#1
|
||||
|
||||
วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐
อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ ถ้าหากว่าหนาวมาก เวลาลงมาทำวัตร เอาผ้าห่มมาได้นะ..ไม่ต้องเกรงใจ อากาศหนาวก็ดี ห่มดองแบบพระจะได้ไม่ร้อน อากาศเปลี่ยนมาก ตั้งแต่วันที่ผมบอกว่าขั้วโลกย้ายจุด อากาศก็เปลี่ยนมากขึ้น และเปลี่ยนเร็วมาก พื้นที่หนาวก็กลายเป็นที่ร้อน ที่เคยร้อนก็จะกลายเป็นที่หนาว ข่าวเขาว่า อาร์เจนตินามีหิมะตกเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี แต่ว่ายุโรปทางด้านอังกฤษ และเอเชีย อย่างเช่น อินเดีย เนปาล ปากีสถาน ตอนนี้ฝนถล่มหนักมากเลย สามประเทศอย่างอินเดีย เนปาล ปากีสถาน นี่ตายไปหลายพันคนแล้ว ไม่มีที่อยู่อีกยี่สิบกว่าล้านคน อากาศเปลี่ยน บรรยากาศทุกอย่างเปลี่ยน แต่ถ้ากำลังใจของเรามั่นคง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความสะทกสะเทือนแก่เราได้ นี่ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ เพราะว่าเรื่องใหญ่กว่านั้นยังมี ใหญ่ที่สุดก็คือเรื่องของไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า มีบุคคลจำพวกหนึ่ง ชื่อว่า ฐิตะกัปปี*แปลว่า ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ บุคคลประเภทนี้ เป็นบุคคลที่มีวิสัยจะได้มรรคผล ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น ต้องได้ก่อนถึงจะมีอันเป็นไป แม้แต่ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลกอยู่แล้ว ถ้าบุคคลนี้ยังไม่ได้มรรคผล ก็ไม่สามารถที่จะล้างโลกได้ ถึงได้ชื่อว่าเป็นบุคคลผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ เราจะเห็นได้ว่าเรื่องของกำลังใจของคน แม้เพียงคนเดียว ถ้าหากว่าทรงตัวตั้งมั่นถึงระดับจริง ๆ เรื่องของดินฟ้าอากาศต่าง ๆ แทบจะไม่มีผลเลย สามารถที่จะแก้ไขจากร้ายให้กลายเป็นดีได้ ดังนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราทุกคน ตั้งใจปฏิบัติให้กำลังใจทรงตัวเข้าไว้ ตัวเราเองจะได้ประโยชน์เป็นอันดับแรก คือ จะเกิดความสงบสุขอยู่ข้างใน คนรอบข้างจะได้ประโยชน์เป็นอันดับต่อไป เพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้น จะพลอยได้รับความสงบสุขร่มเย็นจากกระแสใจของเราที่แผ่ออกไปด้วย ถัดจากนั้นก็เพื่อนร่วมโลกของเรา ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา จะพลอยได้ประโยชน์ไปทั้งหมด ไม่มากก็น้อย ดังนั้น..ขอให้ทุกคนใช้ความพยายามให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษากำลังใจของตัวเอง หมายเหตุ : *พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ : พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓ : ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์ : เอกนิทเทส
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2011 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เมื่อครู่นี้ลองให้ท่านกวาง* จับชีพจรดู ท่านว่าแทบจะคลำหาไม่เจอ เพราะว่าถ้ากำลังใจของเราทรงตัว ชีพจรจะเต้นช้าลงโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าทรงตัวถึงที่สุดจะหาไม่เจอเลย ชีพยังทำงานอยู่ แต่ว่าเหมือนกับคนตาย
