กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 30-10-2022, 16:59
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,612
ได้ให้อนุโมทนา: 216,890
ได้รับอนุโมทนา 747,380 ครั้ง ใน 36,391 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 30-10-2022, 20:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,688
ได้ให้อนุโมทนา: 152,000
ได้รับอนุโมทนา 4,417,776 ครั้ง ใน 34,278 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพออกตรวจติดตามงานบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขาม หรือในชื่ออย่างเป็นทางการว่าวัดราษฎร์ประชุมชนาราม ที่หมู่ที่ ๒ ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีตั้งแต่ช่วงเช้า

งานบูรณปฏิสังขรณ์วัดท่ามะขามนั้น กระผม/อาตมภาพมอบหมายให้กับพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ป.ธ. ๖ หรือหลวงพ่อเอของหลาย ๆ ท่าน ซึ่งท่านเองก็ได้ร่วมมือกับพลเอกเจษฏา เปรมนิรันดร ทำการปรับปรุง รื้อถอน เปลี่ยนแปลง และสร้างใหม่ จนกระทั่งวัดท่ามะขามที่เสธ.นิด (พลตรีศรชัย มนตริวัต) เคยให้คำจำกัดความว่า "รื้อทิ้งให้หมดทั้งวัดแล้วสร้างใหม่..!"

ในปัจจุบันนี้แม้ว่าไม่ถึงกับรื้อทิ้งหมดทั้งวัด แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่โดนรื้อไปโดยความยินยอมพร้อมใจของทางชาวบ้านและผู้นำชุมชน โดยที่ชาวบ้านและผู้นำชุมชนกล่าวกับกระผม/อาตมภาพว่า "ถ้าเป็นพระอาจารย์ พวกกระผมยอมเชื่อครับว่ารื้อแล้วสามารถสร้างคืนใหม่ให้ได้ เพราะว่าเห็นฝีมือมามากแล้ว แต่ถ้าเป็นท่านอื่นมาบอกแบบนี้ พวกกระผมไม่ยอมอย่างเด็ดขาด..!"

ตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นความภูมิใจส่วนตัว เนื่องจากว่าในสมัยที่ได้ถวายการรับใช้พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ.๔) อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีนั้น กระผม/อาตมภาพไม่เคยเกี่ยงงานที่ท่านมอบหมายให้ ไม่ว่าท่านเห็นวัดไหนที่ทำท่าจะไปไม่รอด แล้วให้กระผม/อาตมภาพเข้าไปช่วยดูแลบูรณปฏิสังขรณ์ กระผม/อาตมภาพก็ทุ่มเทจิตใจทำให้อย่างสุดชีวิตสุดฝีมือ

เนื่องเพราะว่าสิ่งที่ทำนั้น นอกจากเป็นบุญเป็นกุศลส่วนตัวแล้ว ยังเป็นการสร้างความเจริญให้แก่พระพุทธศาสนาอย่างตรงประเด็นที่สุดด้วย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้าปล่อยทิ้งเอาไว้ต่อไป วัดทั้งหลายก็จะรกร้างและทรุดโทรมลงไปเรื่อย บุคคลที่กำลังไม่ถึง ก็ไม่มีวันที่จะพลิกฟื้นคืนให้กลับขึ้นมาดีได้เลย..!

ในเมื่อได้ทำเช่นนั้นอยู่หลายวัด จนกระทั่งญาติโยมทางบ้านท่ามะขามนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน เป็นสมาชิกสภาเทศบาล ตลอดจนกระทั่งเหล่าผู้นำชุมชนอื่น ๆ และบรรดาผู้ที่เข้าวัดรักษาศีล ๘ เป็นปกติ ได้เห็นจนยอมเชื่อแล้วว่า สิ่งนั้นไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ หรือว่าราคาแพงแค่ไหนก็ตาม ถ้ากระผม/อาตมภาพเห็นว่าหมดสภาพแล้วรื้อทิ้งไป สามารถที่จะสร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิมได้ทุกครั้ง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2022 เมื่อ 00:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 30-10-2022, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,688
ได้ให้อนุโมทนา: 152,000
ได้รับอนุโมทนา 4,417,776 ครั้ง ใน 34,278 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้เดินทางไปยังวัดไชยชุมพลชนะสงคราม (พระอารามหลวง) เพื่อที่จะร่วมพิธีเปิดการอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอก ซึ่งทางคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี นำโดยพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรีนั้น วางกำหนดการอบรมเอาไว้ ๑๐ วันต่อเนื่องกัน

