#1
|
||||
|
||||
เรื่องเล่าจากคนในวัด
เวลา ๑๑.๐๐ น. เป็นเวลาเพลที่พระ แม่ชี และลูกวัดจะต้องมารวมตัวกัน ณ โรงครัว เพื่อฉันหรือกินข้าวมื้อเพล
ก่อนที่จะฉัน หลวงพ่อเล็กท่านก็จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พระเณรและญาติโยมฟัง สำหรับวันนี้ อยู่ ๆ ท่านก็พูดว่า "ช่วงนี้เป็นเทศกาลกินเจ คนกินเจจะร้องเพลงไม่ได้" หลายคนก็งงว่าทำไมจึงร้องเพลงไม่ได้ สุดท้ายหลวงพ่อท่านก็เฉลยว่า "ก็เพลงทุกเพลงต้องมีเนื้อ" หลายคนถึงกับอึ้งกิมกี่ เพราะคาดไม่ถึงว่าจะมีฮาก่อนฉันข้าว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-10-2011 เมื่อ 13:13 |
สมาชิก 299 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
เมื่อเห็นข่าวคันกั้นน้ำพัง แล้วเขาอุดกันไม่อยู่ หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "จำไว้นะ..ถ้าพวกคุณจะอุดฝายหรือพนังกั้นน้ำที่ถูกน้ำเซาะพัง ให้เอาเสาคอนกรีตหรือเสาเข็มยาว ๆ สัก ๒๐ - ๓๐ เมตร ๔-๕ ต้น มาขวางน้ำไว้ก่อน แล้วค่อยใช้กระสอบทรายอุด ไม่อย่างนั้นจะต้านแรงน้ำไม่อยู่ น้ำมาแรงขนาดนั้น เอาอย่างอื่นไปกั้นก็โดนน้ำซัดไปหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 07-01-2012 เมื่อ 04:06 |
สมาชิก 285 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าเอาของที่ไม่ใช่รูปพระมาเสกให้เป็นวัตถุมงคล ยากมากเลยนะ..รู้ไว้ซะบ้าง จะได้รู้ว่าคนเสกเหนื่อยแค่ไหน
หลวงพ่อเล็ก ทำวัตรเย็นบนศาลา ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-10-2011 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 287 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ณ หอฉันวันนี้ หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "จากที่ไม่เคยฝันมานานแล้ว แต่เมื่อคืนกลับฝันว่าฟันหลุด แสดงว่าการไปใต้ครั้งนี้จะต้องมีคนรอบข้างเป็นอะไร ดังนั้น..ถ้าใครยังทำใจไม่ได้และไม่อยากตายห่..รีบถอนตัวตอนนี้ก็ยังทัน
อย่าคิดว่าจะหวังพึ่งอาจารย์ ไม่ต้องหวัง..บอกแล้วว่างานนี้ตัวใครตัวมัน..!" ๑๓ ต.ค. ๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 14-10-2011 เมื่อ 02:04 |
สมาชิก 275 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
หลวงพ่อบอกว่า "การเดินทางไปนราธิวาสครั้งนี้ เพิ่งมาวางกำลังใจก็ตอนที่รถไฟเดินทางถึงหัวหินแล้ว เขาเล่นงานในส่วนที่มองเห็น..ไม่ได้ ก็เลยเล่นอีกทางหนึ่ง แต่อย่างว่า..คุณไสยของทางใต้ไม่เท่าไร พวกเราก็เลยปลอดภัยกลับมา แต่ตอนนี้ทัพหน้าของอาตมานอนหงิกอยู่ที่ปัตตานี..! เจอเข้าไปเต็ม ๆ..!"
หลังทำวัตรค่ำบนศาลาวัดท่าขนุน ๑๗ ต.ค. ๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-10-2011 เมื่อ 16:03 |
สมาชิก 262 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
มื้อเพลของวันนี้ หลวงพ่อบอกวิธีป้องกันน้ำท่วมมาว่า "ถ้าใครต้องการป้องกันน้ำท่วม ให้ติดป้าย "ห้ามน้ำเข้า" สมัยนี้มีการศึกษามาก น้ำคงจะอ่านหนังสือออก..!"
ณ หอฉัน ๒๐ ต.ค. ๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 21-10-2011 เมื่อ 13:54 |
สมาชิก 245 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
หลวงพ่อบอกว่า "ญาติของใครต้องการหนีน้ำท่วม บอกให้เขามาอยู่ที่วัดท่าขนุนก็ได้ ที่นี่รับเลี้ยงชั่วคราว แต่ถ้าต้องการอยู่แบบถาวร ต้องคุยกันเฉพาะตัว วัดเป็นที่พึ่งในทุกสถานการณ์ ไม่ต้องห่วงว่ามาอยู่เยอะแล้วพระเณรจะอด เพราะถ้าอดก็อดด้วยกัน อิ่มก็อิ่มด้วยกัน"
ณ ศาลาวัดท่าขนุน หลังทำวัตรค่ำ ๒๐ ต.ค. ๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-10-2011 เมื่อ 03:29 |
สมาชิก 268 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
"บางคนครอบครัวอยู่ในพื้นที่ประสบภัย ก็มีความห่วงกังวลอยู่ ถามว่าจะทำอย่างไร ? ต้องบอกว่า..ให้วางกำลังใจแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตอนเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ พระองค์ท่านทิ้งครอบครัว ท่านมีเมียที่สวยสุดและมีลูกที่เพิ่งจะเกิด และที่สำคัญคือ อีก ๗ วัน สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิจะปรากฏขึ้น แต่พระองค์ท่านละทิ้งทั้งหมด ออกไปปฏิบัติธรรม เมื่อบรรลุแล้วจึงเสด็จกลับมาสงเคราะห์ โปรดพระราชบิดา โปรดพระประยูรญาติ โปรดพระนางพิมพา โปรดพระราหุล และเสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาที่ชั้นสวรรค์ดาวดึงส์
