#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ท่านทั้งหลายที่อยู่วัดท่าขนุนก็จะเห็นแล้วว่ากระผม/อาตมภาพมีงานมากขนาดไหน หรือว่าท่านที่ติดตามทางด้านเฟซบุ๊กวัดท่าขนุน ดีไม่ดีจะลำดับงานไม่ถูกเสียด้วยซ้ำไปว่า ในแต่ละวัน กระผม/อาตมภาพทำอะไรไปบ้าง
นี่คือสิ่งที่บอกกล่าวกับท่านทั้งหลายมาตลอดว่า ถ้าหากเรามีสติ สามารถลำดับความก่อนหลังเร็วช้าของปัญหาได้ งานทุกอย่างจะไม่มีอะไรสับสนวุ่นวายและเป็นปัญหาเลย เราจะมีงานอยู่ตรงหน้างานเดียวเสมอ และไม่เกินกำลังที่เราจะทำไหว เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายส่วนใหญ่แล้ว พอถึงเวลาปัญหาหรือว่างาน ประเดประดังเข้ามา ก็มักจะขาดสติ แล้วเอาหลาย ๆ ปัญหาไปรวมเป็นปัญหาเดียวกัน ทำให้หนักเกินกำลัง แก้ไม่ไหว เครียด นอนไม่หลับ บางคนก็ถึงขนาดเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็มี..! ตั้งแต่เช้ามา ท่านทั้งหลายก็จะเห็นว่า กระผม/อาตมภาพมานำผู้ปฏิบัติธรรมเจริญกรรมฐานตั้งแต่ตี ๔ ซึ่งปกติแล้วจะมาตี ๓ ครึ่ง แต่เมื่อวานนี้วิ่งงานหนัก แล้วอากาศเปลี่ยนทำให้เป็นไข้ จึงได้ลาพวกเราล่วงหน้าตั้งแต่ตอนทำวัตรค่ำว่าไม่สามารถที่จะมาตอนตี ๓ ครึ่งได้ หลังจากนั้นก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ฉันเช้าแล้วก็มานำพวกเราบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๑/๒๕๖๖ เสร็จสรรพเรียบร้อยก็มอบหมายให้พระวิปัสสนาจารย์นำพวกเราปฏิบัติธรรม ตนเองวิ่งไปวัดวังหิน หมู่ที่ ๑ ตำบลหินดาด อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาระดับสูงในพื้นที่ ไปร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์เปิดงานผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิต ซึ่งติดขัดมาแล้ว ๒ ปี เพราะเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาด ทำให้ไม่สามารถจัดงานได้ จนกระผม/อาตมภาพยังพูดขำ ๆ ว่า "มีดตัดหวาย ๒ เล่มที่ได้จองเอาไว้ สนิมกินไปแล้วกระมัง ?" พอเสร็จพิธี ก็ขออนุญาตออกจากงาน วิ่งกลับมาที่วัดท่าขนุนนี่เพื่อฉันเพล แล้วก็มอบข้าวสารอาหารแห้งให้กับทางโรงเรียนหมู่บ้านเด็ก (วังด้ง) เสร็จสรรพเรียบร้อยก็นำพวกเราปฏิบัติธรรมในรอบบ่าย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2022 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พอพวกเราสมาทานกรรมฐานเสร็จ กระผม/อาตมภาพก็ต้องมอบหมายให้พระวิปัสสนาจารย์ช่วยนำพวกเราปฏิบัติธรรม ตนเองวิ่งไปประชุมผ่านระบบซูมมีตติ้งออนไลน์ ในการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ระดับเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ รองเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล รองเจ้าคณะตำบล และเลขานุการทุกระดับ ซึ่งก็ลากยาวไปจนถึง ๔ โมงเย็น
เมื่อพระเดชพระคุณพระธรรมวชิรานุวัตร, ดร. (แย้ม กิตฺตินฺธโร) เจ้าคณะภาค ๑๔ กล่าวปิดเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็มาต้อนรับคณะของนางสมมารถ คำถนอม วัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเดินทางมาถวายสักการะช่วงปีใหม่ แล้วนำคณะของท่านไปชมตลาดริมแควเมืองท่าขนุน ต่อเนื่องไปถึงงานถนนคนนั่งยองทองผาภูมิ ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่เทศบาลตำบลทองผาภูมิจัดมาเป็นปีที่ ๑๔ แล้ว เมื่อเริ่มพิธีเปิดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวถนนคนนั่งยองทองผาภูมิเสร็จ ก็กลับมาทำวัตรค่ำกับพวกท่านทั้งหลาย เพื่อบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ซึ่งท่านทั้งหลายกำลังฟังอยู่นี้ เสร็จจากการทำวัตรรอบสอง เดี๋ยวต้องออกไปเปิดงานตลาดริมแควเมืองท่าขนุนต่อ แค่ฟังบางคนก็ประสาทรับประทานแล้ว แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านมีสติมั่นคง โดยเฉพาะมีกำลังสมาธิจากฌานสมาบัติ ท่านจะมีกำลังเพียงพอในการทำงานทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยไม่สับสนวุ่นวาย พอเหมาะพอดีกับเหตุการณ์ทุกอย่าง โดยเฉพาะในส่วนของการไม่ล่วงละเมิดพระธรรมวินัย เนื่องเพราะว่าในส่วนของบุคคลที่กำลังใจทรงฌานสมาบัติอยู่ รัก โลภ โกรธ หลง จะโดนอำนาจของฌานสมาบัติกดดับไปชั่วคราว ทำให้กำลังใจมุ่งเฉพาะในด้านของความดีเท่านั้น ยกเว้นว่าท่านที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ อาศัยมิจฉาสมาธิ อย่างเช่นว่ากระทำไสยศาสตร์ เรื่องทั้งหลายเหล่านั้นค่อยว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าเป็นกำลังใจที่ขาดอุเบกขา ก็เลยทำให้ออกไปทางเบียดเบียนผู้อื่น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2022 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
คราวนี้การที่กำลังใจของเราสามารถทรงเอาไว้จนกระทั่งงานต่าง ๆ สำเร็จเสร็จสิ้นลงนั้น ท่านทั้งหลายต้องระวังให้มากอีกจุดหนึ่ง ก็คือการที่ถึงเวลารู้สึกว่าหมดงานแล้ว ถ้ากำลังใจคลายตัวออกมา บางคนก็ล้มทั้งยืนเลย..! เราต้องระมัดระวังด้วยว่ากำลังกายไหวหรือเปล่า ? ถ้ารู้ว่ากำลังกายไม่ไหว ก่อนที่จะคลายกำลังใจออกมาก็ให้นั่งลงเสียก่อน หรือว่านอนเสียก่อน แต่ว่าบางทีกำลังใจของเราก็คลายออกมาเอง ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพมีประสบการณ์มาหลายครั้ง
ครั้งที่ออกธุดงค์ครั้งแรกไปยังเมืองลับแลที่แม่สาน ด้วยความที่เกรงว่าเป็นสถานที่อันตราย ทันทีที่มุ่งหน้าเข้าไป กำลังใจก็ทรงตัวเต็มสภาพ ตลอดระยะเวลา ๕ วัน ๕ คืนไม่คลายออกมาเลย แต่เมื่อเดินทางกลับออกมา เริ่มจดจำได้ว่าหนทางตรงนี้ใกล้หมู่บ้าน เราปลอดภัยแล้ว กำลังใจคลายออกมาตอนไหนก็ไม่รู้ ? เป็นการคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ แล้วความรู้สึกนึกคิดก็เริ่มปรุงแต่ง โดยที่ตอนนั้นยังเผลอสติ เพราะว่าเพิ่งจะอยู่ในพรรษาที่ ๔ ของการบวชเท่านั้น ก็ไปเที่ยวดูฟ้าดูดิน โดยเฉพาะบรรยากาศยามสายในป่า แสงแดดส่องลอดใบไม้ลงมาเป็นเส้น ๆ แล้วบรรดาหมอกควันจากอากาศหนาวก็พันอยู่กับลำแสง ต้องบอกว่าทิวทัศน์สวยงามมาก ใจก็ไปนึกถึงเพลงในสมัยฆราวาสที่เคยได้ยินมา ถ้าจำไม่ผิดเป็นคุณชรินทร์ นันทนาครร้อง ที่ว่า "ดวงตะวันลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย..หายลับไปกับตะวัน ฯลฯ" แล้วก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านใดเมตตา ? เห็นพระจะต้องอาบัติเพราะทะลึ่งไปนึกถึงเพลง ก็เลยช่วยถีบ..! ตูมเดียวหล่นลงไปในลำธาร อากาศเดือนพฤศจิกายนกลางป่าเขา หนาวขนาดไหนบอกไม่ถูก !? รู้แต่ว่าต้องเดินสั่นงั่ก ๆ ไปตลอดทาง กว่าที่จะไปถึงหมู่บ้าน ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มเข็ด รู้จักสังเกตว่ากำลังใจของตนเองคลายออกมาตอนไหน ? แต่ว่าถึงจะสังเกตและระมัดระวัง บางทีด้วยความเคยชินของสภาพจิต พอรู้ว่างานหมดแล้วก็คลายออกมาเลย บางทีก็หลับสลบไสลข้ามวันข้ามคืนไปเลยก็มี ดังนั้น..