#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ สองวันที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ "ผึ้งแตกรัง" แถว ๆ วุฒิสภา ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไม ? ก็คือเที่ยวไปไล่หาว่าใครเป็นคนผิด
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าโดยนิสัยของกระผม/อาตมภาพ นอกจากได้รับการอบรมมาแบบ "ไม่ฆ่าน้อง ไม่ฟ้องนาย ไม่ขายเพื่อน" แล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ "ทำผิดให้รู้จักรับผิด โดยเฉพาะรับผิดแทนผู้ใต้บังคับบัญชา" ไม่ใช่เที่ยวไปเสาะหาว่าใครผิดเพื่อเอาใจหลวงพ่อ..! ใครเป็นบุคคลที่ใหญ่ที่สุดในหน่วยงาน ก็ต้องถือว่าตัวเองเป็นผู้ผิด เพราะว่าดูแลลูกน้องไม่ดี ถึงได้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น การยอมรับผิด การขอโทษไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย แล้วการให้อภัยก็ไม่ใช่การให้ที่สิ้นเปลือง เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าขอโทษขออภัยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เรื่องก็จะจบเร็ว ไม่ใช่ไปไล่ถามหาว่าใครผิด ? ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะสร้างนิสัยไม่ดีให้แก่ตัวเรา ก็คือผลักความผิดให้กับคนอื่น หรือว่ามองออกไปข้างนอก ทำให้ไม่สามารถที่จะแก้ไขและพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นผู้ทรงเกียรติระดับประเทศ ก็เป็นที่น่าผิดหวังมากว่า ถ้าแค่การรับผิดแทนผู้ใต้บังคับบัญชายังทำไม่ได้ แล้วจะไปรับผิดชอบอะไรกับประเทศชาติของเรา ? ตรงส่วนนี้เราสามารถที่จะนำเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาใช้ได้ ก็คือ อัตตนา โจทยัตตานัง ให้กล่าวโทษโจทก์ตนเองเอาไว้เสมอ ไม่ใช่เที่ยวไปโทษคนอื่น แม้กระทั่งโทษฟ้าโทษดินไปรอบข้าง โดยไม่ได้คิดเลยว่า สิ่งที่เราทำต่างหากที่ผิด..! เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพได้รับการขัดเกลาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษี ฯ วัดท่าซุงเอาไว้หนักมาก ถามว่าหนักมากขนาดไหน ? ก็ถ้าหากว่าเป็นอย่างพระภิกษุสามเณรวัดท่าขนุน ก็คาดว่าคงสึกหนีไปเป็นร้อยครั้งแล้ว..! บรรดารุ่นพี่ ๆ ถึงขนาดย้ายหนีไปอยู่ที่อื่น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำงานใกล้กับหลวงพ่อท่านมาเยอะแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2022 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความจริงกระผม/อาตมภาพโดนส่งไปให้อยู่ "หน้าตึก" เพื่อคอยรับใช้หลวงพ่อท่าน ก็เพราะว่าหาใครไม่ได้ แล้วก็ยังเหม็นขี้หน้ากระผม/อาตมภาพด้วย ส่ง ๆ ไปให้หัวขาดจะได้หมดเรื่องหมดราวไป แต่นิสัยของกระผม/อาตมภาพนั้น ก็มักจะถือว่าเก้าอี้ประหารเป็นบัลลังก์ราชาอยู่เสมอ เพราะกระผม/อาตมภาพเชื่อมั่นว่า ถ้าครูบาอาจารย์ด่า แปลว่าเราผิด และเป็นความผิดที่เราแก้ไขได้
พระอุปัชฌาย์อาจารย์เปรียบเสมือนพ่อของเรา ไม่มีพ่อที่ไหนตั้งใจฆ่าลูกของตัวเอง ยกเว้นว่าลูกคนนั้นกลายเป็นเด็กสันดานเสีย แก้ไขอะไรไม่ได้ ในเมื่อมีความคิดเช่นนี้ กระผม/อาตมภาพจึงสามารถที่จะทนอยู่ในหน้าที่การงานได้ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไป จนกระทั่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมรณภาพ ในส่วนนี้บางครั้งเมื่อโดนเข้าหนัก ๆ กระผม/อาตมภาพเองพิจารณาตั้งแต่ต้นยันปลายแล้วว่า ตนเองผิดตรงไหน ? ปรากฏว่าหาที่ผิดไม่ได้ ท้ายสุดต้องสรุปลงตรงที่ว่า "มึงผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว ถ้ามึงไม่เกิดมา มึงก็ไม่โดนอย่างนี้หรอก..!" ทันทีที่คิดตก พิจารณาขาด พระเดชพระคุณหลวงพ่อให้ท่านเจ้าคุณอนันต์ ซึ่งตอนนี้เป็นพระครูปลัดอยู่โทรศัพท์มา บอกว่า "ที่หลวงพ่อด่าไปวันนี้เพราะว่า "ท่านย่า" ฝากด่ามา ท่านย่าบอกว่า..ไอ้นี่รู้ตัวเร็ว แก้ไขตัวเองได้เร็ว ถ้าหากว่าด่าไป แล้วมันระมัดระวัง คนอื่นจะเล่นงานมันไม่ได้" ก็ได้แต่กราบในความเมตตาของครูบาอาจารย์ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปหวังว่าท่านจะช่วยเราคิด ช่วยเราทำข้อสอบ เพราะว่าท่านเป็นครูบาอาจารย์ มีหน้าที่ออกข้อสอบ..! ดังนั้น..เรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เราจะต้องคิดอยู่เสมอว่าตัวเราผิด หาความผิดของตนเองให้ได้ แล้วก็แก้ไขให้ดีที่สุด เราถึงจะสามารถพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีขึ้น ให้ก้าวหน้าขึ้นได้ ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับข้อผิดพลาดของตนเอง ทำตัวเป็นคนหน้าบาง แต่จิตใจหยาบหนา อายในสิ่งที่ไม่ควรอาย แต่หน้าด้านในสิ่งที่ไม่ควรหน้าด้าน โอกาสที่เราจะพัฒนาตนเองได้ก็จะไม่มีเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2022 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อมั่นในศักยภาพของมวลมนุษย์ ว่าสามารถที่จะพัฒนาตนเองจากปุถุชน คนหนาด้วยกิเลส ขึ้นเป็นกัลยาณชน คนมีศีลมีธรรม ขึ้นเป็นอริยชน ผู้ก้าวหน้าโดยส่วนเดียว ไม่มีตกต่ำอีก และท้ายสุดพัฒนาได้ถึงจุดสูงสุด สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ พระองค์ท่านจึงได้มอบหลักธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์มาให้แก่พวกเรา เพื่อให้แสวงหาส่วนที่เหมาะสมแก่ตนเองมาใช้งาน ส่วนที่เหมาะสมนั้นจะตรงกับกำลังใจของเราในช่วงนั้น
สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพเอง อ่านหนังสือที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเขียน ด้วยความโง่ก็เลยไปขีดเน้นว่า "เนื้อหาตรงนี้สำคัญ" "เนื้อหาตรงนี้สำคัญ" ปรากฏว่าหลังจากที่ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ย้อนกลับมาอ่านใหม่ อ้าว..ตรงนี้ก็สำคัญ ทำไมคราวที่แล้วเราข้ามไปได้ ? เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอตอนนั้นกำลังใจของเรายังไปไม่ถึง จึงไม่เห็นความสำคัญของเนื้อหาตรงจุดนั้น ใครก็ตามที่เคยทำอะไรโง่ ๆ ในลักษณะที่มาร์ก หรือว่าพยายามที่จะคัดลอก หรือเน้นในจุดที่กระผม/อาตมภาพพูดไป ขอบอกว่าเสียเวลาเปล่า เป็นการขยายความโง่ของตัวเองอีกต่างหาก เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างก็สำคัญหมด..! ดังนั้น..เราจะเห็นว่า แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีพุทธานุญาต ให้คณะสงฆ์สามารถที่จะเพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ แต่ปรากฏว่ามติของพระเถระทั้ง ๕๐๐ รูปให้คงศีลเอาไว้ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ไม่มีการยกเลิกแม้แต่ข้อเดียว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระเถระทั้ง ๕๐๐ รูปไม่สามารถที่จะหาข้อที่เป็นศีลเล็กน้อยอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสได้ เนื่องเพราะว่าทุกท่านเป็นพระอรหันต์ มีสภาพจิตที่ละเอียดมาก เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ทรงก่อตั้ง ทรงสั่งสอนมา ล้วนแล้วแต่สำคัญยิ่งทั้งสิ้น จึงไม่มีอะไรเล็กน้อยในสายตาของพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2022 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในส่วนนี้พวกเราทั้งหลายก็ต้องพยายามรักษากำลังใจของตนเอง ธรรมะส่วนไหนที่เหมาะสมกับกำลังใจของเราตอนนี้ ต้องตะเกียกตะกายทำไปให้เต็มที่ อย่าทำตัวเป็นคนโลภมาก อย่างโน้นก็ดี อย่างนี้ก็ใช่ แล้วก็กลายเป็น "ไอ้บ้าหอบฟาง" ก็คือศึกษาธรรมะเอาไว้เยอะมาก แต่ไม่ก่อประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองเลย
สำนักโน้นเราก็ไปเรียนมา สำนักนี้เราก็ไปปฏิบัติมา แต่หาสักสำนักหนึ่งที่หลักธรรม หลักคำสอนเป็นประโยชน์แก่ตัวเราเองไม่ได้เลย ยังคงโดนกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ไล่ตีอยู่เสมอ แล้วอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าหลักธรรมเหล่านั้นเราได้แค่รู้ แต่ไม่สามารถที่จะย่อยสลายเอาไปใช้งานจริงในการสู้กับกิเลสได้ ? จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสังวรเอาไว้ว่า อะไรเกิดขึ้นให้หาความผิดของตนเองให้ได้ แล้วปรับปรุงแก้ไขไปเรื่อย ๆ ท้ายสุด ความผิดของเราก็จะน้อยลง และถ้าสามารถไม่ผิดได้เลย จะเป็นเรื่องที่ควรแก่การสรรเสริญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2022 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|