|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔
ถาม : เอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจ ทำให้ตัวเองวุ่นวาย
ตอบ : อ้าว..รู้อยู่ ก็เลิกสิวะ..! ถาม : เราสงสารเขา ก็เลยอารมณ์ค้างว่าเราสงสาร ตอบ : โบราณเขาเรียกว่า "วัวพันหลัก" เขาผูกวัวไว้ให้กินหญ้า จึงปักหลักผูกวัวเอาไว้ วัวมันกินหญ้าวนรอบหลักไปเรื่อย ๆ เชือกก็พันหลักไปเรื่อย เชือกก็สั้นลง ๆ จนกระทั่งวัวติดอยู่กับหลัก ไปไหนไม่ได้ ถาม : พอฟังเขา เราก็สงสาร แต่เราก็รู้ว่าที่เขาพูดถึงเป็นอารมณ์ของคนที่ยังวกวนอยู่ในนั้น ตอบ : ไปร่วมงานกับเขาหรืออย่างไร ? ถาม : ไม่ได้ร่วมงานค่ะ แต่เป็นที่ระบายชั่วคราวของเขา ตอบ : รับเรื่องของผู้อื่นมา ได้แต่รับฟังไว้ อย่าเก็บเอาเข้ามาในใจ ไม่อย่างนั้นเราก็จะวุ่นวายไปด้วย ถาม : เป็นเพราะว่าสมาธิเรายังไม่แน่นพอหรือเปล่าคะ ? ตอบ : เราไปปล่อยให้อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง นำหน้า จะว่าสมาธิไม่แน่นพอก็ได้ เพราะถ้าหากว่าสมาธิเพียงพอ ก็จะสามารถทรงอยู่ได้ ไม่ปล่อยให้หลุดออกไป ถาม : การที่จะทำให้อารมณ์สมดุลได้นั้นลำบากค่ะ เรารู้สึกว่าอยากจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางทีเอาใจใส่เยอะเกินไป แล้วก็เผลอรับเข้ามา ตอบ : เริ่มต้นใหม่ รู้ตัวแล้วก็แก้ไขใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 03:32 |
สมาชิก 237 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ในเรื่องการปฏิบัติ สิ่งที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ ถ้าหากว่าเราคุยมากจะฟุ้งซ่านมาก กำลังที่เพาะสร้างมาได้จะไม่เหลือ
ถ้าทำแล้วกำลังใจไม่ทรงตัว การปฏิบัติก็จะได้ผลน้อย ไม่อย่างนั้นกำลังที่เพาะสร้างได้ พอจะสู้กิเลสได้ กดรัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบไปชั่วคราว แต่พอไปฟุ้งซ่าน กำลังของเรารั่วหมด กิเลสก็จะมีกำลังเหนือกว่า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 248 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : โยมฝึกกรรมฐาน เห็นไม่ชัดเจนแจ่มใสค่ะ
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัดเจน ให้รู้ได้ก็พอ ถาม : รู้ได้ก็พอ ? ตอบ : สภาพที่จิตสงบและปฏิบัติได้ถูก จะรู้เห็นชัดเจนไปเรื่อย ๆ ก่อนหน้านั้นเวลาอาตมารู้อะไร ก็รู้แบบมืด ๆ มัว ๆ สลัวเหมือนกับตะวันใกล้ค่ำ แต่ก็พอรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร ปกติอาตมาจะใช้วิธีซ้อมด้วยการวนไปรอบ ๆ มองสิ่งที่อยู่ใกล้ ๆ พอบวชมาได้ ๑๐ กว่าพรรษา วันหนึ่งมองไปที่ต้นไม้ เฮ้ย..! ทำไมรายละเอียดชัดขนาดนั้น ใบอ่อนหรือใบแก่แยกออกหมดเลย ก่อนหน้านั้นไม่รู้หรอก เห็นเป็นรูปต้นไม้ก็ดีเหลือเกินแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องซักซ้อมสะสมไปนาน ๆ อย่าใจร้อน ถ้าหากว่ากำลังเพียงพอ หรือเราทำได้ถูกจุด จะออกมาชัดเจนเลย แรก ๆ อย่าไปอยากมาก ให้รู้ได้ก็พอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 03:35 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : มีเหตุแปลก ๆ เกิดขึ้นกับหนูค่ะ อยู่เฉย ๆ ก็รู้สึกวาบขึ้นมา อย่างเช่นเคยรู้สึกว่าตัวเองจะตัดลูกไม่ได้ ติดอยู่ตรงนี้นานมาก อยู่ดี ๆ ก็มีความรู้สึกขึ้นมาเองว่า เราอยู่ในห้องแล้วเราก็แค่ออกไปรอนอกห้อง นั่งรอเฉย ๆ เดี๋ยวคนในห้องเขาก็ออกมาเหมือนกัน พอความรู้สึกนี้เกิดขึ้น จากที่คิดว่าจะตัดลูกไม่ได้ ก็หายไปหมดเลยค่ะ
ตอบ : แสดงว่าปัญญาถึงแล้ว ของที่เคยคิดไม่ตกก็พลันคิดได้ อย่างนิยายจีนเรื่องฤทธิ์มีดสั้น อาฮุยหลงลิ้มเซียนยี้อย่างหัวปักหัวปำ ทั้งเพื่อนฝูงและครูบาอาจารย์ว่าตักเตือน อาฮุยไม่ฟังใครสักคน ลิ้มเซียนยี้เขาก็มั่นใจว่าอาฮุยอยู่มือเขาแน่ จึงหลอกอาฮุยครั้งแล้วครั้งเล่า พอจะหลอกเป็นครั้งสุดท้าย ลิ้มเซียนยี้ดึงเสื้อไว้ อาฮุยก็ถอดเสื้อที่กำลังถูกดึงนั้นทิ้ง แล้วก็เดินต่อ ลิ้มเซียนยี้ก็แปลกใจ ตะโกนถามว่าเกิดอะไรขึ้น อาฮุยบอกว่า “ไม่มีอะไร ข้าพเจ้าพลันคิดตก” จากที่อาฮุยหลงหัวปักหัวปำ ตัดไม่ได้ถึงเวลาก็ยังตัดได้ ถาม : ขนาดว่าเจาะจงพิจารณา ยังมียอมรับบ้าง ไม่ยอมรับบ้าง นี่อยู่เฉย ๆ ก็รู้เลย ตอบ : กำลังพอในส่วนที่เราก้าวเข้าถึง เพียงแต่ว่ากำลังเราพอแค่เรื่องนี้ ยังมีอย่างอื่นอีก ต้องสะสมกำลังกันต่อไป ถาม : เคยวาบแบบที่ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติก็มี ตอบ : ตัวนี้แหละที่ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียก ซาโตริ ซาโตริแปลว่า รู้แจ้งเข้าถึงธรรมโดยฉับพลัน แต่ความจริงไม่ใช่การเข้าถึงธรรมโดยฉับพลันหรอก บางทีก็หมายถึงหัวข้อธรรมที่เราขบไม่ออก แล้วพลันขบออก แต่คนที่เขาไม่เข้าใจเขาก็บอกว่า บางคนซาโตริได้ครั้งเดียวในชีวิต คนที่เป็นอาจารย์ใหญ่เขาก็บอกว่า ไม่จริงหรอก ผมซาโตริเป็นร้อย ๆ ครั้ง ซาโตริในความหมายนี้ของเขา ก็คือเข้าใจในหัวข้อธรรมแต่ละหัวข้อ ถาม : แล้วจะมีโอกาสได้ไหมว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ? ตอบ : ได้ เป็นเรื่องที่ผิดก็ได้ แต่ว่าเราต้องมีสติด้วยว่าควรจะทำหรือไม่ อาตมาเคยวางแผนปล้นรถขนเงินทหาร แผนการรัดกุมมากเลย ขั้นตอนทุกอย่างชนิดที่ว่า ต้องทำได้แน่นอน เป็นไปได้ขนาดนั้น สมัยที่เป็นทหารอยู่ เงินเดือนของทหาร ๑ กองพล ธนบัตรใบละ ๕๐๐ บาทเขามัดเป็นลูกบาศก์ใหญ่ ๆ ใส่รถกรงขนไป มี สห.ขนาบหน้า ๒ คน ขนาบหลัง ๒ คน มีมอเตอร์ไซค์นำหน้าและปิดท้าย เอ็ม. ๑๖ ล้วน ๆ ถ้าทำตามแผนที่วางไว้ อาตมามั่นใจว่าปล้นได้แน่นอน นั่นคือไปซาโตริในเรื่องบ้า ๆ แบบนี้ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-09-2011 เมื่อ 20:22 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาเกิดโทสะหนูรู้สึกว่าเป็นไฟ เวลาเกิดมุทิตารู้สึกว่าเป็นแสงสว่างไสว เป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือหนูคิดไปเอง ?
ตอบ : โดยสภาพแล้วก็คือว่า สิ่งนี้เป็นความร้อน สิ่งนี้เป็นความเยือกเย็น ความสะอาด ความสว่าง ความผ่องใส ถ้าสภาพจิตละเอียดพอก็สามารถที่จะแยกออกได้ โดยเฉพาะถ้าเราเข้าถึงอารมณ์นั้นจริง ๆ ถ้าเข้าถึงจริง ๆ จะสามารถแยกออกและสามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นอย่างไร แต่ขอให้เข้าใจว่า สิ่งที่เราเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราเข้าถึงจริง ๆ ไม่ใช่ตัวเดียวกัน สิ่งที่เราเปรียบเทียบเป็นแค่ผิวหยาบ ๆ อารมณ์ที่เราเข้าถึงนั้นละเอียดกว่า เราก็ได้แต่เปรียบว่าเป็นไฟ แต่คราวนี้ไฟนั้นเผาเราอย่างไร อธิบายไปคนอื่นเขาฟังก็ไม่รู้เรื่องหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 15:27 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถาม : ครั้งที่แล้วที่หนูไปช่วยงานที่วัดหนึ่ง หนูเริ่มเห็นเค้าลางของความแตกแยก ในหมู่ลูกหลานของท่านค่ะ
ตอบ : ที่ไหนก็มี สำคัญตรงที่เจ้าอาวาสเองจะต้องมั่นคงและยุติธรรม ไม่อย่างนั้นแล้วความแตกแยกจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ให้สังเกตว่า แต่ละวัดถ้าหากสิ้นเจ้าอาวาสแล้ว วัดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ก็เพราะว่าบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากพวกเขาได้จากไปแล้ว คนที่เขาจะเกรงใจนั้นไม่มีแล้ว ฉะนั้น..จำเป็นที่เราจะต้องหาตัวตายตัวแทน ให้เป็นคนใจกว้างหน่อย ยอมรับแนวคิดของคนอื่นบ้าง ไม่อย่างนั้นแล้วจะอยู่กันยาก เคยเตือนเจ้าอาวาสท่านไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ตอนที่ไปพุทธาภิเษกครั้งล่าสุด บอกท่านว่า ถ้าจะเอาคนนี้ขึ้น ก็ต้องรีบแต่งตั้งเลยนะ ถ้าท่านมัวแต่ใจเย็นอยู่ ถึงเวลาคนอื่นเขาขึ้นมาได้จะลำบาก ประการที่สองคือ เราต้องใช้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่อะไรท่านก็ใช้คนนี้อยู่คนเดียว ถ้าหากว่าคนที่ท่านใช้เกิดป่วยเข้าโรงพยาบาลไปสัก ๓ วัน ท่านแย่เลยเพราะคนอื่นจะไม่รู้งาน ตามกฎหมาย เวลาตั้งเจ้าอาวาสเขาจะพิจารณาจากรองเจ้าอาวาสก่อน ถ้าหากว่าไม่มีรองเจ้าอาวาส ก็มาพิจารณาผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถ้าผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีหลายรูป ให้ตั้งคณะกรรมการ คือเจ้าคณะอำเภอ ๑ เจ้าคณะตำบล ๑ และเจ้าอาวาสในเขตนั้น ๑ ให้ลงมติว่าจะเอาใคร ไม่มีเกี่ยวกับฆราวาสเลย กฎหมายของพระเขาระบุไว้ ๓ รายนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้น..ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ยุ่งอะไรหรอก คุณจะประท้วงอะไรก็แล้วแต่ เขาตั้งกันไปแล้วก็จบ แต่ส่วนใหญ่แล้วคณะสงฆ์ก็มักจะเลือกคนที่ชาวบ้านเอา เพราะเขาถือว่าต้องเอาเสียงส่วนรวมเป็นใหญ่จึงจะรักษาวัดไว้ได้ ถาม : หนูก็มองในลักษณะที่คนมาหาท่าน.. ตอบ : เคยเปรียบเทียบไว้ว่า กลุ่มลูกศิษย์แต่ละกลุ่มเหมือนกับห่วงโซ่ห่วงหนึ่ง ถ้าต่างคนต่างอยู่จะมีประโยชน์น้อย หรือใช้ประโยชน์แทบไม่ได้เลย แต่ถ้าสามารถเกี่ยวคล้องกันเป็นโซ่จะใช้งานได้สารพัด เราก็ลองเป็นตัวกลางดูสิ ยอมเหนื่อยหน่อย..ช่วยประสานให้เขาไป เหมือนกับตอนอาตมาเป็นฆราวาสก็วิ่งกลุ่มนั้นบ้างกลุ่มนี้บ้าง จนกระทั่งโดนบางกลุ่มเขาด่าว่าเป็นนกสองหัว ในเมื่อเขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของเราก็ปล่อยให้เขาด่าไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 15:29 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
เคยได้ยินที่ฝรั่งเขาพูดกันไหม ? ว่างานสำเร็จตรงที่ได้ทำ ไม่ได้สำเร็จตรงที่ผลงานนั้นเกิด ขอให้ได้ทำก็พอแล้ว ส่วนจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ช่างหัวมัน ฟังดูเหมือนเอาความสะใจอย่างไรก็ไม่รู้
ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด เพราะว่าบุคคลที่เขาสร้างบารมีมาร่วมกัน ก็จะฟังกัน จะไปด้วยกันเป็นกลุ่ม ๆ คราวนี้ถ้าหากหัวหน้ากลุ่มกำลังใจไม่เปิดกว้างพอ ก็เหมือนกับจะปิดกั้นกลุ่มอื่น สมัยนี้เขาใช้คำว่า "จิตสาธารณะ" ใช่ไหม ? ถ้ามีจิตสาธารณะ เห็นแก่ส่วนรวมมากกว่า ทำเพื่อส่วนรวมไป ทุกอย่างก็จะดี ถ้าจิตสาธารณะมีน้อย ไม่ทันไรเดี๋ยวก็ตัวกูของกูขึ้นหน้า แล้วก็ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 16:56 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราใช้อำนาจสมาธิไปสะกดจิตคนอื่นนี่ได้ไหมคะ?