เมื่อพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. ท่านได้ทำการเปิดและกล่าวสัมโมทนียกถาแล้ว ก็ต่อด้วยท่านอาจารย์พระมหาวิสูตร วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙ รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ตามด้วยกระผม/อาตมภาพ, พระครูกาญจนสุตาภรณ์ (ณัฐพล ป.ธ.๔) เจ้าอาวาสวัดน้ำตก เจ้าคณะอำเภอไทรโยค และพระมหาบุญรอด มหาวีโร ป.ธ.๗, ดร. รองเจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี ปิดท้ายด้วยพระครูสุวิมลกาญจนวัฒน์ เจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

บรรดาพระเถระทั้งหลายเหล่านี้มาร่วมในพิธีเปิด เพราะว่าได้รับข่าวสารที่ถูกต้อง แต่ว่าอีกส่วนหนึ่งนั้นอาศัยความเคยชินว่า โดยปกติแล้วมักจะทำพิธีเปิดอบรมกันตอนเที่ยงครึ่ง แต่เนื่องจากว่าพิธีการอบรมปีนี้นั้น ท่านเจ้าคุณพระเมธีปริยัติวิบูล (ศิริ สิริธโร ป.ธ. ๙, ดร.) รองเจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี รักษาการเจ้าคณะอำเภอเมืองกาญจนบุรี ท่านเป็นประธานในโครงการอบรม ได้กำหนดแบ่งการอบรมออกเป็นวันละ ๓ รอบ คือรอบเช้า รอบบ่าย และรอบค่ำ เรียกง่าย ๆ ว่าต้องการความเข้มข้นอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะช่วยให้ผู้ขอเข้าสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอก มีโอกาสสอบผ่านมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงต้องเลื่อนพิธีเปิดมาเป็นตอนเช้า

หลังจากที่ทุกท่านได้กล่าวสัมโมทนียกถาเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ได้เวลาฉันเพล หลังเพลแล้ว กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังสนามอบรมที่ ๒ วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ซึ่งอำนวยการอบรมโดยพระราชวิสุทธาภรณ์ (ทองดำ อิฏฺฐาสโภ ป.ธ.๖) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี โดยผู้รับผิดชอบโดยตรงก็คือพระครูวิบูลกาญจโนภาส (สมบัติ ปริปุณฺโณ ป.ธ.๔) เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา

เมื่อไปถึงก็ได้รับหน้าที่กล่าวสัมโมทนียกถาในชั้นอบรมนักธรรมชั้นโทและนักธรรมชั้นเอกตามลำดับ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสิ่งที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวไปนั้น เป็นสิ่งที่บรรดาผู้ขอเข้าสอบต้องการได้ยินได้ฟัง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2022 เมื่อ 00:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 30-10-2022, 20:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,688
ได้ให้อนุโมทนา: 152,000
ได้รับอนุโมทนา 4,417,776 ครั้ง ใน 34,278 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหตุที่กล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่า การสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอกนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สมัยที่กระผม/อาตมภาพสอบนั้น ช่วง ๓๐ กว่าเกือบ ๔๐ ปีที่แล้ว หลักสูตรนักธรรมชั้นโทคือหลักสูตรของพระอาจารย์คู่สวด ถ้าหากว่าท่านสอบนักธรรมชั้นโทผ่านเมื่อไร พรรษาพ้น ๕ ก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์คู่สวด

ดังนั้น..ในรุ่นของกระผม/อาตมภาพ หรือว่ารุ่นใกล้เคียงกันนั้น โดนบังคับให้เขียนคำสวดญัตติ และคำสวดอนุสาวนามากันจนนับไม่ถ้วนแล้ว แปลว่า ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะผ่านนักธรรมชั้นโทไปได้ ท่านจะต้องเขียนคำสวดญัตติและอนุสาวนา ไม่ว่าจะเป็นการสวดกฐิน การสวดญัตติในงานอุปสมบท ตลอดจนกระทั่งงานสวดในงานต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้ง นะโมชั้นเดียว นะโม ๓ ชั้น นะโม ๕ ชั้น นะโม ๙ ชั้น เป็นต้น

แล้วในส่วนของนักธรรมชั้นเอกนั้น เป็นหลักสูตรของเจ้าอาวาสและพระอุปัชฌาย์ ถ้าหากว่าใครเป็นเจ้าอาวาส จะเห็นว่าหลักสูตรนั้นเอาไว้สำหรับท่านทั้งหลายที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสีมา เรื่องสมบัติ วิบัติของกุลบุตรที่จะเข้ารับการบรรพชาอุปสมบท ตลอดจนกระทั่งศึกษาในหลักธรรมชั้นสูงที่เรียกว่าธรรมวิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับวิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน หรือต้องอธิบายว่าวิสุทธิ ๗ ประการเปรียบเหมือนกับรถ ๗ ผลัดนั้น เหมือนในลักษณะอย่างไร ?

