#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ต้อง "เวลคัม" พระวิปัสสนาจารย์ของเราหรือเปล่า ? เพราะว่าทางด้านมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยปิดโครงการปฏิบัติธรรมประจำปี ๒๕๖๕ แล้วพระวิปัสสนาจารย์ของเราก็เพิ่งเดินทางกลับมา
ในเรื่องของการสอนคนอื่น สมัยนี้เราไม่สามารถที่จะทำได้อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ก็คือ ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ยถาการี ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเราเองยังไม่สามารถที่จะถึงมรรคถึงผลอย่างแท้จริงได้ แต่ว่าส่วนที่สำคัญที่สุดอันดับแรกเลยก็คือ สอนตามกำลังใจของตนเอง ก็คือพูดแค่ที่เราทำได้ ถ้าอย่างนั้นจะไม่ผิด เพียงแต่ว่าอย่าใส่ทิฏฐิเฉพาะตนเข้าไป คำว่าทิฏฐิเฉพาะตน ในที่นี้ก็คือ เราปฏิบัติถึงตรงไหน มักจะมีผู้ไปคิดว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าคืออย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่แน่นอน พอกำลังใจของเราละเอียดขึ้น ก้าวเข้าสู่จุดที่สูงกว่า เราก็จะเห็นว่าที่ผ่านมายังไม่ใช่ แล้วก็ไปยึดมั่นถือมั่นอีกว่าตรงนี้ถึงจะใช่อีก ดังนั้น...ให้สอนตามที่ตนเองทำได้ แต่อย่าใส่ทิฏฐิเฉพาะตนลงไป อย่างที่ฝรั่งบางท่าน (กระเทือนหรือเปล่า ฝรั่งที่นั่งฟังอยู่ ?) ฝรั่งบางท่านพอปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วบอกว่า ใครอยากรู้ว่าตนเองมีกามราคะรุนแรงแค่ไหน ให้ปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วจะรู้ชัดเจน นี่เป็นทิฏฐิเฉพาะตน เพราะว่าแต่ละคนนั้น จริตนิสัยไม่เหมือนกัน ท่านที่หนักไปในทางโทสะ เมื่อเก็บกด เพราะว่าอารมณ์ของเราโดนกำลังสมาธิกดอยู่ ถ้าหากว่าสมาธิคลายตัวก็จะระเบิดออกไปทางโทสะแทน ก็ไม่ใช่แปลว่าทั้งหมดจะต้องไปทางกามราคะเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งก็คือศึกษาตามพระไตรปิฎก หรือวิสุทธิมรรคแล้วสอนตามนั้น เลียนแบบ "ท่านใบลานเปล่า" คือ "ท่านโปฏฐิละ" พระโปฏฐิละเถระสอนลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์เป็นพันรูป แต่ตนเองไม่ได้แม้แต่ความเป็นพระโสดาบัน แต่ท่านสอนตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเมื่อไม่ออกนอกลู่นอกทาง ลูกศิษย์ที่ได้รับของจริงของแท้ไป มีวาสนาบารมีถึง ปฏิบัติแล้วก็เข้าถึงมรรคถึงผลตามบุญวาสนาของตนเองได้ คราวนี้ในระหว่างที่เราสอนคนอื่น เราก็ต้องพัฒนาตัวเราเองไปด้วย ก็คือสอนตามกำลังใจก็ดี สอนตามพระไตรปิฎกหรือพระวิสุทธิมรรคก็ดี เราก็พยายามทำให้ได้ตามคำสอนนั้นด้วย ถึงจะเข้าลักษณะของความเป็นครูในหัวข้อที่ว่า ภาวนีโย ก็คือแสวงหาความเจริญก้าวหน้าใส่ตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น..ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าจำเป็นต้องไปสอนคนอื่น เราเองไม่ใช่บุคคลที่พ้นจากกองกิเลสทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง ก็ต้องอาศัยหลักตามที่กระผม/อาตมภาพว่ามานี้ อันดับแรกเลยก็คือ สอนตามกำลังใจที่ตนเองทำได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2022 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อันดับที่สอง สอนตามหลักของพระไตรปิฎกหรือวิสุทธิมรรค และพยายามทำตามนั้นให้ได้ด้วย ถ้าอย่างนี้ถึงจะได้ชื่อว่า โน จัฏฐาเน นิโยชะเย คือ ไม่พาศิษย์ไปในทางเสียหาย
