|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย)
ถาม : พอจะอธิบายลักษณะของฌานใช้งาน ตั้งแต่อุปจารสมาธิจนถึงฌานสี่อย่างคร่าว ๆ ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราดูดีกว่า อาตมาอธิบายไว้เยอะแล้ว ถาม : ไม่เหมือนกับทั่วไปไม่ใช่หรือคะ ? ตอบ : บางทีก็มีรายละเอียดที่เราจะต้องทำให้ถึงจริง ๆ จึงจะเข้าใจในสิ่งที่อาตมาพูดไป ถ้าทำไม่ถึงก็จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ว่ามา ได้แต่คิดว่า คาดว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น..ทำไปเถอะ พอทำถึงเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง ความจริงอุปจารสมาธิของพวกเราก็คือตอนนี้ ตอนที่เราตั้งใจทำอะไรบางอย่างโดยที่สติจดจ่ออยู่ตรงหน้า กรณีนี้หมายถึงคนทั่ว ๆ ไปนะ ถ้าคนที่เขาคล่องตัวแล้ว สติที่จดจ่ออยู่เฉพาะหน้าบางทีเขาเลยอุปจารสมาธิไปถึงไหน ๆ แล้ว กำลังใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้า ไม่ได้เคลื่อนไปไหน นั่นคืออุปจารสมาธิ หลังจากนั้นถ้าสามารถกำหนดรู้ลมได้ตลอดสามฐานก็จะเป็นปฐมฌาน ถ้าลมหายใจเริ่มเบาลง ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราหายใจน้อยลง หรือจับลมไม่ได้ บางทีคำภาวนาก็หยุดไปด้วย ก็เป็นฌานสอง ตรงนี้เป็นหลักที่คนส่วนใหญ่จะต้องเจอ พอเริ่มเป็นฌานสาม บางคนก็รู้สึกว่าตัวแข็ง แข็งเหมือนกับกลายเป็นหิน บางคนก็รู้สึกเหมือนว่าชา เหมือนกับกลายเป็นหินไปทั้งตัวแล้ว บางคนก็รู้สึกว่าเหมือนกับโดนมัดติดกับเสาจนแน่น ตั้งแต่หัวถึงเท้ากระดิกไม่ได้เลย อาการแรกเริ่มก็อาจจะเริ่มจากจุดใดจุดหนึ่ง อย่างเช่นปลายจมูกหรือปาก บางคนนั่ง ๆ อยู่เหมือนกับเม้มปากแน่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความจริงไม่ใช่ นั่นเป็นอาการที่สมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น ถ้าหากเราไม่ตกใจและไม่กลัว เอาใจกำหนดดูกำหนดรู้ไปเรื่อย ตอนนั้นเราจะลืมไปด้วยซ้ำว่ามีลมหายใจหรือมีคำภาวนาหรือเปล่า ความรู้สึกของเราจะรวมอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งในร่างกาย สว่างโพลงอยู่เฉพาะที่ ไม่รับรู้อาการภายนอก ถ้าอย่างนั้นจะเป็นฌานสี่ ถึงตอนนั้นแล้วเวลาจะผ่านไปโดยที่เราไม่รู้ตัว บางทีเรารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียว ลืมตาขึ้นมาผ่านไปตั้งหลายชั่วโมง บางอย่างมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เฉพาะตัวอยู่ พอทำถึงก็อ๋อ..ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-03-2011 เมื่อ 20:36 |
สมาชิก 255 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ถาม : กำลังตัวใดที่เกิดในช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ ครับ ใช่ตัวที่ ๙ ไหมครับ ? หรือเป็นตัวไหนครับ ?
ตอบ : ฮ่วย..! ตอนตื่นนอนใหม่ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นอุปจารสมาธิ ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์นั้นอยู่ได้ จะรู้สึกคล้าย ๆ กับว่า กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่อารมณ์ตรงจุดนั้นแหละ ที่จะรู้เห็นความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ได้ กำลังตรงนี้จะไม่ปรากฏอาการใด ๆ ที่กายเนื้อเลย ถ้าหากว่าความรู้สึกเหลืออยู่อย่างนี้อย่างเดียว แล้วสามารถไปยังที่อื่น ๆ ได้ นั่นจะเป็นกำลังของฌานสี่ แต่ถ้าไปที่อื่นไม่ได้ ความรู้สึกยังอยู่ที่ร่างกายอย่างเดียว บางทีอาจจะเป็นของเก่าที่เคยทำในส่วนของอรูปฌาน ถ้าในส่วนของอรูปฌานนี้ เราจะไม่เกาะร่างกายเลย เพราะฉะนั้น..ต้องไปพิจารณาดูเองว่า ในส่วนของการปฏิบัติมามีพื้นฐานของเก่ามาก่อนหรือเปล่า ? ส่วนวิปัสสนาญาณ ๙ นั้น ตัวสังขารุเปกขาญาณ จะปล่อยวางทุกอย่างด้วยปัญญา ที่คุณว่ามายังไม่ใช่หรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-03-2011 เมื่อ 20:39 |