ตอบ : ได้..แต่ว่าไม่ควรทำ แค่พระโสดาบันตำหนิคนทำผิดขึ้นมา คนนั้นจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ตอนนั้นจะไม่ทำผิดเลย เพราะกำลังท่านสูงมาก ต่อให้โจรจี้ท่านอยู่ จะเอาเงินหรือว่าจะฆ่าท่าน ถ้าท่านเอ่ยปากตำหนิขึ้นมานี่ เขาจะเกิดความละอายใจอย่างแรงกล้า ดีไม่ดีก็วิ่งหนีไปซึ่ง ๆ หน้า แต่ก็เปลี่ยนได้แค่ชั่วคราว แล้วเราไม่ใช่พระโสดาบันนะ เรื่องอย่างนี้ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่สมควรทำ ไม่ฝืนกฎของกรรม พรหมเทวดาจำนวนมากคงขนคนไปสวรรค์นิพพานไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรแล้ว ท่านจัดการไปหมดแล้ว แต่การที่คนเราทำดีทำชั่ว ต้องเป็นเรื่องจิตใจเขาจริง ๆ ไม่ใช่ว่าให้เขาทำดีเพราะเราไปเปิดให้เขาเห็นนรก ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ได้ทำดีเพราะสภาพจิตใจต้องการทำ แต่เขาทำเพราะกลัว..ผลดีจึงไม่บริสุทธิ์เต็มร้อยส่วน ขณะเดียวกัน เขาทำชั่ว ก็ไม่ใช่ว่าเห็นนรกแล้วจะเลิกทำ คนที่มันจะชั่วต่อให้พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรงหน้า เขาก็จะชั่ว ในพระไตรปิฎก มีคนเขาจ้างไปด่าพระพุทธเจ้า ก็เดินตามด่าพระพุทธเจ้าไปเรื่อย เรื่องของความดีความชั่วต้องปล่อยไปตามวาระ ถ้าหากว่าคนไหนเลี้ยวถูกทาง ก็ขึ้นบกขึ้นฝั่งเร็วหน่อย ถ้าหากว่าเขาเลี้ยวไม่ถูกทางก็ลอยคอในทะเล จมน้ำตายไปตอนไหนไม่รู้ สงเคราะห์เขาได้เมื่อไรเราก็สงเคราะห์ ถ้าหากว่าสงเคราะห์ไม่ได้ก็ได้แต่มองด้วยความเวทนา..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-09-2011 เมื่อ 11:18 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : ท่านที่เป็นพระโสดาบันขึ้นไป ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองบรรลุเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ?
