|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#201
|
||||
|
||||
"ตอนที่หน้าที่การงานยังไม่รัดตัวมาก รีบเรียนให้มากเข้าไว้ พอการงานมาถึง คราวนี้จะไม่มีเวลาเรียน คนเก่าพอรู้งานจะใช้งานได้ก็กลายเป็นเจ้าอาวาสหมด ส่วนครึ่ง ๆ กลาง ๆ พอทำงานเป็นก็ไปเรียนกันหมด สรุปก็คือผมต้องหัดพระใหม่อยู่ทุกปี เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องเกรงใจผม เชิญไปให้หมดได้เลย ไหน ๆ ก็ต้องหัดใหม่อยู่บ่อย ๆ แล้ว จะหัดคนสองคนหรือหัดทั้งหมดก็เท่ากัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:18 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#202
|
||||
|
||||
ถาม : มีคนบอกให้หนูไปลาพุทธภูมิ หนูต้องไปลาที่ห้องพระไหม หรือที่วัดท่าซุง ?
ตอบ : ลาที่ไหนก็ได้ต่อหน้าพระพุทธรูป เอาบัวขาว ๕ ดอก เทียน ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอกไปด้วย ถึงเวลาจุดบูชาแล้วถวายดอกบัว ตั้งใจว่า ‘ข้าพเจ้าเคยปรารถนาพระโพธิญาณมาในชาติหนึ่งชาติใดก็ตาม บัดนี้ขอถอนซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะขอปฏิบัติตามพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เพื่อบรรลุพระนิพพานในชาตินี้’ ธูปเทียนก็จุดบูชาไป เลิกงานแล้วดับด้วยนะ เผาบ้านมาเยอะแล้ว..! อาตมาไปงานข้างนอกโดยเฉพาะสวดศพกลางคืน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นคนเทศน์เป็นคนสวด พอเลิกงานก็ดับเทียนทันที บางทีเจ้าภาพก็งง ๆ ต้องบอกเขาว่าอาตมาเข็ด เพราะว่าเคยโดนเผาโบสถ์มาแล้ว ยังดีที่ดับได้ทัน ไหม้แค่พรมเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:19 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#203
|
||||
|
||||
ถาม : ผมจะเปิดโรงเรียน ขอเมตตาให้ช่วยตั้งชื่อโรงเรียนครับ ?
ตอบ : ตั้งเองตามใจชอบนั่นแหละ ถ้าอาตมาตั้งจะยุ่ง แบบเดียวกับที่ไปให้พระตั้งชื่อร้านเสริมสวย พระท่านตั้งชื่อร้าน ‘นะโม’ โยมก็ตะขิดตะขวงใจ บอกชื่อนะโมจะไม่ดีเกินไปหรือ ? ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอกเพราะ ‘นะโม’ ต่อด้วย ‘ตัสสะ’ ประมาณว่าจะ ‘ตัดสระซอยเซ็ต’ ไปเลยดีไหม ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:20 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#204
|
||||
|
||||
สนทนากับโยม "อายุ ๗๔ เท่าทุนแล้ว อยู่ต่อที่เหลือเป็นกำไรล้วน ๆ อรรถกถาจารย์บอกว่าสมัยพระพุทธเจ้า อายุขัยของคน ๑๐๐ ปี พอผ่านไป ๑๐๐ ปีอายุจะลดลง ๑ ปี ตอนนี้ผ่านไป ๒,๖๐๐ ปี ก็เหลือ ๗๔ ปี ของโยมแปลว่าเท่าทุนแล้ว ที่เหลือก็คือกำไร
