กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 02-02-2012, 07:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐

อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐


เป็นอย่างไรกันบ้าง ? อากาศเย็นไหม ? แต่เป็นอากาศร้อนของที่นี่นะ เพราะที่นี่สถิติยังไม่มีใครลบได้คือ ๒.๕ องศาเซลเซียส ปีแรกที่มาที่นี่ ปี ๒๕๓๖ ตอนนั้นเดือนกุมภาพันธ์ อากาศอยู่ที่ ๑๓ องศาเซลเซียส หนาวอย่าบอกใครเลย

พอปี ๒๕๓๗ ไม่ใช่สิ..เดือนกุมภาพันธ์ ฤดูหนาวก็ต้องปลายปี ๒๕๓๖ ลดฮวบลงไปเหลือ ๓ องศาเซลเซียส ปี ๒๕๓๗ ขึ้นมาหน่อย ๕ องศาเซลเซียส พอปี ๒๕๓๘ ขึ้นมาเป็น ๘ องศาเซลเซียส

คิดว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ ที่ไหนได้ พอปี ๒๕๔๐ พาพระออกธุดงค์อยู่กลางป่า ยังสงสัยว่าแค่ประมาณ ๒ ทุ่ม ทำไมหนาวจนนอนไม่ได้ ต้องก่อไฟกองเบ้อเริ่มเลย นั่งล้อมกองไฟคุยกัน ควันออกปากอย่างกับสูบบุหรี่..!

กลางคืนไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเอาผ้าพลาสติกปูนอนมาพันตัว ผ้าพลาสติกนี่ถ้าห่อตัวอยู่นะ ไอตัวจะอยู่ข้างใน ทำให้ไม่หนาว พอทนอยู่ได้ แต่ตอนเช้า พอตื่นนอนคลายผ้าพลาสติกออกมา น้ำไหลโจ๊กเลย ไอตัวถูกกักอยู่ข้างในมาก ๆ เข้า ก็กลายเป็นน้ำ

พอออกมาที่ศูนย์ต้นน้ำ* ไปดูสถิติที่เขาจดไว้ทุกวัน วันนั้น ๒.๕ องศาเซลเซียส ปีแรกที่มา ชาวกรุงเทพฯ เห็นว่าเดือนเมษายนน่าจะมาเล่นสงกรานต์ เจออากาศ ๑๓ องศาเซลเซียสเข้า ลากผ้าห่มมาคนละสองสามผืนยังเอาไม่อยู่เลย..!

เมื่อวานเราอยู่ในงานเป่ายันต์เกราะเพชร เคยสอนอยู่เสมอว่า ให้พวกเรารู้จักดูกำลังใจตัวเอง เมื่อวานนี้ต้องการให้ดู ๒ จุด จุดที่หนึ่งก็คือ เวลาเราตั้งใจภาวนา กำลังใจรวมตัวเร็วมาก เร็วกว่าปกติที่เราทำอยู่กับบ้าน

เหตุเพราะว่า อันดับแรก พระท่านสงเคราะห์ให้ อันดับที่สองก็คือ กำลังใจของคนหมู่มากไปในทางเดียวกัน ในเมื่อกระแสไหลไปในทางเดียวกัน ก็ดึงเราตามไปได้ง่าย ตรงจุดนี้ให้ระมัดระวังแล้วก็สังเกตให้ดี เพราะว่าถ้าเราอยู่ข้างนอก กระแสรัก โลภ โกรธ หลง ที่แรงมากของคนหมู่มาก ก็จะดึงเราไปได้ง่ายเช่นกัน

ให้สังเกตว่า ถ้าเราอยู่อย่างนี้แล้วเราภาวนาจนกำลังใจทรงตัว เข้าบ้านเข้าเมืองไปพักเดียวก็พัง แรก ๆ ก็เหมือนกับมีอะไรบางอย่างดึงเราไปเรื่อย เอนไปเรื่อย ในที่สุดก็เซล้ม แล้วจะทำอย่างไร ก็คือ ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวก็รีบเร่งภาวนาให้มากไว้ จะได้มีกำลังไปต่อต้าน


