|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#181
|
||||
|
||||
ถาม : อุปบารมีของพุทธภูมิกับอุปบารมีของสาวกภูมิเท่ากันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เท่ากันหรอก อุปบารมีของพุทธภูมิก็คงประมาณช้าง อุปบารมีของสาวกภูมิก็อาจจะแค่มด คุณทักษิณ ชินวัตร ใช้เงินสบาย ๆ อาจจะวันละ ๔-๕ แสนบาท เราใช้เงินสบาย ๆ แบบไม่เดือดร้อนนี่หลักพันก็แย่แล้วในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น..อุปบารมีของพุทธภูมิยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราคิด ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสละชีวิตเป็นทานได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2019 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#182
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเรายืนอ่านหนังสือฟรีในร้าน บาปไหมครับ ?
ตอบ : เขาก็ทำกันเยอะนะ ถ้าหากเจ้าของร้านเขาไม่ไล่ก็ไม่เป็นไร สมัยก่อนที่ชอบใจที่สุดคือร้านหนังสือดอกหญ้า จัดมุมให้นั่งอ่านเลย ชอบใจแล้วก็ค่อยซื้อไป อันนั้นต้องบอกว่านักเลงจริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2019 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#183
|
||||
|
||||
ถาม : อยู่บนสวรรค์ก็สร้างบารมีด้วยการภาวนาได้ จะมาเกิดบนโลกทำไมครับ ?
ตอบ : โอกาสที่จะไม่สร้างมีเยอะมากกว่าจึงต้องมาเกิด คุณอย่าไปคิดว่าขึ้นสวรรค์แล้วไปสร้างบารมี มัวแต่เพลินกับความสุขอยู่ โอกาสสร้างบุญน้อยมากเลยนะ ความสุขของข้างบนประณีตกว่าเราเยอะ ไม่ว่าจะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทุกประเภท มีแต่จะให้ติดหนักกว่าข้างล่างอีก ไม่ได้คูณแสนนะ คูณเป็นล้านเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2019 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#184
|
||||
|
||||
ถาม : น่าจะมีเทคโนโลยีช่วยเรื่องสายตาที่เสียแล้วให้กลับมาดีได้ ?
ตอบ : เทคโนโลยีนั้นดีขึ้นทุกวัน แต่เวรกรรมมีเท่าเดิม สมัยก่อนเวลาอาตมารับหลวงพ่อวัดท่าซุงจากตึกริมน้ำเพื่อไปตึกรับแขก ต้องลงบันได ๓ ขั้น พอกางร่ม ด้วยความที่กลัวหลวงพ่อจะร้อนก็กางให้เงาตกใส่ท่าน ท่านบอกให้กางไปที่บันได ก็กางตามที่ท่านสั่ง พอท่านเดินลงมาแล้วท่านบอกว่า "แดดสะท้อนขาวหมด ข้ามองบันไดไม่เห็น เพราะฉะนั้นต้องกางร่มให้เงามาลงที่บันได" ตั้งแต่นั้นมาอาตมาก็กางร่มให้บันไดตลอด คนอื่นไม่รู้เขาก็บ่น “กางร่มประสาอะไรวะ ไม่เห็นจะบังหลวงพ่อเลย ?” กางให้เงามาลงที่บันไดท่านจะได้เดินได้ ถาม : ยังดีที่หลวงพ่อยังมองเห็นได้ตลอด แต่หลวงปู่ปานมองไม่เห็น ท่านสายตาเสีย ? ตอบ : สมัยก่อนมีแต่เทียน ท่านจะมีเวลาว่างมาเขียนเลขเขียนยันต์อะไรก็ตอนกลางคืน เพราะว่าต้องดูแลรักษาคนไข้ตลอด คราวนี้พอเทียนไม่สว่างพอ เพ่งมาก ๆ เข้าสายตาก็เสียหมด ตอนที่ท่านรับตำแหน่งพระครูสมัยรัชกาลที่ ๗ ท่านถึงได้บอก “ตอนนี้ข้าเป็นพระครูแล้ว ข้าไม่หลีกใครแล้วนะ ไม่ว่าจะหนามเหนิมร่องเริ่งก็ไม่หลีก พ่อเหยียบแหลกละมึง” ก็ท่านมองไม่เห็นแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:41 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#185
|
||||
|
||||
ถาม : สมัยนั้นพระครูนี่ตำแหน่งสูงมาก ?
