#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถนนพหลโยธิน หมู่ที่ ๑ ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อบรรยายถวายความรู้แนวทางการปฏิบัติธรรม ให้กับนิสิตคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน ๒๗๐ รูป/คน ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่ที่หอสมุดวิทยาลัยสงฆ์นานาชาติหรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า IBSC
หลังจากนั้นแล้วก็ได้เดินทางไปเยี่ยมการปฏิบัติธรรมของนิสิตคณะสังคมศาสตร์ ที่ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี - คนึง สุขเกษม วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ ซึ่งนิสิตทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมอยู่สถานที่นั้นก็มีจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ โดยที่นิสิตบอกว่า เป็นเรื่องแปลกครับ พักอยู่ด้วยกันทั้งเต๊นท์ บางคนก็ตรวจเจอเชื้อไวรัส บางคนก็ตรวจไม่เจอ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเรามีความเข้าใจในเรื่องวิบากกรรม ก็จะรู้ว่าถ้าผลของวิบากกรรมไม่ได้ส่งผลถึงเรา ต่อให้อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากที่เจ็บไข้ได้ป่วย เราเองก็จะไม่เป็นอะไร เหมือนกับกระผม/อาตมภาพที่ผ่านการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ มาตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงปัจจุบัน โดยมีการดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดถึง ๒ ครั้ง ๒ คราวด้วยกัน แต่ก็ไม่ได้ติดเชื้อด้วยเลย ไม่ใช่ว่าผลของวิบากกรรมไม่ได้ส่งผล แต่ว่าวิบากกรรมนั้นส่งผลให้กระผม/อาตมภาพเป็นโรคมาลาเรียเรื้อรัง ซึ่งเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เกือบจะทุกวันแล้ว ดังนั้น..โรคอื่น ๆ จึงเหมือนได้รับการยกเว้น กลายเป็นสิทธิพิเศษว่า คนที่ป่วยหนักกว่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องป่วยในสิ่งที่น้อยลงมาอีก เรื่องของการส่งผลของกรรมนั้นเป็น ๑ ใน ๔ เรื่องที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่พึงคิด ก็คือ พุทธวิสัย ความสามารถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกอบไปด้วยทศพลญาณ ความสามารถของพระองค์นั้น ไม่มีใครที่สามารถรู้ทั่วถ้วนได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ประการที่สองคือฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ทรงฤทธิ์ ทรงอภิญญา จะผาดแผลงสำแดงฤทธิ์อย่างไร ก็ย่อมเหนือกว่าความคาดหมายที่ปุถุชนจะคิดไปถึง
ประการที่สามก็คือกรรมวิบาก การส่งผลของกรรมนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะพิลึกพิลั่นและให้ผลโดยไม่ผิดพลาดเลย ใครทำอะไรก็ได้รับผลอย่างนั้น ไม่ได้รับผลชาตินี้ก็รับผลชาติหน้า ไม่รับผลชาติหน้าก็รับผลในชาติต่อ ๆ ไป จนกว่าจะกลายเป็นอโหสิกรรมเท่านั้น จึงจะไม่ส่งผลอีก ประการสุดท้าย โลกจินไตย คือความเป็นไปของโลก ถ้ามัวแต่ไปคิดอยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "พึงมีส่วนของความเป็นบ้า" ก็คือมัวแต่เสียเวลาไปคิดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคเพื่อผลของตัวเอง ในระยะนี้ก็มีข่าวคราวที่มีบุคคลทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการยิงตัวตาย โดยตั้งความปรารถนาว่าจะไปพระนิพพาน เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพรู้สึกหดหู่ใจอยู่เล็กน้อย ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น ความจริงแล้วถ้าตั้งใจปฏิบัติธรรม ย่อมเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะได้มรรคได้ผลในชาติปัจจุบันนี้ เพราะว่ากำลังใจเข้มแข็งมาก เพียงแต่ว่าโดนมัจจุมาร คือความตายมาขวาง จนกระทั่งสิ้นชีวิตไป ไม่สามารถที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ถ้าท่านทั้งหลายแย้งว่า มีหลวงปู่ท่านหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่ฆ่าตัวตายเช่นกัน แล้วทำไมถึงไปพระนิพพานได้ ? กระผม/อาตมภาพก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมว่า เรื่องของหลวงปู่โคธิกะเถระนั้น เป็นเรื่องที่นอกเหตุเหนือผล เกินกว่าปุถุชนอย่างพวกเราจะเข้าใจได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลวงปู่โคธิกะเถระทุ่มเทกำลังใจให้กับการปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด แต่ว่าในร่างกายของท่านประกอบไปด้วยขันธมาร ก็คือเจ็บไข้ได้ป่วย ตัดรอนความดีของท่านอยู่เสมอ ทำให้ไม่สามารถทรงฌาน ทรงสมาบัติแล้วอาศัยกำลังมาตัดกิเลสได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
หลวงปู่โคธิกะเถระจึงมีกำลังใจที่ปลดวางจากความอาลัยในทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ วางรัก วางโลภ วางโกรธ วางหลง วางแม้กระทั่งอัตภาพร่างกายที่หาความดีไม่ได้ แล้วใช้มีดโกนเชือดคอมรณภาพไป กำลังใจของท่านแน่วแน่มั่นคงไม่แปรผัน อยู่กับการไม่ต้องการร่างกายนี้ ไม่ต้องการเกิดมาในโลกนี้ ท่านจึงสามารถพ้นจากกองทุกข์ไปสู่พระนิพพานได้
เรื่องนี้แม้แต่พญามารก็ไม่เชื่อ เมื่อมากราบเรียนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "โคธิกะนั้นตกอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว" องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสว่า "ปาปิมะ...ดูก่อนมารผู้มีบาป โคธิกะบุตรของเรานั้นพ้นจากเงื้อมมือของเธอแล้ว" พญามารไม่เชื่อ จึงตระเวนหาไปทั้ง ๔ ทิศ ไม่ว่าจะขึ้นบนลงล่างอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะหาดวงจิตของพระโคธิกะเถระได้พบ เพราะว่าพระโคธิกะเถระนั้น ท่านหลุดพ้นจากภพภูมิทั้งปวง ไปสู่พระนิพพานเสียแล้ว ดังนั้น..ใครก็ตาม ถ้าคิดว่าสามารถวางกำลังใจได้แบบพระโคธิกะเถระ ก็ขอให้เข้าใจว่าท่านกำลังเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว พระโคธิกะเถระนั้นตัดร่างกายอย่างแท้จริง ไม่ปรารถนาอีกแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายนั้น ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจประกอบไปด้วยความเศร้าหมอง อยากที่จะพ้นไปจากร่างกายนี้ พระโคธิกะเถระนั้นท่านไม่ได้มีความอยากใด ๆ ทั้งปวงหลงเหลืออยู่เลย..! บุคคลที่อยากตาย กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องดี เนื่องเพราะว่าบุคคลที่ปฏิบัติถึงจริง ๆ นั้นไม่ใช่บุคคลที่อยากตาย แต่พร้อมที่จะตายอยู่เสมอ เป็นบุคคลผู้มีราตรีอันเจริญ ก็คือเป็นผู้ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม พร้อมอยู่เสมอถ้าหากว่าความตายมาถึง ไม่ได้ดิ้นรนเสาะแสวงหาความตาย แต่ก็ไม่ได้หวั่นเกรงในความตาย ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมไปถึงระดับที่อยากตาย อย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะว่าสามารถหลงผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิได้ง่ายที่สุด การที่เราจะอยู่หรือว่าจะตายนั้นต้องขึ้นอยู่กับอายุขัย ขึ้นอยู่กับบุญ กับกรรมและอาหารต่าง ๆ หลายประการประกอบกัน ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดอยากจะตายก็ตายได้ แล้วขณะเดียวกัน กำลังใจที่แสวงหาความตาย แล้วประกอบไปด้วยความเศร้าหมอง เพราะว่าทุกข์โทษทั้งหลายทั้งปวงที่เราเห็นอยู่นั้น เราไม่ได้สลัดตัดทิ้งไป หากแต่ว่าเราไปแบกทุกข์เอาไว้ แล้วอยากจะไปพ้นจากความทุกข์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเราวางกำลังใจผิด โอกาสที่จะลงสู่อบายภูมิจึงมีสูงมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ที่พูดไป หลายท่านที่กำลังใจไม่ถึง กำลังปัญญาไม่ถึง อาจจะฟังแล้วไม่เข้าใจ มีการเถียงอีกว่า พระโคธิกะเถระท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้
เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า กำลังใจของเราอยู่ในลักษณะนั้น เป็นเรื่องดี แต่ว่าต้องมีปัญญาประกอบด้วย เพราะว่ามีญาติโยมบางท่านที่เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน แล้วก็พยายามที่จะทำหน้าที่การงานต่าง ๆ ในลักษณะเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ก็คือแม้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ลากสังขารทำงานอยู่ทุกวัน ตรงจุดนี้นั้นเป็นการไม่รู้จักประมาณของญาติโยมเอง ถึงได้เกิดอาการล้มทั้งยืน ต้องหามเข้าโรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่กระผม/อาตมภาพตักเตือนแล้วก็ไม่ฟัง กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่รู้ตัวเร็ว ทันทีที่รู้ตัวว่าสภาพร่างกายนี้ไม่ไหวแล้ว ก็จะพักทันที เมื่อพักจนมีกำลังเพียงพอก็ทำหน้าที่ของตนเองใหม่ เพียงแต่ว่าบุคคลที่อาศัยการพักในสมาธินั้น สามารถที่จะฟื้นตัวได้เร็ว จึงเหมือนอย่างกับว่าไม่มีการพัก ทำงานตลอดเวลาอยู่ทั้งวัน แต่ว่าท่านทั้งหลายที่ทำไม่ได้ตรงจุดนี้ เมื่อถึงเวลาก็ทุ่มเท ใช้จนกระทั่งกำลังกายของตนเองหมดไป ไม่สามารถที่จะประคองร่างกายอยู่ได้ ต่อให้กำลังใจดีแค่ไหน เราก็ไปไม่รอด จึงเกิดอาการล้มทั้งยืน ขายหน้าชาวบ้านเขาอยู่บ่อย ๆ อย่างที่เป็นอยู่ การที่เรา "เห็นช้างขี้แล้วขี้ตามช้าง" นั้น โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จย่อมมีน้อยมาก เพราะว่าขี้อย่างไรก็ไม่สามารถที่จะกองใหญ่เท่าช้างได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เป็นสภาวะปัจจัตตังที่ไม่สามารถอธิบายด้วยภาษามนุษย์ให้เข้าใจซาบซึ้งได้ เพราะว่าสภาวธรรมนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดเกินกว่าคำพูดหรือตัวหนังสือจะอธิบายได้ บาลีจึงใช้คำว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ บุคคลผู้ที่ปฏิบัติแล้วเท่านั้นที่จะรู้ได้เฉพาะตน
ไม่ใช่คิดว่าหลวงปู่โคธิกะเถระท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้ ไม่ใช่คิดว่าหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนทำได้ เราก็ต้องทำได้ บุคคลที่คิดในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าพลาดพลั้งไป ลงไปสู่อบายภูมิ ก็นับว่าเสียชาติเกิดไปอีกนาน..! เพราะว่าเมื่อเราลงสู่อบายภูมิแล้ว กรรมต่าง ๆ ที่สร้างมาก็จะมาสนองโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้เราต้องรับทุกข์รับโทษอยู่จนกว่าจะเหลือเพียงเศษกรรมเล็กน้อย จึงจะหลุดพ้นขึ้นมา แต่ก็ยังต้องอยู่ในแดนของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ ก็ต้องแบกความทุกข์ยากลำบากกว่าคนอื่นเขา กว่าที่จะได้เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตพอจะมีความสุขความสบาย มีเวลาให้ปฏิบัติธรรมได้บ้าง ก็เป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน ดังนั้น..ใครที่คิดจะเลียนแบบหลวงปู่โคธิกะเถระก็ดี เลียนแบบกระผม/อาตมภาพก็ตาม โปรดดูกำลังของตนเองด้วย ช้างแบกข้าวสาร ๑ กระสอบไม่รู้สึกเลยว่าหนัก แต่มดถ้าหากว่าโยนข้าวสารให้แบก ๑ กระสอบ ก็มีแต่ตายสถานเดียว..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2022 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|