#41
|
|||
|
|||
พึงทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้อนาคตต้องเป็นทุกข์ อย่าคิดผิดว่า เมื่อถึงวันนั้นเวลานั้นก็จะจำไม่ได้แล้วว่าเราเป็นเรา อะไรเกิดขึ้นก็ไม่เดือดร้อน ความคิดเช่นนี้อาจจะเกิดแก่เราแล้วในอดีตชาติ และมาในปัจจุบันเมื่อต้องพบกับความเดือดร้อน... เราก็เดือดร้อน มิใช่ว่าเราไม่เดือดร้อน ทั้งที่ไม่ใช่ว่าเราจะจำได้ว่าเราเป็นเรา ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร เป็นอะไร เมื่อใด ภพชาติไหนก็ตาม เมื่อเป็นทุกข์ก็ต้องเป็นทุกข์ เมื่อเป็นสุขก็ต้องเป็นสุข จึงไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง จึงควรพยายามทำทุกอย่าง เพื่อไม่ให้ในอนาคตต้องเป็นทุกข์ หรือเพื่อไม่ให้กรรมไม่ดีที่ทำไว้ตามทัน ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
|||
|
|||
ชีวิตนี้สำคัญนัก พึงใช้ให้เป็นประโยชน์ให้สมกับความสำคัญ ชีวิตนี้แม้น้อยนัก แต่ก็เป็นความสำคัญนัก สำคัญยิ่งกว่าชีวิตในอดีต และชีวิตในอนาคต ที่ว่า “ชีวิตนี้” ก็คือชีวิตในชาติปัจจุบันนี้สำคัญก็เพราะในชีวิตนี้... “เราสามารถหนีกรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตได้ และสามารถเตรียมสร้างชีวิตในอนาคตได้ดีเลิศเพียงใดก็ได้ หรือตกต่ำเพียงใดก็ได้" ชีวิตในอดีตล่วงเลยแล้วทำอะไรอีกไม่ได้ต่อไปแล้ว ชีวิตในอนาคตก็ยังไม่ถึง ยังทำอะไรไม่ได้ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า “ชีวิตนี้สำคัญนัก” พึงใช้ชีวิตนี้ให้เป็นประโยชน์ให้สมกับความสำคัญของชีวิตนี้ ชีวิตนี้น้อยนัก... แต่มีความสำคัญนักด้วยเหมือนกัน ถ้าชีวิตนี้ไม่วิ่งหนีกรรมไม่ดีในอดีต ชีวิตนี้ก็จะรับผลกรรมไม่ดี ถ้าวิ่งหนีก็จะพ้นได้ กรรมไม่ดีจะตามทันหรือไม่ขึ้นอยู่กับชีวิตนี้ ยิ่งกว่านั้นถ้ากรรมตามทันในชีวิตนี้ก็จะตามต่อไปได้อีกในชีวิตอนาคต กรรมไม่ดีที่ทำไว้ในอดีตมากมายอาจจะตามไม่ทันตลอดไปก็ได้ ถ้าทำชาตินี้ให้ดีที่สุด แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-04-2011 เมื่อ 11:28 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
|||
|
|||
ความเป็นไปได้ มีอยู่สำหรับทุกชีวิต ดูภาพผู้คนในบางประเทศที่อดอยากแสนสาหัส หน้าตาแทบจะไม่เป็นคน เหมือนโครงกระดูกเดินได้ เด็กเล็ก ๆ น่าสงสารไม่มีเนื้อ มีแต่หนังหุ้มกระดูก ผู้ใดเห็นผู้นั้นก็สลดใจอย่างยิ่ง สงสารอย่างยิ่ง เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนั้นก็พึงนึกถึงตนเอง ใครเล่าจะรับรองได้ว่า เมื่อตายไปจากภพชาตินี้แล้ว จะไม่ไปเกิดในประเทศนั้น จะไม่ไปมีสภาพเช่นโครงกระดูกเดินได้ อยู่ด้วยความอดอยากยากแค้นเช่นนั้นใครเล่าจะรับรองได้ว่า ในอดีตชาติเราไม่ได้เป็นคนคับแคบ ไม่เคยทำบุญให้ข้าวปลาอาหารแก่ใครเลย มารดา บิดา ผู้แก่ชรา... ก็หาได้สนใจให้ข้าวให้น้ำ ให้มีความสุขอิ่มหนำสำราญไม่ ยิ่งเป็นสัตว์อย่างหมา แมวด้วยแล้ว... ไม่เคยเมตตาปรานีให้ข้าวสักเม็ด ให้น้ำสักหยด เมื่อไม่รู้ตัวว่าเคยเป็นเช่นนี้มาก่อนในอดีตชาติ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าในอนาคต เราจะต้องไปมีสภาพอดอยากจนเป็นโครงกระดูกเดินได้หรือไม่ ความเป็นไปได้มีอยู่สำหรับทุกคน เพราะทุกคนได้ทำกรรมไว้เป็นอันมากต่าง ๆ กัน อันอาจจะเป็นเหตุให้ต้องอดอยากยากแค้นอย่างแสนสาหัส ตั้งแต่ที่เริ่มลืมตามาเห็นโลกไปเกิดในประเทศที่เรียกกันว่าเป็นนรกในโลก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-04-2011 เมื่อ 10:27 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
|||
|
|||
ชีวิตนี้เท่านั้น ที่มีโอกาสวิ่งหนีกรรม อย่าประมาท อย่ามั่นใจว่า อนาคตสำหรับเราจะไม่เป็นเช่นนั้น กรรมเช่นนั้นอาจจะวิ่งไล่เรามาโดยที่เราไม่รู้ไม่เห็น แม้ไม่ประมาท... ต้องวิ่งหนีให้สุดกำลังความสามารถ ชีวิตนี้เท่านั้นที่เราจะพบทางหนีได้และชีวิตนี้ก็น้อยนัก มัวผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ พ้นจากชาตินี้ไปแล้วจะไม่มีโอกาสดีให้วิ่งหนีกรรมได้อีกเลย เมื่อชีวิตนี้น้อยนัก... ผู้มีปัญญา มีสัมมาทิฐิ ก็คิดไปทางหนึ่ง ผู้เบาปัญญา... มีมิจฉาทิฐิ ก็คิดไปทางหนึ่ง พวกผู้มีปัญญา มีสัมมาทิฐิ คือความเห็นชอบก็จะคิดได้ว่าชีวิตนี้สั้น อีกไม่เท่าไรก็จะต้องตาย ตายแล้วก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ เอาไปได้ก็แต่บุญบาป หรือเอาไปได้แต่ความดีความชั่วเท่านั้น พวกผู้มีปัญญาคิดเช่นนี้จึงเร่งทำความดี ส่วนพวกผู้เบาปัญญา มีมิจฉาทิฐิ คือความเห็นผิดก็จะคิดว่า ชีวิตนี้สั้นอีกไม่เท่าไรก็จะต้องตาย มีวิธีใดจะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง ก็ต้องรีบหาไม่มัวคำนึงว่าจะผิดหรือถูก ผิดก็ช่างให้ได้ก็พอใจ พวกผู้เบาปัญญาคิดเช่นนี้ จึงทำบาปทำความไม่ดีได้เสมอ ชีวิตนี้สำหรับบุคคลสองประเภทดังกล่าว มีคุณ มีโทษแก่สองฝ่ายแตกต่างกัน เป็นตามทิฐิคือความเห็นดังกล่าว |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
|||
|
|||
พุทธวิธีพาชีวิตหนีให้พ้นจากมือแห่งกรรม อย่าเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิที่โฉดเขลาเบาปัญญาเลย เพราะว่าจะทำชีวิตนี้ให้สูญเปล่า ไม่อาจหนีพ้นมือที่น่าสะพรึงกลัวแห่งกรรมไม่ดี ไม่อาจได้เข้าไปอยู่ในโอบอุ้มทะนุถนอมของมือที่อบอุ่นแห่งบุญคือกรรมดี โอกาสอันดีที่มีอยู่น้อยนัก เพียงชั่วชีวิตอันน้อยนักนี้ก็จะผ่านไปอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนได้ กรรมไม่ดีที่ทำไว้แน่ก็จะแห่ล้อมเข้าประชิด แล้วอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้ ชีวิตของผู้ที่ไม่รู้จักวิ่งหนีกรรม มาเป็นผู้มีปัญญามีสัมมาทิฐิเถิด ชีวิตอันน้อยนี้จะได้ไม่สูญเปล่า จะได้สามารถใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ได้ คือหนีไกลจากกรรมไม่ดีได้ กรรมไม่ดีที่กำลังติดตามเราทุกคนอยู่นั้นมีมากมายนัก ทั้งที่หนักและเบาทั้งที่จะทรมานชีวิตเราไม่หนักนักหนา ทั้งที่จะทรมานเราจนแทบว่าจะรับไม่ไหว และทั้งที่เราอาจจะรับไม่ไหวจริง ๆ ด้วย คิดดี พูดดี ทำดี เพียงทำสามประการนี้ให้สม่ำเสมอตามที่พระพุทธองค์ทรงสอน ก็สามารถหนีมือแห่งกรรมไม่ดีได้ มือแห่งกรรมที่ไม่ดีจะไม่สามารถตะครุบไว้ในอำนาจได้ บาปกรรมใด ๆ แม้ได้กระทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติจะไม่อาจตามสนองได้ง่าย ๆ ในภพชาตินี้ อย่างมากก็เพียงไล่ตามตะครุบอยู่อย่างหมายมั่นจะทำให้ได้สำเร็จเท่านั้น ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีเสมอ |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
|||
|
|||
อำนาจร้ายแรงแห่งกรรม ทุกวันนี้มีตัวอย่างผู้ที่ถูกมือแห่งกรรมตามทันจับได้มากมาย คนสวยคนงามถูกมือของกรรมร้ายทำให้กลายเป็นคนสิ้นสวยสิ้นงาม ทนความรู้สึกของตน เห็นรูปลักษณ์ของตนด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส บางคนแขนขาบริบูรณ์ ถูกมือของกรรมร้าย ทำให้กลายเป็นคนเหลือขาครึ่งเดียวบ้าง ข้างเดียวบ้าง บางคนมีลูกรักดังดวงใจ ลูกออกจากบ้านแล้วก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย มือของกรรมร้ายปลิดชีวิตของเขาแล้วอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต... กลายเป็นศพคอขาดก็มี ไส้ทะลักก็มี คนบางคนหลับอยู่ในบ้านเรือนของตนด้วยความรู้สึกปลอดภัยแท้ ๆ แต่ก็กลับมีมือของกรรมร้ายเอื้อมเข้าไปห้ำหั่นถึงฟูกถึงหมอน เสียเลือดเสียเนื้อและเสียชีวิต นี้คือ “อำนาจร้ายแรงแห่งกรรม” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-04-2011 เมื่อ 04:51 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
