#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้ทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อีกวาระหนึ่ง ยังคงอยู่รอดปลอดภัย แต่บุคคลใกล้ชิดติดไปเรียบร้อยแล้ว..!
ตรงส่วนนี้ต้องบอกว่า ถ้าหากว่าบุคคลเราไม่ได้สร้างกรรมเอาไว้ อย่างไรเสียก็ไม่สามารถที่จะมีสิ่งหนึ่งประการใดมาทำให้ต้องรับกรรมส่วนนั้นได้ แต่ถ้าหากว่าได้สร้างกรรมเอาไว้ ต่อให้หลบหลีกไปจนสุดขอบฟ้า อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร อยู่ภายใต้ถ้ำลึกในขุนเขา กรรมก็ยังสามารถที่จะตามไปสนองจนได้ สำหรับวันนี้กิจกรรมหลักของกระผม/อาตมภาพก็คือ การเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ของสำนักเรียนวัดท่าขนุน ซึ่งการเปิดโรงเรียนนี้ โดยปกติแล้วทางคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิจะมีการแบ่งกันว่า ตำบลไหนต้องร่วมกับตำบลไหนในการเปิดสำนักเรียน ๑ สำนัก เพราะว่าการเปิดสำนักเรียนนั้น จะต้องมีผู้เรียนอย่างน้อย ๒๐ รูป/คน ถึงจะเหมาะสม แต่คราวนี้ทางวัดท่าขนุน ในแต่ละปีมักจะมีพระภิกษุสามเณร ๔๐ กว่า ๕๐ รูป จึงสามารถที่จะเปิดสำนักเรียนโดยเฉพาะของตนเองได้ ทั้งการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันว่าการเรียนนักธรรม และการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทางวัดท่าขนุนซึ่งปกติแล้วก็มีการเรียนการสอนค่อนข้างจะเข้มงวด จึงต้องทำการเปิดเรียนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่หลังจากที่สอนจนครบหลักสูตรแล้ว จะได้มีเวลาพอเพียงในการทบทวนบทเรียน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สำนักเรียนวัดท่าขนุนเท่ากับว่า สามารถกำหนดวันเวลาในการเปิดสำนักเรียนของตนเองได้ตามใจตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2022 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
การเรียนการสอนในพระพุทธศาสนานั้น โดยหลักเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ศึกษาในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และ ปัญญา แต่ว่าการเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมก็ดี แผนกบาลีก็ดี แผนกสามัญก็ดี มีประโยชน์ตรงที่ว่า
อันดับแรกเลย เปรียบเสมือนกับการมีแผนที่อยู่ในมือ ช่วยให้สามารถเดินทางได้อย่างมั่นอกมั่นใจยิ่งขึ้น ประการที่สองก็คือ ได้ศึกษาความรู้ในพระพุทธศาสนา เมื่อกำหนดจดจำได้ แล้วมีการถ่ายทอดสืบต่อกันไป ก็ทำให้คำสอนในพระพุทธศาสนานั้น สามารถสืบทอดไปอย่างยั่งยืนมั่นคงได้ และประการสุดท้ายก็คือ เมื่อศึกษาแล้ว ให้เร่งการปฏิบัติตามสิ่งที่เราเรียนรู้มา จนกว่าจะประสบความสำเร็จ ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางแนวทางเอาไว้ ก็แปลว่าปริยัติ คือการเรียนตามตำรา ปฏิบัติ คือการลงมือทำให้เกิดผล จึงจะก่อให้เกิดปฏิเวธ คือผลจากการเรียนและการปฏิบัติธรรมนั้นเกิดขึ้นแก่ตัวตนของเราได้ แต่ถ้าเรียนแล้วไม่สามารถที่จะนำมาใช้การได้ ซ้ำยังทำให้เกิดการหยิ่งผยอง อย่างเช่นว่า "เราจบนักธรรมชั้นเอก เราจบเปรียญธรรม ๙ ประโยค เราจบปริยัติสามัญระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก" ถ้าลักษณะอย่างนี้ก็จะกลายเป็น "เถรใบลานเปล่า" ไม่สามารถที่จะนำมาใช้งานได้ยังไม่พอ ยังเพิ่มตัวมานะและสักกายทิฎฐิ คือเพิ่มความถือตัวถือตน ความเป็นตัวกูของกูให้หนักยิ่งขึ้น วิธีการศึกษาแบบนี้ ในบาลีเรียกว่า อลคัททูปมปริยัติ ก็คือการเรียนแบบจับงูข้างหาง มีแต่จะทำให้โดนงูนั้นแว้งกัด จนบาดเจ็บล้มตายลงไปในภายหลัง ซึ่งตัวอย่างก็มีอยู่มากมายทั่วไป อย่างเช่นว่าเรียนแล้วสอนคนอื่น แต่ไม่สามารถที่จะสอนตนเองได้ เรียนแล้วสอนคนอื่นประสบความสำเร็จมากมาย แต่ตนเองไม่ได้อะไรเลย เรียนแล้วสอนคนอื่นได้ แต่ตนเองต้องสึกหาลาเพศออกไป