สมาชิก 250 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "แรก ๆ ของนักปฏิบัติ จะไม่กล้ากระดิกออกจากกรอบเลย พอทำไประยะหนึ่งจะเริ่มปรับได้ จะค่อย ๆ กลมกลืนขึ้นเรื่อย ๆ กลืนกับโลกขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุดแล้ว ก็จะกลายเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2011 เมื่อ 06:15 |
สมาชิก 254 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาเข้าฌานสี่ในกสิณหรือในอะไรก็แล้วแต่ ผมทรงฌานสี่ได้นิดเดียวครับ
ตอบ : เป็นไปได้อย่างไรที่ทรงได้นิดเดียว ? ก่อนที่จะเข้าฌานให้ตั้งกำลังใจไว้ก่อน ว่าเราจะเอานานแค่ไหน ถาม : ไม่ได้ตั้งครับผม ตอบ : ตั้งไว้ก่อน จะเอาสักสามวันสามคืนก็ว่าไป เพราะว่าขาดตัวตั้งใจ เพียงแต่คุณมั่นใจแล้วนะว่าได้ฌานสี่จริง ๆ ? ส่วนใหญ่คนที่ได้ฌานสี่จริง ๆ มักจะเข้าฌานแล้วไม่ค่อยจะออก เขามีแต่ต้องบังคับให้ออก ถาม : เป็นฌานสี่หยาบครับ ตอบ : จะหยาบหรือละเอียดก็เหมือนกัน ยิ่งหยาบยิ่งไม่ค่อยอยากจะออก เพราะกำลังใจจะจมอยู่ข้างใน ไปตั้งเวลาเสีย ซ้อมเข้าซ้อมออกตามเวลา ได้ฌานสี่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้ไม่ค่อยจะตื่นเต้นอะไรกับใคร วันก่อนทำวัตรอยู่ มีพระรูปหนึ่งท่านของขึ้น เอะอะเอ็ดตะโรขึ้นมา อาตมาก็นำทำวัตรไปเรื่อย ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งท่านสงบไปเอง พอทำวัตรเสร็จก็คุยกับพระเณรว่า "ที่พวกคุณตกใจก็เพราะว่าใจไม่อยู่กับตัว เมื่อกำลังใจไม่อยู่กับตัว ถึงเวลาเกิดอะไรขึ้น ใจต้องรีบวิ่งกลับมาเพื่อรับรู้ การที่ใจวิ่งกลับเข้าตัวเร็วเกินไป คืออาการตกใจ แต่ถ้าอารมณ์ของคุณทรงตัวแล้ว จะไม่เกิดอาการตกใจหรอก เพราะว่าใจอยู่กับตัวอยู่แล้ว กว่าผมจะทำมาถึงตรงนี้ได้ก็หลายปีเหมือนกัน" ตอนช่วงที่ทำได้ เป็นช่วงที่ไปบึงลับแล ไปกันประมาณ ๕-๖ รูป จำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ที่แน่ ๆ มีท่านกอล์ฟรูปหนึ่ง พอไปถึงก็แยกย้ายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ทำแคร่นอนกัน เพราะตั้งใจจะอยู่กันหลายวัน ถ้าอยู่แค่คืนสองคืน ส่วนใหญ่ก็แบกับดิน อาตมาก็ไปทำแคร่นอนอยู่ตรงใกล้ ๆ ริมน้ำ ถ้าใครเคยไปบึงลับแลมาก่อน จะเห็นก้อนหินใหญ่สูงท่วมหัวอยู่ก้อนหนึ่ง อาตมาก็เอาแคร่ด้านหนึ่งชนกับก้อนหิน พอถึงเวลาก็นอนหันหัวเข้าหาก้อนหิน ค่อยปลอดภัยหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2011 เมื่อ 06:19 |
สมาชิก 243 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ตอนกลางคืนเวลาประมาณห้าทุ่มกว่า แคร่พังโครมลงมา..! ลงทางด้านหัว อาตมากำลังนอนภาวนา กำลังใจทรงตัวอยู่ดี ๆ เห็นว่าแคร่พังก็ปล่อยให้พังไป ภาวนาไปเรื่อย ๆ แคร่เอียงลาดลง น้ำหนักตัวก็ถ่วงให้ตัวไหลลงไปเรื่อย ๆ จนหัวทิ่มพื้น พอเจ็บหัวอาตมาจึงลุกขึ้น
สงสัยว่าท่านกอล์ฟจะได้ยินเสียง เห็นว่าแคร่พังตั้งนานแล้วแต่อาจารย์ยังไม่กระดิก ยังเงียบอยู่ เขาก็เลยส่องไฟดู ตอนที่ท่านส่องไฟ อาตมาลุกขึ้นพอดี มองไปเห็นพระธุดงค์อยู่รูปหนึ่ง ห่มจีวรสีเดียวกับอาตมานี่แหละ ยืนพิงก้อนหินอยู่ ก็แปลกใจว่าพระธุดงค์ท่านมาตั้งแต่ตอนไหน ? ซ่อมแคร่เสร็จเดี๋ยวจะถามท่านสักหน่อยว่าท่านมาจากไหน ? ชื่อเรียงเสียงไร ? ท่านกอล์ฟส่องไฟมา เห็นอาตมายังเงียบ ๆ อยู่ ก็เลยเขย่าไฟ พอแกว่งไฟจึงเห็นพระธุดงค์ท่านนั้นเต้นระบำได้ มองไปมองมา อ้าว..เงาเราเอง แต่ตอนเห็นเป็นพระธุดงค์นั้น เห็นชัด ๆ เหมือนจ้องกันกลางวันแสก ๆ เลย เห็นกระทั่งรูปร่างหน้าตาท่านเป็นอย่างไรด้วย ไม่ใช่เงา ก็เลยรู้ว่าที่แท้โดนผีหลอกซึ่ง ๆ หน้า พอซ่อมแคร่เสร็จเรียบร้อยก็นอนภาวนาต่อ ทีนี้มาดูกำลังใจตอนนั้น อันดับแรก..แคร่พังลงไป กำลังใจก็ไม่คลายตัวออกมา ไม่ห่วงไม่กังวล อันดับที่สอง..