ตอบ : พระครูสมัยนั้นดังกว่าเจ้าคุณชั้นธรรมสมัยนี้อีก เจ้าคุณชั้นเทพชั้นธรรมสมัยนี้ดังสู้พระครูสมัยโน้นไม่ได้หรอก สมัยนั้นท่านที่ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณได้ ก็เห็นมีแต่เจ้าคุณสามัญ อย่างหลวงปู่เปลี่ยน วัดใต้ ก็เป็นเจ้าคุณวิสุทธิรังษี เป็นเจ้าคุณชั้นสามัญ หลวงปู่ดี วัดเหนือไปไกลหน่อย ไปถึงเจ้าคุณชั้นเทพฯ เพราะว่าอายุท่านยืน หลวงปู่เหรียญ วัดหนองบัว เป็นเจ้าคุณโสภณสมาจารย์ หลวงปู่สอน วัดทุ่งลาดหญ้า เป็นเจ้าคุณกาญจนวิบูลย์ ก็เจ้าคุณสามัญกันทั้งนั้น หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว ก็เจ้าคุณสามัญ เป็นพระพุทธวิถีนายก นั่นขนาดระดับเจ้าคุณแล้วท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลเลยนะ เจ้าคณะมณฑลก็ประมาณเจ้าคณะภาคสมัยนี้ สมัยนี้นะหรือ อย่างไม่มี ๆ เจ้าคณะภาคเขาก็เป็นชั้นเทพชั้นธรรมกัน สมัยโน้นเป็นเจ้าคุณสามัญทำงานได้เยอะกว่าอีก ชาวบ้านเขาศรัทธา ไม่ก็เป็นหลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ไม่เห็นต้องเป็นอะไร คนก็เคารพนับถือกันทั้งบ้านทั้งเมือง ขอให้เก่งจริงเท่านั้นแหละ พอสิ้นหลวงปู่ปานแล้ว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ขลุกกับหลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่จง ๒ รูป สมัยเขาโน้นเรียกสามเสืออยุธยา มีวัดบางนมโค วัดเจ้าเจ็ด วัดหน้าต่างนอก วัดเจ้าเจ็ดหลวงพ่อท่านไปไกลหน่อย ไปเป็นเจ้าคณะอำเภอ เป็นพระครูพรหมวิหารคุณ ก็ไม่นึกว่าหลวงปู่ปานกับหลวงปู่จงรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ปานอายุ ๖๑ ปีก็มรณภาพ หลวงปู่จงอยู่มา ๙๐ กว่าปี อยู่ต่อมาอีก ๓๐ กว่าปี เวลามีงานประจำปีวัดบางนมโค ช่วงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ นิมนต์หลวงปู่จงมาลงนะหน้าทอง เป่ากระหม่อมให้ญาติโยม มีงาน ๓ วัน ๓ คืน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:44 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#186
|
||||
|
||||
ถาม : พระอาจารย์ทันหลวงปู่จงหรือครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อจงมรณภาพตอนผมอายุ ๖ ขวบแล้ว นั่นท่านไม่ได้รีบตายนะ ผม ๖ ขวบแล้วหลวงพ่อจงเพิ่งจะมรณภาพ ส่วนใหญ่สมัยก่อนแม่หรือยายเขาแจวเรือไปกัน คราวนี้หลวงพ่อจงท่านลงนะหน้าทองเป่ากระหม่อมให้เขา กว่าจะเสร็จงานแทบจะเป็นลมตาย ได้มา ๘,๐๐๐ บาท แต่ ๘,๐๐๐ บาทสมัยก่อนมหาศาล เพราะว่าสร้างโบสถ์ทั้งหลังแค่ ๕,๐๐๐ บาทเอง เราตีว่าโบสถ์สมัยนี้ ๒๐ ล้านบาท ถ้า ๕,๐๐๐ บาทเท่ากับ ๒๐ ล้านบาท โอ้โฮ...