เพราะว่าไม่สามารถนำคำสอนมาก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนได้ เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2022 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สำหรับภารกิจสำคัญเรื่องต่อไปก็คือ ร่วมกันเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สาย อคฺควํโส หรือหลวงปู่พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปที่ ๓ อดีตเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งได้มรณภาพมาเป็นระยะเวลา ๓๐ ปีเต็ม จะย่างขึ้น ๓๑ ปีแล้ว
ตลอด ๒๔ ปีแรกนั้น กระผม/อาตมภาพทำหน้าที่เป็นผู้เปลี่ยนผ้าครองให้ต่อเนื่องกันมาทุกปี เนื่องจากว่าเจ้าอาวาสรูปถัดมา ก็คือท่านพระอธิการสมเด็จ วราสโยนั้น ท่านกลัวผีอย่างสุดจิตสุดใจ แม้แต่มองก็ไม่กล้ามอง กระผม/อาตมภาพในฐานะศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงปู่สาย จึงได้อาสาเป็นผู้เปลี่ยนผ้าครองถวายครูบาอาจารย์ต่อเนื่องกันมาถึง ๒๔ ปี หลังจากนั้นก็ได้เป็นพี่เลี้ยงอยู่ห่าง ๆ ให้บรรดาพระภิกษุสามเณรได้ฝึกฝนในการเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สายสืบกันมา ซึ่งปีที่แล้วกับปีนี้ กระผม/อาตมภาพก็ทำหน้าที่เพียงเล็กน้อยในการให้คำแนะนำแก่พระภิกษุสามเณร เพื่อที่จะได้หาบุคคลที่มีความรู้ความคล่องตัว ทำการเปลี่ยนผ้าถวายต่อสังขารของครูบาอาจารย์ หลวงปู่สาย อคฺควํโส ท่านมรณภาพลงในวันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๕ มรณภาพก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงประมาณ ๖ สัปดาห์ ช่วง ๑๐๐ วันของทั้ง ๒ องค์นั้น กระผม/อาตมภาพก็วิ่งไปวิ่งมาอยู่ระหว่างวัดท่าซุงกับวัดท่าขนุน เพื่อร่วมงานของครูบาอาจารย์ทั้ง ๒ องค์ โดยพยายามที่จะแบ่งเวลาให้ลงตัวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วท้ายที่สุดก็ต้องมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนี้เสียเอง..! ต้องบอกว่าทุกสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญ หากแต่ว่าเป็น "ธรรมะจัดสรร" หรือว่า "กรรมบันดาล" ให้เป็นไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราทั้งหลาย สามารถที่จะรู้ล่วงหน้าได้หรือไม่เท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2022 เมื่อ 02:36 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เมื่อทำการเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สายเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพได้มารับการถวายเทียนพรรษาจากคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนวชิราลงกรณนั้น เป็นหน่วยงานสำคัญหน่วยงานหนึ่ง ที่จะมาถวายเทียนพรรษากับทางวัดท่าขนุนเป็นประจำ แต่ว่าโดยปกติแล้ว ก็จะนัดแนะกับทางส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พร้อมเพรียงกันมาถวายในวันเดียวกัน
เพียงแต่ว่าปีนี้อาจจะมีภารกิจสำคัญ ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนวชิราลงกรณจึงได้เดินทางมาถวายเทียนพรรษาล่วงหน้า ปล่อยให้ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนกระทั่งโรงเรียนต่าง ๆ มาร่วมกันถวายเทียนพรรษาในวันรุ่งขึ้น การถวายเทียนพรรษานั้น ในสมัยโบราณมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่า ให้พระภิกษุสามเณรได้อาศัยแสงไฟในการศึกษาเล่าเรียน และโดยเฉพาะมีการเจาะจงว่า ถวายเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธรูปในโบสถ์บ้าง ในศาลาบ้าง มาถึงในยุคปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีหลอดไฟฟ้า ตลอดจนกระทั่งหลอดประหยัดไฟต่าง ๆ แล้วก็ตาม ความนิยมในการถวายเทียนพรรษาก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปมากนัก หากแต่ว่าทางวัดท่าขนุนนั้น