ถ้าดูด้วยกำลังใจปกติ เราจะเห็นว่าพระองค์ก็รักครอบครัวเหมือนกัน แต่ความรักความห่วงของพระองค์ รักและห่วงตามสภาพเท่านั้น ช่วยเหลือได้แค่ไหนก็ยินดีและพอใจแค่นั้น ไม่มีการมากังวล ไม่ได้แบกเอาไว้ ในพรหมวิหารสี่มี เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ตัวอุเบกขานี่แหละ...ที่จะช่วยเราไม่ให้เครียด ไม่ให้บ้า..! เหตุการณ์แก้ไขไม่ได้จะไปเครียดทำไม ? น้ำอยากจะท่วมก็ท่วมไป เลิกท่วมเมื่อไรก็มาแก้ไขในส่วนที่เราแก้ไขได้ จำไม่ได้ว่าใคร..ท่านบอกว่า ปัญหามีเอาไว้แก้ มีคนถามว่าแล้วถ้าเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้ ? ท่านตอบว่า ปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ใช่ปัญหา ถ้าเป็นปัญหาต้องแก้ได้ ในเมื่อไม่ใช่ปัญหา ก็ไม่ต้องไปยุ่ง กองไว้ตรงนั้นแหละ นี่ก็คือตัวอุเบกขาในพรหมวิหารสี่ ในเมื่อสุดความสามารถของตนแล้ว ก็ต้องปล่อยวาง และรักษาสภาพจิตใจของเราให้ผ่องใส ไม่ใช่โง่ไปคร่ำครวญ ร้องไห้ร้องห่มไปก็ไร้ประโยชน์ พระสารีบุตรพร้อมกับน้องของท่าน รวมทั้งหมด ๗ องค์ด้วยกัน เป็นพระภิกษุและพระภิกษุณีอรหันต์ทั้งหมด แต่มีแม่เป็นมิจฉาทิฐิ ช่วงท้ายพระสารีบุตรไปลาพระพุทธเจ้าเพื่อนิพพาน แล้วเดินทางกลับบ้านไปสงเคราะห์แม่ที่เป็นมิจฉาทิฐิ โดยพาน้อง ๆ และพระอีก ๕๐๐ รูปไปด้วย แม่ไม่ยอมเชื่อว่าพระดีกว่าพรหม เพราะแม่เป็นพราหมณ์ ถือว่าพรหมเหนือกว่า พระสารีบุตรก็ไม่ว่าอะไร บอกให้แม่จัดห้องเดิมที่เคยคลอดตน ท่านตั้งใจพักห้องนั้น ตอนหัวค่ำท่านท้าวมหาราชทั้งสี่เสด็จมาเยี่ยมพระสารีบุตร รัศมีกายเทวดาสว่าง คนเป็นแม่ก็แปลกใจว่าแสงอะไร ตะโกนถามลูกว่า "จุนทะเอ๊ย..ใครมาหาพี่แก ?" พระจุนทะก็บอกว่า ท้าวมหาราชมาเยี่ยมพี่ แม่ก็คิดว่าลูกเราใหญ่กว่าท้าวมหาราชอีก แต่ยังไม่ใหญ่ไปกว่าพรหมหรอก เวลายามสองพระอินทร์มาเยี่ยม รัศมีสว่างไปทั้งห้องเลย ถามว่า "จุนทะเอ๊ย...ใครมาอีก ?" พระจุนทะบอกว่าพระอินทร์มาเยี่ยมพี่ แม่ก็คิดว่าลูกเราใหญ่กว่าพระอินทร์อีก แต่ก็ไม่ใหญ่ไปกว่าพระพรหมหรอก จนกระทั่งยามสุดท้าย ท้าวสหัมบดีพรหมมาเยี่ยม รัศมีสว่างไปกว่าเดิมอีก ทีนี้แม่ก็ถามว่าใคร พระจุนทะก็บอกว่าท้าวสหัมบดีพรหมมาเยี่ยมพี่ แม่จึงถามว่า "นี่พี่แกใหญ่กว่าท้าวสหัมบดีพรหมอีกหรือ ?" พระจุนทะตอบว่า ถ้าจะเปรียบไปแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหมท่านเป็นแค่มัคคนายกเท่านั้น เพราะเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม และพระอินทร์ก็เป็นแค่สามเณรเดินตามพระเถระ เพราะว่าถือบาตรให้พระพุทธเจ้าตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนท้าวมหาราชทั้งสี่เปรียบเป็นเด็กเฝ้าวัด เพราะว่าถือพระขรรค์คอยแวดล้อม ดูแลรักษาพระพุทธเจ้า ตอนพระพุทธเจ้าอยู่วัดก็ดูแลประตูทั้งสี่ทิศให้ พอแม่ได้ยินเข้าก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมา กราบพระสารีบุตร ต่อว่า "พ่อคุณ..มีความดีขนาดนี้ทำไมไม่บอกแม่ ?" พระสารีบุตรได้เทศน์ถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แม่จึงกลายเป็นพระโสดาบัน พระสารีบุตรก็หมดลม..ไปพระนิพพานพอดี เรามาดูตรงจุดที่ว่า ถ้าพระสารีบุตรไม่รักไม่ห่วงแม่ ท่านจะไปสงเคราะห์แม่ทำไม ? ท่านสงเคราะห์แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ท่านรักท่านห่วงแบบบุคคลที่ทรงธรรม ก็คือทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นท่านไม่ได้ใส่ใจ ช่วยได้ก็ดี ช่วยไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้น..ถ้าน้ำท่วมบ้านก็ไม่ต้องไปแบกบ้านไว้ หรือไม่ใช่ว่าคนอื่นเดือดร้อน โทรมาแล้วเราก็เครียดแทน จำไว้ว่า...คนเรามีบุญรักษาและมีกรรมรักษา ถ้าวาระบุญวาระกรรมยังรักษาอยู่ ทำอย่างไรก็ไม่ตาย ต่อให้ไม่มีเรา เขาก็อยู่ได้ ถ้าไม่มีเราแล้วเขาจะตาย ก็ปล่อยให้ตายไปเถอะ เราจะได้หมดภาระ..! เมื่อเป็นดังนี้ก็ไม่ต้องไปแบกภาระของคนอื่น ถ้าเกินกำลังของตน เกินกำลังเงิน แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปเครียดให้เสียเวลา น้ำมาก็หาห่วงยางไปเล่นซะก็หมดเรื่อง น้ำลดเมื่อไรก็ล้างบ้าน ตรงไหนสีล่อนก็ทาสีใหม่ เรื่องอื่นที่ยังมาไม่ถึงไม่ต้องไปคิด น้ำแห้งเมื่อไรค่อยไปคิดอีกที คงจะบ่นว่าอาตมาใจจืดใจดำเป็นบ้าเลย..!" สนทนาหลังทำวัตรค่ำบนศาลา ตุลาคม ๒๕๕๔