หลวงปู่ได้ไปตั้งเท่าไร ไม่ปาเข้าไป ๓๐-๔๐ ล้านบาทหรือ ? ปรากฏว่าคนไปปิดทองรูปหล่อหลวงปู่ปานหยอดตู้ได้ ๘,๐๐๐ บาทเท่ากัน หลวงพ่อจงบอกว่า "เสียท่าท่านปานว่ะ ข้านั่งเป่าหัวเขาเหนื่อยจะเป็นลมได้ ๘,๐๐๐ บาท ท่านปานนั่งเฉย ๆ ได้ ๘,๐๐๐ บาทเหมือนกัน...!" จะเห็นว่าในเรื่องของพุทธภูมินี่บริวารมากจริง ๆ เคยถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงพ่อปานใครดังกว่ากัน ?" หลวงพ่อบอกว่าข้าดังสู้ไม่ได้ รุ่นของข้านี่มีทั้งวิทยุ มีทั้งโทรทัศน์ มีทั้งโทรศัพท์ รุ่นหลวงพ่อปานต้องพายเรือไปบอกข่าว เพราะฉะนั้น..ลองคิดดูว่ารุ่นของท่านมีทุกอย่าง โฆษณาได้หมด แต่จัดงานทีหนึ่งคนมา ๒๐๐,๐๐๐ คน รุ่นของหลวงปู่ปานแค่พายเรือไปบอก คนก็มากันแน่น หุงข้าว ๘ กระทะพร้อมกันไม่พอให้คนกิน ท่านบอกว่าหลวงพ่อปานดังกว่าเยอะ ถาม : ถ้ามีสื่ออย่างสมัยนี้ละก็...? ตอบ : ไม่ต้องห่วงเลย ถ้ามีสื่ออย่างสมัยนี้วัดบางนมโคแตกกระจาย ไม่พอให้คนเข้าหรอก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:47 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#187
|
||||
|
||||
ถาม : หุงกระทะใบบัวทีละ ๘ กระทะเลย ?
ตอบ : ไปนึกถึงวัดเขาตะมะยะ หุงแบบนั้นเลย แต่ของเขา ๑๐ กระทะก็ไม่พอคนกิน ถาม : ล้างชามก็...? ตอบ : ล้างชามเขาใช้เขย่าเอา ไปวัดเขาตะมะยะนี่ถ้วยโถโอชามทุกอย่างเป็นสเตนเลสหมด นั่นแหละคือประสบการณ์จริง พอถึงเวลารีบ ๆ ล้าง รีบ ๆ เขย่า ถ้าหากว่าเป็นกระเบื้องนี่แตกบรรลัยหมด ตี ๔ พระฉัน พระฉันเสร็จก็สามเณร แม่ชีฉันต่อ กว่าฆราวาสจะกินเสร็จเรียบร้อย ก็มื้อต่อไปแล้ว คิดดูว่าคนไปกินทีหนึ่งเป็นหมื่น ๆ คนทุกวัน แล้วอาหารเจตลอด ต้มฟักเขียว ต้มฟักทอง ต้มหน่อไม้ ฯลฯ วนไปวนมาอยู่แค่นี้แหละ คนก็กินกันได้กินกันดี คนหิวขึ้นมามีอะไรก็กินหมดนั่นแหละ เราไปครั้งแรกผมก็เกรงใจหลวงปู่ ไปนั่งฉันที่ร้านอาหารข้างนอกแล้วค่อยเข้าไป ไปถึงเห็นหน้าท่านบอกเลย “คราวหน้ามากินข้างในนะ อย่าไปกินข้างนอกให้เสียสตางค์” ผมไปแต่ละทีจะไปค้างที่วัดท่านครั้งละ ๓ วัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:49 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#188
|
||||
|
||||
กล่าวถึงธงมหาระงับ "ทางด้านหลวงปู่สาย วัดท่าขนุน เรียนวิชามหาระงับมาจากทางด้านสายหลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม ตอนที่โรงงานไผ่สมจิตรจัดงานบวชลูกชาย ฟ้ามืดตื๋อ ผมก็บอกไว ๆ หน่อย เดี๋ยวไม่ทันฝน เขาบอกว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมเอาธงหลวงปู่สายปักไว้แล้ว” จริงของเขา...ฝนไม่ตก