เมื่อรับเทียนพรรษามาแล้ว ก็นำไปหลอมเป็นผางประทีป เพื่อที่จะตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงถวายเป็นพุทธบูชา ในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา และวันอาสาฬหบูชา โดยแถมวันลอยกระทงเข้าไปอีกวันหนึ่ง จนกระทั่งทำให้งานตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ถวายเป็นพุทธบูชาของวัดท่าขนุน ซึ่งมีปีละ ๔ วันนี้ ได้รับการยกขึ้นเป็น Unseen Thailand โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจังหวัดกาญจนบุรี เป็นงานสำคัญงานหนึ่งที่ทางนักท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ มุ่งหมายที่จะมาร่วมงานนี้ให้ได้ อานิสงส์ของการถวายไฟเป็นพุทธบูชานี้ จะทำให้มีผลานิสงส์ในด้านทิพจักขุญาณ โดยมีตัวอย่างคือพระอนุรุทธเถระ ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์วิชชา ๓ ถ้าหากว่านับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเป็นระดับ A พระอรหันต์อภิญญา ๖ เป็นระดับ B พระอรหันต์วิชชา ๓ เป็นระดับ C และพระอรหันต์สุกขวิปัสสโกเป็นระดับ D แล้ว ต้องบอกว่าพระอรหันต์วิชชา ๓ นั้นอยู่ในระดับที่ ๓ แต่ว่าพระอนุรุทธเถระกลับมีทิพจักขุญาณเป็นเลิศกว่าพระอรหันต์ที่เป็นพระอัครสาวกและมหาสาวกปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายเสียอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2022 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
เหตุเพราะในอดีตกาลชาติหนึ่ง ท่านได้ตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชาต่อพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำให้เกิดมาชาตินี้ ท่านมีทิพจักขุญาณแจ่มใสเป็นพิเศษ ถามว่าแจ่มใสถึงระดับไหน ? ก็ถึงระดับที่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่จะปรินิพพานนั้น ในขณะนี้ทรงเข้าฌานสมาบัติในระดับไหน ทรงพักอยู่ในฌานสมาบัติในระดับไหน เป็นระยะเวลามากน้อยเท่าไร โดยที่พระอรหันต์อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ อื่น ๆ ไม่สามารถที่จะบอกได้ในลักษณะนั้น
ดังนั้น...ในสิ่งที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเขื่อนวชิราลงกรณนำเทียนพรรษามาถวาย นอกจากเป็นการรักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามทางพระพุทธศาสนาของเราแล้ว ยังเป็นการสร้างอานิสงส์พิเศษให้เกิดขึ้นแก่ตน ถ้าหากว่ามีการเกิดต่อไปในภายภาคหน้า แล้วฝึกปฏิบัติในเรื่องของกรรมฐาน ก็จะมีทิพจักขุญาณแจ่มใสเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการที่ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา มีบาลีกล่าวว่า พุทธะปูชา มหาเตชะวันโต การบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เป็นผู้มีเดชมีอำนาจมาก ไม่ว่าจะเกิดเป็นคนหรือสัตว์ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่เล็กหรือว่าใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มักจะต้องเป็นผู้นำของเขาอยู่เสมอ ดังนั้น...ในส่วนกิจกรรมงานวันนี้ ซึ่งเป็นการเปิดโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งเป็นการสร้างธรรมทานให้เกิดขึ้นก็ดี การเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สาย เป็นอาจริยบูชาในสังฆานุสติก็ดี การรับถวายเทียนพรรษาเป็นพุทธบูชาและมีอานิสงส์เป็นทิพจักขุญาณก็ตาม ขอให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งแม่ชี และฆราวาสญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ จงได้อนุโมทนา และมีส่วนร่วมกันในบุญกุศลครั้งนี้ทุกท่านทุกคนโดยถ้วนหน้ากันเทอญ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-07-2022 เมื่อ 17:58 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|