำลังใจมันสูง มันสูงจนกระทั่งบางวันมันไม่หลับ ตรงที่กำลังใจสูง มันก็พาให้ตัวสมาธิสูงด้วยแล้วก็ตัววิปัสสนาตามด้วย ตอบ : โดยหลักการปฏิบัติ ถ้าหากว่าอินทรีย์ ๕ มันเจริญ พละ ๕ มันก็ตามมา คือ ถ้าหากศรัทธามันเกิด พากเพียรทำไปแล้วมันมีผล ตัวสติ สมาธิ ปัญญามันก็จะก้าวหน้า มันก็จะมีกำลังใจที่อยากจะทำอีก มันก็กลับไปเป็นศรัทธาอีกที แต่ว่าตรงจุดนี้ให้ระมัดระวังว่ามันมีอุปกิเลสอยู่ตัวหนึ่ง คือ ปัคคาหะ ความเพียรมากเกินไป ในปัจจุบันนี้แม้ว่าความเพียรมากเกินยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างก็จริง แต่ให้ระมัดระวังว่าถ้ามันขาดการพักผ่อน หรือว่าพักผ่อนไม่พอบางทีร่างกายมันไม่ไหว มันจะเกิดอาการกรรมฐานแตก สติแตกได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผ่อนสั้นผ่อนยาว ดูจุดพอเหมาะพอดีก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วทีนี้เมื่อวานมันคลำไปเจออารมณ์ตรงกลางพอดีค่ะหลวงพ่อ อารมณ์ตรงกลางที่มันไม่เอาอะไรค่ะ
ตอบ : มันไม่เอาอะไร คราวนี้เราต้องมาทวนใหม่ มันไม่เอาอะไรเพราะว่ามันไม่มีสิ่งที่มากระทบเราจริง ๆ หรือเปล่า ตรงนี้เราจะไปมั่นใจเลยทีเดียวไม่ได้ จะต้องทรงอารมณ์ที่ไม่ประมาทเอาไว้เสมอ ถ้ามันรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถปล่อยได้วางได้หมด ลองกำหนดถามตัวเองทีละข้อ คนที่เรารักมีไหม ของที่เรารักมีไหม ทรัพย์สมบัติที่เราหวงแหนมีไหม ท้ายสุดกระทั่งร่างกายนี้เรายังต้องการมันอีกไหม ถ้ามันสามารถที่จะตัดได้ ละได้ ก็ขอให้คิดไว้ว่ามันอาจจะเป็นแค่สัญญาคือความจำ อย่าเพิ่งไปมั่นใจว่าจะเป็นอย่างนั้น จนกว่าจะมีสิ่งมากระทบหนัก ๆ จริง แล้วมันไม่กำเริบ เราค่อยมั่นใจว่ามันมาถูกทาง แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าเพิ่งประมาท ก่อนหน้านี้เราทำตามกติกาอย่างไหน รักษาศีลแบบไหน เจริญสมาธิแบบไหน ใช้ปัญญาในการพิจารณาแบบไหนให้พยายามซ้อมทำให้มาก ๆ เพื่อที่ถึงเวลาแล้วจะได้เป็นของเราอย่างแท้จริง ถาม : หนูเคยมาสังเกตว่าตัวอารมณ์นิพพิทาญาณค่ะ มันมีอารมณ์ที่มีความเศร้าหมองปนอยู่ด้วยหรือเปล่า ตอบ : แน่นอน นิพพิทาญาณส่วนใหญ่แล้วจะมีอารมณ์ความเศร้าหมองปนอยู่ เพราะถ้าเรามีอันเป็นไปตอนนั้น ไม่แน่ว่าเราจะไปดี ยกเว้นว่ามันจะก้าวขึ้นไปเป็นสังขารุเปกขาญาณได้เพราะเห็นธรรมดาของมัน อย่างที่เคยบอกไว้ว่ากระทั่งผู้ปฏิบัติที่มุ่งเพื่อความหลุดพ้นของเรายังมีความทุกข์ขนาดนี้ คนอื่นที่ขึ้นชื่อว่าไม่ทุกข์นั้นไม่มี