#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นการบันทึกเสียงรอบที่สาม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า โทรศัพท์และหูฟังเครื่องใหม่นั้นไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้มีการตัดการบันทึกเสียงในระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ทำให้บันทึกได้แค่ครั้งละนาทีกว่าสองนาที
สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปเป็นพระอุปัชฌาย์ ทำการอุปสมบทพระที่วัดวังปะโท่ หมู่ที่ ๘ บ้านรวมใจ ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ไปถึงตั้งแต่ประมาณ ๘ โมงเช้า แต่ว่าต้องรออยู่จนกระทั่ง ๙ กว่าโมง ถึงจะได้ทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์ ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรนั้น ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า มีการแห่นาคกันสนุกสนาน ไม่รู้จักแล้วจักเลิก ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมการแห่นาคในปัจจุบันนี้ถึงได้วิปริตผิดเพี้ยนไปขนาดนั้น..!? ในสมัยโบราณนั้น การแห่นาคมุ่งหวังให้บุคคลที่รู้เห็น ได้มีโอกาสอนุโมทนาในบุญกุศล ที่ทางเจ้าภาพได้บวชลูกหลานของตน แต่ว่าในปัจจุบันนี้ เอาความสนุกสนานเข้าว่าเพียงอย่างเดียว หลายที่ก็มีการกินเหล้ากินเบียร์ เต้นกันสนุกสนานไม่ยอมเลิก เมื่อเมาขึ้นมาแล้ว บางทีแห่รอบโบสถ์ ๓ รอบแล้วยังไม่เป็นที่พอใจ ก็มีการเพิ่มขึ้นเป็น ๙ รอบ เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่าเรื่องของประเพณีนั้น บางทีก็วิปริตผิดเพี้ยนไปตามความเกรงใจของผู้คน เพราะว่าในเมื่อแขกเหรื่อต้องการแบบนั้น เจ้าภาพก็ต้องสนองความต้องการเขาไป อีกประการหนึ่งก็คือกระทำตาม ๆ กันไป โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นคืออะไร อย่างเช่นว่าการบวชนาคในวันนี้ ก็มีการโปรยทานเป็นระยะ ๆ ตลอดทาง ตั้งแต่บ้านมาจนวนรอบโบสถ์ นั่นคือการปฏิบัติในหลักการให้ทานในพระพุทธศาสนา เมื่อเข้ามาในโบสถ์แล้ว ก่อนที่จะทำพิธีอุปสมบทตามขั้นตอน ก็มีการขอรับศีลเสียก่อน นั่นคือการปฏิบัติในศีลของพระพุทธศาสนา ก็เหลือแต่ขั้นตอนภาวนาเท่านั้น ซึ่งบางท่านที่รู้ดีรู้ชอบ ถึงเวลาวนรอบโบสถ์ก็ตั้งใจภาวนา ส่วนใหญ่ก็ใช้บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ถ้าหากว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย เอาแต่สนุกสนานเฮฮาตามเขา อย่างน้อยพระอุปัชฌาย์ก็จะให้ตจปัญจกกรรมฐาน คือกรรมฐาน ๕ อย่าง มีหนังเป็นที่สุด เพื่อให้เจ้านาคเมื่ออุปสมบทไปแล้ว จะได้ใช้ในการภาวนา เพื่อระงับความฟุ้งซ่านในใจของตนเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2023 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าหากว่าภาวนาโดยอนุโลม คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วไม่สามารถที่จะทำให้ใจสงบได้ ท่านก็ยังให้ภาวนาย้อนหลัง ที่เรียกว่าปฏิโลม ก็คือ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา เมื่อต้องย้อนหลัง จำได้ยากขึ้น ก็ทำให้ต้องใช้สติระมัดระวังมากขึ้น อาจจะทำให้ใจสงบได้เร็วกว่าการภาวนาตามปกติ