ในส่วนนี้นั้นบรรดาผู้เข้าสอบส่วนหนึ่งซึ่งโดนหลวงพ่อเจ้าอาวาสบังคับให้มาสอบ มักจะมีความรู้สึกต่อต้าน เพราะรู้สึกว่าตนเองบวชมาก็หวังความสงบ ตั้งใจที่จะประพฤติวัตร ปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ไหว้พระ หาความสุขเฉพาะตนเท่านั้น ทำไมต้องมาเรียนในเรื่องที่ยากลำบากขนาดนี้ด้วย ? แต่ท่านทั้งหลายคงจะลืมไปแล้วว่า ไม่ว่าท่านต้องการความสงบเพียงใดก็ตาม ในส่วนของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรคนั้น ท่านต้องรบกวนจากญาติโยมอยู่เสมอ

ญาติโยมเป็นผู้ที่เลี้ยงดูเรามาด้วยปัจจัย ๔ เมื่อถึงเวลาญาติโยมเขาเดือดร้อน มีความทุกข์ มาปรึกษาหารือ ถ้าเราไม่รู้ข้อธรรมคำสอนอะไรเลย เราจะเอาหลักธรรมอะไรไปผ่อนคลายความทุกข์ แนะนำให้ญาติโยมทั้งหลายได้สบายใจขึ้น ??

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษา โดยเฉพาะวิชาเรียงความแก้กระทู้ธรรมนั้นเป็นวิชาการเทศน์ดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าเป็นการเทศน์บนหน้ากระดาษ โดยที่ทางสนามสอบตั้งหัวข้อในการเทศน์มาให้แก่เรา ท่านที่สอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอก อย่างน้อยก็ต้องบวชมา ๒ หรือว่า ๓ พรรษา ถ้าหากว่าท่านที่เคยสอบตก พรรษาก็จะมากกว่านั้น หรือท่านที่ตัดสินใจสอบช้า ก็อาจจะถึง ๑๐ กว่าพรรษา..! ท่านทั้งหลายย่อมได้ศึกษาเรียนรู้มาใน ๒ หรือ ๓ พรรษาที่ผ่านมาเป็นอย่างน้อย ว่าหลักธรรมในศีล ในสมาธิ ในปัญญานั้นเป็นอย่างไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2022 เมื่อ 00:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 30-10-2022, 21:02
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,688
ได้ให้อนุโมทนา: 152,000
ได้รับอนุโมทนา 4,417,776 ครั้ง ใน 34,278 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเขาตั้งหัวข้อมาให้ ท่านก็พินิจพิจารณาว่า ถ้าท่านจำเป็นที่จะต้องบอกกล่าวให้ญาติโยมฟังแล้วเข้าใจ ท่านควรที่จะเขียนอธิบายอย่างไร แล้วก็โยงเอาเนื้อหานั้นมากับหัวข้อที่เรากำหนดไว้ว่าจะเป็นข้อรับ อธิบายข้อรับของเราให้สมเหตุสมผลกับหัวข้อที่ทางสนามสอบตั้งมา เมื่อทุกอย่างสมเหตุสมผลแล้วก็สรุปจบ "เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้" ได้

ดังนั้น..วิชาการเรียงความแก้กระทู้ธรรมนั้น รุ่นของกระผม/อาตมภาพถือว่าเป็นวิชาช่วยให้สอบได้ เพราะว่าเขียนอธิบายอย่างไรก็ได้คะแนนทั้งสิ้น จึงไม่เข้าใจว่าท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ทำไมจึงทำให้กลายเป็นวิชาที่ซ้ำเติมให้เราสอบตก !? เมื่อท่านทั้งหลายเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว ต่อไปก็น่าจะทำการเขียนเรียงความแก้กระทู้ธรรมได้ง่ายขึ้น