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 13:48 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
หลังทำวัตรค่ำ ปี ๒๕๕๒ พระอาจารย์กล่าวกับพระลูกวัดว่า
วันนี้มีพระพาโยมไปทุบประตูกุฏิผม เพื่อให้ผมไปรับสังฆทาน ยังดีว่าวันนี้ผมปวดฟัน ก็เลยด่าไม่ถนัด ไม่อย่างนั้นโดนด่าตั้งแต่หน้าประตูแล้ว ถ้าต้องให้ผมไปรับสังฆทาน ผมจะตั้งเวรรับสังฆทานไว้ทำไม ? จำไว้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเลยว่า ถ้าโยมจะถวายสังฆทานให้ไปที่กุฏิหลวงปู่สาย เพราะเวรรับสังฆทานมีอยู่แล้ว สังฆทานใครก็ได้ที่เป็นตัวแทนสงฆ์รับ ตอนนี้วัดเราตั้งหน้าที่อย่างเป็นทางการแล้ว ยกเว้นว่าถ้าเวรไม่อยู่ให้พาโยมไปกุฏิผม แล้วผมจะเฉ่งเวรเอง..! นี่เป็นเรื่องแรก เรื่องที่สอง...ต้องขอบใจท่านทั้งหลายที่เห็นผมโทรมมาจากกรุงเทพฯ ตั้งใจมานวดให้ แต่เท่าที่ดูแล้วยังไม่เป็นมวยสักคนหนึ่ง ก็เลยปฏิเสธไป โดยเฉพาะบางท่านมีแต่แรง ไปถึงก็กดส่งเดชไปเรื่อย ถ้ากดคนอื่นคงแหกปากร้องไปสามบ้านแปดบ้านแล้ว แต่บังเอิญกดเท่าไรผมก็ไม่ร้อง ก็เลยกดไปเรื่อย ร่างกายของผมต้องใช้พลังงานในการต่อต้านความเจ็บป่วยอยู่ ถ้าเอากำลังส่วนนั้นมาใช้ในการต่อต้านความเจ็บปวดแทน ไข้จะกำเริบ ผมจึงได้ไม่รับ อีกประเภทหนึ่ง ปกติเวลานวดเขากดเส้นเอ็นกัน แต่นี่เห็นเส้นเลือดกี่เส้นกดหมดเลย..! เส้นเลือดของเรามีประตูกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ ถ้าคุณไปกดโดนประตูเข้าพอดีแล้วประตูพัง ผมก็ปางตาย เพราะว่าเลือดจะไหลย้อนกลับเข้าหัวใจ คนที่อยู่ ๆ ไม่เคยย้อนศร ไม่รู้หรอกว่าอาการใกล้ตายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น...ถ้านวดไม่เป็นไม่ต้องอาสา ขอขอบคุณเป็นอันขาด ผมยอมปวดยอมเมื่อยของผมดีกว่า สบายกว่าเยอะเลย..! เรื่องที่สาม...ให้พระสึกหลังจากกฐินทั้งหมด ใครทนไม่ได้ให้ขาดใจตายไปเลย เพราะว่าที่นี่ประกาศชัดแล้วว่า ในพรรษามีเจ้าภาพบวชให้ บุคคลที่บวชจะต้องอยู่รับกฐินก่อนถึงสึกได้ ถ้าหากท่านบอกว่าท่านมาโดยไม่รู้ ก็ถือว่าเป็นความซวยของท่านเอง ไม่ต้องมาถามหาฤกษ์สึกกับผมอีก..! เกิดมาเป็นลูกผู้ชายทั้งที ถ้า ๓ เดือนทนอยู่ไม่ได้ก็ไปลาหมาตายซะดีกว่า..! สมัยก่อนที่เขาให้บวชก่อนแล้วถึงให้มีครอบครัว ก็เพื่อต้องการจะฝึกพวกเรา ให้มีความอดทนต่อสิ่งที่กระทบทางอารมณ์ทุกอย่าง วันก่อนพระครูหน่อยโทรไปบอกว่าตา...สึกแล้ว ผมก็ได้แต่นึกว่า ขยะโดนซัดขึ้นฝั่งไปอีกทิดหนึ่งแล้ว ในปหาราทสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับจอมอสูรปหาราทะว่า พระธรรมวินัยของพระองค์เปรียบเหมือนมหาสมุทรหลายประการ มีประการหนึ่งก็คือ มหาสมุทรจะซัดเอาซากศพ หรือขยะสิ่งสกปรกขึ้นฝั่งอยู่เสมอ ใครก็ตามที่ไม่สามารถทนอยู่ในพระวินัยได้ จะกลายเป็นขยะที่โดนซัดขึ้นฝั่งไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 13:34 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรถ้าใครจะอยู่ใครจะสึก แต่ถ้าในพรรษาต้องว่ากันตามเวลา ตา...สึกไปผมก็ไม่ได้เสียดาย ขณะเดียวกันเขาอยู่ผมก็ไม่ได้ดีใจ เพียงแต่บอกให้พวกท่านรู้ว่า คนอย่างเขาถ้าไม่สามารถทนอยู่ในวัดท่าขนุนนี้ได้ ชีวิตนี้ของเขาไม่ต้องหวังว่าจะประสบความสำเร็จ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น เป็นควายป่าไม่ยอมอยู่ในคอก ไม่ยอมรับการฝึกหัด แล้วจะเอาดีได้อย่างไร ? ในเมื่อเขารู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่ได้ โดยไม่คิดแม้แต่จะต่อสู้ กิเลสบอกอยู่ไม่ได้หรอก แกตายแน่ ๆ เขาก็เชื่อกิเลสแล้วก็สึกไป พวกเราก็ตั้งท่าจะเชื่อกิเลสตามไปอีก