พอโดนผีหลอกก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร ปกติอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่นั้นมา พอเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้ตกใจอะไรกับใคร ไม่ว่าจะตึงตังโครมครามขนาดไหนก็ตาม กำลังใจจะทรงตัวตลอด มานึกว่าสิ่งที่ได้ทำมา เมื่อค่อย ๆ สั่งสมมาเรื่อย ๆ พอได้ระดับก็จะเกิดผลเอง แต่ถ้ายังไม่ได้ระดับก็ต้องสั่งสมกันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ช่วงที่ได้ระดับ จะได้เร็วหรือได้ช้า อยู่ที่เราใช้ความพากเพียรพยายามมากเท่าไร ? แต่ละวันอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่า หรืออยู่กับความฟุ้งซ่านมากกว่า ? ถ้าอยู่กับอารมณ์ภาวนามากกว่าก็เต็มเร็ว เหมือนกับคนขยันตักน้ำใส่ตุ่ม ย่อมเต็มเร็วกว่าคนที่นาน ๆ ทีจะตักน้ำใส่ลงไปสักถัง ฉะนั้น..เรื่องของการปฏิบัติ ฉันทะ วิริยะ ต้องไปคู่ ๆ กัน คือ อยากที่จะทำ และต้องพากเพียรตั้งหน้าตั้งตาทำด้วย โดยเฉพาะจิตตะ กำลังใจปักมั่นต่อเป้าหมาย ไม่เปลี่ยนแปลงไปไหน และมาใช้ตัวปัญญาสุดท้าย คือ วิมังสา คอยไตร่ตรองทบทวนว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหนแล้ว ? ยังเหลืออีกมากน้อยเท่าไร ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-03-2011 เมื่อ 06:54 |
สมาชิก 257 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถาม : อารมณ์ที่ไม่ตกใจ คืออยู่ในฌานสี่หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าทรงฌานอยู่ แค่ปฐมฌานหยาบก็ไม่ตกใจแล้ว เพียงแต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ทรงฌาน มักจะคิดไปเรื่องไหนก็ไม่รู้ ถ้าทรงฌานอยู่ กำลังใจ สติ สมาธิ จะอยู่เฉพาะหน้า จะไม่สนใจเรื่องข้างนอก ต่อให้เป็นปฐมฌาน ตาเห็นก็สักแต่ว่าเห็นเท่านั้น หูได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยินเท่านั้น ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องตะกายไปถึงฌานสี่หรอก แค่ปฐมฌานก็พออาศัยกินได้เยอะแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2011 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : คนที่เขาภาวนาระหว่างวัน แต่เขาไม่ค่อยมีเวลานั่งสมาธิแบบนิ่ง ๆ เขาจะสามารถไต่ไปจนถึงฌานสี่ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ดีไม่ดี เป็นฌานสี่ใช้งานเสียด้วยซ้ำไป แซงหน้าเราไปลิบโลกเลย ถาม : ไม่จำเป็นว่าคนได้ฌานสี่ใช้งาน จะต้องได้ฌานนิ่ง ๆ มาก่อน ? ตอบ : ไม่จำเป็นจ้ะ ถาม : ตอนนี้หนูไม่ถนัดนั่งนิ่ง ๆ ค่ะ ตอบ : เราก็แอโรบิกไปด้วยภาวนาไปด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองสถาน ถาม : หนูวิ่งค่ะ ตอบ : สมัยก่อนตอนเป็นทหารอาตมาก็วิ่ง แต่ทหารเขาวิ่งมาก วันหนึ่งประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร อย่างน้อย ๆ ก็ประมาณ ๗ กิโลเมตร เขาฝึกคนให้เป็นควาย จะได้อึดกว่าชาวบ้านเขาหน่อย ครูฝึกคนหนึ่ง คือ สิบเอกโสภณ เป็นคนที่อ้วนมากเลย น้ำหนักน่าจะถึง ๘๐ กิโลกรัม แต่ว่าอึดมาก ถ้าบอกว่าวันนี้หมู่โสภณเป็นครูฝึก แต่ละคนสั่นหัวเลย เพราะต้องวิ่งไม่ต่ำกว่า ๑๒ กิโลเมตรแน่นอน เขาเป็นคนอ้วนที่กระตือรือร้นมาก แข็งแรงด้วย ที่ตลกก็คือ เขาวิ่งได้ทั้งขึ้นหน้าและถอยหลัง จังหวะเท้าไม่เคยผิดเลย เวลาทหารวิ่งเขาจะบอกจังหวะไปด้วย บางทีก็ต้องร้องเพลงไปด้วย เขาวิ่งขึ้นหน้าหรือถอยหลังจังหวะเท้าไม่เคยพลาด แสดงว่าสมาธิดีมาก คนไหนที่หนักแปดสิบกิโลขึ้นไปแล้วคล่องขนาดนั้น หายากมากเลยนะ เคยเห็นอยู่คนหนึ่ง แต่เขาเป็นพระเอกหนัง ชื่อหงจินเป่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-03-2011 เมื่อ 05:30 |
สมาชิก 234 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อทำกสิณถึงฌานสี่แล้วจะเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองได้อรูปฌานจริงหรือเปล่า ? ผมหรือคิดไปเอง หรือกำลังหลอกตัวเอง ?
