|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
ถาม : ชาติก่อน ๆ ท่านเคยมีเมียเยอะสุดกี่คน ?
ตอบ : ยังไม่เคยดู ส่วนใหญ่ดูแต่บทบู๊ บทรักหายไปไหนไม่รู้ แสดงว่าเรานิยมแนวเข่นฆ่าล้างผลาญ..! ถาม : รบสมัยไหนมันที่สุด ? ตอบ : บอกไม่ถูก เพราะว่ารบกี่ครั้ง ๆ ก็เหมือนกัน แต่ว่าเห็นแล้วสลดใจอย่างหนึ่งว่า เราทำให้ชีวิตเขาตกล่วงไปได้มากขนาดนั้น มีอยู่เที่ยวหนึ่ง อาการไข้กำเริบหนักมาก แต่ก็ยังฝืนใจออกบิณฑบาต เวลาเดินแล้วเท้าไม่เชื่อเรา เดินไปเตะหินจนเล็บหลุดออกไปทั้งอันโดยไม่รู้ตัว ตอนยืนรับบาตรก็ยังไม่รู้ เพราะอาการไข้หนักมากจนไม่รู้ถึงอาการเจ็บ จนพระท่านบอกว่า "อาจารย์ครับ..เลือดออกมากเลยครับ" เราก้มลงไปดูจึงเห็นว่าเล็บหายไปทั้งอัน แล้วเกิดภาพนิมิตขึ้นมาให้เห็นว่า มีอยู่สมัยหนึ่งไปซุ่มตีทัพเขา ตอนนั้นเลือกชัยภูมิอยู่ระหว่างกึ่งกลางภูเขา รอให้กองทัพของเขาเดินขึ้นมาเกินครึ่ง ทีนี้เขาจะหนีขึ้นบนก็ยาก จะหนีลงล่างพวกเราก็โอบไว้แล้ว มีอยู่ทางเดียว คือพวกเขาต้องหนีออกสองฝั่ง แล้วทั้งสองฝั่งเราก็ไปวางขวากวางหลาวเอาไว้เพียบเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:28 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
พอพวกเราที่อยู่ข้างบนตีลงมา พวกเราที่อยู่ด้านข้างก็ออกมาสกัดทางไว้ เขาก็ต้องหนีไปตามทางที่เราวางให้ไป ก็ปรากฏว่าโดนขวาก โดนหลาว กองอยู่เป็นแถว เราก็ไปไล่ฟันหัวทีละคน คราวนั้นกองหน้าข้าศึกของเขาละลายทั้งกองไม่เหลือกลับสักคนเดียว..!
พอกองกลางเขาตามมาทัน กำลังเขามากกว่าเรามหาศาล เพราะเป็นทัพใหญ่ เขาก็ไล่บี้เรา เราก็ต้องหนี ระหว่างหนีก็วางกลยุทธ์ตัดกำลังเขาไปเรื่อย สู้พลางถอยพลาง ผลัดกันรุกผลัดกันรับ ดูแล้วตายเป็นพัน ๆ เลย นี่แค่ครั้งเดียวนะ..! ทำให้สลดใจว่า การเกิดมาแต่ละครั้งเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับตัวเองและคนอื่นได้มากขนาดนั้น สร้างทุกข์ให้กับตัวเอง ก็คือสร้างเวรสร้างกรรมในการไปรบราฆ่าฟันเขาเอาไว้มาก สร้างทุกข์ให้แก่คนอื่น ก็คือทำให้เขาทั้งเจ็บทั้งตาย ครอบครัวของเขาก็ต้องเสียอกเสียใจที่สูญเสียคนที่รักไป ถาม : วางกำลังใจไม่ได้หรือครับ ว่าเราปกป้องแผ่นดิน ไม่ได้เจตนาฆ่าใคร ? ตอบ : ตอนนั้นวางกำลังใจได้ แต่ตอนนี้เห็นแล้วสลดใจ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องจัดการเขาให้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:30 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