ขอให้รู้ว่ารัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างที่มากระทบอารมณ์ของเรา มาโดยกิเลสสั่งทั้งนั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่ความต้องการของเรา แต่เราไม่คิดจะต่อสู้ ไม่คิดจะต่อต้าน ทำเป็นปลาตายลอยน้ำ ก็สักแต่เป็นอาหารของแร้งของกาเท่านั้น ไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ที่แม่น้ำแยงซีเกียงมีประตูมังกรอยู่ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงโตรกเขาที่บีบแคบ น้ำจะไหลรุนแรงมาก แต่ปลาหลีฮื้อจะว่ายทวนน้ำไปวางไข่ น้ำแรงขนาดไหนก็ว่ายทวนน้ำขึ้นไปจนได้ จนคนจีนเขาเชื่อกันว่า ถ้าปลาหลีฮื้อผ่านประตูตรงนั้นไปเมื่อไรก็จะกลายเป็นมังกร คือประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะฉะนั้นพวกเราก็ลองดู จนกว่าจะถึงวันที่ ๒๓ ตุลาคมนี้ ดูว่ามีใครฝ่าประตูมังกรได้บ้าง ? ถ้าทนอยู่ได้ถึง คุณก็สามารถที่จะไปเป็นมังกรผงาดอยู่บนฟ้า แต่ถ้าทนไม่ได้ก็เป็นเหี้_คลานอยู่บนดินเหมือนเดิม..! เรื่องพวกนี้จริง ๆ ผมไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้ แต่ว่าบางทีพวกเราฟังกันคนละทีสองที แล้วก็ไปคนละเรื่องคนละราว เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบว่าจะโทษใคร บางทีผมสั่งงานอย่างหนึ่งก็กลายเป็นอย่างหนึ่ง ผมก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของพวกเรา ก็ขอให้ทราบว่าในเมื่อเราจำเป็นที่จะต้องกัดฟันอยู่แล้ว พยายามอยู่ดีให้ได้ เราเป็นทหารในกองทัพธรรมของพระพุทธเจ้า แค่ช่วงเวลาสามเดือนกว่าสี่เดือน ลองรบกับกิเลสให้ระบือลือลั่นดูสักที ให้ตายคาสนามรบอย่างทหารกล้าดูสักที รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชนิพนธ์ไว้ว่า ทวยหาญจำหื่นเหี้ยม...............หนรณ บริรักษ์ด้าวแดนตน..................ตราบม้วย มาดตายท่ามกลางผจญ............จงชื่อ เฉลิมแฮ ผิว์รอดเรืองยศด้วย....................อยู่ด้าว แดนเกษม ท่านบอกว่า ในสงคราม..ถ้าตายกลางสนามรบก็จะมีชื่อเสียงเลื่องระบือ แต่ถ้ารอดมาได้ก็จะรุ่งเรืองด้วยเกียรติยศ ดังนั้นเราในฐานะของทหารของพระพุทธเจ้า ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้ากิเลสเลยก็ถอยซะแล้ว ขายขี้หน้าไปสามโลก..! รบกับกิเลสเข้าไปสิ.. ตายเป็นตาย..ใครก็ตาม..กำลังใจยิ่งเข้มแข็งเท่าไร ก็จะได้รับการทดสอบหนักเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 13:48 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ผมเองตอนบวชใหม่ ๆ บางทีก็ทำอะไรไม่ถูก มืดแปดด้าน ผมต้องวิ่งอยู่ในกุฏิ วิ่งวนไปเรื่อยจนหมดแรงพับหลับไปเลย คิดว่าพวกคุณคงจะไม่โดนหนักขนาดนี้ นั่นผมสู้..ในเมื่อหน้ามืดหาทางไปไม่ได้ ก็ให้รู้ไปว่าจะต้องสึก สู้กันอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพัน สู้ไม่ได้ก็ยอมตายอยู่ตรงนั้นแหละ พวกท่านแม้ว่าจะไม่โดนหนักขนาดนี้ แต่เอาวิธีการของผมไปใช้ได้..ไม่หวงห้าม
เราบวชมาทั้งที ญาติโยมทั้งหลายหวังบุญหวังกุศลจากเรา พ่อแม่ญาติพี่น้องทุกคน ถึงเวลาเขาส่งเราเข้าโบสถ์ด้วยความปีติยินดี ไม่ใช่ออกมาจากโบสถ์ยังไม่ทันสามวันกูจะสึกแล้ว..! ในพรรษานี้เรามีการเรียนหนังสือด้วย เพราะฉะนั้น..อย่าปล่อยเวลาให้ว่าง ถ้าว่างแล้ว..จะคิดฟุ้งซ่าน คิดแต่จะสึก คุณขีดปฏิทินไว้ได้เลยหลัง ๒๓ ตุลานี้ถึงสึกได้ ถ้าอกแตกตายไม่เป็นไร เพื่อนพระมีมากพอ เขาจะสวดให้..! สำหรับวันพรุ่งนี้หลังทำวัตรเย็นแล้ว เราจะมีการอธิษฐานพรรษา พวกท่านท่องคำอธิษฐานพรรษาหน้า ๑๗๒ ของหนังสือมนต์พิธีให้คล่องปาก ถ้าผมเห็นว่าคล่อง จะอธิษฐานพร้อมกันทั้งวัด แต่ถ้าผมเห็นว่าไม่คล่อง...เจออธิษฐานเดี่ยว..! แบบเดียวกับตอนบวชหมู่ที่มีตัวตีกินอยู่ ผมก็ปล่อยให้เขาท่องคนเดียว เพื่อนสองคนนั่งรอไป คำอธิษฐานพรรษาแค่สั้น ๆ คิดว่าคงไม่เหนือบ่ากว่าแรง ถ้าเราตั้งใจท่องจริง ๆ ผมว่าภายในชั่วโมงเดียวก็ได้แล้ว เพียงแต่เรามัวไปสนใจทำอย่างอื่นเท่านั้น สำหรับพวกเราพรุ่งนี้ ถ้ามีวัตถุมงคลนำเข้าพิธี ให้ใส่บาตรใส่ย่าม ผูกให้เรียบร้อยแล้วค่อยนำมา โดยเฉพาะถ้าใครคิดว่าจะอยู่ยาว เครื่องมือหากินอย่างบาตร กลด เอามาเข้าพิธีด้วย เวลาออกป่าจะได้ปลอดภัย นี่เป็นข้อแนะนำจากผมเอง เพราะสมัยก่อนมีพุทธาภิเษกเมื่อไร ผมเอาเข้าพิธีทุกที กลด บาตร กระติกน้ำ ฯลฯ อย่างน้อย ๆ ไม่มีอะไรติดตัว มีกระติกน้ำอยู่ก็ยังอุ่นใจ ถ้าใครไม่คิดว่าจะอยู่ยาวไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ หลังทำวัตรค่ำ บนศาลาวัดท่าขนุน กรกฎาคม ๒๕๕๒
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 13:49 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวสอนพระบวชใหม่ว่า