ตอบ : ทำไมโง่แท้วะ..! ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ก็ใช้ผลได้แล้ว คุณก็อธิษฐานขอใช้ผลก่อนสิ ถ้าเป็นไปตามที่ต้องการเราค่อยไปเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน ไม่ใช่อธิษฐานแทบตายแล้วไม่เกิดอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หลอกตัวเองแน่นอน ถาม : ท่าทางจะหลอกตัวเอง ตอบ : ถ้าทรงกสิณถึงฌานสี่ได้ ก็คือ กสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต สามารถย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้ไปได้ ก็อธิษฐานใช้ผลได้แล้ว ถาม : ตอนนี้ย่อได้ ขยายได้ แต่อธิษฐานใช้ผลไม่ได้ครับ ตอบ : ถ้ายังใช้ผลไม่ได้ ไม่น่าจะใช่ ย่อได้ขยายได้ของเรากลายเป็นจินตนาการไปแล้ว ถาม : จะแก้ไขอย่างไร ? ตอบ : ถ้าเราเริ่มจากการจับภาพกสิณมาจริง ๆ จะเห็นพัฒนาการทีละน้อย จากแรก ๆ ที่เราจับได้ครู่เดียวภาพก็หายไป ต้องลืมตามอง แล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกลายเป็นติดตา ติดใจ คือหลับตาหรือลืมตาก็เห็นเหมือนกัน หลังจากนั้นพอประคับประคองไปเรื่อย ภาพก็จะค่อย ๆ เปลี่ยน เปลี่ยนจากวัตถุสีเข้มกลายเป็นสีจางลง ลักษณะจางลงก็คือ จางเหมือนกับสีเหลือง เหมือนกับเหลืองอ่อน แล้วก็เริ่มใส พอเริ่มใสมากขึ้น ๆ จนกระทั่งสว่างจ้า แปลว่าเริ่มเข้าสู่เขตของฌานสี่แล้ว ถ้าอธิษฐานย่อได้ ขยายได้ ให้มาได้ ให้หายได้ ก็กลายเป็นฌานสี่เต็มที่ ทีนี้เราก็อธิษฐานใช้ผล แต่อย่างเราไม่ได้เริ่มจากการนับหนึ่งสองสามมา เรากระโดดไปตอนสุดท้าย ไปคว้าเอาส่วนใดส่วนหนึ่งมา ส่วนใหญ่เป็นแค่เราคิดว่าใช่ โดยเฉพาะคนที่ฝึกมโนมยิทธิมา กำลังใจที่ใช้ในการควบคุมความคิดตัวเอง สามารถทำได้คล่องตัวกว่าคนอื่นเขา และชัดเจนกว่า จึงทำให้คิดว่าตัวเองได้แล้วก็เป็นได้ เพราะฉะนั้น..สำคัญที่สุด คือ อธิษฐานใช้ผลดู ถ้าใช้ได้แน่นอน ค่อยเปลี่ยนเป็นอรูปฌาน แต่ถ้าจะทำอรูปฌานให้เว้นอากาสกสิณ เพราะอากาสกสิณทำเป็นอรูปฌานไม่ได้ และเว้นอาโลกกสิณไปด้วย ลักษณะของความสว่างกับอากาศก็ใกล้เคียงกัน ทำให้บางทีเราจะขาดความมั่นใจ แต่ถ้ามีความคล่องตัวจริง ๆ เว้นแค่อากาสกสิณอย่างเดียวก็พอ กองอื่น ๆ สามารถทำเป็นอรูปฌานได้ทั้งหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-03-2011 เมื่อ 08:51 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
พระอาจารย์จะสร้างพระนาคปรกขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ท่านกล่าวถึงสาเหตุของการสร้างว่า "สาเหตุที่อาตมาจะทำพระนาคปรกนั้นมีหลายประการด้วยกัน
ประการแรก ในชีวิตอาตมารักงูมาตั้งแต่เด็ก ถึงขนาดแอบขุดหลุมแล้วก็เลี้ยงงู ถ้าไม่ใช่คำสั่งผู้ใหญ่ ไม่เคยฆ่างูเลย เพราะรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อน จนอาตมาสามารถที่จะจับงูเล่นได้ทุกตัว ประการต่อมา ก็คือ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ท่านประทานพระนาคปรกให้หนึ่งองค์ ท่านบอกว่า "คุณอยู่ป่าอยู่ดง มีพระนาคปรกอย่างนี้ไว้บูชาจะดีกว่า เหมาะสมกับคุณมากกว่า" ประการสุดท้าย ก็คือ ตามที่พระท่านบอก ลักษณะของพระนาคปรกแฝงความหมายของการพิทักษ์พระพุทธศาสนา เพราะเราทำเพื่อฉลองการที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ครบ ๒,๖๐๐ ปี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2011 เมื่อ 15:08 |
สมาชิก 258 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : พยายามตัดกาม ด้วยอสุภะและกายคตาสติก็ยังตัดไม่ได้สักที ?