ก็แบบเดียวกับปัจจุบันนี้เวลาวัดท่าขนุนจัดงาน ฟ้ามืดแค่ไหนชาวบ้านก็ไม่หนี รู้แล้วว่าถ้าระหว่างมีงานฝนไม่ตกแน่ มีอยู่อย่างเดียวคือเลิกงานแล้วต้องหนีฝนให้ทัน ตอนที่สร้างศาลา ๑๐๐ ปี เทปูนดาดฟ้า ๒๒๐ คิว ก็ต้องเรียกรถ Plant ปูนจากทางด้านลิ่นถิ่นขึ้นมา ตอนแรกเขามีรถแค่ ๔ คัน บอกเขาว่าเอารถข้างล่าง (ในเมือง) ขึ้นมาด้วย อย่าให้ขาดช่วง เขาก็เตรียมไว้ ปรากฏว่าคนขับเขาบอกว่าฝนไม่ตกแค่วัดกับ Plant ปูนเท่านั้น ระยะทาง ๒๐ กิโลเมตรช่วงกลางนั่นตกหมด ถ้าฝนตกเขาก็ทำงานไม่ได้ เราก็ทำงานไม่ได้ แล้วเขาก็เอาวิศวกรจากข้างล่างขึ้นมา ๒ คนเพื่อเตรียมซ่อมรถโดยเฉพาะ เขาบอกว่าทุกครั้งที่มีการเทปูนมาก ๆ ลักษณะนี้ มักจะต้องมีรถคันใดคันหนึ่งพัง แต่ครั้งนี้ ๘ คันวิ่งได้ตลอดไม่มีเสียเลย ตั้งแต่นั้นมาวัดท่าขนุนสั่งงานอะไรเขาวิ่งใส่เลย ก็คือเขาเห็นแล้วว่าเรื่องของพระสงเคราะห์นั้นเป็นไปได้จริง ๆ ถ้าเราเทปูนไม่เสร็จอย่างไรฝนก็ไม่ตก เทเสร็จแล้วต้องรอปูนแห้งด้วยนะ ถ้าปูนไม่แห้งเจอฝนเข้าทรายจะลอยหน้าหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:51 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#189
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอสมัยก่อนเขาใช้งานกันจริง ๆ เขาก็ลับคมตามปกติ พลาดไปโดนเมื่อไรก็แหว่ง โดยเฉพาะมีดหมอสายใต้ของหลวงปู่ทองเฒ่า ที่เจอมาคมกริบทุกเล่มเลย เขาใช้งานกันจริง ๆ
คำว่า มีดหมอ เป็นแค่คุณสมบัติพิเศษที่ครูบาอาจารย์ท่านเสกเพิ่มขึ้นมาให้ จริง ๆ แล้ว ก็คือมีดที่ใช้งานของชาวบ้านนั่นแหละ เราจะเห็นว่าประเภทเหน็บเอวเหน็บหลัง มีของหลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน ถ้าเล่มใหญ่หน่อยท่านสั่งลบคมหมดเลย กลัวว่าลูกศิษย์จะเอาไปฟันกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:53 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#190
|
||||
|
||||
ถาม : มีงูกินหางไหมครับ ?
ตอบ : กว่าจะได้สักตัวหนึ่งก็รอเป็นชาติเลย ปกติงูกินหางตัวเองก็หายากอยู่แล้ว กินหางตัวอื่นยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่ใช่ประเภทเคราะห์หามยามดีจริง ๆ ไม่มีทางได้เจอหรอก เขาเรียกว่า นาคบาศก์ ที่น่าเสียดายคือ มีคลิปถ่ายคนไปเจองูกินหางตัวเอง กินจนเป็นวงกำไล เขาก็ไปกระทุ้ง ๆ ให้งูคลายออก พองูคลายออกมาก็เลื้อยหนีไป ต้องบอกว่าคนไม่รู้จักของดี นาคบาศก์นี่เขาถือว่าเป็นอาวุธของท้าวเวสสุวรรณ ถ้าไม่ใช่ประเภทมีบุญเนื่องกันมาจริง ๆ ไม่มีทางที่จะไปได้เจออย่างนั้นหรอก ไอ้นั่นก็โคตรฉลาดเลย ไปกระทุ้งให้หลุด..! ถาม : เราจะได้มาได้อย่างไร ? ตอบ : ก็พองูกินตัวเองจนสุดก็ตาย ได้ตัวมาก็เอามาตากแห้ง เป็นของที่ศักดิ์สิทธิ์ในตัว คราวนี้ถ้าเป็นแบบใหญ่ก็จะเป็นงูสองตัวกินหางกัน งูสองตัวกินหางกันถ้าได้งูเห่าหรืองูจงอางนี่ โอ๊ย...ขลังสุด ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:54 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#191