เมื่อใจสงบแล้ว เรามาพิจารณาว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้ง ๕ อย่างนั้น เป็นสิ่งที่สกปรกได้ง่ายที่สุดในร่างกายของเรา ถ้าไม่ชำระสะสางแม้เพียงวันสองวัน บางทีตัวเราเองก็ยังทนไม่ได้ เมื่อเห็นชัดเจน จิตจะได้เบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่ฟุ้งซ่านไปด้านกามารมณ์ ทำให้ผู้บวชสามารถอยู่สุขอยู่เย็น จนกระทั่งสึกหาลาเพศไปตามระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ สำหรับในเรื่องของการบวชนั้น ญาติโยมส่วนใหญ่ก็รู้แต่ว่าบวชลูกบวชหลานของตนเองจะได้บุญมาก ได้อานิสงส์มาก แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอานิสงส์นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ซึ่งตรงนี้จะต้องบอกกล่าวกันให้ชัดเจนว่า การบวชในเบื้องต้นท่านก็ได้อานิสงส์ในทาน ในศีล ในภาวนาไปแล้ว เมื่อบรรดาคู่สวดได้กล่าวประกาศท่ามกลางสงฆ์ว่า "อุปสัมปันโน สังเฆนะฯ" บัดนี้ได้อุปสมบทเป็นสงฆ์แล้วนะ อานิสงส์ที่ท่านทั้งหลายจะพึงมีพึงได้ในฐานะผู้เป็นศาสนทายาท สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา ก็ได้สมบูรณ์บริบูรณ์ตอนนั้นแล้ว การอยู่ต่อของท่านทั้งหลายก็ขึ้นอยู่ที่ว่า เราจะสามารถทำให้อานิสงส์นั้นเพิ่มมากขึ้นหรือว่าลดน้อยถอยลง คำว่าเพิ่มมากขึ้นในที่นี้ก็คือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ลดน้อยถอยลง นั่นก็คืออาจจะไม่ทำอะไรเลย หรือไม่ก็มีการทำผิดทำพลาด จนกระทั่งติดลบไปก็มี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2023 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อานิสงส์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่บอกว่าได้มากนั้นเกิดจากอะไร ? ก็เกิดจากการที่บรรดาผู้บวชเข้ามาแล้วต้องยึดถือศีล ๒๒๗ ข้อ ถ้าเปรียบกับการลงทุนในกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ญาติโยมที่ถือศีล ๕ สมมติว่าลงทุนไป ๕ ล้านบาท พระภิกษุสงฆ์ที่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ก็คือลงทุนไป ๒๒๗ ล้านบาท
ถ้าหากว่าเกิดได้กำไรขึ้นมาเหมือน ๆ กัน ผู้ที่ลงทุนมากย่อมได้กำไรมากกว่าหลายเท่า อานิสงส์ที่ได้มากจึงอยู่ตรงนี้เอง เพราะว่าลงทุนด้วยอานิสงส์ ก็คือการรักษาศีลมากกว่าฆราวาสหลายเท่า ผลบุญที่ได้จึงได้มากกว่าหลายเท่า แต่ถ้าหากว่าท่านไปสร้างเวรสร้างกรรม ผลบาปก็ได้มากกว่าหลายเท่าเช่นกัน..! ดังนั้น..การบวชลูกหลานไม่ได้หมายความว่าท่านจะได้บุญได้กุศลอย่างเดียว บรรดาท่านทั้งหลายที่มีการล้มวัวล้มควาย ฆ่าหมูฆ่าไก่ เพื่อที่จะเลี้ยงแขกนั้น สิ่งที่ท่านทำส่วนนี้เป็นบาป ถ้าหากว่าท่านทำบาปมากกว่า บางทีบุญที่ควรได้ก็ไม่สามารถที่จะทานกำลังบาปเอาไว้ได้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้ให้คำแนะนำว่า ถ้าจะเลี้ยงแขกในงานบวชก็ให้สั่งโต๊ะจีนมาเลย ทางด้านเจ้าของผู้ที่ทำโต๊ะจีนจะเป็นคนที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องข้าวปลาอาหารต่าง ๆ เอง เราจะได้ไม่มีส่วนในเรื่องของบาปในตรงนั้น แต่ถ้าหากว่าท่านเป็นคนไปสั่งว่า จะต้องมีหมู มีเป็ด มีไก่ ถ้าอย่างนั้น ส่วนนี้ก็จะกลายเป็นบาป..! ถ้าจะให้ปลอดภัยจริง ๆ ก็ให้เลี้ยงเป็นอาหารมังสวิรัติ โดยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า แม้แต่ไข่สักฟองก็อย่าได้ไปทุบ เพราะไม่แน่ใจว่าไข่นั้นจะมีเชื้อหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีเชื้อ ท่านก็จัดเป็นผู้ที่ฆ่าสัตว์เช่นกัน เมื่อเห็นความยากลำบากในตรงจุดนี้แล้ว ท่านทั้งหลายบางทีอาจจะท้อใจไปเลยว่า "การบวชลูกคนหนึ่งทำไมถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ?" ซึ่งตรงนี้ก็ขอกล่าวถึงว่า ถ้าท่านทั้งหลายบวชลูกบวชหลานโดยที่ไม่รู้อะไรเลย ถึงเวลาบวชเข้าไปแล้ว แม้แต่ต้องปฏิบัติตนอย่างไรก็ไม่รู้ ทำผิดทำพลาดไปโดยสบายใจ ไม่รู้ว่าเกิดโทษแก่ตนเอง ถึงเวลาสึกหาลาเพศไป คิดว่าตัวเองได้ผ่านการบวชมาแล้ว ถ้าลักษณะแบบนี้ก็ไปรอตัดสินกันเมื่อยามที่ท่านตายแล้ว..! ว่าโทษทัณฑ์ที่ท่านได้กระทำเอาไว้หนักหนาแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็มีอเวจีมหานรกเป็นที่ไป..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2023 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
แต่ว่าท่านที่บวชมาแล้วรู้ว่า ถ้าตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จะมีอานิสงส์มากมายมหาศาล เพราะว่าตนเองมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อเป็นต้นทุน แล้วตั้งใจสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต เจริญกรรมฐานเป็นปกติ อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็มากเป็นทบทวี ยิ่งกว่าตอนเป็นฆราวาสได้กระทำไป แล้วยิ่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาอีกด้วย สิ่งที่ท่านจะพึงมีพึงได้ ก็ยิ่งวิเศษเลิศลอยมากขึ้นไปอีก อานิสงส์ที่จะได้มากได้น้อย จึงขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้บวชนั่นเอง
ดังนั้น..ญาติโยมที่ไม่รู้ว่าอานิสงส์หรือว่าบุญที่ได้มากนั้นได้เพราะอะไร ? ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ทำนั้นเป็นบาปเป็นกรรมอย่างไร ? ถ้าหากว่าได้ฟังคลิปเสียงนี้แล้ว ก็น่าที่จะพอรู้ได้บ้างว่า การบวชลูกบวชหลานนั้น ควรที่จะทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่คิดแต่จะเอาหน้าเอาตาของตนเอง บางท่านถึงขนาดโปรยทานไปทีหนึ่งเป็นแสน ๆ บาท..! บางท่านก็ถึงขนาดไปเหมาหวยจากบรรดาผู้ขายล็อตเตอรี่มาเป็นเจ้า ๆ มาเลย แล้วเอามาโปรยทานก็มี จัดการเลี้ยงโต๊ะจีนเป็นร้อย ๆ โต๊ะก็มี เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น เป็นการลงทุนสูญเปล่าก็มี เพราะว่าสิ่งที่ลงทุนไปนั้นไปก่อกรรมทำเข็ญเสียมากกว่า การที่เราเป็นผู้รู้ดีรู้ชั่ว จึงเป็นบุคคลที่กระทำกันสิ่งอื่น ๆ นั้นได้ลำบากกว่าเขา แต่ถ้าท่านทั้งหลายสังเกตจะเห็นว่า ในเรื่องของการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนานั้น เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ถ้าเราจะให้ทานก็แค่ยื่นโยนให้แก่ผู้อื่น แต่การที่เราจะลักขโมยเขานั้น ต้องดูโอกาส ดูเวลา ดูว่าเจ้าของเผลอหรือไม่ ? บางทีก็ต้องออกไปขโมยเวลาดึก ๆ ดื่น ๆ จะเห็นว่าทำได้ยากเป็นอย่างยิ่ง การรักษาศีลนั้น ก็แค่เราไม่ไปละเมิดเท่านั้นเอง เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก แต่ถ้าท่านจะฆ่าสัตว์ หรือว่าฆ่าคน ก็ยังต้องเสียเวลาลงไม้ลงมือ หรือว่าวางแผนการอะไรต่าง ๆ เพราะเกรงว่าจะโดนตอบโต้ โดนทำร้ายคืนมาบ้าง เป็นต้น หรือว่าการเจริญภาวนานั้น ท่านก็รักษาใจของตนให้อยู่กับสมาธิตรงหน้า ในขณะที่บุคคลทั่ว ๆ ไปปล่อยให้ใจเตลิดเปิดเปิงไปกับสิ่งต่าง ๆ รอบข้างอยู่เสมอ ดังนั้น..ความดีของทาน ของศีล ของภาวนา จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย แต่ถ้าหากว่าการละเมิด ไม่ยอมให้ทานยังไม่เพียงพอ ยังหยิบฉวยช่วงชิงคนอื่น ไม่รักษาศีลยังไม่พอ ยังมีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดโกหกมดเท็จ ดื่มสุรา เสพยาเสพติด สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ๆ เราจึงควรที่จะกระทำในสิ่งที่ง่าย ละเว้นในสิ่งที่ยาก ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายสามารถสร้างบุญสร้างกุศลแล้ว พึงจะได้อย่างใจของตนเอง ก็คือได้บุญได้กุศลมากสมกับความต้องการ สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2023 เมื่อ 03:24 |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|