ตอบ : ต่อให้มีคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่หลงตัวเองว่าได้ กติกาเดิมเคยทำอย่างไรท่านก็ยังทำอยู่อย่างนั้น จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. ได้รับพุทธพยากรณ์ ๒. ญาณเป็นเครื่องรู้เกิดขึ้น มั่นใจว่าตัวเองจบกิจในส่วนนั้นแล้ว เท่าที่เจอมาก็คือ มีมากต่อมากด้วยกันที่ไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเป็น สมมติว่าได้หนังสือของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา อ่านเจอว่าพระโสดาบันมีกติกาอย่างนี้ อ้าว...เราทำได้หมดแล้วนี่ แต่ท่านก็ไม่ได้ประมาท ท่านก็ทำต่อไป ไม่ใช่ท่านโง่นะ เพียงแต่ท่านไม่ได้สนใจว่านั่นคืออะไร รู้แต่ว่าท่านต้องการทำอย่างนี้ ชอบทำอย่างนี้ ถ้าหากว่าไปนอกทุ่งนอกท่า ผิดศีลผิดธรรมท่านไม่เอาด้วย ต่อให้ตายก็ไม่ทำ กำลังใจของท่านสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไป ในเมื่อสูงกว่าคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่มีใครบังคับให้ท่านทำความชั่วได้ เพราะท่านไม่เอาด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-09-2011 เมื่อ 19:57 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : ถือศีล ๘ ทาครีมกันแดดได้ไหมคะ?
ตอบ : เป้าหมายในการที่ท่านห้ามเรื่องของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา ก็คือเอาไปยั่วเพศตรงข้าม ถ้าเรามั่นใจว่าสวยพอแล้วก็ไม่ต้องไปยั่ว..(หัวเราะ).. เราก็ให้อยู่ในลักษณะเหมือนกับพระทายารักษาโรค ทาไปด้วยเห็นไปด้วยว่า ร่างกายนี้ไม่ดีจริง ถ้าร่างกายนี้ดีจริงเราก็ไม่ต้องมาคอยทาแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงปรมาจารย์ตั๊กม้อว่า "ท่านหันหน้าเข้าหาข้างฝา ๙ ปี เพื่อสอนธรรมให้ผู้อื่นรู้ว่า ความสงบนั้นดีอย่างไร ไม่ต้องเสียเวลาเอ่ยปากสอนแม้แต่คำเดียว
เวลา ๙ ปีนี้ ลมปราณที่แผ่ออกจากร่างของท่าน ทำให้หินตรงหน้าโดนกัดเซาะจนเป็นรูปร่างของท่านไปเลย นั่นคือลักษณะแบบเดียวกับพระพุทธฉาย ท่านนั่งอยู่ ๙ ปี พูดง่าย ๆ ว่าพลังบารมีของท่านแผ่ไปจนกระทั่งรูปของท่านไปติดอยู่ที่ผนังหินได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถาม : ผมอยากถามว่า ผมชอบฝันเห็นคนใส่ชุดดำเดินเข้ามาอยู่บ่อย ๆ ผมเคยอ่านเจอในตำราพระนเรศวรบอกว่า มักจะมีสิ่งไม่ดีหรือมีคนมาปองร้าย เขามาตั้งเดือนเกือบสองเดือนแล้วครับ คืออะไรครับ
ตอบ : ฝันมีอยู่ ๔ อย่าง มีธาตุวิปริต กินมากท้องไส้ไม่ดีก็ฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต ความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุ จิตนิวรณ์ เป็นความฟุ้งซ่านประสาทเสียของเรา ทำให้เก็บเอาไปฝัน แล้วก็เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ ถาม : แล้วอย่าไปสนใจหรืออย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าคุณเลิกคิด ภาวนาจนใจสงบก็จะเลิกฝันไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ถาม : ผมเคยอ่านบทความของหลวงพ่อวัดท่าซุง ปกติถ้าเป็นรูปพระพุทธ จะมีเทวดาคุ้มครองแม้ไม่ได้ปลุกเสก ผมอยากทราบถ้าเป็นรูปพระอริยสงฆ์จะเหมือนกันหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เน้นเฉพาะรูปของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งของที่พระอรหันต์ท่านใช้งาน จะมีเทวดารักษาอยู่ ถาม : อย่างวัตถุมงคลอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ของใช้ส่วนตัวทั่วไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่หลวงพ่อฤๅษีมีคดีแม่ชม้อย ท่านทำใจอย่างไรคะ ? หนูกลัวว่าหนูจะเอาใจออกห่างจากพระค่ะ