|
||||
|
||||
ถ้าเราดูรูปวาดโบราณจะมีพระศิวะ จะมีท้าววิรูปักษ์ จะมีท้าวเวสสุวรรณ บางทีจะเห็นมีสังวาลย์นาคพาดตัวอยู่ นั่นแหละคือนาคบาศก์ของท่าน
บาศก์ มาจากบาลีว่า ปาสะ แปลว่า บ่วง ท้าวเวสสุวรรณมีบ่วงไว้จับผี ทำด้วยพญานาค ปาสะ พอมาเป็นภาษาไทยเป็น บาศะ หรือ บาศก์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มุตฺตาหํ ภิกฺขเว สพฺพปาเสหิ มุตตะ คือ หลุดพ้น อะหัง คือ ตัวเรา ตัวเราหลุดพ้นแล้ว สพฺพปาเสหิ จากบ่วงทั้งปวง เย ทิพา เย จะ มนุสฺสา ทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ โอ้โฮ...เป็นอะไรที่ประกาศได้เต็มปากเต็มคำมาก เราไปพูดอย่างนั้นได้ที่ไหน ท่านบอกว่าหมดกิเลสก็คือหมดจริง ๆ ปาเสหิตัวนี้ก็คือปาสะ ก็คือบ่วงบาศก์
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 10:32 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#192
|
||||
|
||||
ถาม : พระอาจารย์เรียนบาลีด้วยหรือครับ ?
ตอบ : เรียนอยู่ระยะหนึ่ง พอท่องไปท่องมาแล้วเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัว แล้วเข้าใจหมดเลย ตอนเช้า ๆ บิณฑบาตก็เขียนใส่ซองปัจจัยที่เขาถวายมา ถึงแกะออกมาแล้วก็ไม่ทิ้ง เป็นซองเล็ก ๆ เขียนใส่ไว้ประเภทเดินไปท่องไป ๆ โยมบางคนเห็นก็ “อาจารย์ จดหมายแฟนหรือ ?” ไม่คิดจะเข้าใจเป็นอย่างอื่นเลยใช่ไหม ? โยมส่วนใหญ่เขาเอาซองถวายพระก็ใส่ซองสีชมพูมา ผมก็เขียนตัวหนังสือเสียเต็มซองเลย ตอนแรกท่องไป ท่องสักแต่ว่าจำ ไม่เข้าใจ พอวันนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร ท่องไปท่องมา รู้สึกเหมือนมีอะไรแตกโป๊ะอยู่ในหัวตัวเอง แล้วเข้าใจหมดเลย ทุกวันนี้เวลาไปนั่งแปลให้ประโยค ๙ เขาฟัง เขาก็ยังงง ๆ ว่าอาจารย์แปลได้ลึกขนาดนี้เลยหรือ ? อือ...ก็เข้าใจ อย่างช่วงที่ผ่านมาการปฏิบัติธรรมของนิสิต มจร. อาจารย์ที่คุมก็เป็นประโยค ๙ ผู้ดูแลก็ประโยค ๙, ด็อกเตอร์ ลูกศิษย์ก็ประโยค ๙ ถ้าผมแปลผิดนี่ตาย..! มีอยู่อย่างเดียวก็คือจะต้องแปลให้ลึกกว่าที่เขารู้ ต้องจับไมค์ฯ พูดวันหนึ่งอย่างน้อย ๔ รอบ รอบละประมาณชั่วโมงหนึ่ง ผมเองเป็นคนที่ไม่เรียกนิสิตเข้าห้องปฏิบัติธรรม แต่ใช้วิธีเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ เขาอยากฟังเดี๋ยวก็มาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียก คราวนี้พอมีบาลีก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามาอย่างไรไปอย่างไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 03:59 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#193
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงปู่ปานท่านสร้างสำนักเรียนบาลี มีถึงประโยคไหนครับ ?
ตอบ : ไม่รู้ครับ แต่ผมจำได้ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่ามีนักเรียน ๓๐๐ กว่ารูป ต้องหุงข้าวเลี้ยงกันทุกวัน แล้วคิดดูว่าท่านรักษาคนตั้งเท่าไร แล้วยังต้องสอนหนังสืออีก ถึงเวลายังต้องสร้างวัตถุมงคลอีก...โอ๊ยตาย วัดท่าขนุนแค่พระ ๔๐-๕๐ รูป ผมก็จะปวดหัวตายแล้ว นั่นพระ ๓๐๐-๔๐๐ รูป ถาม : เลี้ยงขนาดนั้น ชาวบ้านถวายข้าวไม่รู้กี่เกวียน ? ตอบ : มีหลายบ้านที่ใช้คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ทำน้ำมนต์รดนาเลย แล้วมีผลมหาศาล เขาก็ถือว่าเขาตัดส่วนที่เขาได้เกินมาไปถวายวัด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:00 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#194
|
||||
|
||||
ถาม : ผมยังงงหลวงปู่ปาน ทำไมท่านไม่รับพัดยศ ทำไมท่านไม่สอบบาลี ?
ตอบ : คาดว่า...ท่านไม่อยากมีภาระมากไปกว่านั้น เพราะว่าถ้ารับมาก็เป็นภาระโดยตรง แบบเดียวกับหลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ตั้งท่านเป็นพระครูประทวน ก็คือพระครูกวย ชุตินฺธโร พระครูสัญญาบัตรอย่างอาตมานี่จะมีราชทินนามที่ในหลวงท่านทรงตั้งให้ แต่ถ้าพระครูประทวนจะขึ้นต้นด้วยคำว่าพระครู แล้วก็ตามด้วยชื่อเลย อย่างพระครูส้มเกลี้ยง แล้วจะไปรู้ว่าเป็นประทวนตรี ประทวนโท ประทวนเอก ก็ต่อเมื่อได้ใบประทวนตั้งมา หลวงพ่อกวยท่านบอกว่า “บอกเขาว่าข้าไม่เอา ข้าสอนคนไม่เป็น” ก็คือถ้าเป็นพระครูแล้วต้องสอนเขา ต้องเป็นครู แต่ท้ายสุดเขาก็ยัดให้ท่านจนได้ เห็นเป็นครูบาอาจารย์ดังระเบิดเถิดเทิง ไม่มีอะไรติดตัวเลย อย่างน้อยเป็นพระครูประทวนก็ยังดี เพราะฉะนั้น..ส่วนใหญ่พอเราได้ยินพระครูกวย ก็สงสัยหลวงพ่อกวยท่านเป็นพระครูอะไร ? ราชทินนามท่านทำไมถึงไม่มี ? ท่านเป็นพระครูประทวนอยู่ แล้ว พระครูประทวนเหมือนกับทหารนายสิบ ถ้าพระครูสัญญาบัตรเหมือนกับทหารนายร้อย ในสัญญาบัตรเขาจะมีราชทินนามที่ทรงตั้งมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:02 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#195
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คำอธิษฐานของศาลาวัด (สารวัตร) บางอย่างก็เป็นไปไม่ได้ "ขอคำว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่สำเร็จ" นี่พอได้อยู่ แต่ "ขอให้ความทุกข์จงอย่าปรากฏ" เป็นไปไม่ได้หรอก เกิดมาเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้นแหละ
เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เขาใช้คำว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดมาทุกข์แล้วทุกข์เล่า ซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ ปุนัปปุนัง นี่ประเภททุกข์แล้วทุกข์อีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-01-2019 เมื่อ 04:03 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#196
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ได้สร้างสำนักเรียน แต่ทำไมพระสอบบาลีกันได้เยอะ ?