ผมเคยให้ท่านเผื่อน**กับท่านน้อย***จับชีพจรซ้ายขวา แล้วเดินคุยกันไปเรื่อย พักหนึ่งสองคนก็หัวเราะ บอกว่า “ไม่เต้นเลยครับอาจารย์..!” “เออ..พวกคุณกำลังคุยกับผีอยู่ ผีตายแล้วยังคุยกับคุณได้..!” ที่พูดนี้เพื่อที่จะให้พวกเรามั่นใจว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำได้จริง ๆ อย่างที่ชีปุ๊ก บอกว่า “ทุกอย่างดับไปเลยค่ะ..หลวงพ่อ” ที่ดับไปเลยก็คือ ความรู้สึกทั้งหมดตัดไปจากร่างกาย ไม่รับรู้อาการต่าง ๆ ที่เกิดกับร่างกาย ในเมื่อจิตกับประสาทแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด ก็อยู่สภาพเหมือนกับคนตายดี ๆ นี่เอง ที่สมัยไปอยู่วัดท่าขนุน**** ใหม่ ๆ ผมโดนบรรดาแม่ชีเขายำใหญ่ เล่นเอาผมเละเป็นโจ๊กไปเลย เพราะพวกเขาคิดว่าผมตายไปแล้ว ตอนนั้นเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคมาเลเรียจนทนไม่ไหว ผมก็ต้องทิ้งสังขารชั่วคราว พวกเขาคิดว่าผมตาย เลยช่วยกันเอาผ้าชุบน้ำร้อน ขอยืนยันว่าน้ำร้อน ถูกันใหญ่ ละเลงกันใหญ่ ตื่นขึ้นมาตอนตีสองกว่า แสบไปทั้งตัว..! ตั้งแต่นั้นมา ผมจำเป็นต้องใช้พวกครีมอยู่เรื่อย ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วเวลาอากาศเย็นจะคันมาก โดยเฉพาะตอนที่อยู่ในห้องปรับอากาศ เพราะว่าน้ำมันที่เลี้ยงผิวโดนน้ำร้อนถลกไปเกลี้ยงเลย..! เรื่องที่เล่ามานี้ เป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ เพราะเป็นแค่ฌานโลกีย์เท่านั้น แต่ว่าโลกียฌานนี้ ถ้าสภาพของร่างกายไม่ดี หิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ ง่วงนอน เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไม่ค่อยจะเอากับเราด้วย ถึงได้บอกให้ทุกคนตั้งใจรักษากำลังใจ ชนิดที่เรียกว่า จะทรงฌานเมื่อไรเราต้องเข้าได้ทันที ถ้าไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ก็จะลำบาก พอถึงเวลาเราฟุ้งซ่าน ควบคุมกำลังใจไม่ได้ ก็จะฟุ้งไปเรื่อย กว่าจะดึงกลับได้ก็นาน หมายเหตุ : *พระสมุห์กำพร สุชาโต สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี หมู่ที่ ๕ ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี **พระปลัดเผื่อน สุธมฺมสิริปญฺโญ สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ หมู่ที่ ๓ ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ***พระครูสังฆรักษ์วิฑูรย์ จนฺทวํโส ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ****วัดท่าขนุน เลขที่ ๒๓๕ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2011 เมื่อ 10:19 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
การที่เรามาทำวัตรกัน โดยที่เราทำกรรมฐานก่อนนี่ เป็นการฝึกวิธีหนึ่ง คือ เวลากำลังใจทรงตัว เราจะรู้สึกว่าไม่อยากจะขยับ ไม่อยากจะพูดจะคุยอะไรทั้งนั้น แต่ทำอย่างไรจะให้เราลดกำลังใจลงมา ในระดับพอดีได้ทันทีที่เราต้องการจะทำวัตร