ความเสียหายในทางโลกยังไม่เท่าไรนัก ถ้าเสียหายในทางธรรม เป็นมิจฉาทิฏฐิไป เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพราะว่าบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เท่ากับไม่เชื่อในพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดวงโคจรไปเมื่อไร จะกลับมายากที่สุด..! สำหรับวันนี้ ตั้งแต่เช้ากระผม/อาตมภาพก็ต้องวิ่งไปเรือนจำจังหวัดทองผาภูมิ กว่าที่จะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เข้าไปได้ ก็โดนตรวจแล้วตรวจอีก ประตูก็ชั้นแล้วชั้นเล่า แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ทำไมผู้ต้องขังถึงได้มากขนาดนั้น ? วัดท่าขนุนของเราไม่มีประตูเลย เข้าได้รอบทิศทาง คนเข้าวัดแต่ละวันยังน้อยกว่าจำนวนคนที่เข้าเรือนจำ..! คราวนี้เขานิมนต์กระผม/อาตมภาพไปเพื่อให้แนวคิดกับบรรดาผู้ต้องขัง จึงได้บอกกับพวกเขาไปว่า ตามหลักพระพุทธศาสนา เราต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตน และท้ายที่สุดคือ เชื่อการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพียงแต่ว่ากำลังใจของเรายังเข้มแข็งไม่พอ ถึงได้ทำในสิ่งที่ละเมิดศีล ละเมิดธรรม แล้วก็กลายเป็นการละเมิดกฎหมายบ้านเมืองไปด้วย เราก็ต้องทำใจว่า ตอนนี้เราชดใช้วิบากกรรมของเราอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าวิบากกรรมครั้งนี้จะพาให้เราไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดไปเลย ถ้าหากว่าเรามั่นใจในศีลที่รับไป แล้วตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติให้ดี ออกจากเรือนจำไปก็ยังคงยึดมั่นในศีลในธรรม เราก็จะกลายเป็นคนดีกลับสู่สังคม กลับสู่ครอบครัวของเรา แล้วยึดหลักธรรมในการดำเนินชีวิต มีโอกาสเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่ได้ ให้ข้อคิดเขาเสร็จก็มอบหน้าที่ให้กับผู้นำศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม ท่านจะได้ทำหน้าที่พาบรรดาผู้ต้องขังไปตามแนวที่ศาสนาของตนยึดถืออยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2022 เมื่อ 03:22 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพเองต้องวิ่งไปโรงเรียนบ้านอูล่อง เพื่อร่วมให้ข้อมูลเชิงลึกแก่คณะกรรมการ ซึ่งเดินทางมาเพื่อตรวจสอบครูผู้ได้รับเสนอชื่อเข้ารับรางวัล "เจ้าฟ้ากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์" ครูที่ได้รับการเสนอชื่อก็คือครูตูน (นางวารุณี พรมฝ้าย) ซึ่งเป็นครูนาฏศิลป์ สอนเด็กจนกระทั่งได้รับรางวัลมามากมาย
ต้องบอกว่าครูตูนสอนเด็กด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู มีผู้เสนอให้ย้ายเพราะครูตูนเป็นครูที่มีฝีมือ สอนเด็กจนได้รับรางวัลเหรียญทองในระดับประเทศ จากโรงเรียนบ้านอูล่องที่ไม่มีใครรู้จักมักจี่เลย ปัจจุบันนี้รู้จักกันทั่วประเทศว่า เด็กโรงเรียนนี้มีความสามารถทางด้านนาฏศิลป์และการละคร แต่ครูตูนไม่ไป..ที่เจริญกว่าไม่เอา ถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็แบบเดียวกัน ก็คือถ้ามีที่ให้เลือกระหว่างลำบากกับสบาย กระผม/อาตมภาพจะเลือกด้านที่ลำบากก่อนเสมอ เพราะว่าจะได้ท้าทายความสามารถของตนเองว่าเราแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้สำเร็จหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเลือกหาแต่ด้านที่สบาย เราเองจะไปไม่รอด เพราะว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำซ้ำ ๆ กัน ถึงเวลาก็จะกลายเป็นนิสัยเฉพาะตัว คนติดสบาย ลำบากไม่เป็น โดนจับโยนเข้าป่าเมื่อไรก็ตายหมด..! แต่ถ้าหากว่าเราลำบากเป็น ทุกอย่างก็จะสบายหมด เพราะว่าไอ้ที่ลำบากกว่าส่วนที่ผ่านมานั้นไม่มีอีกแล้ว โบราณถึงได้บอกว่า "ลำบากก่อนแล้วสบายเมื่อปลายมือ" แต่ส่วนใหญ่เขาไปดัดแปลงว่า "ลำบากก่อนแล้วก็ตายเมื่อปลายมือ..!" เมื่อออกจากโรงเรียนบ้านอูล่อง กระผม/อาตมภาพก็ตรงไปวัดเขาแหลม หมู่ที่ ๓ บ้านสมเด็จเจริญ อำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรีนี่แหละ แต่ห่างจากวัดท่าขนุน ๒๐๐ กว่ากิโลเมตร วิ่งไปกลับก็เกือบ ๆ ๕๐๐ กิโลเมตร เพื่อไปร่วมถวายน้ำสรงศพหลวงพ่อพระครูสุชาตคีรีเขต (สรสิทธิ์ สุจิตฺโต) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาแหลม อดีตเจ้าคณะตำบลสมเด็จเจริญ ซึ่งมรณภาพด้วยอายุ ๗๖ ปี คนส่วนใหญ่ถ้าหากว่ากำลังใจไม่พอ ระยะทางไกลขนาดนี้ไม่มีใครเขาไปกันหรอก เพราะว่าสำหรับบางท่านแล้วก็คือ เอาสบาย เอาเฉพาะกิจนิมนต์ที่ได้เงิน ประเภทไปแล้วเสียเงินทีละมาก ๆ อย่างกระผม/อาตมภาพนั้นเขาไม่ทำกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2022 เมื่อ 03:25 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พวกเราต้องนึกถึงสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชวิสุทธาภรณ์ (ทองดำ อิฏฺฐาสโภ ป.ธ.๖) รองเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ท่านกล่าวไว้ ท่านบอกว่า "คนเราจะเห็นน้ำใจกันอยู่ใน ๓ วาระ ก็คือยามเจ็บ ๑ ยามจน ๑ และยามจากอีก ๑" เพราะโบราณเขาบอกแล้วว่า "มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่" ถ้าเรายากจนแล้วยังมีมิตรสหายที่เต็มใจคบหาอยู่ นั่นต้องบอกว่าเป็นเพื่อนแท้เลย ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องการกำลังใจ มีใครมาเยี่ยมมายามจะรู้สึกจดจำมาก
แบบเดียวกับท่านโหนก ยังจำท่านโหนกกันได้ไหม ? ท่านโหนกไปผ่าตัดแล้วพระครูบ่าว (พระครูกาญจนปริยัติคุณ) ไปเฝ้าไข้ กระผม/อาตมภาพเองไปเยี่ยมครั้งเดียว แต่พระครูบ่าวไปเฝ้าไข้จนกระทั่งท่านโหนกออกจากโรงพยาบาล ท่านโหนกก็เลยขอลาไปอยู่กับพระครูบ่าว อยู่ในลักษณะว่าไปตอบแทนบุญคุณ กระผม/อาตมภาพก็ขำ ๆ ดี ก็คือจดจำบุญคุณได้แม่นมาก แต่ลืมไปว่ากระผม/อาตมภาพบวชมาให้ทั้งคน เอ้า..ตามสบาย..! คราวนี้ยามจาก เห็นชัดเจนเลยว่าบุคคลนั้นเป็นที่รักของคนอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ? อย่างของหลวงพ่อพระครูสุชาตคีรีเขตนี่ ทั้งพระทั้งชาวบ้านไปกันมากมาย แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพที่อยู่ไกลถึงขนาดนี้ก็ไป นำเอาไทยธรรมไปให้เป็นของที่ระลึกงานศพ นำผ้าไตร นำปัจจัยไปถวายช่วยงาน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่นาน แต่เราก็ต้องไป เพื่อแสดงน้ำใจของบุคคลที่เป็นพระสังฆาธิการ ท่านเคยช่วยงานคณะสงฆ์มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน พอถึงเวลามรณภาพลง เราก็ต้องไปแสดงน้ำใจของเราเอง ไม่ใช่ว่า เออ..เป็นเรื่องสนุก เดินทางไปที ๓ ชั่วโมงกว่า แล้วก็เดินทางกลับอีก ๓ ชั่วโมงกว่า แต่เป็นการแสดงน้ำใจของเรา พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพุทธวรญาณ (มงคล วิโรจโน ป.ธ.๕) วัดประยุรวงศาวาส ท่านเป็นครูบาอาจารย์รูปหนึ่งที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงให้ความเคารพมาก ท่านบอกอยู่เสมอว่า "น้ำบ่อน้ำคลองก็เป็นรองน้ำใจ น้ำไหน ๆ ก็สู้น้ำใจไม่ได้" ท่านเป็นนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงของวัดประยุรวงศาวาส สำนวนนักเทศน์ที่ท่านใช้อยู่เสมอ ๆ ก็คือเรื่องของน้ำใจนี่เอง ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะสังเกตว่า บุคคลนั้นเป็นคนที่คบหาสมาคมเราในยามเจ็บ ยามจน ยามจากหรือไม่ ? ตอนจนกับเจ็บคงพอที่จะจดจำได้ แต่ตอนจากนี่จำไปก็ไม่รู้จะทำอะไรได้อีกแล้ว ถือว่าเป็นข้อคิดที่ครูบาอาจารย์ท่านให้พวกเราเอาไว้ สังเกต..แล้วถ้าอะไรที่ไม่ลำบากเกิน ก็ปฏิบัติตามไปบ้างแล้วกัน สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2022 เมื่อ 03:30 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|