มีอยู่เที่ยวหนึ่งกรรมเก่าตามทัน ลูกศิษย์หลวงพ่อแทบทุกคนจะโดนเรื่องแชร์ชม้อยล้ม ทั้ง ๆ ที่น้าของอาตมาเองเป็นต้นสาย น้าเขามาชวนเล่นหลายครั้ง แต่ก็ไม่เล่นกับเขา
ตอนนั้นเรื่องความโลภไม่มีเลย แต่พอลูกศิษย์หลวงพ่อฮือฮามากขึ้น ๆ แล้วอาตมาไม่เล่นด้วย ใครชวนก็ไม่เล่น ท้ายสุดพอเขาเห็นว่าไม่เล่นจริง ๆ เขาก็ใช้วิธีมายืมเงินแทน เขามาเกลี้ยกล่อมขอยืมเงิน "พี่ไม่มีความโลภ แต่พวกผมยังต้องกินต้องใช้อยู่ ถ้าหากว่าได้มา ผมจะแบ่งให้พี่บ้าง พี่จะได้มีความสะดวกคล่องตัวในการช่วยงานพระศาสนา" โห..พูดเก่งฉิบ.. ท้ายสุดคนนั้นก็คันหนึ่ง คนนี้ก็ครึ่งคัน คนนั้นก็ล้อหนึ่ง คนนี้ก็น็อตหนึ่ง และในที่สุดแชร์ชม้อยก็ล้ม อาตมาก็ข้องใจว่า เราไม่ได้เล่นเอง ยังต้องมาเจ๊งไปกับเขาด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่า "ครั้งนั้นเอ็งไม่ได้รบเอง แต่เอ็งเป็นกองเสบียง" กองเสบียง ภาษาโบราณเรียกว่า "เกียกกาย" สมัยใหม่เขาเรียก กองพลาธิการ เป็นผู้สนับสนุนคอยส่งกำลังบำรุง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
ถาม : อย่างนี้ทหารที่ปกบ้านป้องเมืองก็ซวยสิครับ ?
ตอบ : ถ้าพลาดก็ซวยแน่นอน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่มักจะอาศัยการเจริญพระกรรมฐานหนีกรรม กำลังใจทหารเขาเข้มแข็งอยู่แล้ว บุคคลที่ไม่มีสมาธิ กำลังใจไม่เข้มแข็งพอ จะไม่กล้ารบหรอก ในเมื่อกล้าวิ่งเข้าไปหาอาวุธขาววับของฝ่ายตรงข้ามได้ กำลังใจต้องมั่นคงพอ แปลว่ามีพื้นฐานสมาธิดีอยู่แล้ว พอมาเจริญกรรมฐาน ก็มักจะสามารถทรงฌานทรงสมาบัติได้ ถึงเวลาก่อนตายก็หนีไปเสวยสุขก่อน ขอไม่ใช้หนี้ชั่วคราว บางทีก็อยู่ในลักษณะถวายอาวุธเป็นพุทธบูชา อย่างสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ถวายดาบคู่พระหัตถ์เป็นราวเทียนที่วัดชนะสงคราม เป็นต้น "สร้างบุญหนีบาป" บุญบาปหักล้างกันไม่ได้ แต่ทำบุญให้มากไว้ สามารถหนีบาปได้ชั่วคราว ยกเว้นว่าสามารถทำความบริสุทธิ์ให้ถึงที่สุด ถึงจะสามารถหนีบาปได้ตลอดกาล แม้จิตจะมีสภาพบริสุทธิ์แล้วก็ตาม ถ้ายังมีร่างกายอยู่ เศษกรรมก็ยังตามได้อยู่ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:34 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
ตอนแรกอาตมาก็ดูตัวเอง ว่าทำไมตัวเองต้องโดนก่อนเพื่อนเลย ในบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ เขาไม่ค่อยป่วยหรอก นอกจากแก่ ส่วนอาตมาเป็นมาเลเรียตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เป็นหัวไม่วางหางไม่เว้นมาตลอด
พอหลวงตาวัชรชัยมาเจอรถปูนกระทืบ ทำให้รู้ว่า ที่แท้เรื่องกรรมเขารอจังหวะอยู่ ตอนนี้หลวงพี่ประทีปก็เป็นมะเร็ง เจอท่านครั้งล่าสุดเมื่อประมาณ ๓-๔ เดือนก่อน ท่านเป็นมะเร็งที่คอก้อนเบ้อเร่อเลย ท่านบอกว่า "เล็ก..กูจะตายห่..แล้วนะ" เราก็บอกว่า "เออ..ยินดีด้วยพี่ พี่ไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง" พี่น้องเขาคุยกันแบบนี้ ไม่ได้อาลัยอาวรณ์กันเลย ถามท่านว่าเป็นอะไร ? ท่านบอกว่า "มะเร็งแดก..!" เรื่องของกรรม ถ้าตามทันเมื่อไรก็เอาเมื่อนั้น อาตมาหนีช้ากรรมก็เลยตามทันก่อน แต่เป็นประเภทจ่ายดอกผ่อนต้นบ่อย เขาเลยทวงระยะยาว ส่วนคนอื่นเขานาน ๆ จ่ายที ก็เจอหนักไปทีเดียวเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกตั้งแต่ก่อนบวชแล้วว่า "เล็ก..แกเป็นทหารมาทุกชาติ ฆ่าเขาเอาไว้มาก เศษกรรมปาณาติบาตจะทำให้แกป่วยบ่อย ให้ไปปล่อยปลาที่เขาจะฆ่า สักเดือนละตัวสองตัว ทำให้สม่ำเสมอ แล้วจะช่วยได้"
พ่อสั่งก็ต้องทำ จำได้เลยว่าปล่อยปลาครั้งแรก วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ จะปล่อยแค่ตัวสองตัวก็ไม่ได้ ไปถึงเห็นตาปริบ ๆ ก็ต้องเหมาหมด แล้วก็เหมาหมดมาตลอด อย่างต้นเดือนนี้ปล่อยไป ๕๗,๒๑๐ บาท แม่ค้าเขาคอยถามอยู่เรื่อยว่า ครั้งหน้าจะมาวันไหน ? เรื่องอะไรจะบอก ถ้าไปบอกเขา เราจะไม่ได้อานิสงส์ตรงนี้ จะได้แค่ตัวเมตตาบารมีที่ไปปล่อย เพราะเขาเจตนาเอาปลามาให้เราปล่อย แต่ถ้าเราไม่บอกเขา ปลาพวกนั้นกำลังจะตาย จึงเท่ากับว่าเราไปซื้อชีวิตชดใช้เขาไป แม่ค้าเขารู้ว่าเราจะต้องไปแน่ แต่ไม่รู้ว่าไปวันไหน เขาก็ไม่กล้าเตรียมไว้ ถาม : อย่างนี้ถ้าเราจะปล่อยปลาเอาอานิสงส์ โทรไปจองก็ไม่ได้ ? ตอบ : อย่างพระครูไพโรจน์ ท่านจะสั่งเลยว่าให้เตรียมปลาไว้ ๔ ตัน พวกนั้นก็ไปตีอวนจากบ่อมาเลย ลักษณะอย่างนั้น ท่านจะได้แค่เมตตาบารมี และถ้าตูเป็นปลา ตูจะด่าเอาด้วย ตูอยู่ของตูดี ๆ เอาขึ้นมาสักพักแล้วก็เอามาปล่อยใหม่ ทำให้ลำบากเปล่า ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:39 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาเราทำบุญแล้วเราอธิษฐานว่า ขอให้ความดีนี้ อกุศลตามเราไม่ทัน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาอธิษฐาน ถ้าคุณได้ทำบุญก็เป็นการหนีอกุศลอยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการความแน่นอนก็อธิษฐานไป เพียงแต่ว่าอย่าให้กำลังบุญขาดช่วง ถ้ามีวิธีไหนที่สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ก็ทำ นี่เป็นลักษณะของคนมีปัญญา เมื่อรู้ว่าไม่ต้องจ่ายเป็นล้าน จ่ายแค่ร้อยได้ ทำไมเราจะไม่ทำ ? จากปี ๒๕๒๙ ไล่ปล่อยปลามาเรื่อย ๆ จนมาถึงสักประมาณ ๓-๔ ปีที่แล้วได้ยามาตัวหนึ่ง ซึ่งช่วยได้มากเลย ปกติแล้วเวลาจับไข้ จะปวดชนิดที่รู้ว่ากระดูกทุกชิ้นอยู่ตรงไหน พอกินยาตัวนี้ลงไป เข้าไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย ทำให้เลือดลมวิ่ง ที่ปวดเพราะว่าเลือดลมวิ่งผ่านไม่ได้ พอเลือดลมวิ่งได้ก็บรรเทาลง อาศัยยานี้ประทังมา ๒-๓ ปี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
เมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ นึกถึงหมอทหารคนนี้ได้ ก็เลยไปให้เขาฉีดยามา ปรากฏว่าภายในสองเดือนได้น้ำหนักมา ๖ กิโลกรัม ถ้ายาของเขาค้ำอยู่ อาการของโรคแทบไม่ปรากฏเลย
ที่กล่าวตรงนี้ก็คือว่า ในเรื่องของการทำดีทำชั่ว เราทำในอดีตชาติแล้วให้ผลในปัจจุบันชาติ ถ้าพูดอย่างนั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ ต้องบอกว่า เราทำในอดีตแล้วมาให้ผลยังปัจจุบัน คือ ถ้าปัจจุบันนี้เราสามารถทำต่อเนื่องไปได้เรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอ และมากเพียงพอ พอผ่านจากตรงนี้ วินาทีนี้ไป ก็เป็นอดีตไล่ไปเรื่อย ๆ จนส่งผลทัน กลายเป็นว่า ทำชาตินี้ได้ชาตินี้ จากระยะเวลา ๒๐ กว่าปีที่ทำมาต่อเนื่องกัน ก็เพิ่งจะมาสุขภาพดีขึ้นหน่อยก็ตอนนี้ จะได้เริ่มอ้วนกับเขาบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:42 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
ถาม : ถวายปัจจัยให้ท่าน ๑,๐๐๐ บาท แล้วบอกว่าทำบุญล่วงหน้า วันละบาท ๑,๐๐๐ วัน ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็ได้อยู่ แต่พอถึงเวลาได้ ก็ได้มาทีเดียวเลยนะ สมมติถ้าถูกรางวัลก็รางวัลใหญ่ทีเดียวไปเลย แต่เขาจะผ่อนให้เราทีละน้อย เหมือนกับหวยล็อตโต้ของอเมริกา มีโยมคนหนึ่ง เขาจะทำสังฆทานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบ ๙ ชุด ทำบุญประเภทนี้ดี แต่ถึงเวลาเหนื่อยนาน อาตมาเป็นประเภททำทีเดียวจบไปเลย พอได้เงินมาก็รับใส่กระเป๋าหรือเข้าธนาคารเลย ส่วนเขาจะต้องทำงานรายวัน รับเงินทุกวัน แต่คราวนี้เราจะไปตำหนิเขาไม่ได้ เพราะกำลังใจเขาเป็นอย่างนั้น เขารู้สึกดีที่ได้ทำอย่างนั้น เคยมีคนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกันว่า การถวายสังฆทานชุดใหญ่ครั้งเดียวไปเลย กับการถวายชุดเล็ก ๑๐ ชุด ในราคาเท่ากัน อย่างไหนจะได้อานิสงส์มากกว่ากัน ? หลวงพ่อบอกว่า อยู่ที่ใจเราเกาะ ถ้าใจเราเกาะพระมั่นคงจริง ๆ การเห็นพระ ๑๐ ครั้ง ย่อมได้เปรียบกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:44 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
ถาม : แต่ถ้าจะให้ได้ผลเร็ว ต้องนิมนต์ท่านเข้าสมาบัติ
ตอบ : ไม่มีเวลา คราวที่แล้วก็ได้แค่ ๓ วัน ถาม : ทำไมเรื่องเวลาจึงมีผล ในเมื่อใจเราบริสุทธิ์เท่ากัน ? ตอบ : เหมือนกับเราทำงานมาก ก็ได้มาก พอแจกโยมมากหน่อย แต่ถ้าทำได้น้อย ตูก็กินเอง..! ถาม : ในเรื่องเข้าสมาบัติ กติกาเขาว่าอย่างไร? ตอบ : ต่ำสุด ๗ วัน สูงสุดไม่เกิน ๔๙ วัน แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกให้แค่ ๑๕ วันพอ เพราะว่าร่างกายที่ขาดธาตุอาหารมาก ๆ จะทำให้ชำรุดเร็ว สมัยนี้แพทย์สมัยใหม่เขาสามารถวิจัยได้ว่า เวลาร่างกายขาดอาหารจะไปดึงสารอาหารจากอวัยวะภายในมาใช้ ถ้าโดนดึงมากไปอวัยวะนั้นก็ล้มเหลว ถาม : ที่บอกว่า เข้าอย่างน้อยสุด ๗ วัน ได้มากสุด ๔๙ วัน แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าควรเป็น ๑๕ วัน ทำไมไม่เป็น ๔๙ วันล่ะครับ ?
ตอบ : เข้า ๔๙ วัน นั่นพระพุทธเจ้าท่านทำ กำลังของพระพุทธเจ้าท่านได้เกินนั้น ยกเว้นว่าจะไม่ดูหน้าประชาชนเลย จะเข้าทั้งปีทั้งชาติก็ย่อมได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-03-2011 เมื่อ 17:45 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่เข้านิโรธสมาบัติ จิตไปอยู่ที่ตรงไหน ?
ตอบ : สภาพจิตจะส่งออกไปสองประเภท ประเภทหนึ่งก็คือ จับอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว อีกประเภทหนึ่งท่องอยู่ตามภพภูมิต่าง ๆ แล้วแต่ตนเองชอบว่าจะไปไหน แต่ทั้งสองประเภทนั้น สภาพจิตจะไม่เกาะร่างกายเลย สุดยอดมากที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาคือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ในอิริยาบถ ๔ ปกตินิโรธสมาบัติ ถ้าไม่นอนก็นั่ง ไม่นั่งก็ยืน หรือไม่ก็เดิน แค่ยืนยังหาได้ยากเลย ส่วนใหญ่จะนอน หลวงปู่ชุ่มท่านเดินจงกรมเข้านิโรธสมาบัติ อาตมาเองก็ยังสงสัยว่าหลวงปู่ทำอย่างไร ? ถาม : ตอนนั้นร่างกายจะทำงานอย่างไร ? ตอบ : ใช้อำนาจอภิญญาอธิษฐานไว้ อธิษฐานเสร็จแล้วค่อยตัด เหมือนตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้า ถาม : ทุกวันนี้คนที่ทำได้อย่างหลวงปู่ชุ่มยังมีอยู่ไหม ? ตอบ : น่าจะมี..แต่ยังไม่เคยพบอีกเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-04-2011 เมื่อ 09:59 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องเสือโคคำฉันท์ ตัวเอกชื่อหลวิชัยกับคาวี
ในเรื่องแม่เสือกินแม่วัว และตั้งใจจะกินลูกวัวด้วย แต่ลูกเสือไม่ยอม ได้ขอร้องชีวิตลูกวัวเอาไว้ แม่เสือเห็นแก่ลูกจึงยอมไว้ชีวิตลูกวัว แต่ก็ตั้งใจว่าเลี้ยงลูกวัวให้อ้วนเมื่อไรแล้วจะกิน ลูกเสือรู้ทันจึงชวนลูกวัวช่วยกันฆ่าแม่ พอฆ่าแม่เสร็จก็กลายเป็นกำพร้า ร่อนเร่พเนจรไปเจอฤๅษี ฤๅษีจึงชุบสัตว์ทั้งสองให้กลายเป็นคน เสือชื่อหลวิชัย วัวชื่อคาวี" ถาม : สัตว์ที่ฆ่าพ่อแม่ถือว่าเป็นอนันตริยกรรมหรือไม่ครับ ? ตอบ : การที่สัตว์ฆ่าพ่อแม่ไม่เป็นอนันตริยกรรม เพราะสัตว์เมื่อโตขึ้นจะจำพ่อแม่ไม่ได้ นี่เป็นธรรมชาติของเขา พอถึงช่วงอายุหนึ่ง เขาก็จะโดนพ่อแม่กัดไล่ เพื่อให้ไปหากินเอง โบราณเขามีคาถาเมตตาอยู่บทหนึ่ง เรียกว่า คาถาวัวกินนมเสือ ต่อให้เป็นศัตรูเราก็สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ สมัยหลัง ๆ เรียกง่าย ๆ ว่า คาถาสุกิตติมา เป็นคาถาที่หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านจะใช้ลงในขันน้ำมนต์ของท่านเป็นประจำ คาถาใช้ว่า สุกิตติมา สุภาจาโร สุสีละวา สุปากะโต เป็นเมตตามหานิยม ถ้าใครอยู่กับเจ้านายแล้วเจ้านายกัดบ่อย ให้ใช้คาถาบทนี้ นึกถึงหน้าเขาแล้วก็ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว หลวงพ่อสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ท่านจะใช้ยันต์สุกิตติมากับยันต์บารมี ๓๐ ทัศน์คู่กัน ลักษณะทำเป็นกลีบบัวบานแล้วเขียนตัวอักขระ ด้านหนึ่งจะอยู่ก้นขันน้ำมนต์ ด้านหนึ่งจะอยู่ที่ฝา ถ้าเป็นภาษาของนักเล่นคาถา เขาจะเรียกว่า ยันต์ประทับหน้ากับยันต์ประทับหลัง ถาม : ท่านเอาสุกิตติมาไว้ล่าง บารมี ๓๐ ทัศ ไว้บน ? ตอบ : บารมี ๓๐ ทัศน่าจะเป็นประทับหน้า สุกิตติมาน่าจะเป็นประทับหลัง แต่ท่านไม่ได้เขียนเป็นยันต์คู่กัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2011 เมื่อ 16:41 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านได้บอกว่า เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว สถานที่ ๔ แห่งที่พุทธศาสนิกชนควรจะไปกราบไหว้บูชา ก็คือ สังเวชนียสถาน
พระอานนท์ก็ทูลถามว่ามีที่ใดบ้าง ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า สังเวชนียสถานมี ๔ แห่ง คือ ที่ประสูติ ที่ตรัสรู้ ที่แสดงปฐมเทศนา และที่ปรินิพพาน จริง ๆ แล้วก็คือ พลังงานของพระองค์ท่านหลงเหลืออยู่บริเวณนั้นเยอะมาก ถ้าใครไปแล้วแทบจะไม่ต้องภาวนากำลังใจก็ทรงตัว พูดง่าย ๆ ว่ากระแสของพระองค์ท่านแรง ถึงเวลากระแสนั้นก็ดึงเราไปเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-04-2011 เมื่อ 16:42 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์สิ้นสุดแล้วค่ะ
พบกันใหม่ในเก็บตกบ้านวิริยบารมีนะคะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|