จึงขอเตือนท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าฆราวาสนักปฏิบัติธรรม ถ้าทำมาถึงตรงนี้ได้ต้องระมัดระวังไว้ด้วย ต้องมีสติอยู่เสมอว่าเราไหวหรือไม่ ? ถ้ารู้ว่าไม่ไหว อย่าพยายามคลายกำลังใจออกมาก่อน อย่างไรก็ล็อคเอาระดับใช้งานของเราไว้ กลับถึงที่พักก่อนแล้วค่อยเป็นอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ ก็คือ "หงายแผ่สี่สลึง"..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2022 เมื่อ 03:02 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ตรงนี้คำโบราณเขาว่า "แผ่สองสลึง" หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเพิ่มให้อีกเท่าตัวเป็น "แผ่สี่สลึง" เพราะว่าหมดสภาพจริง ๆ ดังนั้น..เวลาพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเข้าที่พัก ท่านจะล็อคประตูทุกครั้ง เพราะเกรงว่าคนจะไปเห็นตอนหมดสภาพแล้วตกใจ
กระผม/อาตมภาพเองก็โดนบรรดา พระ เณร แม่ชี ช่วยกันยำเละมาแล้ว เพราะว่าสภาพร่างกายไม่ไหว ก็ส่งใจไปพระนิพพาน แต่ทุกคนคิดว่าตายแล้ว ก็เลยช่วยกันเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ชุบน้ำร้อน ช่วยกันถู เผื่อว่าร่างกายอุ่นขึ้น หลวงพ่อจะได้ฟื้น ถูเท่าไรก็ไม่ฟื้นหรอก เพราะว่าตอนนั้นใจทิ้งร่างกายไปแล้ว..! ตี ๒ กว่ากลับมาอีกทีแสบไปทั้งตัว เพราะว่าเขาเล่นชุบน้ำร้อน ๆ ถูแบบไม่บันยะบันยัง คนอาการกึ่งสลบกึ่งตาย ก็ไม่รู้จะร้องจะโวยวายอย่างไร ? จึงทำให้หนังถลอกปอกเปิก จนกระทั่งทุกวันนี้พออากาศหนาวหรือว่าโดนเครื่องปรับอากาศก็จะคันมาก เพราะว่าผิวเสียมาตั้งแต่สมัยนั้น หมอแนะนำให้ทาโลชั่นรักษาผิว ก็ทาถึงบ้างไม่ถึงบ้าง เพราะว่าข้างหลังตัวเอง ถ้าไม่มีคนช่วยทาให้ บางทีก็คันคะเยอขึ้นเป็นผื่นเลย นั่นก็คือสิ่งที่ไม่ได้เผลอ เข้าที่พักแล้วก็ล็อคประตู แต่ว่าทุกคนที่มีกุญแจช่วยกันปั๊มแจก..! รู้สึกเป็นเกียรติเป็นศรีมากที่มีกุญแจกุฏิหลวงพ่อ ก็เลยเปิดกุฏิได้ทุกคน..! สรุปว่าเป็นความโชคดีของกระผม/อาตมภาพเอง ที่มีลูกศิษย์โง่ ๆ ช่วยกันยำจนเละมาตั้งแต่ครั้งนั้น...! ที่เล่าให้พวกเราฟังก็เพื่อบอกว่า สิ่งที่กระผม/อาตมภาพได้สอน ได้บอก ได้กล่าวไปนั้น บอกไปแค่ที่ตนเองทำมา ไม่ใช่ราคาคุย แต่ว่าทำมาจริง ๆ แม้กระทั่งเรื่องการสอนให้ทุกคนมีสติ ลำดับงาน จัดความสำคัญของปัญหา ก็ทำมาด้วยตัวเองมาตลอด ตั้งแต่ฆราวาสยันเป็นพระ จนทุกวันนี้คนเขาก็สงสัยว่า "หลวงพ่อเล็กทำงานมากมายมหาศาลขนาดนี้ในแต่ละวันได้อย่างไร ?" ก็บอกว่าพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพราะไม่เคยคิดว่าจะมีวันพรุ่งนี้..! กำลังใจแบบนี้ ถ้าหากว่าใครทำได้จะมีความสุขอยู่เฉพาะหน้า เพราะว่าพรุ่งนี้ไม่มีสำหรับเราแล้ว เราทำวันนี้เต็มที่แล้ว "แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน" พร้อมที่จะไปอยู่เสมอ ขอฝากเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เอาไว้ให้พระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาสหญิงชาย ไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดท่าขนุนนี้ หรือว่าฟังอยู่ในต่างจังหวัด ต่างประเทศก็ดี พยายามค้นหาอารมณ์นี้ให้เจอแล้วยึดเกาะเอาไว้ให้ได้ ท่านจะมีโอกาสหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานอย่างที่ได้หวัง สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2022 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|