ส่วนอาตมาเองกำไรเยอะมาก ทำปาณาติบาตไว้ทุกชาติ เกิดมาอายุสั้นพลันตาย ชาตินี้หมดอายุตั้งแต่ ๒๗ อาตมาเลยไม่ค่อยได้กังวลกับชีวิต เพราะว่าเท่ากับตายไปแล้ว ที่อยู่มาจนถึงตอนนี้ก็เท่ากับต่อวีซ่า อยู่ได้วันหนึ่งก็กำไรวันหนึ่ง จึงต้องทุ่มเททำหน้าที่การงานให้เต็มที่ ทำให้คุ้มกับที่ท่านให้อยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:21 |
สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#205
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่เด็ก ๆ ชอบอยู่กับคนแก่ เพราะว่าปู่ย่าตายายมักจะเอาใจ พ่อแม่มักจะขัดใจลูกอยู่เรื่อย วันก่อนเจ้านัทธมนไปเขียนใบสมัครบวช พอถึงเวลาบุคคลที่ติดต่อได้ เขาลงชื่อ ระบุเป็น ‘ป้าสาว’ ก็เลยบอกว่า..จำไว้นะลูก ป้าชายไม่มี คำว่าป้า คำว่าลุง บอกเพศสภาพชัดเจนแล้ว ไม่ต้องไปลุงหนุ่มป้าสาวอะไรหรอก ถ้าเป็นน้า เป็นอา ยังมีน้าสาว น้าชาย อาหญิง อาชาย ถ้าเป็นลุงเป็นป้านี่ไม่ต้อง
เป็นปู่เป็นย่าก็ชัดเจน เป็นตาเป็นยายก็ชัดเจน ที่ไม่ชัดเจนก็คือน้า...น้องแม่ คราวนี้น้องแม่มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ก็ต้องระบุว่าน้าชายน้าสาว พอถึงเวลาก็อา...น้องพ่อ น้องพ่อก็มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย สมัยอาตมาเด็ก ๆ คำว่า อา ไม่มี คำว่าอาตรง ๆ เพิ่งใช้ไม่นานเอง สมัยก่อนเขาใช้ ‘อาว์’ กัน ออกเสียงเหมือนมี ว.แหวนสะกด เด็กรุ่นหลังออกเสียงไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:22 |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#206
|
||||
|
||||
"ภาษาเก่า ๆ ทำเอาเด็กรุ่นใหม่อ่านไม่ค่อยจะถูก
อันใดย้ำแก้มแม่............หมองหมาย ยุงเหลือบฤๅริ้นพราย........ลอบกล้ำ ผิวชนแต่จักกราย............ยังยาก ใครจักอาจให้ช้ำ.............ชอกเนื้อ เรียมสงวน ผิ-วะ / ผิ-ว่า ก็แปลประมาณว่า ถ้าหาก แต่คราวนี้เขาเขียนแล้วเป็น ผิว เด็กรุ่นหลังอ่านเป็นผิว ผิ-วะ ในที่นี้แปลว่า แม้แต่ ถ้าหาก ต้องดูบริบทก็คือรูปประโยคว่าใช้อะไรจะได้แปลถูก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:23 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#207
|
||||
|
||||
ถาม : บางทีแปลหนังสือบาลีไป ปีติจะขึ้นตาม เหมือนจะร้องไห้ออกมา ?
ตอบ : ธรรมดา หลวงปู่อ่ำ(พระราชกวี วัดโสมนัสวรวิหาร) แปลตอนช้างปาลิไลยกะตามพระพุทธเจ้าออกจากป่ามา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปาลิไลยกะ...ตรงนี้เป็นเขตแดนมนุษย์ ไม่สมควรแก่เธอ เธอจงกลับไปเถิด ช้างปาลิไลยกะยืนร้องไห้น้ำตาไหล หลวงปู่ท่านก็น้ำตาไหลไปด้วย บางอย่างเป็นภาษาใจ ขนาดบาลียังเอาชัดไม่ได้ ถ้าเราปฏิบัติธรรมมาก่อนแล้วเราจะแปลได้ลึกกว่า แต่ถ้าลึกเกินไปอาจารย์เขาก็ไม่เอาด้วย เพราะฉะนั้น..เอาแค่ประมาณที่อาจารย์เขาต้องการ ถาม : อย่างบางเรื่องน่าโมโห เราก็โมโหตามละครับ ? ตอบ : ต้องทำตัวเป็นคนดู นั่นเราโดดไปเป็นคนเล่น เสียท่าเขาไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:25 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#208