อีกประการหนึ่ง เมื่อท่านทั้งหลายอยู่นานไป ไม่ว่าจะรักสงบขนาดไหนก็ตาม วันร้ายคืนร้าย เวรกรรมนำส่ง ตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หรือว่าเจ้าอาวาสก็จะตกมาถึง ไม่ว่าท่านจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม เมื่อญาติโยมทั้งหลายเขาศรัทธาและเห็นว่าท่านเหมาะสม ระบุลงมาแล้ว ทุกท่านก็ต้องวางกำลังใจอยู่ในลักษณะว่า "เราก็ชายหมายมาดว่าชาติเชื้อ ถึงปะเสือก็จะสู้ดูสักหน"

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ขอเข้าสอบนักธรรมชั้นโทและชั้นเอก ท่านจึงต้องทำใจล่วงหน้าไว้เลยว่า ท่านต้องสอบให้มีความรู้ติดตัวอย่างแท้จริง ไม่ใช่สอบแค่ให้ผ่าน แค่ให้จบ ให้หมดภาระไป เพราะว่าถ้าท่านทำอย่างนั้นแล้ว ถึงเวลาความรู้ในการบริหารงานคณะสงฆ์ก็ไม่มี ความรู้ในการที่จะปกครองสัทธิวิหาริก คือ บุคคลที่เราบวชให้ก็ไม่มี ความรู้ที่จะปกครองอันเตวาสิก คือ ลูกศิษย์ที่มาพึ่งพาอาศัยก็ไม่มี โดยเฉพาะญาติโยมที่ช่วยเหลือเจือจานเรามาตลอด เมื่อทุกข์กายทุกข์ใจมา เราก็ไม่มีหลักธรรมไปคลายทุกข์ให้ เพราะว่าเราสักแต่ว่าสอบให้ผ่าน ๆ ไป ถึงเวลาแล้ว ไม่มีอะไรเหลือติดหัวตัวเองไว้เลย..!

กระผม/อาตมภาพจึงต้องชี้แจงสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของบุคคลที่เข้าสอบ เนื่องจากว่า ก่อนที่จะสอบนักธรรมชั้นนวกภูมิ และนักธรรมชั้นตรี ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพเพิ่งบวชนั้น กระผม/อาตมภาพก็มีอคติต่อการเรียน เพราะเห็นว่าตำราบางส่วนนั้นชักจูงให้เราผิดพลาด อย่างเช่นคำถามของนักธรรมชั้นตรีที่ว่า ฆฏิการพรหม ผู้นำเอาบริขาร ๘ มาถวายเจ้าชายสิทธัตถะในการออกมหาภิเนษกรมณ์เป็นผู้ใด ? จงอธิบายมาให้สมเหตุสมผล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2022 เมื่อ 01:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 30-10-2022, 21:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,688
ได้ให้อนุโมทนา: 152,000
ได้รับอนุโมทนา 4,417,776 ครั้ง ใน 34,278 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเราไปตอบว่า ฆฏิการพรหมเป็นท้าวมหาพรหม ผู้เลื่อมใสการออกมหาภิเนษกรมณ์ของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงได้นำเอาบริขาร ๘ มาถวาย ถ้าตอบแบบนี้เขาปรับตกเลย..!

ต้องตอบว่า คำว่า พรหม เป็นคุณสมบัติของผู้ทรงฌานทรงสมาบัติ อาจจะมีศาสดาเจ้าลัทธิใดลัทธิหนึ่งที่ได้ฌานสมาบัติ แล้วเลื่อมใสในการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร จึงได้นำบริขาร ๘ มาถวาย กระผม/อาตมภาพเห็นว่า เป็นการเลี่ยงบาลีจนอาจจะเกิดความเสียหายในหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ขอเรียน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้กล่าวตรงกำลังใจของกระผม/อาตมภาพในตอนนั้นว่า "พระปริยัติคือพระนักเรียน มักจะดูถูกว่าพระปฏิบัตินั้นโง่ รู้ไม่เท่าตนเอง แกไปเรียนให้เขารู้ว่าแกเก่งกว่า..!" ในเมื่อครูบาอาจารย์รู้ และกล่าวได้ตรงใจของตนเองขนาดนี้ ว่าต้องพูดแบบนี้ จึงสามารถจุดไฟให้เกิดแก่กระผม/อาตมภาพได้

เมื่อถึงเวลาต้องรับหน้าที่ในการกล่าวสัมโมทนียกถา กระผม/อาตมภาพก็ต้องพิจารณากำลังใจของผู้ฟังก่อน แล้วหลังจากนั้น จึงได้ปรับทัศนคติ และจุดไฟให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นได้กระตือรือร้น ที่จะศึกษาเรียนรู้เพื่อตนเองและพระพุทธศาสนาต่อไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2022 เมื่อ 01:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:39



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว