#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ระยะนี้ทางทองผาภูมิของเรา เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดค่อนข้างจะรุนแรง ต้องระมัดระวังกันให้ดี ใครเข้าใครออก กลับมาถึงให้ตรวจ ATK เสียก่อน จะได้ไม่เอาของขวัญมาฝากคนที่อยู่วัด..!
กระผม/อาตมภาพเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าที่ตัวเองรอดมาได้ทุกยุคทุกสมัยนั้น เกิดจากอะไรกันแน่ ? อย่างเมื่อล่าสุดที่ไปอินเดียมา ก็ใช้หน้ากากออกซิเจนอันเดียวกับบุคคลในคณะที่ติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ พยายามเดาดู คาดว่าน่าจะเกิดจากวัตถุมงคลบางอย่าง และขณะเดียวกันก็คือ น่าจะไม่ได้สร้างกรรมในด้านนี้มา เนื่องเพราะว่าใกล้ชิดผู้ป่วยขนาดไหนก็ไม่ติด วัตถุมงคลที่ว่าก็คือเบี้ยแก้ แล้วก็ยังมีแมลงภู่คำบรรจุปรอทป่าด้วย เพราะว่าปรอทมีฤทธิ์อำนาจในการทำลายเชื้อโรคบางอย่างได้ ถ้าพวกท่านสังเกตจะเห็นว่าในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สายหลังนี้ ตั้งแต่ช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เริ่มระบาด กระผม/อาตมภาพก็เอาเบี้ยแก้ตัวครูของหลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว มาประจำเอาไว้ ตอนหลังก็เพิ่มตะกรุดมหาระงับพิสดาร ของหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราชมาด้วย ในเรื่องของเบี้ยแก้นั้น พวกเรารู้กันอยู่ว่า ปรอทมีอำนาจในการทำลายเชื้อโรคบางอย่าง ถ้าคิดว่าเป็นอานุภาพของเบี้ยแก้ก็ไม่น่าจะแปลกใจ แล้วกระผม/อาตมภาพเอาตะกรุดมหาระงับมาไว้ด้วยทำไม ? ก็เพราะว่าตะกรุดมหาระงับนั้น ถ้าใช้เป็น สามารถที่จะระงับเรื่องร้ายได้ทุกเรื่อง โรคระบาดก็ถือว่าเป็นเรื่องร้ายอย่างหนึ่ง เราต้องเข้าใจว่า ส่วนใหญ่เรื่องไม่ดีที่เกิดขึ้นเกิดจากวาระกรรมที่เราได้สร้างไว้ เมื่อถึงเวลาก็มาสนอง ในเรื่องของบุญของกรรม ถือว่าเป็นอภิสังขาร คือส่วนที่ละเอียดเกินกว่าทั่ว ๆ ไป คราวนี้เชื้อโรคถึงแม้ว่าจะเล็กขนาดไหนก็ตาม ก็ยังจัดอยู่ในประเภทสังขารปกติ ถือว่าเป็นส่วนหยาบ ก็น่าจะช่วยป้องกันได้ พูดง่าย ๆ ว่านอกจากพวกเราจะระมัดระวังกันเอง ก็คือสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อย ๆ บางทีก็ยังต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้มาช่วยอีกแรงหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2023 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เพียงแต่ว่าเรื่องของวัตถุมงคลนั้น เราต้องเข้าใจว่า อันดับแรกเลย ต้องมีความศรัทธา ศรัทธายิ่งมากเท่าไร ผลก็จะเกิดมากเท่านั้น ดังนั้น..หลายคนที่นำวัตถุมงคลชนิดเดียวกันไปใช้ แต่อานุภาพไม่เท่ากับคนอื่น ขอให้เข้าใจว่า อันดับแรก..เกิดจากศรัทธาของเราไม่มั่นคงเท่ากับบุคคลอื่น
แบบเดียวกับที่กระผม/อาตมภาพลงไปภูเก็ตมาเมื่อไม่กี่วันก่อน มีโยมถามว่า ควรที่จะแขวนวัตถุมงคลหรือยัง เพราะว่าสถานการณ์โลกเริ่มรัดตัวเข้ามาทุกขณะ ? พอได้ยินแล้วอยากจะ "โบก" ให้คว่ำ..! ก็แปลว่าเอ็งไม่คิดที่จะแขวนเลยตั้งแต่แรกเลยใช่ไหม ? ก็คือวัตถุมงคล ถ้าหากว่าเปรียบเหมือนกับคน ก็อยู่ในประเภทที่ว่าถ้าสั่งก็ทำ คราวนี้เราปล่อยให้อยู่เฉย ๆ แล้วจะให้ทำอะไร ? กลายเป็นว่ามีไปก็เสียเปล่า..! ดังนั้น..หลายท่านอาจจะสงสัยว่ากระผม/อาตมภาพทำไมใช้วัตถุมงคลแล้วมีอานุภาพมากกว่าคนอื่น ? ขอยืนยันว่าไม่ได้มากกว่า เพราะว่าบุคคลที่ใช้แล้วมีอานุภาพมากกว่าที่กระผม/อาตมภาพใช้มีเยอะ เพียงแต่เขาไม่ได้มาบอกมากล่าวพวกเราเท่านั้นเอง ประการที่สองก็คือ ต้องมีการปลุกอย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับคนหลับ ต้องคอยเขย่าให้ตื่นไว้ คาถาปลุกเหมือนกับกุญแจเปิดประตู ให้พลังงานของวัตถุมงคลเหล่านั้นแผ่ออกมา ถ้าไม่ใช่วัตถุมงคลประเภทที่ครูบาอาจารย์ใจดี ประสิทธิ์ประสาทให้อยู่ในลักษณะจะปลุกหรือไม่ปลุกก็มีอานุภาพเหมือนกัน อยากจะบอกว่าวัตถุมงคลทุกชิ้น ปลุกเอาไว้ก่อนดีกว่า อันดับแรก อย่างน้อยเราก็ได้ภาวนา อันดับที่สองคือสร้างความมั่นคงในกำลังใจของเราให้มากขึ้น ดังนั้น..ในเรื่องของเคล็ดลับ วิธีการ ตลอดจนกระทั่งคาถาในการปลุกวัตถุมงคล จึงไม่ใช่เรื่องที่ครูบาอาจารย์ท่านกำหนดมา แล้วเราจะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ต้องใช้คำว่า "ควรที่จะทำเป็นอย่างยิ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2023 เมื่อ 02:33 |
สมาชิก 48 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังวัยรุ่นอยู่ ถวายการรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาท่านก็ให้คาถามา บอกให้ไปภาวนาอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง พร้อมกับต้องรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์ด้วย เมื่อทำได้แล้ว ไปรายงานท่าน ก็ได้รับคาถาบทใหม่มาอีก จนกระทั่งภายหลังมีคาถาจำนวนมากด้วยกัน แล้วมาทราบเคล็ดลับอย่างหนึ่งว่า ได้ของใหม่แล้วอย่าลืมของเก่า ก็คือต้องมีการทบทวนของเก่าอยู่เสมอ จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการภาวนาเป็นจำนวนมาก เพราะว่าต้องภาวนาคาถาบทเก่าจนกำลังใจทรงตัว แล้วค่อยขยับไปคาถาใหม่อื่น ๆ
เมื่อรวม ๆ หลายสิบคาถา บางทีใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน จนกระทั่งระยะหลังรู้วิธีลัด ก็คือตั้งกำลังใจสูงสุดที่คาถาจะเกิดผลแล้ว จากบทหนึ่งก็กระโดดไปอีกบทหนึ่งเลย ทำให้ใช้เวลาน้อยมาก แล้วท้ายที่สุด ก็เหลือคาถาที่ใช้งานจริง ๆ อยู่แค่ไม่ถึง ๑๐ บท นอกนั้นเก็บขึ้นหิ้งไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นเรื่องที่พวกเราพึงจะสังวรว่า นอกจากความศรัทธาแล้ว ในเรื่องของวัตถุมงคล เราต้องมีการภาวนาหรือว่าปลุกอยู่เป็นปกติ และถ้าไม่ลืมที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกกระผม/อาตมภาพไว้ก็คือ ต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ด้วย พระคาถาจะได้มีผลมากกว่าปกติ ใครที่เป็นเวรเป็นยามอยู่ในศาลา ๑๐๐ ปี จะช่วยปลุกเบี้ยแก้หรือว่าตะกรุดมหาระงับเอาไว้เรื่อย ๆ ก็ได้ อย่างเบี้ยแก้ที่กระผม/อาตมภาพใช้คาถาปลุก ก็คือ นะจังงัง นะบังตัง นะบังจิตตัง นะกาโร โหติ สัมภะโว โมจังงัง โมบังตัง โมบังจิตตัง โมกาโร โหติ สัมภะโว พุธจังงัง พุธบังตัง พุธบังจิตตัง พุธกาโร โหติ สัมภะโว ธาจังงัง ธาบังตัง ธาบังจิตตัง ธากาโร โหติ สัมภะโว ยะจังงัง ยะบังตัง ยะบังจิตตัง ยะกาโร โหติ สัมภะโว พระคาถานี้ปกติเขาให้ภาวนาตอนจารเบี้ยแก้ แต่กระผม/อาตมภาพดัดแปลงมาใช้ปลุกเบี้ยแก้ เพราะรู้สึกว่าจะได้ผลดีกว่าพระคาถาอื่น ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2023 เมื่อ 02:36 |
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ส่วนเรื่องของคาถามหาระงับ ถ้าต้องการบทยาว ๆ ไปค้นดูในกูเกิ้ล แต่กระผม/อาตมภาพใช้แค่ช่วงสั้นที่ว่า "โอมชิดมหาชิด โอมปิดมหาปิด สิทธิสวาหับ" ก็คือในเมื่อปิดจนเรียบแล้ว ก็ไม่ต้องไปทำอะไรอีก
เรื่องของคาถาส่วนใหญ่เกิดจากพระ หรือพรหม หรือเทวดา ท่านเมตตาบอกให้อย่างหนึ่ง เกิดจากนิมิต ไม่ว่าจะในขณะที่ภาวนาหรือว่าขณะที่ฝันอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดจากนิมิต ส่วนใหญ่จะให้ใช้เฉพาะตัว หรือเกิดจากครูบาอาจารย์ที่ท่านได้อภิญญา ผูกขึ้นมาแล้วอธิษฐานด้วยกำลังของอภิญญาให้มีผลอีกอย่างหนึ่ง ดังนั้น..ในส่วนที่คาถาต่าง ๆ จะได้ผลง่ายที่สุดก็คือท่องบ่นภาวนาไว้บ่อย ๆ เหมือนอย่างที่โบราณว่า "เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี อักขระห้าวันหนี เนิ่นช้า ฯลฯ" แปลว่าถ้าเราทิ้งไปสัก ๔ - ๕ วัน กำลังก็ลดลง คาถาก็อาจจะใช้ได้ไม่มีผลมากเท่าเดิม จึงต้องทบทวนกันอยู่เป็นประจำ ๆ ทุกวัน แต่ท้ายสุด วิธีลัดที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะภาวนาคาถาอะไรก็ตาม ให้นึกถึงภาพพระหรือว่าครูบาอาจารย์ ครอบตัวของเราเอาไว้ นึกว่าเป็นพระท่านกำลังว่าคาถา หรือว่าครูบาอาจารย์กำลังว่าคาถานั้น เราเองเป็นเพียงผู้รับผลหรืออานุภาพของคาถาเท่านั้น ถ้าใครวางกำลังใจลักษณะนี้ได้ ก็อาจจะได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2023 เมื่อ 12:04 |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|