|
||||
|
||||
เรื่องของความชั่วร้ายในการแย่งชิงอำนาจมีทุกยุคทุกสมัย คนดี ๆ ตายมานับไม่ถ้วนแล้ว เอาแค่งักฮุย ภาษาจีนกลางเรียกว่าเย่เฟย พวกกิมยอมกลัวงักฮุยอยู่คนเดียว คราวนี้พวกมหาเสนาบดีรับสินบนไว้เยอะ ก็เกลี้ยกล่อมฮ่องเต้บอกว่างักฮุยอยู่แนวหน้า คนเคารพนับถือมาก มีชื่อเสียงมาก มีกำลังทหารมาก อาจจะกบฏชิงราชสมบัติได้ เพราะฉะนั้น..ให้เรียกกลับมา ถ้าเรียกกลับมาก็เอาทหารมาไม่ได้ มาได้แต่ตัว
ส่งป้ายทองไปเร่งรัด ๑๒ ครั้ง ท่านเองตอนแรกก็ถือว่าเป็นแม่ทัพอยู่แนวหน้า ไม่จำเป็นที่จะต้องรับคำสั่งจากเบื้องหลัง คราวนี้พอโดนหลาย ๆ ครั้งเข้าก็รู้ว่าเขาเอาเราแน่ จะช้าก็ตาย จะเร็วก็ตาย ท้ายสุดก็ต้องยอมกลับมา แล้วก็ตายจริง ๆ แต่กลายเป็นฝากชื่อไว้ในแผ่นดิน ส่วนฉิ่งไกว่ก็ฝากชื่อไว้ในแผ่นดินเหมือนกัน คนเกลียดทั้งประเทศ ถึงเวลาก็เอาแป้งทอดเป็นฉิ่งไกว่กับเมียกอดกัน โยนลงกระทะ ทอดเสร็จก็กินให้หายแค้น ดันกลายเป็นอาหารนิยม ‘ปาท่องโก๋’ แต้จิ๋วเขาเรียก ‘อิ่วจาก้วย’ ก็คือฉิ่งไกว่ทอดน้ำมัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 05:27 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#209
|
||||
|
||||
จีนกลางก็เป็นโหยวฉิ่งไกว่ ตอนหลังเขาก็เลิกโกรธเลิกแค้น เปลี่ยนมาเป็นโหยวเถียว ถึงเวลาให้รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คนเกลียดถึงขนาดปั้นหุ่นทอดน้ำมันเลย กินให้หายแค้น คนดี ๆ ปกป้องประเทศชาติได้ดันเอาฆ่าทิ้ง..!
ฝ่ายตรงข้ามเห็นว่าไม่มีอะไรต้องเกรง ก็บุกเข้ามาถล่มเสียเละเทะไปทั้งประเทศ คนที่ไม่สมควรตายก็ตายไปเป็นแสนเป็นล้าน เพราะความเห็นแก่ตัวของคนแค่นิดเดียว ไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม ไปปลุกม็อบลงถนน เอ้ย...ไม่ใช่ ขอโทษ...พูดผิด ท่านประธานที่เคารพ ผมขออนุญาตแก้ไข เผลอสติไปหน่อย..! ฟังแล้วเครียด ขึ้นด้วยท่านประธานที่เคารพทุกครั้ง แต่ทุกอย่างที่แสดงออกไม่ได้เคารพท่านประธานเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 26-01-2020 เมื่อ 11:47 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#210
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา อาตมาลงไปภูเก็ต แล้วก็รับปากกับญาติโยมไว้ว่า ถ้าลงไปงวดนี้ก็จะไปสงเคราะห์ญาติโยมทางสตูลด้วย รับปากไปโดยที่ไม่รู้ว่าสตูลใกล้ไกลภูเก็ตแค่ไหน ด้วยความคิดว่าสตูลไม่ไกล เพราะว่าทุกครั้งที่ไปญาติโยมจากสตูลก็วิ่งมาหา