เราต้องฝึกการขึ้นลงลักษณะนี้ให้คล่อง สลับไปสลับมาในแต่ละฌานให้คล่อง เพื่อที่ถึงเวลาแล้วเราจะได้กำหนดได้ทันที เข้าฌานได้ทันที รักษาอารมณ์ใจให้ผ่องใสได้ทันที กิเลสจะได้กินเราได้น้อย ถ้าทรงตัวจริง ๆ กิเลสจะเข้ามาแทรกไม่ได้เลย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราทำกำลังใจทรงตัวแบบนี้ได้ ทำอะไรจะเหนื่อยช้า เหตุที่เหนื่อยช้า เพราะหัวใจเต้นช้า ผมเองเวลาเดินขึ้นเขาก็คุยกับพระกับเณรกับโยมไปเรื่อยว่า ถ้าหากว่าใครเดินขึ้นเขาแล้วชวนคุณคุยได้อย่าไปคบ เพราะจะพาเราเหนื่อยตายแน่ ๆ ก็เพราะว่าหัวใจเต้นช้ากว่าคนอื่นเขา ขณะที่เขาเหนื่อยจนหายใจไม่ทัน เราสามารถที่จะพูดได้คุยได้ ขณะที่คนอื่นเอาแต่หอบอย่างเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เดินธุดงค์ ก็มีผม ฤๅษีบุญทรง* แล้วก็ท่านโมเช่** ตอนที่ยังไม่ได้บวช ท่านโมเช่เป็นกะเหรี่ยง เขาเดินเร็วเป็นปกติอยู่แล้ว พวกผมก็ต้องตามให้ทัน ช่วงนั้นพอขึ้นจากทุ่งใหญ่ถึงอุ้มผาง ผ่านดงทาก ผมโดนทากกินซะจนเลือดแดงไปทั้งเท้า รองเท้าลื่นจนกระทั่งใส่ไม่ได้ เพราะลื่นหลุด ต้องหิ้วไป แผลที่ทากกัดนี่ เลือดจะไม่หยุดไหลง่าย ๆ เพราะว่าทากปล่อยสารบางตัวที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัวเข้าไป อย่างน้อยต้องสองสามวันไปแล้ว เลือดถึงจะหยุดได้ ต่อให้ใช้พลาสเตอร์ยาปิดไว้ พักเดียวก็หลุดออกมาทั้งแผ่น เพราะว่าเลือดไหลออกมาเรื่อย ๆ ผมเพลียเดินไม่ไหว ท่านโมเช่ก็ยังจ้ำอ้าว ๆ อยู่ข้างหน้า ผมก็ใช้วิธีทรงสมาธิแล้วเดิน “หลวงพ่อ”*** ท่านโผล่มา บอกว่า “อย่าขี้โกงสิวะ..” “หลวงปู่ปาน”**** ท่านตามมาด้วย ท่านบอกว่า “ไม่เป็นไร ลองกำลังกันดูหน่อย เดี๋ยวข้าจะช่วยคนหน้าเอง..” แล้วท่านก็ครอบท่านโมเช่ไปเลย ท่านโมเช่เดินอย่างกับติดปีกบิน ไม่ใช่กำลังตัวเอง ผมก็ต้องวิ่งตาม คือว่าเขาไปได้เร็วเท่าไร เราก็ต้องไปให้เร็วเท่านั้น หมายเหตุ : *นายบุญทรง ทองคง บ้านกล้วย หมู่ที่ ๑ ตำบลวังยาว อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี **พระประสงค์ สุนฺทโร วัดกู่ไจ้ เมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า ***พระราชพรหมยาน(วีระ ถาวโร ป.ธ. ๔) วัดจันทาราม(ท่าซุง) หมู่ที่ ๒ ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ****พระครูวิหารกิจจานุการ(ปาน โสนนฺโท) วัดบางนมโค หมู่ที่ ๒ ตำบลบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-12-2011 เมื่อ 13:44 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
จากอุ้มผางลงไปห้วยขาแข้ง ปกติเขาเดินกันสองถึงสามวัน พวกผมไปถึงก่อนเพล ออกเดินเช้าไปถึงก่อนเพล ที่น่าสงสารที่สุดก็คือฤๅษีบุญทรง ท่านวิ่งหกล้มหกลุกตามไป จนกระทั่งเรียกว่าหมดสภาพจริง ๆ
พอพวกผมพัก ท่านก็หงายแผ่สลบไปเลย จนกระทั่งท่านฟื้นขึ้นมา ผมถึงได้บอกว่า “ขอโทษนะ..ไม่ได้เจตนาจะทำ แต่อยากรู้จริง ๆ ว่า ถึงเวลาจำเป็นขึ้นมาแล้ว เราจะใช้กำลังอย่างนี้ได้ไหม ?” ท่านโมเช่เองท่านก็เพิ่งจะรู้ ท่านคิดว่าท่านเดินตามปกติ แต่ท่านก็สงสัยว่า ทำไมถึงเร็วนัก ? ท่านบอกว่ามีนายพรานอยู่คนหนึ่ง ที่เดินเร็วขนาดท่านต้องวิ่งตามเลย ตอนเช้าเดินจากบ้านช่องแป๊ะ*ของอุ้มผาง ไปหุงข้าวเย็นกินในห้วยขาแข้ง นั่นเดินเร็วที่สุดแล้ว..