ตอบ : นึกถึงคนที่เดินทางอยู่ท่ามกลางพายุ จะให้ก้าวตรงไปอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเอียงซ้ายเอียงขวาบ้างก็ช่างมัน ขอให้มุ่งตรงต่อที่หมายของเรา เมื่อพายุผ่านไป เราผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้ เราก็จะมั่นคงอยู่ในพระรัตนตรัยเช่นเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม ลองไปหาดูในเว็บก็ได้ เขามีลงไว้อยู่ อาตมาเขียนเอาไว้ตอนนั้นว่า หนทางแม้สุดไกล...........ขอมุ่งไปกว่าจะถึง ยากเข็ญมิคำนึง..............ถึงทนทุกข์สักเพียงไร เดินตามรอยเท้าพ่อ.........มั่นคงต่อธรรมวินัย พ่อชี้หนทางใด..............จะมุ่งไปไม่ลังเล จิตมั่นด้วยศรัทธา............ทุกเวลาไม่หันเห ผู้ใดจะรวนเร.................มิซวนเซตามเขาไป พ่อนำทางให้ลูก............มีแต่ถูกลูกมั่นใจ ขอเดินตามพ่อไป..........ตราบจนถึงซึ่งนิพพาน อันนั้นประกาศชัดเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมอาตมาถึงทำใจได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 02:44 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ถาม : หนูพยายามตั้งพุทโธให้ได้ เวลาภาวนาไปมีความรู้สึกตัว แต่พุทโธไม่เด่นเหมือนมีความคิดแทรกเข้ามา ตอนหลังมาคิดว่าเป็นเพราะหนูตั้งพุทโธผิด หนูก็เลยลองหลับตา ดูว่าจิตของตัวเองอยู่ที่ไหน ก็รู้สึกว่าจิตจะเด่นอยู่ในศีรษะ แล้วไปพอภาวนาพุทโธอีก ไม่ได้รู้สึกว่าสบาย ก็เลยไม่แน่ใจว่าทำถูกไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ เราทำถูกแล้ว เพียงแต่ว่าวิธีการบางอย่างยังไม่ใช่ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรากับพุทโธ ไหลตามลมหายใจเข้าไป และไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าสติของเราเริ่มขาด พุทโธจะไม่ชัด เราก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่ ส่วนอาการภายนอกจะเกิดขึ้นก็เป็นปกติ ถ้ากำลังใจไปถึงระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกขนลุก น้ำตาไหล ตัวลอย ตัวโยกไปโยกมา บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมคราม บางทีก็รู้สึกตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด บางทีก็เห็นแสงเห็นสี บางคนรู้สึกตัวแข็งขึ้น ๆ จนกลายเป็นหินไปเลย ให้เราสังเกตว่าตอนนั้นจิตเราจะนิ่งอยู่กับพุทโธตรงหน้า เราก็อย่าไปสนใจร่างกายว่าจะเป็นอะไร ปล่อยให้เป็นให้เต็มที่ไปเลย บางคนดิ้นตึง ๆ จนเพื่อนตกใจ ให้สังเกตว่าต่อให้ดิ้นแรงขนาดไหน ใจก็นิ่ง ให้เราอยู่กับตรงนี้ พอเต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง จิตจะสงบนิ่ง แล้วจะสบาย ถาม : เหมือนกับสงบใช่ไหมคะ ? ตอบ : ต่อไปภาวนาเฉย ๆ อยู่แค่ลมหายใจนี้ อย่าไปคิดไปสนใจว่าถึงขั้นตอนไหน ถ้าคิดอยากได้อยากเป็นก็จะไม่นิ่ง เรามีหน้าที่ตามดูลมหายใจเข้าออกกับพุทโธเท่านั้น ถ้าอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายก็ให้ช่างมัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 13:54 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : หนูเคยอ่านหนังสือที่เขาบอกว่า เวลาตายไปแล้วไม่ได้กินน้ำ พอฟื้นขึ้นมาจึงรีบทำบุญด้วยน้ำ สงสัยว่าเป็นผีแล้ว ยังต้องกินต้องใช้อีกหรือคะ ?
ตอบ : พวกที่ตายไปใหม่ ๆ อุปาทานที่ติดไปจากโลกมนุษย์ยังเยอะมาก ทำให้รู้สึกว่าต้องกินต้องใช้เหมือนคนปกติ มีที่หนึ่งซึ่งเป็นชายขอบของชั้นจาตุมหาราช เหมือนตลาดนัดจตุจักรของเรานี่แหละ พวกที่ตายแล้วจะไปเดินซื้อของ อยู่ไปอยู่มาพอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น เขาก็ไปตามบุญของเขา สัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ที่ติดไป ทำให้เขารู้สึกว่ายังต้องกินต้องใช้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ยังไม่คุ้นชินอยู่พักหนึ่ง แต่พอรู้ตัวเขาจะปรับตัวได้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-09-2011 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : พอนั่งสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ เราจะรู้ไหมครับว่าเราเข้าฌาน ?
ตอบ : ถ้ามั่นใจในขั้นตอนจะรู้ทันที ถาม : ถ้ารู้สึกตัวเหมือนกับว่าหลับละครับ ? ตอบ : อย่างนั้นดีที่สุดก็แค่ปฐมฌานหยาบ ถ้าหากว่ามากกว่านั้นสภาพจิตจะละเอียด จะไม่รับรู้อาการภายนอก แต่ทุกขั้นตอนที่ผ่านระดับของสมาธิจะรู้ ถาม : ถ้าถึงฌาน ๔ ล่ะครับ ลืมตาขึ้นมา..? ตอบ : ถ้าหากว่าถึงฌาน ๔ แล้วจะนิ่งอยู่ข้างใน หากไม่ใช่บุคคลที่ฝึกหัดเรื่องฌานใช้งานมาจริง ๆ เวลาสมาธิไม่ถอยแล้วจะลืมตาไม่ขึ้น เพราะจิตกับประสาทแยกกันหมดแล้ว รวมถึงขยับปากไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ อย่างกับตอไม้อย่างนั้นแหละ แต่ข้างในสว่างโพลง เยือกเย็นมาก มีความสุขมาก ถาม : ไม่ได้ยินเสียงภายนอก ? ตอบ : ไม่รับรู้อาการภายนอกเลย แต่ว่าภายในรู้ตลอด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 13:56 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : มีงานบางอย่างที่มาจ่อตรงหน้า เหมือนจะได้แต่ก็ไม่ได้ พอถึงจุดที่จะได้ก็จะพลาดตลอดครับ มีกรรมอะไรหรือไม่ครับ ? แล้วจะมีวิธีแก้อย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกับว่าเคยไปขวางใครเขาไว้ คงต้องทำบุญอุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พวกอุปสรรคต่าง ๆ อย่างนี้ ถ้าปล่อยนกปล่อยปลาจะช่วยได้ เราช่วยให้เขาได้รับอิสระและความสะดวกสบาย ถึงเวลาเราก็ได้รับความสะดวกสบายไปด้วย ถาม : เรื่องพวกนี้ เกิดจากกรรมหรือเกิดจากตัวมิจฉาทิฏฐิครับ ? ตอบ : เกิดจากปัญญาไม่พอ ในเมื่อปัญญาไม่พอก็เลยก่อกรรมที่คิดว่าไม่มีโทษ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 14:23 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "นางวิสาขามีเครื่องประดับที่มีราคาแพง คือ มหาลดาปสาธน์ มีอยู่วันหนึ่งนางวิสาขาจะเข้าวัด จึงถอดมหาลดาปสาธน์ให้นางปุณทาสีที่เป็นคนใช้ประจำตัวนำไปเก็บ นางปุณทาสียกเครื่องประดับนี้ไหวเพราะกำลังเท่ากับเจ้านาย สาเหตุที่นางวิสาขาให้เอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ก่อนเพราะนางจะเข้าไปหาพระ แต่งตัวหรูหราเกินไปแลดูไม่เหมาะสม นางปุณทาสีจึงเอาเครื่องประดับไปเก็บไว้ที่มุมหนึ่งของศาลา พอจะกลับ ทั้งนางวิสาขาและนางปุณทาสีลืมเครื่องประดับนี้ทั้งคู่
เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์นี้ราคา ๙ โกฏิ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ ๙๐๐ กว่าล้านบาท เครื่องประดับราคาแพงขนาดนั้นยังลืมได้ นางวิสาขาจึงให้นางปุณทาสีย้อนกลับไป บอกว่า "ไปดูสิ..ถ้าเครื่องประดับยังอยู่ก็เอามา แต่ถ้าพระท่านเก็บไว้ ถือว่าเป็นของกึ่งกลางระหว่างสงฆ์ เราจะไปไถ่คืนมา" ปรากฏว่าพระอานนท์ไปเจอเครื่องประดับเข้า พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าหากว่าโยมลืมของหรือทิ้งของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้ให้จนกว่าเจ้าของเขามาเอาคืน ถ้าไม่ใช่พระอานนท์มาเจอ ก็ไม่มีใครยกไหวหรอก โยมลองนึกดูว่าเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์ ทำด้วยเงิน ๑,๐๐๐ แท่ง ทอง ๑,๐๐๐ แท่ง แก้วไพฑูรย์ ๔ ทะนาน แก้วมุกดา ๑๑ ทะนาน แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน แก้วมณี ๓๓ ทะนาน ร้อยลงมาเป็นเสื้อคลุมใครจะไปยกไหว ทอง ๑,๐๐๐ แท่งก็ไม่รู้แท่งละกี่บาท นำมารีดเป็นเส้นแล้วก็ร้อยแก้ว คราวนี้พระอานนท์ท่านมีกำลัง ๗ ช้างสาร ท่านยกไหวก็เลยนำไปเก็บไว้ นางวิสาขาท่านก็คิดว่าในเมื่อพระท่านนำไปเก็บจึงเป็นของกึ่งกลางสงฆ์ รับคืนมาเฉย ๆ อาจจะมีโทษได้ ท่านก็เลยนำเครื่องประดับขึ้นเกวียน ไปประกาศว่ามีใครจะซื้อบ้าง จะเอาเงินไปชำระหนี้สงฆ์ ประกาศทั้งเมืองก็ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะของราคาแพงจัด นางวิสาขาก็เลยซื้อเอง ชำระหนี้สงฆ์เก็บไว้ใช้เอง แล้วก็นำเงินไปสร้างวัด ชื่อว่า วัดบุพพาราม ท่านบอกว่าสร้างวัดบุพพารามสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ ซื้อที่ดินสิ้นเงินไป ๙ โกฏิ จัดงานฉลองหมดไปอีก ๙ โกฏิ รวม ๆ แล้ว ๒๗ โกฏิ เราจึงได้วัดสำคัญขึ้นมาอีกวัดชื่อวัดบุพพาราม ไม่ใช่บุปผาราม บุพพาราม แปลว่า อารามเบื้องต้น คือเป็นวัดแรกในเมืองสาเกต พระพุทธเจ้าท่านจำพรรษาอยู่ที่แคว้นโกศล ๒๕ พรรษา อยู่ระหว่างวัดเชตวันของอนาถปิณฑิกเศรษฐีกับวัดบุพพารามของนางวิสาขา เวลาพระพุทธเจ้าท่านเดินบิณฑบาตออกทางประตูไหน ชาวบ้านก็จะไปคอยดู ถ้าหากว่าออกประตูทิศนี้ก็จะไปอยู่วัดบุพพาราม ถ้าหากออกประตูทิศนี้ก็ไปวัดเชตวัน ชาวบ้านเขาช่างสังเกต"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
"ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าคนที่มีกำลังมากขนาดนั้นจะมีจริงหรือ ? มาคลายความสงสัยสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาอยู่รับใช้ท่าน หลายครั้งที่ท่านป่วยอยู่ ไม่ค่อยจะมีแรงทรงกาย แต่เรี่ยวแรงก็ยังเกินมนุษย์
ปกติท่านจะพักที่กุฏิหลังวิหาร ๑๐๐ เมตร เวลาประมาณ ๗ โมงครึ่ง ก็จะมาทำงานที่กุฏิริมน้ำ อาตมามีหน้าที่เฝ้าหน้าประตู วันหนึ่งท่านว่า "เออ...วันนี้รู้สึกมีแรง ขอออกกำลังหน่อย" ท่านขึ้นไปโยกเครื่องออกกำลังที่โยมถวายมา เครื่องออกกำลังที่เท้าถีบได้ มือโยกได้ สปริงแต่ละข้างใหญ่ประมาณท่อนแขนอาตมา หลวงพ่อโยกไม่กี่ทีสปริงขาดเลย สรุปว่าอาตมาต้องแบกเอาไปเก็บ ใช้งานไม่ได้เพราะสปริงขาด หลวงพี่มหาดำ ปัจจุบันเป็นท่านเจ้าคุณโสภณธรรมเมธี วัดสุวรรณคีรี สมัยก่อนท่านไปหาหลวงพ่อบ่อย ท่านเคารพหลวงพ่อมาก พอไปถึงก็กราบที่อก หลวงพ่อท่านก็ตบหัว “เป็นยังไงไอ้ดำ..?” หลวงพี่ดำก็ลงไปกองที่เท้าหลวงพ่อ อาตมาเห็นก็คิดว่า หลวงพี่มหาท่านเคารพหลวงพ่อจริง ๆ กราบจากอกยันเท้าเลย ที่ไหนได้ พอหลวงพ่อไปแล้ว หลวงพี่ดำลุกขึ้นมาบอกว่า "เกือบสลบ..!" หลวงพ่อท่านตบหัวทักทาย แต่หลวงพี่ดำรู้สึกอย่างกับโดนค้อนตี ที่เห็นนั้นไม่ได้กราบเท้านะ ร่วงลงไปกองอยู่ที่เท้า..! อาตมาก็สงสัยว่าทำไม หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นกำลังบุญ กำลังที่สั่งสมมาตั้งแต่เดิม คนที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องเกิดเป็นหัวหน้าเขา ตอนเกิดเป็นคนก็เป็นหัวหน้าคน เกิดเป็นสัตว์ก็เป็นหัวหน้าสัตว์ ถ้าไม่แข็งแรงกว่าเขา ก็เป็นหัวหน้าเขาไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-09-2011 เมื่อ 17:07 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|