หมายเหตุ :
* ศูนย์จัดการต้นน้ำที่ ๑๖ หมู่ที่ ๕ ตำบลสหกรณ์นิคม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑ - ๑๘๐
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2012 เมื่อ 10:52
สมาชิก 91 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-02-2012, 08:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

จุดที่สองที่ต้องการให้พวกเราสังเกตก็คือว่า กำลังใจของเราพอทรงตัวแล้ว เราไปพบกับสิ่งที่ควรแก่การยินดีหรือยินร้าย อย่างเช่นว่า เจอเพื่อนฝูงเข้าก็คุยกันสนั่น ลืมรักษาอารมณ์ตัวเอง หรือไม่ก็กระทบกระทั่งกับอารมณ์บางอย่างที่ไม่ชอบใจ โทสะกรุ่นขึ้นมา เคยสังเกตไหมว่า อารมณ์ที่เรารักษาได้หล่นหายไปตอนไหน ? ถ้าเราไม่เคยสังเกต ให้ตั้งใจสังเกตตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ไม่อย่างนั้นแล้ว เราจะไม่รู้ว่าผลที่เกิดนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุอะไร ในเมื่อเราหาเหตุไม่เจอ เราไม่สามารถจะสร้างผลครั้งต่อไปได้ บางทีก็เปะปะถูกโดยบังเอิญ อยู่ ๆ ก็ได้ผลมา ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไร เหมือนอย่างกับมีผลไม้รสดีอยู่ในมือ ตั้งหน้าตั้งตา กิน..กิน..กิน.. กินหมดแล้วก็หาใหม่ไม่เป็น จนกว่าจะมั่วได้ถูกอีกทีหนึ่งแล้วค่อยหาได้

ดังนั้น..ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ไม่ว่าจะอยู่ในงานอะไร หน้าที่ของเราก็คือ รักษากำลังใจของเราให้มั่นคง ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายกับสิ่งรอบข้าง

เมื่อวานนี้ท่านมหากวีศิลป์* ที่อยู่ข้างผมอารมณ์เริ่มบูด ท่านกวางเห็นก็น่าจะรู้ ก็เพราะว่าท่านไปดู ดูว่าคนนั้นเร็ว ดูว่าคนนี้ช้า ก็เลยกลายเป็นว่า คนเร็วน่าแจกวัตถุมงคลให้ คนที่ช้าไม่น่าให้

แล้วไปดูอีกจุดหนึ่งว่า คนนั้นทำบุญ คนนี้ไม่ทำบุญ คนทำบุญก็จะให้เขา คนไม่ทำบุญก็ไม่อยากจะให้ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่า กำลังใจของเราปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตสังขารทำงานเมื่อไรก็ รัก โลภ โกรธ หลง ทันที ไม่เป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร**คือ เมตตาแบบหาประมาณไม่ได้

เราต้องทำกำลังใจของเราให้เป็นอัปปมัญญาพรหมวิหาร คือสามารถสงเคราะห์คนโดยเสมอหน้ากัน รักคน รักสัตว์เสมอหน้ากัน คือ รักเหมือนกับรักตัวเรา เรารักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์อย่างนั้น เรายินดี พอใจ ชอบใจ ต้องการอะไร เขาก็ยินดี พอใจ ชอบใจ และต้องการอย่างนั้น

ถ้าหากว่าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้ได้ จิตใจจะไม่เศร้าหมอง จะไม่ขุ่นมัว รู้อยู่อย่างเดียวว่า เขาต้องการการสงเคราะห์จากเรา เราก็ให้การสงเคราะห์เขาไป แล้วก็ทำหน้าที่สักแต่ว่าทำ ทำอยู่แค่ตรงจุดนั้น ทำเสร็จแล้วก็แล้วกันไป เลิกแล้วเลิกเลย ไม่ได้เก็บเอามาคิด ไม่ได้แบกเอามาเครียด