วันเดียวถึง วันนั้นเราเดินถึงก่อนเพล แต่ว่าพอคลายกำลังใจ ผมก็น็อกเหมือนกัน สลบแข่งกับตาฤๅษี โงเงขึ้นมาได้ ถึงได้มาขอโทษ มาพูดมาคุยกับเขา ที่เล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง เพื่อที่ถึงเวลาพวกท่านทำได้แล้วจะได้ไม่แปลกใจ ถ้าต้องการจะตัดระบบร่างกาย เพื่อให้ได้พักผ่อนจริง ๆ ก็จะตัดฉับไปเลย แต่ว่าก่อนที่จะตัดระบบร่างกาย ให้ตั้งใจว่านานเท่าไรเราจึงจะคลายกำลังใจออกมา ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมง สามชั่วโมง ครึ่งวัน จะออกตอนเย็นนี้ หรือว่าจะออกอีกสามวันเจ็ดวันข้างหน้า กำหนดใจลงไปเลย ถึงเวลาก็จะหายเข้ากลีบเมฆไปเลย จะไปภพไหนภูมิไหนตามใจ แต่ถึงเวลาก็จะกลับ เพราะว่าเราได้ตั้งเอาไว้แล้วว่า เราจะกลับเมื่อไร ถ้าทุกคนสามารถซ้อมให้คล่องตัว กำลังทั้งหลายเหล่านี้สูงมาก ในเมื่อกำลังสูง ถึงเวลาแล้ว เรื่องของดินฟ้าอากาศก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เราสามารถที่จะขอได้ อย่างคราวที่แล้วที่บอกชีปุ๊กว่าให้ขอไว้ด้วย เวลาช่างทำงานอย่าให้ฝนตก ถ้าอั้นไม่ไหวจริง ๆ ก็อย่าตกหนัก ให้ไปตกหนักหลังห้าโมงเย็นไปแล้ว คุณจะเห็นว่าเมื่อวานผมกลับมา ผมก็ซักผ้าของผม ไม่ได้กลัวหรอกว่าฝนจะตก เพราะว่าผมมั่นใจว่า ถ้าช่างทำงานได้ ผ้าของผมก็ต้องแห้ง ขอเตือนไว้อย่างหนึ่งว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ เราไม่สามารถที่จะไปห้ามเขาได้ เพราะว่าเป็นธรรมชาติ ถ้าเราใช้กำลังอภิญญาไปห้าม เราห้ามได้ แต่จะได้ครั้งนั้นครั้งเดียวแล้วอภิญญาจะเสื่อม เพราะว่าเราไปทำให้ปกติของธรรมชาติเขาแปรปรวนไปหมด หมายเหตุ : *บ้านช่องแป๊ะ หมู่ที่ ๘ ตำบลแม่จัน อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2011 เมื่อ 16:50 |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
มีวิธีว่าขอให้เร็วขึ้น ขอให้ช้าลง หรือว่าเบี่ยงไปซ้าย เบี่ยงไปขวา ขึ้นข้างบน ลงข้างล่างไปได้ อย่างเช่นเวลาลมพายุมา ถ้ากลัวว่าจะทำอันตรายต่ออาคาร ก็ขอให้เขาพัดสูงขึ้นไป
เราห้ามเขาไม่ได้ แต่ว่าสามารถที่จะเบี่ยงเบนได้ จะให้ออกไปทางซ้ายก็ได้ ไปทางขวาก็ได้ ฝนจะตกตอนช่วงทำงาน ก็ขอให้เขาตกก่อนทำงาน หลังจากนั้นแล้ว ไปตกเอาหลังตอนทำงานก็ได้ จำให้แม่น ๆ ว่าอย่าห้าม ห้ามเมื่อไรแปลว่าเรากำลังฝืนกฎของธรรมชาติ อภิญญาจะเสื่อม ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติ พยายามดูอารมณ์ของเรา ระหว่างที่นั่งกรรมฐาน ระหว่างที่ฟังเทป ระหว่างที่เราทำวัตร ว่าอารมณ์ใจเข้าออกขึ้นลงอย่างไร ให้สังเกตอารมณ์ในแต่ละระดับ แล้วหัดเข้าออกตามนั้น จะเป็นการทรงฌานในแต่ละระดับของสมาธิ ช่วยให้พวกเรามีความคล่องตัวมากขึ้น ถึงเวลาจะใช้งานได้มากกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือว่าเหน็ดเหนื่อยจากการงาน เราก็สามารถที่จะใช้บรรเทาได้ บาลีท่านว่า ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง* คือ สามารถระงับกายสังขารได้ ระงับได้มากกว่าที่เราคิด หมดเวลาแล้ว ผมขออนุญาตบอกสัตตาหะ เพื่อที่จะไปเรียนต่อด้วย ----------------------------------- หมายเหตุ : *พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐: พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒: ทีฆนิกาย: มหาวรรค: มหาสติปัฏฐานสูตร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2011 เมื่อ 16:51 |
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|