ตอบ : ท่านเรียนกันเอง ผมเองสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดด้วย ทั้ง ๆ ที่เรียนเอง ตอนนั้นหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ท่านเพิ่งจะเป็นเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลีใหม่ ๆ ท่านตามตัวผมเลย บอกว่าจะเอาไปเข้าสำนักเรียน หลวงพ่อท่านถามว่าจะไปไหม ? ผมบอก "ไม่ไปครับ ผมรู้ว่าถ้าห่างพ่อแล้วผมเลวแน่ ๆ เลย" ตอนนั้นเพิ่งจะ ๓ - ๔ พรรษาเอง ถาม : พระอาจารย์บวชปี ๒๕๒๖ หรือครับ ? ตอบ : บวชปี ๒๕๒๙ พ.ศ. ๒๕๒๙ สอบนวกะกับนักธรรมตรีได้ พ.ศ.๒๕๓๐ เว้นไปปีหนึ่ง ไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน พ.ศ.๒๕๓๑ สอบโท พ.ศ.๒๕๓๒ สอบเอก เรียนเองแต่ได้ที่หนึ่งของจังหวัด ตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเรียนหรอก หลวงพ่อท่านบอกว่า "เรียนเอาไว้หน่อย เอาไว้เป็นไม้กันหมา" ถามว่ากันอย่างไรครับ ? ท่านบอก “พวกปริยัติมักจะดูถูกว่าพระปฏิบัติโง่ เพราะฉะนั้น..เอ็งทำให้เขารู้เสียว่าเราไม่ได้โง่ เรียนเก่งกว่าเขาอีก”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 02:05 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#197
|
||||
|
||||
การที่พระวัดท่าซุงอ่านหนังสือเองแล้วสอบได้เพราะว่าสมาธิดีกว่า อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ไปดูโทรทัศน์ ไม่ไปฟังวิทยุเหมือนคนอื่น วัดอื่นนี่เรื่องพวกนี้เขาถือเป็นเรื่องปกติ บอกเขาว่าวัดท่าขนุนไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอะไรทั้งนั้นก็ไม่มีใครเชื่อ
ตอนช่วงที่ผมเป็นรองเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ จะเรียกใช้แม่ชี เรียกใช้เณรแต่ละทียากมากเลย เพราะว่าเขามัวแต่รุมกันอยู่หน้าโทรทัศน์ พอเป็นเจ้าอาวาสก็สั่งเลย "ทำอย่างไรก็ได้ ให้โทรทัศน์หายไปจากวัดในวันนี้..!" พวกนั้นรู้ฤทธิ์ตั้งแต่ตอนเป็นรองเจ้าอาวาสแล้วก็เข็ดกัน สรุปแล้วร้านขายของเก่าก็รวยไป ๓ เครื่อง ๑๐,๐๐๐ บาท ...(หัวเราะ)... ตอนพวก "ชายเล็ก" พวก "หนูผี" เป็นเณรเล็ก ๆ อยู่ ปกติไม่ค่อยได้เห็นหัวพวกนี้หรอก วันนั้นผมได้จอ PC ใหม่มา พวกเขาก็วนไปวนมาอยู่รอบผมนั่นแหละ "พระอาจารย์มีอะไรจะเรียกใช้ไหมครับ ?" "หลวงพ่อมีอะไรจะเรียกใช้ไหมครับ ?" บอกว่า "ไม่มีหรอก" เขาก็ยังเล่นกันง่วนอยู่แถวนั้นแหละ ตอนไปฉันเพล ผมแอบไปได้ยินเขาคุยกันว่า “พระอาจารย์ท่านไม่ดูโทรทัศน์จริง ๆ ว่ะ” เขาเห็นจอคอมพิวเตอร์ ๒๒ นิ้วของผม คิดว่าเอาไว้ดูหนัง ทั้งที่ผมเอาไว้ทำงาน ถามว่าทำไมต้องจอใหญ่ ๆ ? เพราะว่าผมแก่แล้ว จอเล็กผมมองไม่ค่อยเห็น คราวนี้เขาเห็นจอใหญ่ก็คิดว่าเอาไว้ดูหนัง อุตส่าห์มาป้วนเปี้ยนอยู่เป็นวัน ไม่ได้เห็นอะไรเลยนอกจากนั่งพิมพ์งานทั้งวัน ผมก็คิดว่าทำไมวันนี้เณรว่าง่ายจัง ไม่ไปไหนเลย รอให้เรียกใช้ อ๋อ..มารอดูว่าเมื่อไรผมจะดูหนัง เขาจะได้ดูด้วย ญาติโยมโหลดหนังไว้ให้ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ดูเลย เขาบอกว่า "สนุกมากเลยครับ ท่านอาจารย์ Bulletproof Monk" ภาษาไทยก็พระกันกระสุน แต่ว่าเป็นพระทิเบต ที่เวลามีเรื่องแล้วยิงไม่เข้า โยมอุตส่าห์โหลดมาให้ จนป่านนี้หน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ กองอยู่ตรงนั้นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 10:32 |