หมายเหตุ :

*พระมหากวีศิลป์ วิสุทฺธกุโล(ป.ธ.๓ ; พธ.ม.) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ๓๔๔ แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

**องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๑๙๒/๒๕๒; อภิ.สํ. ๓๔/๑๙๐/๗๕;วิสุทฺธิ. ๒/๑๒๔
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-02-2012 เมื่อ 14:13
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-02-2012, 08:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องพยายามทำตรงนี้ให้ได้ โดยเฉพาะท่านที่ทำงานอยู่ เราต้องมีการกระทบกระทั่งกันในวงงานอยู่เสมอ ข้างบนกระแทกลงมา ข้างล่างอัดขึ้นไป เราอยู่ตรงกลาง ถ้าแรงไม่ดีก็โดนอัดแบน

ถ้าเราเก็บมาคิด เก็บมาเครียด สุขภาพจิตก็จะเสีย กำลังใจที่ตั้งใจจะรักษาให้ดี ให้ผ่องใส ก็จะเศร้าหมอง จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุดว่า เราต้องสังเกตอารมณ์ใจให้เป็น และอย่ารับอารมณ์ที่ไม่ดีเข้ามา

ตื่นเช้าขึ้นมารีบสร้างความดี สร้างอารมณ์ดี ๆ ให้เกิดขึ้นในใจของเรา กำลังใจของเรารับดีรับชั่วทีละอย่างเท่านั้น ถ้าเอาดีเข้าไปในใจแล้ว ชั่วก็จะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าเราเผลอให้ดีหลุดไป ชั่วเข้ามาในใจแล้ว ดีก็เข้ามาไม่ได้เหมือนกัน

ดังนั้น..พอมีความดีอยู่ในใจ ต้องประคับประคองรักษาไว้ อย่าให้หล่นหายไป วิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ประคองสติไว้เฉพาะหน้าอยู่เสมอ ถ้าหากว่ามีความชั่วอยู่ในใจ ก็ให้เร่งขับไล่ออกไป

เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีความชั่วอยู่ในใจ ก็คือใจเราโดนนิวรณ์ ๕*ครอบงำ จิตไปยินดีกับเรื่องของรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ จิตไปโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา

จิตประกอบไปด้วยการง่วงเหงาหาวนอน หดหู่ ซึมเซา ท้อแท้ ขี้เกียจ ไม่อยากปฏิบัติ จิตไปประกอบด้วยความฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญใจ ไม่ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว จิตประกอบไปด้วยความลังเลว่าผลการปฏิบัติจะมีจริงหรือ ?

ถ้าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ในใจของเรา ให้รู้ว่าคุณภาพใจของเราเสียไปแล้ว ถ้าหากว่าเป็นน้ำ ตอนนี้ก็เป็นน้ำเน่าแล้ว ต้องรีบเร่งขับไล่สิ่งเหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุด วิธีขับไล่ก็เหมือนเดิม คือ ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา

ถ้าหากว่าวันนั้นทั้งวัน จิตของเราว่างจากนิวรณ์ ๕ แปลว่า จิตของเราอยู่ในคุณภาพที่ดี ถ้าเป็นน้ำก็เป็นน้ำดี สามารถที่จะใช้ดื่ม ใช้อาบได้ พระพุทธเจ้าถึงได้สรุปคำสอน ตอนที่แสดงโอวาทปาฏิโมกข์**ต่อพระภิกษุทั้งหลาย

ตอนที่อยู่วัดท่าขนุนก็คงได้ยินพระสวด สพฺพปาปสฺส อกรณํ เว้นจากอารมณ์ชั่วทุกกรณี กุสลสฺสูปสมฺปทา สร้างสมความดีทุกโอกาส คือดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ สจิตฺตปริโยทปนํ ชำระจิตใจให้ใสสะอาดทุกเวลา