ตอบ : สมัยก่อนอาตมาก็เป็นอย่างนั้น ตัดด้วยอสุภะกับกายคตาสติไม่ได้ ไปตัดได้ด้วยตัวเมตตา ลองไปค้นอ่านดูในประวัติของพระรัฐบาลเถระ จะมีวิธีบอกไว้ พระเจ้าแผ่นดินท่านสงสัยว่าพระหนุ่ม ๆ บวชอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าเป็นท่านอยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้แน่นอน พระรัฐบาลเถระท่านก็บอกว่าทำอย่างไร พออาตมาอ่านก็เข้าใจว่าเป็นตัวเมตตาบารมี เห็นเขาเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันกับเรา พอไปถึงตรงจุดนั้นจึงได้เข้าใจที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกเอาไว้ว่า "กรรมฐานทุกกองถ้าเราตั้งใจทำจริง ก็เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งหมด" ก็แปลว่าทุกกองจะต้องมีแง่มุมใดแง่มุมหนึ่งที่สามารถตัดราคะ โลภะ โทสะ โมหะได้ เพียงแต่เราจะคลำแง่นั้นเจอหรือไม่ ? ถาม : ผมทำหลายอย่างครับ ? ตอบ : เป็นประเภทโลภมาก ขุดบ่อหลายแห่งเลยไม่เจอน้ำจริง ๆ สักที วันก่อนมีคนถามว่า เขาจับกรรมฐานหลายกองพร้อม ๆ กัน จะสามารถทำได้หรือไม่ ? อาตมาบอกเขาไปว่า ถ้าหากไม่ใช่คนที่คล่องตัวในกองกรรมฐานเหล่านั้นมาก่อนแล้ว ไม่สามารถที่จะทำได้ ถ้าคนที่มีความคล่องตัว ทำกองกรรมฐานนั้นจนคล่องแล้ว จึงสามารถจับหลาย ๆ กองพร้อมกันได้ ถ้าไม่เคยทำมาก่อนแล้วจับหลาย ๆ กอง ยังไม่เคยมีใครประสบผลสำเร็จ แต่คุณสามารถลองดูได้ เพราะอาจจะเป็นคนแรก..! กองเดียวยังยากเลย นี่เล่นจับหลายกองพร้อม ๆ กัน ถาม : ผมอยู่อีสานทางขอนแก่น ยังขาดครูบาอาจารย์ที่เหมาะสมกับตัวเอง มีพระอาจารย์ใดที่พอจะแนะนำบ้างไหมครับ ? ตอบ : จริง ๆ สายพระป่ามีเยอะแยะ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่สายพระป่าท่านมาแบบวิสุทธิมรรค ก็คือ นิมิตอะไรเกิดขึ้น ท่านจะให้ตัดทิ้งหมด เมื่อเป็นดังนั้น อาตมาเองที่มาสายพระป่าแท้ ๆ ก็เลยต้องมาบวชทางด้านนี้ เพราะรู้สึกว่าไม่ตรงกับกำลังใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นคิดว่าถ้าจะบวชก็จะบวชกับสายพระป่า เพราะเคารพรักครูบาอาจารย์หลายท่านที่วัตรปฏิบัติของท่านบริสุทธิ์จริง ๆ ถ้าอยู่ขอนแก่นก็ไปสกลนครสิ..พระอาจารย์หนุนท่านอยู่ทางนั้น (พระครูวิชัยสรคุณ วัดป่าพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร) ท่านก็มอบกายถวายชีวิตให้หลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน ท่านไม่ใช่คนอีสานนะ แต่อยู่อีสานมาค่อนชีวิต จริง ๆ แล้วท่านเป็นคนเพชรบุรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-02-2015 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 236 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถาม : ในการฝึกมโนมยิทธิของผม ยังติดอยู่ตรงที่ว่าจินตนาการและคิดไปเองอยู่
ตอบ : ซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้ ๆ ถ้าผลออกมาถูกต้องก็แปลว่าใช่ สมัยก่อนหลวงพ่อท่านสั่งให้อาตมาไปนั่งอยู่ข้างถนน เสียงรถมาก็กำหนดใจว่ารถคันนี้สีอะไร แล้วก็ลืมตาดู เท่ากับทดสอบได้เดี๋ยวนั้นเลยว่าใช่หรือไม่ใช่ คุณก็ไปซ้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในลักษณะอย่างนั้น อย่างเช่น ฟุตบอลกำลังจะเตะกัน คู่นี้ใครแพ้ใครชนะ ถาม : หรืองวดหน้าหวยจะออกอะไร ? ตอบ : ต้องใจเย็นหน่อย ถ้ารีบเกินไปแล้วจะพังเร็ว พอความโลภเกิดขึ้นแล้ว สมาธิจะเสียไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นเมื่อไร สมาธิจะเคลื่อน สิ่งที่รู้จะไม่ใช่แล้ว ครั้งก่อนทั้งพระและโยมนั่งบ่นกันอุบ เวลาฉันเช้าหรือฉันเพล พอไมค์อยู่กับอาตมาก็มีเรื่องคุยไปเรื่อย คุยไปคุยมาเผลอบอกเขาไปตรง ๆ แล้วไม่มีใครซื้อเลย เพราะไม่คิดว่าจะใช่ พอหวยออกเขาถึงนึกได้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว ของพวกนี้จัดเป็นของแถมจากการปฏิบัติ เราต้องการหรือไม่ต้องการ ถ้ากำลังใจสงบได้ที่ บางทีการรู้เห็นจะปรากฏขึ้นเอง แต่คราวนี้คนเราส่วนใหญ่มักชอบของแถม จนลืมไปว่าเราต้องการซื้อสินค้าหลักตัวไหน บางคนซื้อเพราะจะเอาแค่ของแถมจริง ๆ คุณตัน ภาสกรนที เอาโออิชิไปเปิดตัวที่เขมร ขายโออิชิแถมตุ๊กตา ปรากฏว่ามีแต่คนมาจับตุ๊กตาแต่ไม่ซื้อ คุณตันก็ไปยืนดูอยู่ พอรุ่งขึ้นเขาเปลี่ยนใหม่เลย ขายตุ๊กตาแถมชาโออิชิ คนก็ซื้อเพราะอยากได้ตุ๊กตา พอคนได้ชิมจึงรู้ว่าชาโออิชิรสชาติเป็นอย่างนี้ กลายเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการขายแบบกะทันหัน สินค้าหลักกลายเป็นสินค้ารองไปเลย เรามักจะลืมเป้าหมายตัวเองว่า เราปฏิบัติเพื่ออะไร? แทนที่จะปฏิบัติเพื่อความสุขในปัจจุบัน จิตใจสงบเยือกเย็นอยู่กับปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต ไม่ฟุ้งซ่านไปในอนาคต เพื่อประโยชน์ในสัมปรายภพ ตายไปแล้วก็ไปเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ หรือเพื่อประโยชน์สูงสุด สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ ดันลืม..มัวแต่ไปสนุกอยู่ กลายเป็นปฏิบัติแล้วลืมเป้าหมาย เพราะไปชอบของแถมมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-03-2011 เมื่อ 16:43 |
สมาชิก 225 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถาม : โลภกับงกคล้าย ๆ กันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ถาม : เห็นบางคนเขาทำบุญแล้วเขาไม่เสียดายเงิน แต่อย่างอื่นเขาไม่อยากใช้เงิน ตอบ : คนเขารอบคอบ ไม่ใช่งกนะ เขารอบคอบ เขาเผื่อลูกเผื่อเมียด้วย ถาม : พี่ชายหนูเขาทำบุญแล้วลืมไวมาก สมมติทำบุญเสร็จ เขาก็ลืมไปเลย อันนี้ดีไหมคะ ? ตอบ : ดี ถาม : ดีกว่าไประลึกบ่อย ๆ ? ตอบ : ความจริงการระลึกถึงบ่อย ๆ จะได้อนุสติ แต่ถ้าทำบุญแล้วตัดทิ้งเลย จัดเป็นอุเบกขาในทานบารมีแล้ว กำลังใจสูงกว่าเยอะ ทำยากด้วย เขาทำน้อยกว่าเราตั้งเยอะแยะ เราเองตะเกียกตะกายทำทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เขาเองทำบ้างไม่ทำบ้าง เดี๋ยวลูกกวนตัว เดี๋ยวเมียกวนใจใช่ไหม ? แต่ที่ไหนได้ กำลังใจผู้ชายมักจะเด็ดขาดกว่า ผู้หญิงจะคิดเล็กคิดน้อยมากไป ความละเอียดลออมีมากเกินไป ของบางอย่างต้องมองไกล ๆ แล้วจะสวย ของบางอย่างต้องพิจารณาใกล้ ๆ ถึงจะเห็นความสวย ผู้ชายเหมือนกับมองของไกล มองของไกลแล้วสวย แค่เห็นก็พอ แต่ผู้หญิงมักจะพิจารณาใกล้ ๆ แล้วในที่สุดก็เจอจุดที่ตำหนิจนได้ แล้วเราก็จะไปนั่งคลุ้มคลั่งว่า นั่นนี่ก็สวยหมด ขาดตรงนี้อยู่นิดหนึ่ง แล้วเราก็มานั่งตำหนิตัวเอง ถาม : จะทำลายนิสัยนี้ได้อย่างไร ? ตอบ : ไม่ต้องทำลายหรอก วาสนาบางอย่างตัดไม่ขาด เป็นพระอรหันต์แล้วยังตัดไม่ขาดเลย ถ้าจะขาดจริง ๆ ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าตัดได้แน่นอน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-03-2011 เมื่อ 18:25 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ถาม : ทางด้านอีสานที่ผมอยู่ มีน้อง ๆ สนใจฝึกมโนมยิทธิ กระผมควรที่จะสอนหรือแนะนำเขาต่อหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่คล่องตัวในมโนมยิทธิแล้วไปสอน เดี๋ยวจะพากันหลงไปทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่มโนมยิทธิเท่าที่พบมา พอทำได้แล้วก็ไปเล่นกับของแถม โดยเฉพาะเที่ยวไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แทนที่จะรู้จักพอ รู้จักเข็ด ว่าเราเกิดมานับชาติไม่ถ้วน ทุกข์มาไม่รู้จบแล้ว กลายเป็นไปเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ แล้วยังมาปลื้มกันอีกต่างหาก ทำให้ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก ถาม : มีน้อง ๆ ที่เขาสนใจอยู่ครับผม แต่ถ้าจะมีฝึกที่อื่นก็ไม่สะดวก ถ้าพอแนะนำเบื้องต้นเขาได้ก็จะดี ตอบ : ลองทำดู ถ้าหลงทางเมื่อไรพาเขากลับให้ได้ก็แล้วกัน..! ถาม : กระผมสมควรจะบวชดีหรือไม่ครับ? ตอบ : ถ้ายังถามอยู่แสดงว่าไม่สมควร แสดงว่าไม่พร้อม ถ้าคนพร้อมเขาไปเลย ไม่เสียเวลามาถามหรอก..! ถาม : ผมพยายามตัดกาม แต่ถ้าเกิดมีเนื้อคู่ จะมีมาไหมครับ ? ตอบ : มีมาเรื่อย ๆ ถาม : ยังไม่อยากมีครับ ตอบ : ทรงสมาธิให้แน่นเข้าไว้ ถึงเวลาจะได้ไม่ไปฟุ้งซ่าน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2011 เมื่อ 13:13 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ถาม : อยากให้แม่มาเข้าฝัน คืนแรกนอนรอให้แม่มาเข้าฝัน แต่แม่ก็ไม่เห็นมา
ตอบ : ตั้งใจเกินไปไม่ได้หรอก เพราะกำลังใจเกิน เราต้องนึกถึงท่านว่ามีอะไรให้มาบอก แล้วก็ลืมตรงนั้นเสีย นอนหลับไปเลย ถ้าใจจดจ่ออยู่อย่างนั้น เขามาไม่ได้หรอก เหมือนกับเราปิดประตูใส่หน้า ช่องที่พอดีนั้นมีอยู่นิดเดียว ถ้ามากเกินก็ไม่เจอ น้อยเกินก็ไม่เจอ เรื่องแบบนี้ต้องเป็นนักปฏิบัติจึงจะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..อย่าตั้งใจมาก แค่นึกถึงท่านแล้วก็หลับไปเฉย ๆ ก็พอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2011 เมื่อ 13:14 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ถาม : ท้าวสักกะ คือ ?
ตอบ : ท้าวสักกเทวราช คือพระอินทร์ ถาม : เป็นหนึ่งในสี่ของท้าวมหาราชหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ เป็นเจ้านายของท้าวมหาราชอีกทีจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2011 เมื่อ 13:15 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : ผมไปสอบมาแล้วสอบไม่ติด ตอนที่ผมเข้าห้องสอบ นาฬิกาตายทันทีเลย แต่ผมไม่รู้
ตอบ : นี่คุณยังดีที่โดนแค่นั้น พี่แจ๊ดเขาเรียนอยู่ที่รามคำแหง ส่วนใหญ่พี่เขาจะสอบได้เกรดเอ เพื่อนก็เลยให้ช่วยสรุปข้อมูลให้ ตอนสอบเสร็จผลปรากฏว่าพี่แจ๊ดสอบตกอยู่คนเดียว ส่วนเพื่อนสอบได้ทุกคน เพราะว่าพี่แจ๊ดเขาจำเวลาสอบผิด เขาไปนั่งอ่านหนังสืออยู่หน้าห้อง อ่านจนหมดเวลาสอบ พอผลออกมาสอบตก พี่เขาน้อยใจ ลาออกไม่เรียนอีกเลย คิดดู..สรุปให้เพื่อน ๆ สอบได้ทุกคน แต่ตัวเองสอบตก นั่นเขาเจ็บกว่าเราเยอะ ส่วนเราแค่นาฬิกาตายเป็นเรื่องเล็ก ถาม : แต่ผลออกมาก็ตกเหมือนกัน ผมมาพิจารณาตัวเอง เป็นเพราะผมพยายามไม่พอหรือวาระยังไม่ใช่ ? ตอบ : น่าจะยังไม่ใช่วาระ เพราะยังมีรายการเตะตัดขาได้ ขนาดเล่นเอานาฬิกาตายตอนนั้นเลย ถาม : พอผมออกจากห้องสอบ สักพักนาฬิกาก็เดินต่อ ตอบ : คุณเคยได้ยินที่อาตมาบอกหรือเปล่า ? ว่ามารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น และสัตว์ทุกตัวในการทดสอบกำลังใจเรา นั่นเขาแค่ใช้นาฬิกาเรือนเดียว เขาทำได้จริง ๆ นะ สุดยอดมากเลย ถาม : ผมไม่รู้จะแก้ปัญหาที่ตัวเองอย่างไร แก้ที่กรรมหรืออย่างไร ? ตอบ : ไม่ต้องแก้ มีเวลาก็ไปสอบใหม่ เพราะเรื่องของกรรมต่าง ๆ คือสิ่งที่เราทำมาแล้วในอดีต ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ มีอย่างเดียวคือทำปัจจุบันนี้ให้ดีเข้าไว้ เราทำปัจจุบันให้ดี สามารถทำได้ต่อเนื่องยาวนานพอ กรรมเก่าจะตามไม่ทัน ถาม : หมายถึงว่าทำบุญหรือครับ ? ตอบ : ใช่..บุญใหญ่ที่สุด คือ บุญจากการภาวนา ถาม : พอมีเรื่องนี้เข้ามา จากที่เคยภาวนาได้ก็กลายเป็นหลุด ตอบ : กลายเป็นฟุ้งซ่านไป กลับไปทุ่มเทให้กับการภาวนาใหม่ ทำเหมือนกับว่า นี่เป็นเชือกช่วยชีวิตเส้นเดียวที่เรามีอยู่ เราจะปีนพ้นเหวรอดตายได้ก็ด้วยการภาวนา แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:37 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : บ้านที่เช่าอยู่แปลกอย่างหนึ่ง คือ ผมนอนจะฝันร้ายทุกคืน ทั้ง ๆ ที่ผมก็ภาวนา
ตอบ : ภาวนาแล้วนึกถึงภาพพระคลุมตัวเราไว้ก่อน แล้วค่อยนอน ถาม : แต่พอจังหวะที่เราตื่น สักประมาณตีสี่ เราง่วงแล้วเราก็นอนต่อ ตอบ : แล้วเราก็ลืมภาวนา ? อย่าลืมสิโว้ย..! ถาม : การแก้ปัญหา เราควรเปลี่ยนที่อยู่หรือควรจะเปลี่ยนตัวเราเอง ? ตอบ : ถ้าหากกำลังใจสู้ไม่ไหว จะเปลี่ยนที่อยู่ก็ได้ ถาม : อย่างผมไปนอนวัดท่าซุงก็ไม่มีปัญหาเรื่องฝันร้าย ตอบ : เวลาตอนคุณอยู่ที่บ้าน คุณภาวนาได้เท่าตอนอยู่ที่วัดไหม ? ก็กำลังใจเราไม่เท่ากัน ถาม : เป็นเพราะว่าที่วัด เทวดาช่วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เวลาเราอยู่ที่วัดเราทำได้ดีกว่า ถ้าทำได้ดีเท่าขนาดนั้นก็จบ ถาม : หรือว่าต้องย้ายไปอยู่วัดแล้วทำ ? ตอบ : ตัดสินใจเอาเองว่ะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-03-2011 เมื่อ 13:20 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : ระหว่างวันก็ภาวนาไป แต่อย่างมากจะได้แค่ฌานต่ำ ๆ
ตอบ : ต่ำช่างสิ..! ขอให้ได้ไว้ก่อน ถาม : อยากได้ฌานลึก ๆ บ้าง ตอบ : อยากได้ลึก ๆ ก็ขุดบ่อลงไปสิครับ..! อะไรที่ดิ้นรนอยากได้ เราจะไม่ได้ แต่ถ้าเราหมดอยากเมื่อไร สิ่งนั้นถึงจะมา ที่บอกไปไม่เคยจำเลยใช่ไหม ? ไปทำทีไรเราก็อยากทุกที และถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ทำใช่ไหม ? ก็เจริญสิจ๊ะ..! ถาม : อยากมาได้ระยะหนึ่ง หนูก็เห็นว่าน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะ ตอบ : นั่นแหละ..ก็เพราะเราอยากจะให้เปลี่ยนแปลง ตัวอยากนั่นแหละกิเลสใหญ่เลย ถาม : เวลาที่มีเวทนาเยอะ ๆ สมาธิก็หาย แล้วจิตก็รู้สึกว่า เจ็บขนาดนี้ ตัวเราต้องเป็นของเราแน่นอน ถึงเจ็บเห็น ๆ อย่างนี้ เราจะแก้อย่างไรดี ? ตอบ : ตอนที่เจ็บเราโดนอะไร ? ถาม : เป็นอาการป่วย อย่างเช่น ปวดท้อง ปวดหัว ตอบ : ลองไปนั่งทนจนเจ็บอย่างนั้น แล้วทนต่อไป จะได้เห็นว่าไม่ใช่เรา คือ ทำอย่างไรที่ปัญญาเราจะเพียงพอ เห็นว่านั่นเป็นอาการของร่างกาย โดยที่ใจของเราไม่ไปข้องเกี่ยวด้วย แสดงว่าตัวสติ สมาธิ และปัญญาของเรายังไม่พอ ก็เลยไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ พอเจ็บ ก็เห็นว่าร่างกายเป็นของเราแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยให้เจ็บต่อไป ถาม : แล้วเวลาภาวนานิ่ง ๆ อย่างนอนภาวนา พอถึงฌานลึกแล้วก็หลุดออกไป คือหนูไม่อยากออก ก็ถูกบีบให้ออก ตอนที่หนูอยากออก ก็ไม่เห็นจะออก ตอบ : บอกแล้วว่า เขาจะมาตอนที่เราไม่ต้องการ ถาม : ไหนบอกว่าสำเร็จได้ด้วยใจ ด้วยความตั้งใจของเรา ? ตอบ : ใช่..สำเร็จใจด้วยใจ แต่กำลังใจเราจะต้องพอด้วย ในเมื่อยังไม่พอก็ต้องปล่อยให้เขาเล่นอย่างนั้นไปก่อน มีสตางค์น้อย จะไปซื้อรถเบนซ์ ก็ไม่ไหว ซื้อนิสสันมาร์ชไปก่อนก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-03-2011 เมื่อ 10:36 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : ที่บอกว่าพระโสดาบันท่านทรงปฐมฌานเป็นปกติ แปลว่าทุกครั้งที่ท่านนั่ง..?
ตอบ : ไม่ต้องนั่ง เป็นอารมณ์ใจปกติของท่านเลยที่ทรงปฐมฌานโดยอัตโนมัติ ถ้าหากฌานเสื่อม กำลังของความดีก็ไม่ได้ลดลง กำลังใจไม่ได้ลดลง ต่างกันกับพวกฌานโลกีย์ทั่วไปตรงนี้ ถาม : กำลังใจทรงเป็นอัตโนมัติ ส่วนกำลังฌานนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมคะ ? ตอบ : กำลังของฌานสมาบัติต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเป็นอย่างมาก ถ้าหากร่างกายของท่านดี ฌานก็จะทรงตัวโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าร่างกายของท่านไม่ดี ฌานก็สามารถที่จะเสื่อมได้ แต่กำลังใจท่านไม่ได้ลดลงไปด้วย ไม่เหมือนกับพวกเรา พอฌานเสื่อม สมาธิก็ตก กำลังใจก็ตก ตกหมดทุกอย่างเลย แต่สำหรับท่านไม่ใช่อย่างนั้น ท่านเหมือนกับมีอะไรรองรับ ถึงจะตกก็ไม่พ้นไปจากนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:36 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : หัวหน้าที่ทำงานเขาใช้ให้ผมพาคนไปฉีดยากำจัดแมลง แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่ได้อยากไป..?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่า เขาก็มีส่วนในการฆ่าแมลงนั้นด้วย เพราะเขาเป็นคนสั่งให้เราทำ ถ้าเป็นหน้าที่การงานจริง ๆ เราก็รักษาศีลเป็นเวลา อย่างเช่นว่า ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจนถึงที่ทำงาน เรารักษาศีลให้เต็มที่ เลิกทำงานกลับบ้านจนกว่าจะนอน เรารักษาศีลให้เต็มที่ ถึงแม้เราไม่ได้ทำตลอด ๒๔ ชั่วโมง แต่อย่างน้อยช่วงของการทำความดีของเราก็มีอยู่ ไม่ได้ขาดทุนตลอด ๒๔ ชั่วโมง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 12:46 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 5 คน ) | |
|
|