พูดถึงเรื่องการปฏิบัติ ผมดีใจที่พวกเราชุดนี้สนใจการปฏิบัติกันมาก มีทั้งขออนุญาตเดินทางไกล ไปค้างคืน และมีการฝึกแบบทหารเพื่อทดสอบกำลังใจด้วย แต่เราต้องไม่ลืมว่ากำลังใจเราจะดีขนาดไหนก็ตาม หรือศึกษามามากขนาดไหนก็ตาม เราก็ยังอยู่ในสภาพของพระใหม่ ถ้ายังไม่เกิน ๕ พรรษา ถือว่าเป็นนวกะ ต้องอยู่ถือนิสัยภายใต้การอบรมของครูบาอาจารย์ เพราะฉะนั้น..ถ้าขออนุญาต ผมก็ผ่อนผันให้ไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไปแล้วจะทำอะไรได้อย่างใจตนเองทุกอย่าง ความที่เราเป็นพระใหม่ กิริยาอาการของฆราวาสยังมีอยู่ เราอาจจะไปทำให้โยมเขาเสื่อมศรัทธาโดยไม่รู้ตัว แม้กระทั่งในวัดของเรามีถนนเป็นทางผ่าน โยมเขาขับรถไปขี่รถมาก็เห็นได้ อย่างเช่นถ้าเรานุ่งผ้าอาบผืนเดียว ถือแปรงสีฟันขันน้ำไปห้องน้ำ หรือไม่เวลาทำงานก็ขัดเขมร ถกสบง ถอดอังสะ อย่าลืมว่าเราเป็นพระภิกษุสงฆ์ เป็นปูชนียบุคคล ญาติโยมเขากราบไหว้บูชา ก็แปลว่าทำอย่างไรที่ขันธ์ ๕ ของเรา จะยังชาวบ้านให้เลื่อมใสได้มากที่สุด เพราะฉะนั้น..ถึงต้องมีสมณสารูป นุ่งให้เรียบร้อย ห่มให้เรียบร้อยเป็นปริมณฑล เบื้องล่างเขาบอกว่าปิดหน้าแข้ง ผมเห็นหลายท่านนุ่งสบงลอยอย่างกับมินิสเกิร์ต..! จำไว้ว่านุ่งถึงครึ่งแข้ง เปิดหัวเข่าเมื่อไรก็โดนอาบัติเมื่อนั้น โดยเฉพาะเณรชอบถลกสบงจริง ๆ อะไรจะร้อนขนาดนั้น ต่อไปอย่าทำให้เห็นอีก ผมถือว่าบอกแล้ว ถ้ายังทำให้เห็นอีกแสดงว่าอยากได้รางวัล ผมก็จะมีให้ ไม่หวง..! ส่วนในเรื่องของการอดอาหาร มีทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี การที่เราอดอาหารเพื่อทดสอบการปฏิบัติ ในส่วนดีอันดับแรกก็คือ ไม่ต้องไปกังวลเรื่องอาหาร สามารถปฏิบัติได้ต่อเนื่อง เมื่อเวลาร่างกายรับอาหารเข้าไปจะเกิดความหนัก เลือดลมโคจรไม่คล่องตัว การภาวนาก็ไม่ดีเท่าที่ควร แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือพอเหมาะพอดีกับธาตุขันธ์ตัวเอง ส่วนข้อเสีย ก็คือ เวลาอดอาหาร ร่างกายขาดสารอาหารที่เคยได้รับ เราจะหงุดหงิดฟุ้งซ่านได้ง่าย และถ้ารู้สึกหิวอยู่ตลอดเวลา ใจจะกังวล ฉะนั้น..เอาให้พอดี จำไม่ได้ว่าเป็นใคร เขาบอกว่าสามมื้อเพื่อกาม ก็คือฆราวาส เพราะต้องทำงานและยังมีลูกมีเมียด้วย สองมื้อเพื่องาน ก็คืออย่างพระของเรา ฉันสองมื้อเพื่อจะได้ทำกิจการงานของสงฆ์ หนึ่งมื้อเพื่อพรหมจรรย์ ก็คือ จะทุ่มเทเรื่องการปฏิบัติ ตัดกังวลเรื่องกินให้มากที่สุด ดังนั้น..ส่วนของความพอเหมาะพอดีจะต้องมี แต่ละคนถ้าเอาความเป็นสัปปายะ ก็คือ พอเหมาะ พอดี พอสมควรแก่ตัว การปฏิบัติจึงจะเจริญ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 05-10-2012 เมื่อ 18:54 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พระปฏิบัติสายอีสาน สายหลวงปู่มั่น ท่านมักจะอดอาหารทรมานตัวเอง เพราะว่าเป็นวิสัยเดิมของท่าน วิสัยเดิมของคนอีสานต้องต่อสู้กับสภาพความแห้งแล้งโหดร้ายของดินฟ้าอากาศมาตลอด จิตใจของท่านจึงค่อนข้างจะเข้มแข็ง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือดื้อ ต้องทรมานกันให้หนัก ๆ จึงจะยอมลงให้ หลายท่านถึงขนาดอดอาหาร ๑๕ วันติดต่อกันก็มี
แต่เราต้องคำนึงถึงความพอดี เพราะถ้าไม่พอดี เกินหรือขาดก็จะเสียในเรื่องของธรรมะ พระพุทธเจ้าทรงทรมานร่างกายยิ่งกว่าเรา แต่ไม่สำเร็จมรรคผล เพราะฉะนั้น..พวกเราต้องดูแค่พอเหมาะ พอดี พอควร และความพอเหมาะพอดีของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิ ขึ้นอยู่กับบุญบารมีที่สั่งสมมา ใครที่ทำมาเยอะ ก็สามารถที่จะอดได้มากกว่าคนอื่นเขา คนที่ทำมาน้อยก็ลดหย่อนลงมาหน่อยหนึ่ง แต่เรื่องของอาหารผมขอบอกไว้เลยว่า ถ้าทรงฌานไม่ถึงปฐมฌานละเอียด อดอาหารไม่ได้ผลหรอก อย่างน้อย ๆ ต้องได้ปฐมฌานละเอียดขึ้นไป เพราะถ้าทรงปฐมฌานละเอียดได้ จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน จะไม่สนใจร่างกาย จะไม่สนใจเรื่องอาหาร ประเภทไม่รับรู้เลยเสียด้วยซ้ำ มีความสุขอยู่กับภาวนาเฉพาะหน้า หรือว่ามีความสุขกับการพิจารณาธรรมเฉพาะหน้า บางรายกำลังพิจารณาต่อเนื่อง ประเภทกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม พอถึงเวลาตีกลองเพลดังตูม..! ได้เวลาไปฉัน อารมณ์ที่ทำได้ก็หยุดไป ดังนั้น..