|||
|
|||
ไม่มีผู้ใดได้รับสิ่งที่ตนไม่ได้ทำไว้ด้วยตนเอง ดังที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านตัดสินความระหว่างพระสององค์ว่า องค์ที่ถูกทำร้ายเป็นผู้ที่ทำร้ายก่อน ผู้ไม่เข้าใจเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรม ก็จะคิดว่าสมเด็จฯ ท่านไม่ยุติธรรม ตัดสินเข้าข้างคนผิด แต่ผู้เข้าใจเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรม ย่อมเข้าใจคำตัดสินของสมเด็จฯ ท่าน ไม่มีผู้ใดจะได้รับสิ่งที่ตนไม่ได้ทำไว้ด้วยตนเอง ทำไว้ในอดีต... มารับผลในปัจจุบันได้ ทำในปัจจุบัน... ก็จะได้รับผลในอนาคตเช่นกัน และอนาคตนั้น... ไม่หมายถึงต้องข้ามภพชาติเสมอไป อนาคตในภพชาตินี้ก็ได้ ดังนั้น แม้เชื่อในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ไม่สมควรเสี่ยงรับผลร้ายที่จะเกิดแต่การทำความไม่ดี ความไม่ดีหนักหนาเพียงไรยิ่งให้ผลร้ายแรงเพียงนั้น ยิ่งไม่สมควรเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำความไม่ดีหนักนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-04-2011 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
|||
|
|||
อำนาจของกรรมชั่วร้าย อำนาจของกรรมชั่วร้ายนั้น สามารถทำให้ธรณีแยกออกสูบผู้ทำกรรมนั้นได้ พระเทวทัตเป็นตัวอย่างที่แสดงความน่ากลัวที่สุดของกรรม ท่านคิดทำลายพระพุทธเจ้าแม้เพียงทำได้เล็กน้อยนัก คือเพียงทำให้พระพุทธบาทห้อพระโลหิตและสำนึกผิดได้ในที่สุด พร้อมจะขอประทานโทษแต่ก็หนีมือแห่งกรรมร้ายแรงที่ทำไว้ไม่พ้น...หนีไม่ทัน พระเทวทัตถูกธรณีสูบทันทีที่เท้าสัมผัสพื้นธรณีขณะกำลังจะได้เข้าไปเห็นพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดา จึงไม่ทันได้กราบพระพุทธบาทขอประทานโทษทั้งปวง น่าจะคิดถึงความทรมานทั้งกายและใจของพระเทวทัตเมื่อเสวยผลกรรมนั้น น่าจะคิดให้จริงจังเพื่อให้เกิดความกลัวกรรมที่มีอำนาจยิ่งใหญ่นัก การทำลายพระพุทธเจ้ากับการทำลายพระพุทธศาสนา... ย่อมเป็นกรรมหนักเสมอกัน พึงสังวรระวังให้รอบคอบในเรื่องนี้ อย่าคิดอย่างประมาทว่า พระพุทธศาสนาไม่มีชีวิต ตายไม่มี บาดเจ็บไม่มี จะทำอะไรกับพระพุทธศาสนาจึงไม่น่าจะเป็นบาป เป็นอกุศลกรรม อย่าประมาทในเรื่องนี้ มิฉะนั้นเมื่อต้องได้เสวยผลแห่งการทำลายพระพุทธศาสนา... จะทุกข์ทรมานนัก ใครก็จักช่วยไม่ได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 25-04-2011 เมื่อ 12:00 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
|||
|
|||
จิตสำนึกของผู้กระทำกับผลของกรรม การทำลายชีวิตสัตว์นั้นเป็นบาปหนักเบาต่างกัน ทำลายชีวิตสัตว์ใหญ่…บาปมากกว่าทำลายชีวิตสัตว์เล็ก ทำลายชีวิตสัตว์อายุยืน... บาปมากกว่าทำลายชีวิตสัตว์อายุสั้น ทำลายชีวิตสัตว์ที่มีคุณ... บาปมากกว่าทำลายชีวิตสัตว์ทั่วไป เป็นที่เข้าใจกันเช่นนี้ ซึ่งก็มีเหตุผลที่น่าเข้าใจเช่นนั้น ฆ่าวัว ควายกับฆ่ายุง ฆ่ามด... บาปน่าจะมากน้อยกว่ากัน ผลกรรมที่ผู้ฆ่าได้รับก็จะหนักเบากว่ากันเป็นอันมาก มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและผู้ประสบพบเห็นเล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีผู้มีอาชีพฆ่าวัวฆ่าควายนั้น เมื่อใกล้จะตายต้องทนทุกข์ทรมานดิ้นรน กระเสือกกระสน และส่งเสียงร้องเหมือนเสียงวัวเสียงควายที่ถูกเชือดก่อนตาย ส่วนผู้ที่ตบยุงหรือบี้มด... แม้จะเป็นบาปแน่นอนที่ทำลายชีวิตสัตว์ แต่ไม่ปรากฏผลของกรรมนี้ให้เห็นได้รู้ชัด เหตุผลก็อยู่ที่จิตสำนึกของผู้กระทำกรรมสองประเภทนั้น ผู้ฆ่าวัวฆ่าควายแม้จะใจร้ายใจดำสักเพียงไร ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะลืมภาพการตายของสัตว์ใหญ่ถึงเพียงนั้นได้ และย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกเลยว่าการฆ่านั้นเป็นบาปใหญ่ ความรู้สึกหลอกหลอนเกี่ยวกับการฆ่าวัว ฆ่าควายด้วยมือของตนนั่นแหละ ที่ติดตามมาส่งผลให้ผู้นั้นต้องทนทุรนทุราย และร้องเป็นเสียงวัวเสียงควายเหมือนที่ตนเองเคยได้ยิน เคยได้เห็นในการฆ่าแต่ละครั้งเสมอมา บางคนที่เคยเห็นการตายของผู้มีอาชีพฆ่าสัตว์ใหญ่มีความรู้สึกว่า ผู้ใกล้จะตายนั้นไม่มีชีวิตจิตใจเป็นคนเสียแล้ว แต่ได้กลายเป็นชีวิตจิตใจของวัวของควายไปจริง ๆ เห็นได้จากกิริยาอาการและสุ้มเสียงที่เขาร้องเหมือนเสียงสัตว์ที่บาดเจ็บแสนสาหัส ความรู้สึกนี้จะถูกหรือผิดก็ตาม ที่จริงแน่คือเขากำลังรับผลของกรรมที่ตามทันในช่วงสุดท้ายของชีวิตในภพชาตินี้ และไม่แน่ว่าสิ้นสุดเพียงเท่านั้นหรือจะติดตามต่อไปในภพชาติข้างหน้าให้ชีวิตต้องไม่แตกต่างกับชีวิตของสัตว์ที่ถูกเบียดเบียนทำร้ายอย่างทารุณ การทำบาปเล็กน้อย เช่น บี้มด ตบยุง ไม่ปรากฏผลบาปให้เห็นว่าเกิดแก่ผู้ทำ นั่นก็เป็นเพราะผู้ทำไม่ผูกใจว่าได้ทำบาป “ใจ” นี้สำคัญนัก... นำไปผูกไว้กับเรื่องใดสิ่งใด ก็จะปรากฏให้เห็นเป็นผล เช่น พระรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ท่านทำตะไคร้น้ำขาดและมรณภาพก่อนที่จะหาพระปลงอาบัติได้ จิตท่านผูกอยู่ด้วยความเป็นห่วงจึงได้ไปเกิดเป็นพญานาค ส่วนผู้เผลอตบยุงหรือเผลอบี้มด แม้ใจไม่ผูกยึดอยู่ว่าได้ทำบาปก็จะเป็นเรื่องเล็กน้อย การทำบาปหรือทำกรรมเล็กน้อยเช่นนี้ จะไม่ส่งผลให้ปรากฏ ถ้าผู้ทำไม่ไปผูกใจเดือดร้อนกังวลอยู่ แล้วถ้าจะไม่ทำเสมอ ๆ การทำบาปเสมอ ๆ แม้ทำกับสัตว์เพียงมด ปลวก กรรมเล็กก็จะเป็นกรรมใหญ่ได้ พึงรอบคอบในเรื่องนี้เพื่อชีวิตจะได้สวัสดี การฆ่าวัวฆ่าควายก็ยังมีผลให้ผู้ฆ่าดูราวกับเปลี่ยนชีวิตจิตใจจากคนเป็นวัวเป็นควาย ให้เป็นที่สลดสังเวชแก่ผู้พบเห็นได้ การฆ่าคนจะมีผลเป็นอย่างไร ทำไมผู้ร้ายฆ่าคนจะไม่รู้สึกเลยหรือ แต่ด้วยอำนาจกรรมเมื่อตามมาถึงผู้ใดที่ได้กระทำกรรมนั้นไว้ ก็ย่อมยากที่จะยับยั้งแห่งกรรมนั้นได้ ลูกยังลืมว่าแม่ แม่ยังลืมไปว่าลูก ผู้นับถือพระพุทธศาสนาก็ยังลืมว่าพระว่าเณร พระเณรก็ยังลืมตัวเองว่าเป็นพระเป็นเณร... ฆ่ากันได้ ทำร้ายกันได้ ทำผิดศีลผิดธรรมกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ อำนาจยิ่งใหญ่ของกรรมที่นำไปเช่นนั้น และยังจะนำต่อไปข้ามภพข้ามชาติ เกิดผลร้ายแก่ผู้ขาดสติขาดปัญญา ที่จะพาตัวหนีให้พ้นมือแห่งกรรมที่ตนได้กระทำไว้แล้วด้วยตนเองแน่นอน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 26-04-2011 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
|||
|
|||
กรรมหนักจากการทำไม่ดีต่อพระพุทธศาสนา ผู้ฆ่าคนมีบาปหนักกว่าผู้ฆ่าวัวฆ่าควาย ผู้ทำร้ายพระพุทธเจ้ามีบาปหนักกว่าผู้ฆ่าคน เห็นได้จากพระเทวทัตที่ถูกธรณีสูบ แต่อย่าประมาทคิดว่าเราปลอดภัยจากการถูกธรณีสูบแน่แล้วเพราะไม่มีพระพุทธเจ้า ให้เราคนใดคนหนึ่งซึ่งถึงจะชั่วช้าเพียงไรทำร้ายพระองค์ได้ พระพุทธเจ้าไม่มีพระองค์ปรากฏให้เห็นก็จริง ทำร้ายพระองค์ท่านไม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่เกี่ยวเนื่องแนบแน่นกับพระองค์ท่านมีอยู่ ทำลายสิ่งนั้นจะผิดไปจากทำลายพระองค์ท่านหาได้ไม่ นึกถึงใจตนเอง... มีลูกเป็นที่รักเพียงดวงใจ เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ถูกผู้ร้ายประหัตประหาร ใจของผู้เป็นแม่พ่อก็เหมือนกับตนเองถูกประหัตประหารด้วย พระพุทธศาสนา คือ สิ่งที่เกี่ยวเนื่องแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระพุทธเจ้า กว่าจะทรงค้นพบและตั้งขึ้นได้ลำบากยากเย็นยิ่งกว่าใครสักคนจะมีลูกเป็นที่รักดั่งดวงใจ ทำร้ายลูกก็เท่ากับทำร้ายผู้เป็นแม่พ่อ ทำลายพระพุทธศาสนาจึงไม่แตกต่างกับทำลายพระพุทธเจ้าแน่นอน... ไม่มีผู้ใดทำได้ แต่แน่นอน... เพียงการพยายามทำ ก็บาปหนักยิ่งกว่าบาปฆ่าคนตาย ผลของกรรมนี้อาจจะลี้ลับ เห็นยากและเห็นช้า จึงทำให้พากันคิดว่าการทำลายพระพุทธศาสนานั้นไม่เป็นบาป ไม่เป็นอกุศล การจงใจทำลายพระพุทธศาสนาที่ไม่สำเร็จผล น่าจะเกิดผลไม่ดีแก่ผู้มุ่งทำร้ายน้อยกว่าผู้ไม่ได้เจตนาทำลาย... แต่ประพฤติตนเช่นเจตนาทำลาย บุคคลประเภทหลังนี้ โดยเฉพาะที่นับถือพระพุทธศาสนากล่าวได้ว่า เป็นผู้ที่ทำกรรมไม่ดีต่อพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตั้งขึ้น ทรงประคับประคองมาโดยมีพุทธบริษัทที่ดีมารับ มาประคับประคองต่ออย่างถือเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่มีพระพุทธองค์แล้ว... พระพุทธศาสนา คือตัวแทนพระพุทธองค์ ผู้เป็นสมาชิกของบริษัทสี่ในพระพุทธศาสนา แม้ทำตนให้เศร้าหมองด้วยประพฤติผิดศีล ผิดธรรม ผิดวินัย แม้จะทำให้พระพุทธศาสนาเศร้าหมองไม่ได้ แต่เมื่อตนเป็นจุดหนึ่งในพระพุทธศาสนา... ก็เท่ากับทำให้พระพุทธศาสนามีจุดเศร้าหมองปะปนอยู่ เล็กน้อยเพียงไรก็เป็นจุดดำ ความประพฤติปฏิบัติเช่นนั้นเป็นการทำกรรมไม่ดีต่อสิ่งสูงสุด ผลไม่ดีที่จะเกิดแก่ผู้ทำกรรมไม่ดีนั้นย่อมร้ายแรงแน่นอน พึงอย่าประมาท พึงกลัวกรรมหนักที่จะเกิดจากการทำไม่ดีต่อพระพุทธศาสนา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2011 เมื่อ 10:25 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
|||
|
|||
พึงปฏิบัติต่อพระพุทธศาสนาให้รอบคอบ ผู้เบาปัญญามีมิจฉาทิฐิ เห็นว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่คน ไม่มีเลือดเนื้อชีวิตจิตใจ คิดจะทำลายก็ทำกันไปต่าง ๆ นานา ผู้เบาปัญญาหารู้ไม่ว่า เมื่อกรรมตามทัน... โทษนั้นร้ายแรงหนักหนานัก พระเทวทัตก็มิได้ถูกธรณีสูบทันทีที่ทำร้ายพระพุทธเจ้า เมื่อถึงเวลากรรมตามทัน... พระเทวทัตจึงจมธรณี พ้นที่จะดิ้นรนให้พ้นจากความตายอย่างทนทุกข์ทรมานน่าสยดสยองนั้นได้ ผู้พยายามทำลายพระพุทธศาสนาก็เช่นกัน ฉะนั้นอย่าประมาท... อะไรที่ไม่น่าเชื่อเกิดอยู่เสมอ เกิดได้เสมอ ในอดีตธรณีสูบได้ ในปัจจุบันหรือในอนาคตธรณีก็สูบได้ เมื่อต้องเป็นไปตามอำนาจอันยิ่งใหญ่ของกรรม แม่พ่อที่มีลูกรักเพียงดวงใจ แม้ลูกนั้นมิใช่ลูกที่ดี มิใช่ลูกที่มีคุณประโยชน์แก่ใคร เมื่อใดเขาถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส หรือถึงเสียชีวิต เมื่อนั้นก็เหมือนทำร้ายแม่พ่อหนักหนาเช่นนั้นด้วย พระพุทธศาสนาเป็นดวงพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า ทรงได้มาด้วยพระมหากรุณาเปี่ยมพระพุทธหฤทัยเปรียบเป็นพระพุทธบุตร พระพุทธศาสนาก็เป็นพระพุทธบุตรที่ประเสริฐเลิศล้ำ หาผู้เปรียบเสมอมิได้ มีคุณประโยชน์กว้างใหญ่ไพศาล ปราศจากขอบเขต และยั่งยืนยาวนานอยู่ทุกกาลเวลา เป็นที่รักที่เทิดทูนสูงส่งนักหนาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ เสมอกันกับองค์สมเด็จพระบรมศาสดา พระผู้ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนาไว้แทนพระองค์ อย่าเป็นคนเบาปัญญา... พึงปฏิบัติต่อพระพุทธศาสนาให้รอบคอบ มิฉะนั้นจะเสียประโยชน์จากการมีชีวิตอยู่ในชาตินี้ที่น้อยนัก ชีวิตผ่านไปพ้นเมื่อไร... จะเรียกกลับคืนไม่ได้ กรรมไม่ดีทั้งหลายจะห้อมล้อมจนแหลกเหลว ดังที่ปรากฏให้เห็นให้ได้ยินอยู่เสมอ ให้ขนลุกขนพองสยดสยองอยู่ไม่เว้นวาย ชีวิตในอดีตชาติล่วงเลยไปแล้ว กรรมดีกรรมชั่วก็ได้เป็นอันทำแล้วทั้งนั้น... ไม่มีที่จะให้โดยไม่ได้ทำ แต่ชีวิตในอนาคตชาติกำลังใกล้เข้ามาเป็นลำดับ ไม่นานนักก็จะถึง เพราะชีวิตนี้น้อยนัก... จบสิ้นง่าย ชีวิตในภพชาติข้างหน้าต่างหากที่ยาวนานจนประมาณไม่ได้ ความสุขอันยาวนานหรือความทุกข์ที่ยืดเยื้อ จะมีมาพร้อมกับชีวิตในชาติอนาคตแน่นอน |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
|||
|
|||
ชีวิตนี้ ชีวิตเดียวที่จะพาไปสู่นิพพานได้ เรามีบุญที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มีชาตินี้ มีชีวิตนี้... ที่แม้จะน้อยนักแต่ก็เป็นชีวิตเดียวที่สามารถจะพาเราหนีกรรมไม่ดีได้ และก็เป็นชีวิตเดียวที่จะพาเราไปสวรรค์ก็ได้ นิพพานก็ได้ พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธศาสนาประกอบพร้อมด้วยพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และพระสงฆ์อริยสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาจึงมีคุณเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณ พระคุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เพียงไร พระพุทธองค์ได้ทรงมอบไว้ในพระพุทธศาสนาหมดสิ้นแล้ว เราเรียนพระพุทธศาสนาหรือเรียนพระธรรมกันอยู่ตลอดมาแม้จนทุกวันนี้ เท่ากับเรากำลังพยายามจะให้สามารถแลเห็นพระพุทธเจ้าให้ได้ แต่ก่อนที่จะได้เห็นพระพุทธองค์ เราจำเป็นต้องรอบคอบ ระวังรักษาพระพุทธศาสนาอย่างดี อย่าประมาท มองให้เห็นผู้เบาปัญญา มีมิจฉาทิฐิ แม้ผู้นั้นจะเป็นตัวเราก็ต้องมองให้ตรงตามความจริง ไม่เห็นภัยจะกันภัยไม่ได้ ไม่เห็นผู้มุ่งร้ายทำลายพระพุทธศาสนา... ก็จะป้องกันพระพุทธศาสนาไม่ได้ |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
|||
|
|||
ยึดมั่นในความกตัญญูกตเวที การที่จะป้องกันตัวเองมิให้หลงใหล เลื่อนลอยไปเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาแม้โดยมิได้ตั้งใจ จำเป็นต้องมีหลักยึดมั่น กระแสใด ๆ ก็จะพัดพาไปไม่ได้ หลักที่น่าจะมั่นคง แข็งแรง และสามารถที่จะรับการยึดเหนี่ยวได้ทุกเวลานั้น น่าจะเป็นหลักแห่งความกตัญญูกตเวที พึงยึดกตัญญูกตเวทีไว้ให้เป็นหลักประจำใจมั่น ผลที่เกิดตามมานั้น... จะไม่มีเสียหายแม้แต่น้อย “กตัญญูกตเวที”... ความรู้คุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน และตอบแทนพระคุณนั้น พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเป็นธรรมของคนดี คือคนดีมีธรรมนี้หรือธรรมนี้ทำให้คนเป็นคนดี คือ คนใดมีธรรมคือความกตัญญูกตเวทีคนนั้นก็คือคนดีนั่นเอง ในด้านตรงกันข้าม คนใดไม่มีกตัญญูกตเวที คนนั้นย่อมไม่ใช่คนดี แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 06-05-2011 เมื่อ 10:57 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
|||
|
|||
เร่งอบรมใจให้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรม เพื่อสร้างชีวิตในภพชาติข้างหน้าให้งดงาม เชิญสำรวจตนให้ทุกคน ให้เห็นตนอย่างชัดเจนตรงความจริงว่ามีความกตัญญูกตเวทีหรือไม่ แล้วก็จะได้รู้จักตนเองว่าเป็นคนดีหรือไม่ ไม่มีกตัญญูกตเวที... ไม่เป็นคนดีจริง ๆ อย่าสงสัย แต่จงเร่งอบรมใจตนเองให้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมให้จงได้ อย่าให้ผ่านชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตหน้าที่ยาวนาน โดยไม่ถือโอกาสสร้างชีวิตในภพชาติข้างหน้าให้สวยสดงดงามอย่างยิ่ง “กตัญญูกตเวทิตาธรรม” เป็นเครื่องสร้างคนให้เป็นคนดีได้จริง ๆ เพราะความรู้คุณท่านผู้มีคุณและตั้งใจจะตอบแทนพระคุณ คือเครื่องป้องกันที่สำคัญที่สุดที่จะกันให้พ้นจากการทำผิดคิดร้ายได้ทั้งหมด โดยมีจุดมุ่งอยู่ที่ความไม่ปรารถนาจะทำให้ผู้มีพระคุณเป็นทุกข์เดือดร้อนกายใจ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2011 เมื่อ 10:39 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
|||
|
|||
กตัญญูกตเวทีเป็นเหตุให้คิดดี พูดดี ทำดี ทุกคนมีผู้มีพระคุณของตน อย่างน้อยก็มารดา บิดา ครูอาจารย์ เพียงมีกตัญญูรู้คุณท่านเท่าที่กล่าวนี้ ก็เพียงพอจะคุ้มครองตนให้พ้นจากความไม่ดีทั้งปวงได้ ขอให้เป็นความกตัญญูกตเวทีจริงใจเท่านั้น อย่าให้เป็นเพียงนึกว่าตนเป็นคนกตัญญู ความจริงกับความนึกเอาแตกต่างกันมาก ผลที่จะได้รับจึงแตกต่างกันมากด้วย ผู้มีกตัญญูกตเวทีจะรู้จักบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหมด จะตอบสนองทุกคนอย่างเต็มสติปัญญาความสามารถควรแก่ผู้รับ และนี่เองที่จะเป็นเหตุให้ คิดดี พูดดี ทำดี เพราะเกรงว่าการคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี จะมีส่วนทำให้ผู้มีบุญคุณเดือดร้อน เช่น มารดา บิดา เป็นผู้มีพระคุณ ลูกกตัญญูจะประพฤติตัวเป็นคนดี จะไม่เป็นคนเลวเพราะเกรงว่ามารดา บิดาจะเสื่อมเสีย ก็เท่ากับคุ้มครองตนเองได้แล้วด้วยความกตัญญูกตเวที |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
|||
|
|||
พึงมีกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณใหญ่ยิ่งอย่างที่สุด ทรงมีพระคุณต่อโลกต่อศาสนิกของโลก พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทำให้พุทธศาสนิกเป็นคนดีมีธรรมะนั้น มิได้เป็นคุณเฉพาะพุทธศาสนิกเท่านั้น แต่เป็นคุณไปทั่วถึง คนดีคนเดียว... ให้ความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างกว้างไกล เช่นเดียวกับคนไม่ดีเพียงคนเดียว ก็ให้ความทุกข์ความร้อนได้มากมาย พระพุทธศาสนาสร้างพุทธศาสนิกชนที่ดี ก็เท่ากับพระพุทธศาสนาได้สร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่โลกด้วยเหมือนกัน พึงมีกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า คิดดี พูดดี ทำดี ให้เป็นไปดังที่ทรงแสดงสอนไว้ จะหนีกรรมเก่าได้ทัน และจะสร้างชีวิตในชาติใหม่ในภายหน้าให้วิจิตรงดงามเพียงใดก็ได้ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2011 เมื่อ 18:17 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
|||
|
|||
พระพุทธบารมีแห่งพระพุทธองค์ ทำให้พบความสวัสดีทั้งชีวิตนี้และชีวิตหน้า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วไม่ได้หายไปไหน พระพุทธบารมียังคงปกปักรักษาโลกอยู่ คนในโลกยังรับพระพุทธบารมีได้ มิได้แตกต่างไปจากเมื่อยังทรงดำรงพระชนม์อยู่ เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องเปิดใจออกรับ มิฉะนั้นก็จะรับไม่ได้ การเปิดใจรับพระพุทธบารมีไว้คุ้มครองรักษาตนไม่ยากลำบาก ไม่เหมือนการเข็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำ เพียงน้อมใจนึกถึงพระพุทธเจ้าให้จริงจังอยู่เสมอก็จะรับพระพุทธบารมีได้ จะมีชีวิตที่สวัสดี มีสุข สงบได้ |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
|||
|
|||
อานุภาพแห่งพระพุทธบารมี พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีกต่อไป แต่พระพุทธบารมียังพรั่งพร้อม พระอาจารย์สำคัญองค์หนึ่งท่านเล่าไว้ว่า... เมื่อปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นอยู่ในป่าดงพงพีนั้น พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปทรงสอนท่านด้วยพระพุทธบารมีเสมอ และท่านพระอาจารย์องค์นั้นต่อมาเป็นที่ศรัทธาและเคารพของพุทธศาสนิกจำนวนมาก ที่เชื่อมั่นว่าท่านปฏิบัติถึงจุดมุ่งหมายปลายทางแล้ว พระพุทธเจ้าเมื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ด้วยพระพุทธบารมีเสด็จไปทรงแสดงธรรมโปรดพระอาจารย์องค์สำคัญให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ไม่มีอะไรให้สงสัยว่าเป็นสิ่งที่สุดวิสัย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มีเรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์เป็นเครื่องยืนยันรับรอง คือเมื่อปฏิบัติธรรมถึงจุดปรารถนาสูงสุดแล้ว ท่านถูกโจรเจ้ากรรมในอดีตพยายามหาทางจะทำลายชีวิตท่าน ท่านพยายามใช้อิทธิฤทธิ์หลบหนี แต่โจรก็ยังติดตามไม่หยุดยั้ง จนท่านเบื่อหน่ายที่จะหนีต่อไป... จึงยอมให้โจรจับได้และทุบจนร่างแหลกเหลว นิพพานในที่สุด เมื่อนิพพานแล้วท่านได้รวมร่างเข้าอีกครั้งหนึ่งเหาะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ แล้วทูลกราบลา เรื่องของท่านพระโมคคัลลาน์ เป็นเครื่องให้ความเข้าใจอย่างกระจ่างแจ่มชัดว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์เจ้าก็ดี แม้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านก็เพียงไม่มีร่างเหลืออยู่เท่านั้น บารมีและคุณธรรมทั้งปวงของท่านยังพรั่งพร้อมเป็นประโยชน์ได้อย่างยิ่ง |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
|||
|
|||
ผู้มีปัญญาพึงเร่งปฏิบัติพระพุทธศาสนา เมื่อมั่นใจในความดำรงอยู่อย่างยั่งยืนนิรันดรแห่งพระพุทธบารมี หรือคุณธรรมของพระพุทธองค์ และของครูอาจารย์สำคัญทั้งหลายที่ท่านไกลแล้วจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง พุทธศาสนิกทั้งหลายผู้มีสัมมาปัญญาสัมมาทิฐิ ควรเร่งปฏิบัติพระพุทธศาสนาให้ได้เป็นคนดีตามลำดับไป ให้เป็นที่ปรากฏประจักษ์ในพระญาณหยั่งรู้ของพระพุทธองค์ เท่ากับเปิดประตูใจออกอย่างกว้างขวางรับพระพุทธบารมี ให้พระพุทธบารมีเสริมส่งบารมีของตนจนกว่าตนเองจะสามารถเป็นผู้มีบารมี มีคุณธรรมดำรงได้เมื่อไร วันนั้นผู้นั้นก็จะไม่ต้องกังวลที่จะใช้ชีวิตนี้ทำทางหนีมือแห่งกรรม และไม่ต้องกังวลสร้างชีวิตในชาติอนาคตให้สมบูรณ์บริบูรณ์สวยสดงดงามต่อไป แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 12-05-2011 เมื่อ 11:15 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
|||
|
|||
สิ่งสำคัญยิ่งอันพึงแสวงหาในชีวิตนี้ แทบทุกคนเคยเป็นมาแล้วทั้งเทวดา เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ยาจกวณิพก เศรษฐี คหบดี ตลอดจนสัตว์ใหญ่สัตว์น้อย... เคยตายมาแล้วด้วยอาการต่าง ๆ ตายอย่างเทวดา ตายอย่างเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ตายอย่างขอทานข้างถนน ตายอย่างสัตว์ทั้งที่ตายเองและที่ถูกฆ่าตาย เคยมีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ เคยทั้งเป็นผู้ร้ายเป็นทั้งผู้ดี น้ำตาเคยท่วมบ้านท่วมเมืองมาแล้ว... กระดูกทับถมแผ่นดินนี้หาที่ว่างสักเท่าปลายเข็มหมุดจะปักลงก็ไม่พบ เปรียบกับชีวิตนี้เพียงชาติเดียว... ชีวิตนี้จึงน้อยนัก จะห่วงใยแสวงหาอะไรอีกมาให้ชีวิตนี้ ที่สำคัญกว่าการห่วงหาทางหนีให้พ้นมือแห่งกรรมที่ทำไว้มากมายในอดีตชาติ |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|