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#198
|
||||
|
||||
ถาม : เขารู้สึกอย่างไรครับ เพราะว่าปกติเขาเคยดูของพวกนี้ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าถ้าหากคุณรับไม่ได้ก็ไปอยู่วัดอื่น เดี๋ยวผมจะทำเรื่องย้ายให้ ผมไม่ได้ง้อเขา ท้ายสุดเขาต้องง้อผมเอง แล้วช่วงนั้นก็มีพระอยู่รูปหนึ่ง ติดยาบ้าขนาดฉีดเข้าเส้นทุกวัน ไม่มีใครกล้าจัดการ ผมไปถึงบอกเขาเลย “คุณเลือกเอา ถ้าหากว่าจะไปอยู่วัดอื่นผมจะทำเรื่องย้ายให้ หรือไม่ก็พรุ่งนี้ผมจะแจ้งความ” ท่านย้ายออกไปเลย ก็ไม่เห็นท่านจะว่าอะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 02:12 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#199
|
||||
|
||||
สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์ปล่อยปละละเลยเรื่องพวกนี้จนกระทั่งเสียหายเยอะ โดยเฉพาะพวกต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในวัด ๒๐๐ - ๓๐๐ คน ไม่ช่วยงานวัดผมไม่ว่า แต่เวลาวัดมีงาน พอถึงเวลาก็ต้องช่วยพระยกข้าวปลาอาหารเข้าโรงครัว ปรากฏเขายกไปบ้านของเขาเอง ก็ถามว่าแล้วทำไมไปให้พวกนี้อยู่ ? เขาบอกว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยหลวงปู่สายแล้ว ไล่ก็ไม่ไป เออ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการให้
ผมลงไปบอกพวกเขาว่า "ให้ทุกคนย้ายออกได้แล้ว เพราะว่าอาตมาจะใช้ที่ตรงนี้ก่อสร้าง ถ้าใครย้ายออก สังกะสี ไม้ เสา ยกให้เลย ขนไปได้เลย แต่ถ้าผมรื้อเองนี่ไม่ให้นะ" ว่าแล้วก็สั่งช่างขุดหลุมแรกติดบ้านเขาเลย มีปัญญามึงก็อยู่ไป ทางนี้ก็ก่อสร้างตึงตังโครมครามไป พักเดี๋ยวก็ย้ายกันเกลี้ยง อยากอยู่ก็อยู่ไป ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ทนเสียงได้ก็ทนไปสิ ถ้าไปก็ได้ของ แต่ถ้าหากว่าให้ผมจัดการเองนี่ไม่ได้อะไรเลยนะ มีแต่คนอัศจรรย์ว่าพระอาจารย์เล็กทำได้อย่างไร ทำไมเขาไม่เดินขบวนประท้วง ? ก็อย่างน้อยต้องมีประโยชน์ให้เขา พวกสังกะสี พวกกระเบื้อง พวกไม้ พวกเสา ที่เป็นของวัดเก่า ๆ ก็เอาไปเลย ผมไม่ได้ใช้อยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 02:15 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#200
|
||||
|
||||
ถาม : ให้อุบายเขาเลือก ?
ตอบ : เขาเลือกด้านที่ดีของเขา ซึ่งผมต้องการ ก็แบบเดียวกับที่ผมจับพระอาคันตุกะพกปืน มีโพยหวย ๔ ใบ บอกเขาว่า “ผมให้คุณเลือก ถ้าคุณจะสึกผมจะสึกให้ แต่ถ้าคุณไม่สึก ผมจะแจ้งความ ปล่อยให้เขาดำเนินคดีไป" เขาก็ยอมสึก ฟังดูเหมือนกับว่าผมเมตตาเปิดโอกาสให้เขาเลือก แต่จริง ๆ แล้วโอกาสที่เขาจะเลือกคือทางที่ผมต้องการ อย่าไปเปิดโอกาสให้เขามากกว่านั้น ถาม : ทำไมไม่ให้โอกาสว่าให้ย้ายไปอยู่อีกวัด ? ตอบ : ไม่ได้ เขามาทำให้พระศาสนาเสียหาย พวกนี้ย้ายไปอยู่วัดอื่นก็จะทำเหมือนเดิม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-01-2019 เมื่อ 02:16 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|