ถ้าไม่ได้อดอาหาร เราก็จะเสียการปฏิบัติในตอนนั้น เรื่องพวกนี้อยู่ที่ว่านักปฏิบัติทำได้ถึงระดับไหน แต่ถ้าทรงปฐมฌานละเอียดไม่ได้ อดอาหารไปไม่มีผลหรอก เพราะจิตกับประสาทแยกออกจากกันไม่ได้ กังวลอยู่ตลอดเวลา มีความฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา ใครพูดผิดหูก็ง้างกำปั้นใส่ แต่ท่านใดจะลองฉันมื้อเดียวก็ได้ จะได้ถือโอกาสลดน้ำหนักไปในตัว ที่นี่พวกเราก็รู้อยู่ว่าระเบียบไม่ได้ตึงเครียดจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้หย่อน ขนาดนี้วัดอื่นเขายังบ่นว่าวัดเราโหดเกินไป ใจจริงผมอยากให้เข้มกว่านี้อีกหน่อย แต่กลัวว่าพวกคุณจะไปกันไม่ไหว ไม่อย่างนั้นใครบวชขึ้นมา จับเลิกบุหรี่เสียให้หมด รับรองได้ว่าต้องมีการแขวนคอตาย..! เดี๋ยวนี้วัดเขาถือเป็นที่ปลอดบุหรี่ตามกฏหมาย ใครสูบบุหรี่ในวัดมีความผิด เจ้าอาวาสโดนปรับ คนสูบโดนปรับด้วย เจ้าอาวาสโดนปรับหนึ่งหมื่นบาท คนสูบโดนปรับสองหมื่นบาท ใครหมั่นไส้เจ้าอาวาสให้เตรียมเงินไว้สองหมื่น แล้วคาบบุหรี่ไว้อวดชาวบ้านได้ ถ้ามีใครถ่ายรูปไปฟ้อง ก็ซวยด้วยกันทั้งคู่ วันนี้ที่เตือนคือเรื่องสมณสารูปของเรา โดยเฉพาะการที่เราเป็นพระ จะมึงมาพาโวยกับฆราวาสก็ให้พยายามลดหน่อย ต่อให้เป็นพระใหม่ขนาดไหนก็ตาม ตัวเรานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ โกนหัวอยู่ จะต้องนึกถึงสภาพตัวเองก่อน..ต้องพยายามลดกาย วาจา ใจ ที่ไม่ดีลง กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกายวาจาใจเหล่านั้นให้ได้ บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว กิริยาอาการใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำกิริยาอาการนั้น ส่วนเรื่องของการปฏิบัติ ต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ถ้าใครจะเอาเข้มอย่างคนอื่นเขาถึงขนาดอดอาหาร ก็ให้ระมัดระวัง ปรับให้พอเหมาะพอดีกับตัวเอง จะได้ไม่เสียผลการปฏิบัติ วันนี้ก็คงเตือนพวกเราไว้แค่นี้ หลังทำวัตรค่ำ บนศาลาวัดท่าขนุน กันยายน ๕๒
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2012 เมื่อ 04:29 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวสอนนาคว่า
เรื่องของนาค...ไม่มีอะไรมาก ถ้าหากเขายังเปิดเพลงฟังอยู่ก็อาจจะเป็นนาครายแรกที่ไม่ได้บวช อาจจะโดนไล่ออกจากวัดตั้งแต่ที่ยังเป็นนาค แสดงว่าที่ให้ไปดูศีลพระนี่ไม่ได้ดูเลย กระดิกเท้าฟังเพลง แถมยังเปิดเพลงเผื่อห้องข้าง ๆ ด้วย เขาคิดว่าอาจารย์อยู่ฝั่งนี้แล้วจะไม่รู้ ขอบอกว่าอย่าได้ทำอย่างนั้นอีกเป็นอันขาด คุณอาจจะเห็นว่าวัดอื่นเขาทำ..แต่วัดนี้ห้าม แค่ศีลของเณรก็บอกแล้วว่าห้ามฟังเพลง ไม่ใช่ว่าไปเปิดอ่านศีล ๒๒๗ ข้อ ไม่เห็นมีกล่าวว่าผิดสักคำ ขอให้จำไว้ว่าวัดท่าขนุนไม่ได้ง้อพระเณร เพราะมีจำนวนพระเณรเยอะมาก มีการโดนสึกกลางพรรษาแทบทุกพรรษา บวชแล้วพยายามรักษาเงาหัวตัวเองเอาไว้ให้ดี..! อย่าให้โดนไล่สึกกลางคัน ไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อถึงพ่อแม่ด้วย เดี๋ยวจะมีเสียงร่ำลือไปทั้งตลาดว่า ไอ้...เสียแรงที่บวช ได้แค่สามวันโดนอาจารย์จับสึกเสียแล้ว ทำอะไรทำให้จริง เราเคยชั่วมาจริง ถึงเวลาทำดีก็เอาให้ดีจริง ๆ บ้าง นี่เป็นคำเตือนและถ้าหากคุณละเมิดอีกก็จะกลายเป็นความจริง บางอย่างเราเป็นฆราวาสเราอาจจะบอกว่าไม่รู้ แต่ศีลพระเขาบอกว่าต้องโดยไม่รู้ก็ปรับ ต้องโดยไม่ละอายก็ปรับ คือ รู้แล้วหน้าด้านทำก็ปรับ ต้องโดยลืมสติก็ปรับ คือ จำไม่ได้ก็โดน ต้องด้วยสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควรก็โดน ต้องโดยไม่สำคัญในของที่ควรว่าควรก็โดนอีกเหมือนกัน ฉะนั้น..จะแหกคอกไปทางไหนไม่ได้ นวโกวาทหรือว่าศีลพระให้อ่านทวนไว้ทุกวัน อย่าให้พลาด เพราะถ้าพลาดเมื่อไรก็แปลว่าสวัสดีแค่นั้น อันนี้ไม่ใช่เทศน์สอนนาค เขาเรียกว่าเทศน์ด่านาค..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2012 เมื่อ 17:57 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
เรื่องศรัทธาของคนนั้นบังคับไม่ได้ ดังนั้น..บางคนที่ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะปกครอง เห็นเขาศรัทธาผู้อื่นมากกว่าตัวเอง แล้วบางทีก็ไปโกรธ โกรธไม่พอหาเรื่องเล่นงานเขาด้วย นั่นแสดงว่าไม่เคยอ่านพระไตรปิฎก และไม่ได้ทำความเข้าใจเลย