ปรากฏว่าเขาพาอาตมานั่งรถไป ๖ ชั่วโมงเต็ม ๆ ผ่านพังงา กระบี่ ตรัง แล้วถึงเข้าสตูล สรุปว่าวิ่งไปประมาณ ๔ จังหวัด ถามไปถามมาได้ความว่า จากทางด้านสตูลไปหาดใหญ่แค่ ๘๐ กว่ากิโลเมตร เลยบอกว่าคราวนี้รู้แล้ว ถึงเวลาไปหาดใหญ่แล้วให้แวะสตูล ไม่ใช่ไปภูเก็ตแล้วมาสตูล ด้วยความที่ญาติโยมมีศรัทธา ถึงเวลาอาตมาไปภูเก็ตพวกเขาก็วิ่งมา เห็นมาได้ทุกครั้ง อาตมาก็คิดว่าอยู่ใกล้ ใกล้มากเลย..นั่งรถแค่ ๖ ชั่วโมง..! แล้วเป็น ๖ ชั่วโมงที่เขาค่อนข้างจะทำความเร็วด้วย ไม่ได้คลานไป อาตมาได้รู้อีกว่าคนแถวนั้นเขาทำอะไรแปลก ๆ เขากินหมูย่างกับกาแฟ..! เคยได้ยินหมูย่างเมืองตรังไหม ? มีชื่อเสียงมากเลย แต่เขากินกับกาแฟ ในความคิดของอาตมาคือ หมูย่างต้องกินกับข้าว หรือไม่ก็ข้าวเหนียว อะไรที่ไม่เคยชินก็รู้สึกว่าแปลก แต่สำหรับพวกเขาแล้ว เขาทำจนเคยชินก็เลยไม่รู้สึกว่าแปลก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 20:59 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#211
|
||||
|
||||
"ส่วนหลวงปู่เจ้าคุณอำนวยส่งฎีกามานิมนต์ให้ไปฉลองอายุ ๙๔ ปี แล้วก็ฉลองพัดยศเจ้าคุณวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา แต่ไปไม่ได้ เพราะว่าติดอยู่ ๓-๔ งานแล้ว เกรงใจท่านมาก เพราะว่างานของอาตมาท่านมาทุกครั้ง แต่พอถึงเวลางานของท่านอาตมากลับไปไม่ได้
ระยะหลังงานทางคณะสงฆ์มีมากขึ้น ๆ เพราะว่าผู้บังคับบัญชาไว้วางใจ ท่านก็มอบหมายงานให้เยอะขึ้นเรื่อย ๆ คงเห็นว่าอาตมาไม่บ่น ในเมื่อไม่บ่นก็แปลว่ายังไม่หนัก พอ ๆ กับที่ไม่ร้องก็คือไม่เจ็บ..! งานมากขึ้นจึงปลีกตัวไปไหนยาก กำหนดการบางอย่างก็ตายตัวอยู่ แบบเดียวกับการมารับสังฆทานที่นี่ ทางด้านโน้นก็มีงานผูกพัทธสีมาวัดหินดาดผาสุการาม อาตมาในฐานะรองเจ้าคณะอำเภอ เป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่จะต้องไป ก็ต้องทิ้งงานท่านมาที่นี่แทน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:00 |
สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#212
|
||||
|
||||
"ไปภูเก็ตมีเรื่องที่น่าดีใจ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องที่น่าตี เรื่องที่น่าตีก็คือ ญาติโยมบอกว่าพอเห็นหน้าพระอาจารย์แล้วค่อยมีกำลังใจในการปฏิบัติขึ้นมาหน่อยหนึ่ง น่าปล่อยให้ตาย..! สรุปว่าถ้าไม่เห็นหน้าก็ไม่คิดที่จะปฏิบัติกัน
ส่วนที่น่าดีใจก็คือเด็กนักเรียนมัธยมชั้น ม. ๔ ม. ๕ มากันเยอะมาก เพราะว่าไปภาวนาโดยเฉพาะคาถาท่านปู่พระอินทร์ ช่วยในการเรียนได้ดีมาก ก็เลยเกิดความเลื่อมใส คนที่ไม่เคยมาก็ขอให้เพื่อนพามา แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีคำถามเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติ ดูท่าว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่หวังความก้าวหน้า แต่คราวนี้ในช่วงชีวิตวัยรุ่น ถ้าเลี้ยวเข้าวัดก็ถือว่ามีภูมิคุ้มกันมากขึ้น โอกาสที่จะอยู่รอดปลอดภัยในสังคมก็มีมากขึ้น แต่ก็ไม่แน่..เพราะว่าบางท่านถึงเลี้ยวเข้ามาแล้ว ถึงเวลาก็ยังเลี้ยวออกไปอยู่ดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 29-01-2020 เมื่อ 16:39 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#213
|
||||
|
||||
"แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือฝรั่ง ฝรั่งเข้ามาปฏิบัติธรรมในเมืองไทยกันเยอะมาก แล้วบางทีพอเกิดปัญหาขึ้น สอบถามแล้วพระวิปัสสนาจารย์ไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ถึงเวลาก็ต้องรอว่าเมื่อไรพระอาจารย์จะโผล่ไป บางคนก็วีซ่าหมดกลับบ้านไปก่อน แต่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวได้คำตอบแล้วส่งให้เพื่อนทาง Facebook ได้
คราวนี้ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมสำหรับฝรั่ง หรือแม้แต่คนไทยก็เถอะ ถ้าหากว่าแรกเริ่มปฏิบัติจะสายไหนก็ได้ เดี๋ยวพอนาน ๆ ไปก็จะรู้เองว่าอะไรที่เหมาะสมกับตน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:02 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#214
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคล "อาตมาไม่ได้สร้างของพวกนี้ เพราะว่าบางอย่างทำให้เกิดส่วนของสัทธรรมปฏิรูปขึ้นมา ก็คือมีของที่แทรกเข้ามาในระหว่างธรรมะของพระพุทธเจ้า
อย่างที่เขาทำเป็นรูปพีระมิดบ้าง ทำเป็นอักษรรูน เคยได้ยินไหม ? ตัวคาถาอาคมสมัยดึกดำบรรพ์ของทางด้านโลกตะวันตก เรื่องพวกนี้เป็นของอิงศาสนา อิงความเชื่อ ถ้าเราไปทำ คนรุ่นหลังที่ไม่รู้ก็ไปคิดว่าเป็นของศาสนาพุทธ แล้วก็จะทำให้เกิดความสับสนปนเปกันขึ้นมา ศาสนาที่เรียกว่าแท้จริงของเรา ก็จะโดนหลักเกณฑ์หลักการอื่นแทรกเข้ามา แล้วก็จะทำให้สูญเสียความเป็นพุทธไปทีละน้อย จนกระทั่งท้ายสุดก็จะเหลือแต่เปลือก แต่ว่าส่วนเปลือกกลับเป็นส่วนที่บุคคลต้องการมากที่สุด เพราะว่าเข้าถึงง่ายที่สุด เพราะฉะนั้น..สิ่งที่เราทำก็อย่าให้ไปไกลศาสนามากจนต่อไม่ติด อย่างเช่นว่าถ้าเราสร้างพีระมิด ก็ควรที่จะเป็นในส่วนของพระรัตนตรัย พีระมิดเป็นสามเหลี่ยม อธิบายเข้าในส่วนของคุณพระรัตนตรัย ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจอย่างสูง ถึงจะพูดให้ชัดเจนได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:04 |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#215
|
||||
|
||||
"แม้กระทั่งอาตมาสร้างตะกรุดพยัคฆราชเกราะเพชร ก็พยายามเอายันต์เกราะเพชรที่เป็นบทสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า คืออิติปิ โสฯ ใส่ลงไป จะได้ไม่ไปไกลเกิน คนที่มีจริตนิสัยชอบทางเครื่องรางของขลัง ก็จะได้มีของที่ตนเองชอบเอาไว้บูชา เอาไว้ติดตัวป้องกันอันตราย ในส่วนของพระพุทธศาสนา เราก็จะได้มีคุณพระรัตนตรัยแทรกเข้าไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:04 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#216
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงส่งท้ายปีเก่า ทางคณะผู้บริหารหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมานิมนต์ บอกว่าคุณสราวุธ วัชรพลสร้างอาคารใหม่ น่าจะเป็นสำนักงานใหม่ จะนิมนต์อาตมาไปทำพิธีเปิดให้ ถามเขาว่ามีเวลาที่แน่นอนไหม ? เขาบอกว่าประมาณเดือนพฤษภาคม
ก็เลยแจ้งไปว่า ถ้าคุณประมาณนี่ไม่สามารถที่จะรับปากได้ว่าไปได้หรือเปล่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วอาตมารับงานข้ามปี ขนาดคนนิมนต์ข้ามปียังไม่ค่อยจะได้ตัวเลย ท้ายสุดทางคณะก็ตัดสินใจว่า เอาวันที่หลวงพ่อสะดวก เออ...ถ้าอย่างนี้มีโอกาสได้ แต่ว่าให้รีบแจ้งกำหนดการพร้อมสถานที่จะจัดงานมา แล้วอาตมาจะหาวันให้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:05 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#217
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ทางรัฐบาลเน้นยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี โดยอาศัยทฤษฎีพลังบวรของในหลวงรัชกาลที่ ๙ สร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนให้กับชุมชน ซึ่งถ้าทุกชุมชนประสบความสำเร็จ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรืองมาก
คำว่า บวร บ. มาจากบ้าน ก็คือทุกบ้านในชุมชน ว. คือวัด ร. คือโรงเรียนและหน่วยราชการทั้งหมด ต้องดำเนินงานร่วมกัน คราวนี้คณะรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งลงไปถึงระดับจังหวัด ให้ดำเนินงานตามโครงการบวรนี้ อาตมาเองก็เพิ่งกลับจากทำหน้าที่วิทยากร ไปบรรยายว่าทำอย่างไรถึงจะใช้พลังบวรในการสร้างชุมชนของเราให้ประสบความสำเร็จ โดยยกเอาชุมชนวัดท่าขนุนเป็นตัวอย่าง การที่ไปบรรยายครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นครั้งที่ผู้ฟังหลากหลายที่สุด เพราะว่ามีศาสนาอื่นด้วย เนื่องจากว่าคำว่า วัด ไม่ได้หมายถึงวัดอย่างเดียว ถ้าเป็นชุมชนอิสลามก็คือมัสยิด ถ้าเป็นชุมชนคริสต์คือโบสถ์คริสต์ ถ้าเป็นชุมชนชาวซิกซ์คือโบสถ์ซิกซ์ ถ้าเป็นชุมชนฮินดูก็คือเทวาลัย โดยใช้คำว่า วัด รวมความหมายทั้งหมดไว้ด้วยกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:07 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#218
|
||||
|
||||
"คราวนี้ส่วนที่เห็น ส่วนราชการและโรงเรียน ก็คือพวกอำนวยการโรงเรียนและหัวหน้าส่วนราชการ ๕๐๐ คนไปกันเต็ม เพราะว่าเจ้านายสั่ง ถ้าผู้ว่าฯ สั่งไม่ไปนี่ตาย..! ชุมชนชาวคริสต์ ๕๐๐ ชุมชนอิสลาม ๕๐๐ มีแต่เกิน นั่งกันแน่นไม่มีที่จะหายใจ ส่วนพระเรานิมนต์เจ้าอาวาส ๕๐๐ รูป ทั้ง ๆ ที่จังหวัดกาญจนบุรีมีวัดเกือบ ๖๐๐ วัดสำนักสงฆ์อีก ๙๐ กว่าแห่ง แต่ไปไม่ถึง ๓๐๐ รูป เห็นชัดที่สุดว่าจุดบกพร่องของทฤษฎีบวรอยู่ที่วัด..!
เพราะว่าพระสงฆ์ไม่ได้เต็มใจที่จะทำหน้าที่เพื่อชุมชน เหตุที่กล้าฟันธงเช่นนั้นเพราะว่าเรื่องสำคัญขนาดนี้ยังไม่มา เอากิจนิมนต์เป็นใหญ่ รับนิมนต์แล้วได้เงิน ไปฟังวิธีบริหารโครงการบวรแล้วไม่ได้เงิน..! นี่อาตมาพูดได้เต็มปากเต็มคำเลย เพราะว่ารู้ซึ้งถึงสันดานพวกเดียวกันเอง เป็นโอกาสทองที่ดีที่สุดเพราะว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ ให้วัดเราเป็นศูนย์กลางในการบริหารชุมชน แต่แทนที่จะรีบไปฟัง รีบไปรับนโยบาย รีบไปศึกษารูปแบบการบริหารจัดการ กลับไปกิจนิมนต์ ไปสวดมนต์ ไปฉันเพล ไปทำบุญบ้านโยม ไปงานเพื่อนพระนิมนต์ “เห็นแล้วน้ำตาจิไหล”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:09 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#219
|
||||
|
||||
"ส่วนพี่น้องคริสต์อิสลามไม่ต้องพูดถึง...ไปเกิน เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมสูงมาก ไปแล้วแย่งกันนั่งข้างหน้า ส่วนพระเราไปก่อนนั่งข้างหลังสุด ต้องเคี่ยวเข็ญ ทั้งนิมนต์ ทั้งฉุด ทั้งกระชาก ถึงจะยอมไปนั่งข้างหน้า แปลว่าเราสู้เขาไม่ได้ตั้งแต่ในมุ้ง..!
ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะว่า สติ สมาธิ ปัญญา ของเราอ่อนมาก ทำให้ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก ขนาดวัดท่าขนุนของอาตมาทำวัตรเช้าเย็นวันละ ๓ รอบ อย่าคิดว่ามาก พี่น้องอิสลามละหมาดวันละ ๕ รอบ..! สรุปก็คือถ้าเราจะสร้างเสริมสมาธิของเราให้แน่น เพื่อที่จะเอาตรงนี้ไปสู้เขา เราก็ยังสู้ไม่ได้ เพราะว่าของเราทำวัตร ๓ รอบ ยังมากเกินไปในความรู้สึกของวัดอื่น ๆ อาตมาไปทองผาภูมิใหม่ ๆ เขาสวดมนต์ทำวัตรกันเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา จนกระทั่งไปปรับปรุงแก้ไขแบบยัดเยียด แล้วปรากฏว่าประสบความสำเร็จ วัดอื่นก็ค่อย ๆ ลุกตามมา แล้วถ้าจะเอาความสามัคคี โดยนิสัยคนไทยเราก็ไม่ได้อย่างนั้น เราไม่ได้เป็นทาสคนอื่นมานานเกินไป เอาแค่เราไปพม่า จะมีชุมชนคนไทยโดนกวาดต้อนไปตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระราชกุมาร หลายแห่งพูดไทยไม่ได้แล้ว แต่สำนึกความเป็นไทยยังเต็มเปี่ยม เกาะกลุ่มอยู่ในชุมชนเหนียวแน่นมาก เพราะว่าไปอยู่ใจกลางบ้านศัตรู ถ้าไม่เหนียวแน่นรักใคร่กันไว้ เราก็อยู่ไม่รอด ดังนั้น...การที่เราว่างเว้นจากศึกเสือเหนือใต้ ตลอดจนกระทั่งการเป็นทาสคนอื่นเขามานาน บางทีทำให้จิตสำนึกความรักความสามัคคีกลมเกลียวนั้นน้อยลง ต้องบอกว่าสมควรที่จะเป็นทาสเขาอีกนาน ๆ จะได้เอาจิตสำนึกส่วนนี้กลับมา..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:11 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#220
|
||||
|
||||
"เราดูพี่น้องชาวกะเหรี่ยงกับชาวมอญ ชาวกะเหรี่ยงอยู่เมืองไทยมา ๒๐๐ - ๓๐๐ ปี ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นกะเหรี่ยงแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทย ความเหนียวแน่นก็เลยมีน้อย แต่พี่น้องมอญรู้สึกว่าเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง เป็นคนแปลกหน้าที่มาอาศัยเมืองไทยอยู่ เขาต้องรักใคร่สามัคคีกัน ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะอยู่ไม่ได้
ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าชุมชนมอญอยู่ที่ไหนก็เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น มีงานที่ไหนก็แห่กันไปช่วย ถึงจะทำอะไรไม่ได้ ไปให้เห็นหน้ากันเป็นกำลังใจให้กันก็ยังดี ซึ่งตรงจุดนี้บ้านเราบกพร่องเยอะมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-01-2020 เมื่อ 21:12 |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|