ถ้าหากเราก้าวมาถึงตรงจุดนี้แล้วเห็นปกติธรรมดา ละได้วางได้แล้วถ้าอย่างนั้นมันก็จะไม่มีความเศร้าหมอง แต่มันจะเห็นเป็นธรรมดา ถึงตอนนั้นมันไม่แสวงหาความตาย แต่ว่ามันพร้อมที่จะตาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2009 เมื่อ 12:07 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อคะ เมื่อก่อนให้ลูกเขาภาวนาพุทโธ แล้วเขามีท่าทีทุรนทุรายค่ะ
ตอบ : ธรรมดา ไปจับลิงมัดอยู่ก็ต้องอย่างนั้น บอกเขาว่าเอาแค่ ๓ ครั้งก่อน พอภาวนาพุทโธ ๓ ครั้งแล้วจะไปทำอะไรก็ไป พอหลังจากนั้นเขาชินก็เอาสัก ๕ ครั้ง ๗ ครั้ง เพิ่มไปเรื่อย ถาม : ให้เขาภาวนา ๑๐ ครั้งค่ะ ตอบ : โหดไป สมาธิเด็กเขายังสั้นอยู่ ให้ทำอะไรนาน ๆ ไม่ไหวหรอกจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพี่คะทำไมทางพระพม่าเขาถึงได้สร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ขนาดนั้นคะ
ตอบ : ก็อาตมาเคยใช้คำว่าเส้นทางพระโพธิสัตว์ ส่วนใหญ่เขามาสไตล์นั้น สไตล์พระโพธิสัตว์ ถาม : หลวงพ่อเคยเห็นพระพุทธรูปที่แกะด้วยไม้จันทน์หรือไม้กฤษณาองค์ใหญ่ ๆ บ้างไหมคะ ตอบ : เต็มที่หน้าตักประมาณสิบกว่านิ้วเท่านั้น เพราะว่าไม้พวกนี้ราคาแพงมาก อย่างที่พม่าไม้จันทน์ชั่งหนึ่งราคาตกประมาณเกือบแสนได้ เพราะฉะนั้นแกะองค์ใหญ่ไม่มีใครซื้อ ชั่งหนึ่งก็สามปอนด์ ถ้าหากเป็นไม้ธรรมดาเคยเห็นเขาแกะหน้าตักราว ๆ ประมาณสิบกว่านิ้ว เคยเห็นลูกประคำของหลวงพ่ออุตตมะไหม ที่ทำจากไม้ไผ่สานหรือไม้หวายสาน เขาสานในลักษณะนั้นเป็นพระพุทธรูปหน้าตักสี่ศอก คนเดียวก็สามารถยกไหว เขาไปตอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ขนาดเท่าเส้นผมเรา แล้วก็สานเอา ต้องบอกว่าคนทำมีความพยายามสูงแล้วสุดยอดฝีมือจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าขอผ้ากรานกฐินจะเป็นไรไหมครับ
ตอบ : กฐินเขาไม่ให้ขอ ถ้าขอเขาถือว่าเดาะตั้งแต่แรกเลย ถาม : ถวายไปก็ไม่มีผลใช่ไหมครับ ตอบ : อานิสงส์มันไม่ได้ คำว่า กฐินเดาะ ก็คือ กฐินขาดจากอานิสงส์นั้น กฐินเขาให้ญาติโยมไปปวารณาถวายเอง ถ้าไปหาเจ้าภาพหรือไปขอเขาไม่ได้ อย่างอาตมาไม่ขอ ตั้งเอง ใครจะร่วมก็มา ถาม : แล้วเราทำไปจะเป็นโทษไหมครับ ตอบ : ไม่เป็น เราทำ...บุญก็เป็นของเรา จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องได้ เพียงแต่ว่าอานิสงส์กฐินมันไม่มี พระเขาไม่สามารถจะใช้อานิสงส์กฐินได้ พูดง่าย ๆ คือ ได้ชื่อรับกฐิน แต่อานิสงส์ไม่ได้ ถาม : ถ้าเราทราบว่าผิด แล้วเรายังไปทำ อย่างนี้เราจะมีโทษไหมครับ ตอบ : ถ้าตั้งใจจะทำให้พระท่านเดือดร้อนเพราะไม่ได้อานิสงส์ นั่นนะผิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
เมื่อวันศุกร์ช่วงสายที่ผ่านมา หลวงพ่อสมปองได้มาหาพระอาจารย์เล็กที่บ้านอนุสาวรีย์ มากราบเรียนปรึกษาในเรื่องจะย้ายสังกัดจากวัดท่าขนุน ไปอยู่ที่วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร ต.จักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี
พระอาจารย์เล็กได้กล่าวกับหลวงพ่อสมปองว่า "ก็ดี เพราะว่าในเรื่องของพระนั้นลำบาก ถ้าหากเขารู้ว่าเรามีเส้นสายเขาจะเกรงใจ แต่ถ้าหากเขาไม่รู้ ก็จะโดนบี้ตายเลย แต่มีว่าในเรื่องของพระผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วท่านต้องการเราไว้ใช้ ยิ่งแสดงสมรรถภาพให้ท่านเห็นเมื่อไร ท่านใช้ไม่เลิก ผมเหนื่อยจะตายอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะแบบนี้ ถ้าไปก็เจอแน่ ย้ายเมื่อไรก็มาบอก เดี๋ยวผมเซ็นให้ ของพรรค์นี้ สไตล์นักปฏิบัติก็คือว่า ไม่ดิ้นรนไปไขว่คว้า แต่ถ้าหากว่ามาก็ไม่ต้องไปปฏิเสธ เมื่อก่อนนี่ผมมองมุมแคบ งานพระศาสนาจะก้าวไกลไปได้เพราะคอนเน็คชัน อย่างงานนี้เราไม่ไหว คุณโทรบอกท่านเจ้าคณะจังหวัด หลวงพ่อครับช่วยผมหน่อย ท่านแค่ยกหูกริ๊งเดียว ด้วยพาวเวอร์ของท่านงานนั้นก็เสร็จ เพราะฉะนั้นพวกคอนเน็คชันพวกนี้ถ้ามีก็จะดี สมัยก่อนผมถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "หลวงพ่อครับ พระที่หลวงพ่อนิมนต์มาในงานประจำปี มีเยอะต่อเยอะด้วยกัน ที่ผมรู้ว่าไม่เอาไหนก็มี แล้วหลวงพ่อนิมนต์มาทำไมครับ ?" ท่านบอกว่า "แกอย่ามองสายตาแคบขนาดนั้น สิ่งที่พ่อทำเป็นการถวายสังฆทาน ถ้าหากว่ามีพระแก้วอย่างหลวงปู่สมเด็จฯ วัดสามพระยามาเป็นประธานสักองค์หนึ่ง ก็สุดแสนจะวิเศษแล้ว พระทั้งหลายที่แกว่ามา ไม่ใช่ข้าไม่รู้...ข้ารู้ แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้นานไปจะเป็นใหญ่เป็นโตในวงการปกครอง ถ้าหากแกรู้จักมักคุ้นไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ต่อไปแกทำอะไรก็สบาย" แล้วทุกวันนี้ผมก็สบาย เพราะว่าพระผู้ใหญ่ทุกระดับเรารู้จักมักคุ้นตั้งแต่สมัยนั้น หลวงพ่อท่านวางแนวไว้ให้เราหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2019 เมื่อ 20:02 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
"ฉะนั้นของบางอย่างแต่ละช่วง ๆ พอผ่านไป มุมมองจะกว้างขึ้น ๆ เราจะเห็นความจำเป็น เพราะว่างานพระศาสนาที่เราทำ ถ้ามีคนที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่เราได้ก็จะคล่องตัว ถึงได้บอกว่าถ้ามีมา...รับได้ก็รับ เราไม่ไปไขว่คว้าหามา เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลกธรรม แต่ว่าขณะเดียวกันถ้ามันมาเองก็ไม่ต้องปฏิเสธ ผมเองเป็นพระครูธรรมธร ผมจะรับพรุ่งนี้เช้า ผมมารู้ตอนห้าโมงเย็น ผมมารู้ตอนที่เขามาตะโกนถามว่าไม่ไปซื้อพัดหรือ ผมก็ถามว่าพัดอะไรวะ เขาก็บอกว่าหลวงพ่อจังหวัดตั้งคุณเป็นพระครูฐานานุกรม
ของพวกเราไม่ได้คิดจะไปเอา แต่ว่าอย่างน้อย ๆ ก็เป็นไม้กันหมา หลวงพ่อจังหวัดพยายามจะสนับสนุนให้ผมเป็นพระครูปลัดตั้งนานแล้ว ผมบอกว่าถ้าผมเป็นพระครูปลัดแล้วต่อท้ายด้วยคำว่า 'เล็ก' มันทุเรศ ผมไม่เอาหรอก เป็นปลัดก็ต้องใหญ่ เล็กไม่ได้ ให้ระวังว่างานอะไรที่เป็นงานพระพุทธศาสนาที่ท่านให้ช่วย อย่างเช่นว่าเรื่องของการศึกษา การปกครอง การเผยแผ่ การสาธารณูปการ เราก็สงเคราะห์ แต่ถ้านอกลู่นอกท่ามาก เราก็บอกท่านได้เหมือนกัน ขืนไปช่วยท่าน มีหวังตาย ทุกวันนี้ผมเห็นว่าสิ่งที่หลวงพ่อทำเอาไว้ เป็นเรื่องที่ท่านรู้จริง โดยเฉพาะตอนที่ท่านรับพัดพระสุธรรมยานเถระ แล้วไปฉลองฯ พระที่ท่านนิมนต์ชยันโต ๑๐ รูป ปัจจุบันนี้เป็นสมเด็จพระราชาคณะเกือบหมด ท่านสงเคราะห์เราทั้งนั้น ผมเสียดายทางวัดเราไปตัดออก ทำให้คอนเนคชันขาดลง ต่อไปถ้าหากมีเรื่องอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีใครช่วยในการแก้ไข ต่อไปของคุณรับตรงนี้แล้ว การติดต่อกว้างขวางมากขึ้น อาจจะเป็นภาระบางส่วนที่เราต้องรับ ต้องเรียกว่าเป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร ต้องการหรือไม่ต้องการเขาก็จัดมา ผมเองยังไม่รู้เลยว่าถ้าวาระมาถึง ผมเองจะโดนถีบออกหน้าไปเมื่อไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-01-2019 เมื่อ 20:02 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
"หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ เจอหน้ากันเมื่อไร ท่านก็บอก "ช่วยงานกันนะ ช่วยงานกันนะ ถนอมสุขภาพไว้หน่อย อย่าเพิ่งรีบไปไหน ผม (หลวงพ่อสมเด็จ) สุขภาพไม่ดีเพราะอายุมันมาก แต่ของท่าน (พระอาจารย์เล็ก) สุขภาพไม่ดีเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะฉะนั้นมันต้องอยู่ใกล้หมอ ใกล้ยากันทั้งคู่" ท่านเองเป็นห่วงพวกเรามาก เราทำอะไรที่ไหนไม่ได้พ้นสายตาท่านเลย ท่านรับรู้หมดทุกอย่าง บางทีผมกำลังแย่ ๆ อยู่ คนขับรถท่านโทรมา หลวงพ่อสมเด็จท่านบอกว่าอย่างนี้ ๆ ๆ ครับ ไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำตามอย่างเดียวพอเลย
สมัยก่อนพวกเรามันหัวแข็ง กระทั่งเรียกคนอื่นเป็นหลวงพ่อยังเรียกไม่ได้เลย แล้วผมมาค่อย ๆ ดู ว่านี่เป็นสักกายทิฏฐิอย่างหนึ่ง เป็นมานะ แล้วท้ายสุดหมูหมากาไก่ ผมเรียกได้หมด เพราะว่าเราต้องดูจุดสุดท้าย พระอริยเจ้าในอนาคตของเรา ท้ายสุดทุกคนก็เข้านิพพานกันหมด ใครละได้ก่อนวางได้ก่อนก็สบาย ใครจะแบกก็แบกไป เราก็วาง ๆ ๆ ๆ อย่าไปวางใส่หัวเขาก็แล้วกัน ตกลงบ้านตลิ่งชันไม่เอาแล้วใช่ไหม ? จริง ๆ น่ะช่วยได้เยอะ เพราะว่าคนที่ไปหาจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีข้อเสียตรงที่ว่า พอมีตัวตนอยู่เขาก็ยึดแต่เรา ไม่ใช้ความพยายามเอง ตรงจุดนี้สำคัญ ผมเองทุกวันนี้ก็พยายามจะ (ตบ) เรียงตัว คือพอมีให้ยึดเขาก็ยึดจริง ๆ เมื่อเช้าเล่าให้พระท่านฟัง บอกเขาว่าสมัยก่อนผมอยู่กับหลวงพ่อ ไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อจะอยู่ถึงวันรุ่งขึ้น วันนี้เรากอบโกยได้มากเท่าไร เราเอาเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็เห็นผลขึ้นมาว่า พอสิ้นหลวงพ่อแล้ว พระผู้ใหญ่ท่านยังร้องไห้กันอยู่ แต่เราสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราไปประมาทว่าครูบาอาจารย์ยังอยู่ เดี๋ยวปุ๊บปั๊บท่านเป็นอะไรไปจะไม่มีที่เกาะอีก แล้วก็จะเดือดร้อน ของบางอย่างเหมาะที่จะพูดกับพระ แล้วถ้าพระไม่ได้มาอยู่หลายรูป ก็เสียเวลาพูดหลายครั้ง เมื่อเช้าท่านมาหลายรูปก็เลยพูด ต้องเรียกว่าสร้างทายาทอสูรไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ขาดช่วง อย่างน้อย ๆ จะได้มีคนอยู่เพื่องานพระศาสนา ถึงได้บอกว่าถ้ายังรักตัวเองอยู่ ก็แปลว่าสักกายทิฏฐิยังเต็ม ทุ่มเทงานพระศาสนาให้เต็มที่ จะตายก็ช่างหัวมัน อย่างนั้นแล้วพอจะละง่ายขึ้น แต่หลวงพ่อสมเด็จท่านเตือน ท่านว่าร่างกายไม่ใช่ใช้ให้มันพัง พัง...คงไม่พังหรอก แต่ถ้าครึ่งเป็นครึ่งตาย รักษาลำบาก คราวนี้ตัวเองเดือดร้อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-10-2009 เมื่อ 08:54 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ถาม : สมมติเรามีเงินอยู่ ๒๐๐ บาท ทำทีเดียว ๒๐๐ บาทแบบนี้ กับทำ ๑๐๐ บาท แล้วคนอื่นมาทำร่วมทีละ ๒๐ บาท ๆ อย่างนี้บุญมันจะเท่ากันไหมครับหลวงพี่
ตอบ : ถ้ากำลังใจมันมีโอกาสได้เกาะมากกว่า หลายครั้งกว่า อานิสงส์จะมากกว่า เรื่องของทานมันไม่ได้อยู่ที่จำนวน มันอยู่ที่กำลังใจ กำลังใจเกาะความดีได้มากกว่า หลายครั้งกว่า อานิสงส์ก็มากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-10-2009 เมื่อ 10:56 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพี่ครับ มีโยมเขาถวายแก้วจักรพรรดิให้เม็ดหนึ่งครับ เป็นแก้วจักรพรรดิจริงหรือเปล่า
ตอบ : มันต้องถามว่าคุณเชื่อหรือเปล่า ถาม : เชื่อครับ ตอบ : ถ้ายังถามอยู่อย่างนี้ยังไม่มั่นใจหรอก ถ้าอย่างนั้นของจริงก็เป็นของปลอม บอกว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับกำลังใจ มั่นใจก็ใช้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพี่ครับ มีคำสอนอะไรเพิ่มเติมที่จะทำให้โพธิญาณของผมก้าวหน้าเพิ่มขึ้น
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นอกจากสร้างบารมี ๑๐ ไวไว ถาม : ถ้าเช่นนั้นผมกลับก่อนนะครับ ตอบ : อะไรที่เป็นบุญใหญ่พยายามทำไว้ ถาม : จะไม่ทิ้งพระโพธิญาณครับ ตอบ : คนเดินทางไกลเราไม่ห้าม ต้องบอกว่านานเหลือเกิน นานจนสยดสยอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : คนท้องทำอย่างไรดี
ตอบ : ทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ดูแต่สิ่งสวย ๆ งาม ๆ หรือจะให้ดีให้จับภาพพระพุทธรูปสวย ๆ เป็นอารมณ์ เพราะว่าสิ่งที่แม่คิดพูดทำ มันไปถึงลูก เกาะสิ่งที่ดี ๆ ไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ในขณะที่พวกพี่นุชกำลังถักหมวกถวายพระอยู่นั้น หลวงพ่อบอกว่า "อันนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของผ้าผ่อนท่อนสไบ ถือว่าให้แพรพรรณ ถือว่าเป็นผู้ให้วรรณะ วรรณะในที่นี้แปลได้ทั้งผิวพรรณและชาติตระกูล ส่วนใหญ่แล้ววรรณะในภาษาบาลีจะหมายถึงชาติตระกูล จะเกิดในตระกูลสูง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อคะ สงสัยค่ะว่าจะละตัวตนอย่างไร มันมีความรู้สึกว่าเหมือนเป็นแกนกลางค่ะ ให้บอกว่ามันไม่ใช่เรา...
ตอบ : จะละอะไร เขาละไอ้ตัวนี้ (ชี้ไปที่ร่างกาย) ถาม : มันรู้สึกว่ามีตัวมีตนอยู่ มันถือว่ามันเป็นเราเป็นของเราค่ะ ตอบ : ตอกย้ำมันบ่อย ๆ ถอดมันเป็นชิ้น ๆ แยกแยะมันให้ละเอียดจนกว่ามันจะยอมรับว่าไม่ใช่ ถาม : แกน ๆ ตรงกลาง ตอบ : ถอดมันให้หมด แล้วมันจะเหลืออะไร กองนี้ดิน กองนี้น้ำ กองนี้ลม กองนี้ไฟ แล้วมันเหลือตรงไหน หมดเกลี้ยงเลย แยกบ่อย ๆ แยกออกแล้วรวมเข้า ๆ แยกออก เขาเรียกอนุโลมปฏิโลมนะจ๊ะ ทำบ่อย ๆ แล้วมันจะค่อย ๆ ยอมรับไปเอง ไม่ใช่อัจฉริยะแบบสมัยพระพุทธเจ้าที่บอกปุ๊บแล้วจะได้เลย ของพวกเรามันต้องอยู่ที่พากเพียรพยายาม ถือว่าเป็นเนยยะ ดีกว่าปทปรมะตั้งเยอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|