เวลาพระท่านมาหาพระพุทธเจ้า อย่างเช่น พระมหากัจจายนะ มาจากกรุงอุชเชนี แคว้นอวันตี ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ราว ๆ สุไหงโกลก ท่านพาบริวารมา ๕๐๐ ซึ่งบริวารเหล่านั้นท่านเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสชมว่า พระมหากัจจายนะเป็นครูบาอาจารย์ที่เลิศ มีลูกศิษย์ให้ความศรัทธาเลื่อมใสบวชตามเป็นจำนวนมาก พระอุรุเวลกัสสปะ มีบริวาร ๕๐๐ ติดตามอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนจะบวชพระ พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นผู้เลิศในการมีบริวารมาก แม้กระทั่งพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรยังมีบริวารแค่ท่านละ ๒๕๐ รูปเท่ากัน เราจะเห็นว่าจริง ๆ พระพุทธเจ้าของเราท่านเป็นพระอรหันต์ที่บริสุทธิ์จริง ๆ คือ ไม่มีความอิจฉาริษยาใด ๆ ในลูกศิษย์ของตัวเองเลย ใครดีท่านก็ยินดี โมทนาด้วย แต่ว่าในบรรดาของพวกเราเอง ต้องเรียกว่าไม่พยายามที่จะละกิเลส แบกเอาไว้ท่วมหัวเป็นจำนวนมาก พอถึงเวลานอกจากไม่ยินดีแล้วยังอิจฉาอีกต่างหาก ถ้าหากว่าอย่างที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ มาแล้วเป็นอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์นับถือมาก เป็นที่อื่นอาจจะโดนไล่เตลิดเปิดเปิงจากวัดไปแล้ว เพราะเขาถือว่าไปแข่งดีกับตัว แล้วขณะเดียวกันก็ไปตัดรายได้ของเขา เพราะว่าญาติโยมแทนที่จะถวายปัจจัยลงที่ตนเอง ก็แบ่งเป็นสองส่วนไป นี่คือความคิดของนักบวชทั่ว ๆ ไป ที่กิเลสยังท่วมหัวอยู่ ขอให้พวกเราพึงสังวรไว้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม ก็เป็นพุทธศากยบุตรชิโนรสเหมือนกัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ทำแล้ว ก็สร้างความเจริญให้แก่พระพุทธศาสนาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..เราสมควรที่จะสนับสนุนกัน สมควรที่จะช่วยเหลือกัน ศาสนาอื่นอย่างศาสนาคริสต์ เขามีคนที่เก็บเงินจากศาสนิกชนของเขาประมาณร้อยละสิบของเงินเดือน เพราะฉะนั้น..ศาสนาคริสต์จะมีเงินมหาศาลมาก เวลาจะทำอะไร เขาจะทุ่มเทเงินเข้าไปช่วยเหลือ ไม่ว่าจะตั้งเป็นสำนักเล็กสำนักน้อย หรืออยู่ไกลสุดขอบโลกแค่ไหนก็ตาม เขาจะช่วยกัน ส่วนศาสนาอิสลามไม่ต้องพูดถึง เขามีเงินบริจาคที่เรียกว่า ซะกาต ถึงเวลาอยู่ที่ไหน ถึงจะคนละประเทศกันแต่นับถืออิสลาม เขาก็ส่งเงินไปช่วย แต่ศาสนาพุทธของเราในปัจจุบันที่เห็นอยู่ นอกจากจะไม่ยินดีในความดีของคนอื่นแล้ว มีโอกาสยังไปหาเรื่องเขาอีก จึงไม่เจริญ สู้ศาสนาอื่นไม่ได้ เพราะว่าเรามีแต่ศาสนิกที่ห่วย ๆ แบบนี้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 13:56 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ที่ผมเคี่ยวเข็ญพวกคุณอยู่ ก็เพราะต้องการให้กลับไปสู่ร่องรอยเดิม ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงวางเอาไว้ ว่าแต่ละคนให้การสนับสนุน ให้การสงเคราะห์เกื้อกูลซึ่งกันและกัน สมัยก่อนไม่ว่าพระจะไปที่ไหนก็ตาม ถึงเวลาเจ้าถิ่นจะปฏิสันถารให้การต้อนรับอย่างดี แต่สมัยนี้ต่อให้มีหนังสือรับรองไป บางทีเขาก็ปฏิเสธไม่รับเข้าพัก กลายเป็นว่าคนละวัดก็เป็นคนละพวกไป
พวกเราต้องเปลี่ยนทัศนะคติใหม่ มีอะไรต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติตามธรรมวินัยแล้วไม่ต้องห่วง คนเลวอยู่ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระธรรมวินัยนี้เหมือนกับคลื่นทะเล ย่อมซัดสิ่งโสโครกขึ้นสู่ฝั่งเสมอ ก็แปลว่าพวกที่เลว ๆ อยู่ด้วยไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็ต้องสึกหาลาเพศไปหมด ถ้าหากว่าเราเปลี่ยนทัศนคติตรงจุดนี้ได้ ต่อไปไม่ว่าใครทำอะไรที่ไหน เราก็ยินดี เต็มใจช่วยเหลือตามกำลังของเรา ถ้าเราสนับสนุนกันอย่างนี้ ศาสนาพุทธของเราก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก วิหารทองคำที่อินเดีย หรือพระราชวังโปตาลาที่หลังคาหุ้มด้วยทองคำ ถ้าคนไทยทำจะหุ้มทองคำทั้งหลังก็ยังไหว ไม่หุ้มแต่เฉพาะหลังคา แต่ที่เราทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะไม่มีการสนับสนุนช่วยเหลือกัน ต่างคนต่างทำ เพราะไม่มีเครือข่ายโยงใยในลักษณะต่อสายถึงกัน ถึงเวลาต่างคนต่างทำ จึงกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ค่อยได้มาก อย่างวัดท่าขนุนนี้ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสอยู่ พอผมเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ วัดท่าขนุนถวายกฐิน ๔ วัด ถึงเวลารับกฐินพร้อมกัน วัดใหญ่วัดเล็กรับมา แบ่ง ๔ ส่วนเท่า ๆ กัน ผมทำอย่างนี้มาตลอดตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ ซึ่งญาติโยมเห็นก็ยินดีด้วย เพราะเขาทำบุญครั้งเดียวได้ถึง ๔ วัดเลย แม้ว่าปัจจัยจะลดน้อยลง เพราะว่าต้องแบ่งเป็น ๔ ส่วน แต่อย่างน้อย ๆ วัดเล็กที่ได้ครั้งละหนึ่งหมื่นสองหมื่น ก็ได้เป็นสองแสนสามแสน ไม่มีลักลั่นไม่มีมากน้อยกว่ากัน ถ้าหากเราทำอย่างนี้ก็เกิดความยุติธรรม ทุกคนต้องรู้ว่าเราต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ เพราะถึงเวลาแล้วผลตอบแทนจะดี นี่คือสิ่งที่อยากบอกพวกเราในวันนี้ สอนนาค ณ ศาลาวัดท่าขนุน คืนวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๒
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 13:57 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
งานเป่ายันต์เกราะเพชร พระอาจารย์กล่าวว่า
งานนี้เป็นที่น่ายินดีที่ครูบาเหนือชัย วัดถ้ำป่าอาชาทอง ท่านมาร่วมพิธีด้วย ถ้าหากว่าใครได้ยินชื่อแล้วไม่คุ้น ให้นึกถึงพระขี่ม้า ก็จะนึกหน้าท่านออก ครูบาเหนือชัยท่านดูแลชายแดนทางเหนืออยู่ โดยสมเด็จย่าขอฝากภาระไว้กับท่าน เนื่องจากบริเวณตะเข็บชายแดนเป็นบริเวณที่ล่อแหลมมาก ยาเสพติดก็มาก ศาสนาอื่นก็บุกเข้าไปยึดศาสนิกไว้เป็นจำนวนมากต่อมาก ครูบาท่านก็เลยต้องต่อสู้ฟันฝ่าหนัก ถ้ามีโอกาสอยากให้ทุกท่านไปช่วยสนับสนุนท่านหน่อย การสนับสนุนถ้าหากว่าไม่มีแรง จะเป็นปัจจัยไทยธรรม สิ่งของต่าง ๆ ก็ได้ เนื่องจากว่าครูบาท่านดูแลสำนักสงฆ์ในบริเวณนั้นเกือบทั้งหมด ของจำเป็นต่าง ๆ อย่างเช่น พวกข้าวสารอาหารแห้ง ตลอดจนกระทั่ง เครื่องให้แสงสว่างก็คือเทียน เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ เพราะบริเวณนั้นไม่มีไฟฟ้าใช้ ยานพาหนะไม่มี ถ้าไม่ขี่ม้าก็ต้องเดินเท้า แค่วัดของครูบาท่านที่ถือว่าอยู่ไม่ลึกมาก ถ้าไม่มีรถขับเคลื่อนสี่ล้อ ก็ยากที่จะไปถึง โดยเฉพาะหน้าฝนอย่างนี้ อาตมาเองเห็นปฏิปทาของท่านแล้ว รู้สึกว่าสมควรที่จะช่วยเหลือ ก็แอบ ๆ ช่วยกันในระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ได้บอกญาติโยม ปรากฏว่าช่วงที่ผ่านมาญาติโยมทั้งหลายเริ่มรู้ เนื่องจากว่าได้สัมผัสด้วยตนเอง เห็นปฏิปทาของครูบาท่านก็เกิดความเลื่อมใส ให้การสนับสนุน อาตมาก็ดีใจด้วย เพราะปกติเป็นคนเอ่ยปากขอใครไม่เป็น เพราะติดสัญญากับหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ถ้าต้องเอ่ยปากขอใครแม้แต่ครั้งเดียวจะเลิกทำงานสงฆ์ไปเลย..! ดังนั้น..ญาติโยมจะเห็นว่า ที่อื่นเขามีการบอกบุญเรี่ยไรเป็นปกติ แต่อาตมาไม่มีตรงจุดนี้ พวกซองต่าง ๆ ที่เห็น เวลาญาติโยมขอไปเพื่อจะร่วมทำบุญ เป็นที่อื่นเอามาฝากทั้งหมด ระเบียบวัดมีอยู่ ๒๕ ข้อ มีอยู่ข้อหนึ่งระบุไว้ว่า ห้ามบอกบุญ ห้ามเรี่ยไรใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น..ใครจะทำบุญต้องมาง้อทั้งน้ำตาแล้วจะรับเอาไว้..! งานเป่ายันต์ปี ๕๓
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-05-2012 เมื่อ 16:36 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
หลวงพ่อพูดว่า "ที่พม่า...เรื่องอาหารการกินเขาลำบากกว่าเราเยอะ พวกเรานี่ต้องอร่อยถึงจะกิน...อาหาเรปฎิกูลสัญญาไม่มีเลย..."
ในวงฉัน ๑๘ ก.ย. ๕๕ ถ่ายทอดโดยหลวงพี่ยี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
หลวงพ่อพูดในวงฉันว่า "...ให้ช่วยกันขูดข้าวหมาเก่า (ข้าวแห้ง-ข้าวบูด) เอาไปทิ้งที่หลังเมรุด้วย พวกนี้ (ข้าวหมาเก่า) จะไปดึงดูดพวกที่มองไม่เห็นตัวมา เพราะแรงกรรมทำให้เขากินของดีไม่ได้..."
ในวงฉัน ๒๘ ส.ค. ๕๕ ถ่ายทอดโดยหลวงพี่ยี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
คำคมจากหลวงพ่อ "ถ้าโลกนี้ได้ดั่งใจก็ไม่ทุกข์นะสิ"
ในวงฉัน ๑๖ ก.ย. ๕๕ ถ่ายทอดโดยหลวงพี่ยี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2012 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|