หมายเหตุ :
*องฺ. ปญฺจก. ๒๒/๕๑/๗๒ : อภิ.วิ. ๓๕/๙๘๓/๕๑๐

**ที.ม. ๑๐/๕๔/๕๗: ขุ.ธ. ๒๕/๒๔/๓๙
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-02-2012 เมื่อ 12:30
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-02-2012, 09:49
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ขอให้ทุกคนทราบว่า สภาพจิตของเราแต่เดิมผ่องใสอยู่แล้ว ต่ำที่สุดจะอยู่ในระดับฌานที่สอง แต่เนื่องจากว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมต่าง ๆ ที่ประกอบเป็น รัก โลภ โกรธ หลง พอกพูนหนาขึ้น..หนาขึ้น จิตเราก็สูญเสียความผ่องใสไป

เราจึงต้องหมั่นขยันขัดถูอยู่เสมอ เพื่อสร้างความผ่องใสให้เกิดขึ้นกับจิต เมื่อจิตผ่องใสแล้ว ก็ให้รักษาไว้ ระมัดระวังประคับประคองไว้ อย่าให้หลุดจากความผ่องใสนั้น เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่จะนำเราไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น นำเราให้หลุดพ้นจากโลกนี้ได้ นำให้เราหลุดพ้นจากการเวียนตายเวียนเกิดในทะเลทุกข์นี้ได้

ถ้าหากว่าจิตของเราเศร้าหมอง ให้รู้เถิดว่าเราเสียท่ากิเลสแล้ว ถ้ายิ่งเราประคับประคองกำลังใจให้ผ่องใสมาเป็นเวลาห้าวัน สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง สองเดือน สามเดือน หรือเป็นปี แล้วอยู่ ๆ กำลังใจเศร้าหมองลงไป จะน่าเสียดายขนาดไหน ?

ดังนั้น..เรามีหน้าที่จะต้องรักษาใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา รักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าเรารู้จักทำอย่างนี้ รู้จักสังเกตอารมณ์ใจอย่างนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะมี


แต่ถ้าเรารักษาอารมณ์ใจไม่เป็น สังเกตอารมณ์ใจไม่เป็น วิเคราะห์วิจัยหาเหตุหาผลของอารมณ์ใจไม่ได้ เราก็จะต้องทำแบบมวยวัด เหวี่ยงเปะปะอยู่เรื่อย โอกาสที่จะได้ผลก็ช้า ถ้าหากว่าพลาด ใจเศร้าหมอง เกิดต้องลงอบายภูมิไป ก็เป็นเรื่องที่สุดแสนจะน่าเสียดาย

วันนี้ก็ขอฝากเอาไว้ว่า ให้กลับไปย้อนทบทวนดูว่า เมื่อวานนี้ อารมณ์ใจของเราตอนที่ดีนั้นดีอย่างไร ? ตอนที่เสียนั้น..เสียอย่างไร ? มีสาเหตุจากอะไร ? เราคิด เราพูด เราทำอะไร ถึงดี..เราคิด เราพูด เราทำอะไรถึงเสีย

เมื่อวิเคราะห์หาเหตุเจอแล้ว ต่อไปอะไรดีเราก็สร้างเหตุอันนั้น อะไรเสียเราก็ระมัดระวังอย่าให้เหตุนั้นเกิด* เราก็จะรักษาอารมณ์ใจของเราไว้ได้ เอาเท่านี้แหละ คนอยู่กันมาก ไปช่วยกันทำครัวดีกว่า


-----------------------------------



*สังวรปธาน(เพียรปิดกั้นบาปอกุศลไม่ให้เกิดขึ้น) ภาวนาปธาน(เพียรสร้างกุศลให้เกิดขึ้น) จาก องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๖๙/๙๖ ; ๑๔/๒๐; ๑๓/๑๙
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2012 เมื่อ 17:18
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:53



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว