กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #301  
เก่า 26-10-2015, 12:54
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ผีจะเอาลูกไปเป็นเมีย

“ที่บ้านกุดละโฮง กุดนี้.. กุดใหญ่นี้มันแรงอยู่นะ นี่ที่ว่าโยมผู้หญิงคนนั้น แกอยู่บ้านหนองบัว บ้านนี้ละบ้านเรา ไปบิณฑบาตนี่ละ ชื่อบ้านหนองบัว เวลานี้เขาทำเขื่อนน้ำอูนท่วมหมดแล้ว ยกหนีไปหมด

อันนี้ก็สำคัญมากนะ เพราะแกรู้ภายในดี แกเล่าเรื่องภาวนาให้พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นฟังที่หนองผือ ผัวของแกชื่อบุญมา แต่เมียนั้นจำชื่อไม่ได้ แต่เมียนั่นละภาวนาเก่ง ไปหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่าน แก้ถึงเรื่องแกรู้นิมิตต่าง ๆ พวกเปรต พวกผีอะไร แกอยู่บ้านหนองบัว ลูกของแกนั่นป่วยกะออดกะแอดอยู่อย่างนั้น เอายาอะไรมากินมาใส่ก็ไม่หาย ๆ

ทีนี้เวลาแกภาวนาล่ะซี แกไปเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นฟังเป็นตุเป็นตะจริง ๆ พูดอย่างอาจหาญด้วย พูดถึงเรื่องลูกสาวแกน่ะ.. ป่วยกะออดกะแอดอยู่อย่างนั้น ไม่มีทางหาย ทำยังไงก็ไม่หาย แกเลยนั่งภาวนากลางคืน แกว่า

‘พวกผีอยู่กุดละโฮง เขาเตรียมจะกินเลี้ยงกัน มันมีบ้านใหญ่โต.. บ้านผี เขาเตรียมจะกินเลี้ยงกัน คือจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ผีคนนั้น.. ผีที่อยู่ในกุดละโฮงนั้น เขาจะมาเอาเด็กคนนี้ไปเป็นเมีย เขากำลังเตรียมจะแต่งงานกัน’


ทางนี้ภาวนาไปก็ไปเจอละซิ แกก็เลยไปไล่เบี้ยกันเลยกับเขา ซัดกันเสียจน โถ.. เกิดเรื่องกับผี ไม่ใช่เล่นแกว่า เขาบอกว่าจะเอาเด็กคนนี้

‘เอาไปได้ยังไงลูกของฉัน ฉันมีสิทธิ์เต็มตัว ดีไม่ดีฉันจะมาฟาดบ้านนี่ให้แตก เอ้า.. ถ้าฝืนไปเอาลูกของฉันมาแต่งงานนี้ ฉันก็จะไปเอาพวกนี้มาแต่งงานอีกเหมือนกัน ฉันจะเอากี่คนก็ไม่ทราบแหละ’ แกว่างั้นนะ


นี่หมายถึงความรู้ของแกที่ฟัดกับผี แกก็เก่งนะ โวหารของแกคือ ถ้าพวกแกเอาลูกของฉันไปแต่งงานเป็นลูกสะใภ้แล้ว ฉันจะเอาลูกหลานของแกมาให้ลูกของฉันแต่งงานบ้าง เอามันทั้งผู้หญิงผู้ชายในนี้แหละ ‘จะยอมให้ฉันไหม’

‘ไม่ยอม’

‘ถ้าไม่ยอม ลูกของฉันก็ต้องไม่ยอมเหมือนกันซี’

ตกลงเลยยกเลิก คือถ้าทางนี้จะเอาลูกของแกนี้ไปแต่งงาน พอแต่งก็ตายใช่ไหมล่ะ ? คนนี้ต้องตาย ทางนี้ไปถกกันกับผีกุดละโฮง ... แกก็ไปถกกับตาคนนี้ที่เขาจะแต่ง โอ๊ย.. ยกกันมาชุมนุมกันทั้งบ้านเลยแกว่าอย่างนั้นะ แกบอกว่า

‘เอ้า.. เหตุผลเป็นอย่างนี้ ถ้าเอาลูกสาวของฉันมาแต่งงานนี้ ฉันก็จะเอาลูกสาวลูกชายของผีไปแต่งงานกับลูกของฉัน หลานของฉันมีเท่าไร ฉันจะมากว้านเอาพวกนี้ไปแต่งงานให้หมด จะยอมไหม ?’


‘โอ๊ย.. ยอมไม่ได้ คนหนึ่งเป็นผี คนหนึ่งเป็นคน’

‘อันนี้ลูกของฉันก็เป็นคน อันนี้เป็นผีนี่ ถ้ายอมฉันก็จะให้ เสียดายฉันก็จะให้ แต่ฉันจะเอามากกว่า ทางนี้จะเอามากกว่า ดีไม่ดีบ้านผีแตก’

แกว่างั้นนะ ทางนั้นไม่ยอม ‘ถ้าไม่ยอมก็ต้องเลิกกันซี’ ตกลงเขายอมรับ.. เลิก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2015 เมื่อ 04:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #302  
เก่า 27-10-2015, 12:14
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พอจิตถอนออกมาแล้ว เอ้า.. ทีนี้ลูกของเรานี้ไม่ต้องไปหายามาใส่มันเลย แกยันกับผัวเลย ลูกของเราคนนี้ป่วยเพราะอะไร ! เพราะผีเขาจะเอาไปแต่งงานจนจะตายแล้วนี่ ทีนี้ได้ตัดสินกันแล้ว ฟัดกันกับทางผีเสียจนแหลกเมื่อคืนนี้ เราจะเอาลูกผีมาแต่งงาน ผีก็จะเอาลูกเราไปแต่งงาน ต่างคนต่างไม่ตกลงกันก็ต้องเลิกกัน ไม่ยุ่งกัน ที่นี้ผียอมเลิกแล้ว แล้วเด็กของเรานี้ก็ไม่ต้องหายาแล้ว มันหายเอง หายจริง ๆ นะ หายวันหายคืนไปเลย ไม่ต้องหายา เรื่องของผีก็เลิกกันไป นี่เก่งไหม.. แกภาวนา เห็นไหม

ไปเล่าให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟัง แต่อันนี้เราไม่เคยเล่าใช่ไหม เราไม่เคยเล่าให้ฟัง พูดอย่างเป็นตุเป็นตะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไม่ได้คัดค้านสักคำเดียว เห็นไหม ท่านยิ้ม ๆ เก่งไหมแก อาจหาญมากนะ อย่างนี้ละ ความรู้ถ้าเป็นในจิตแล้ว ไปพูดให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟังแบบเป็นตุเป็นตะเลยเทียว ท่านไม่ค้าน มีแต่ยิ้ม ๆ นั่นเห็นไหม ความจริงท่านรู้แล้ว.. ท่านจะไปค้านยังไง ความรู้ของผู้หญิงคนนี้ โอ๋ย.. แปลกประหลาดมากนะ พิสดารมาก เวลาแกไปเล่าให้ฟัง ให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟัง เรานั่งฟังตลอดนี่นะ เวลาเราอยู่ที่นั่น นี่ละที่เราไปอยู่ที่นั่น มันก็มีของมันเหมือนกัน

เป็นยังไง ผีมีหรือไม่มี นี่ละ.. เอาตัวจริง ๆ ของนักภาวนามาพูด เขาพูดมีเหตุมีผล ฟังซิ เวลาเขาไปถกกันกับบ้านผี โถ.. ผีไม่ใช่น้อย ๆ กุดละโฮงนี้ บ้านผีทั้งนั้น เขาว่างั้นนะ อยู่นี่เต็มหมดเลย เวลาไปฟัดกับเขา เขาสู้เราไม่ได้ .. เก่งไหมล่ะ แกภาวนาฟัดกับผี แล้วไปพูดให้พ่อแม่ครูอาจารย์ฟังนี้ โอ๊ย.. อย่างอาจหาญเสียด้วยนะ

นี่ละความรู้ในจิตจริง ๆ มันไม่ได้สะทกสะท้านนะ ผึง ๆ เลย มันแน่นในหัวใจนี่ ภาวนาดี ท่านก็บอกให้ตีตะล่อมจิตเข้าไปสู่ภายใน แล้วให้พิจารณาร่างกายส่วนต่าง ๆ นี่เป็นทางแก้กิเลสตัณหา สิ่งเหล่านั้นเป็นตามอุปนิสัยไปธรรมดา เป็นสิ่งที่รู้ที่เห็น เหมือนเราเดินไปไหน ไปเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นเปรตเห็นผี เห็นเทวบุตรเทวดา ก็เหมือนเราเห็นผู้เห็นคน เห็นสัตว์ต่าง ๆ ในสองฟากทางไปนั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส แน่ะ..ท่านสอน

เรื่องแก้กิเลสต้องหมุนสติปัญญาเข้ามาสู่ภายใน กิเลสอยู่ภายใน พิจารณาร่างกายท่านก็สอน สิ่งเหล่านั้นมันก็มีอย่างนั้นแหละ มีตาเราก็เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีตาใจเราก็เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ซึ่งเป็นอุปนิสัยของกันและกัน ท่านก็บอกแต่ไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส ถ้าหลงตามมันแล้วผิดแน่ ท่านสอนเข้ามาภายใน เราฟังละเอียดลออ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-10-2015 เมื่อ 13:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #303  
เก่า 06-11-2015, 12:10
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ตายแล้วจะเกิดในท้องหลาน

“...คุณยายกั้งคนนี้แหละ แกจะไปเกิดในท้องหลานสาว พอพิจารณาลงไป จิตละเอียดแน่วลงไปแล้ว กำหนดดูแล้วเป็นสายเหมือนใยบัวนี่ เป็นสายยาวเหยียด ตามสายไป.. ตามไป ๆ เข้าท้องหลาน จากนั้นก็ปุ๊บปั๊บขึ้นมา โอ๋.. กระวนกระวาย ทีนี้พอออกจากนั้นแล้ว ก็วิ่งมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี่ มาเล่านี่ ใครก็ฟังกันทั้งวัด.. ปฏิเสธได้เหรอ

‘โห.. หลวงพ่อ ทำไมเป็นอย่างนั้น’

โยมภาวนาเมื่อคืนนี้เป็นอย่างนั้น ๆ นะ ก็เลยเล่าให้ฟัง พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นแทนที่จะปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่นะ พอทางนั้นเล่าให้ฟังท่านนั่งนิ่งสักนาทีกว่า ๆ ท่านไม่พูดอะไรละ ทางโน้นเล่าพอจบลงแล้วทางนั้นก็นิ่งทางนี้ก็นิ่ง สักเดี๋ยวแพล็บออกมาเลย

ให้กำหนดตัดนะ เวลานี้ยังไม่ได้ไปถือกรรมสิทธิ์... ให้กำหนดตัด เพียงไปจับจองไว้เท่านั้นแหละ นั่นละโยม นี่ตายแล้วจะไปเกิดท้องหลานรู้ไหมล่ะ เวลานี้กำลังไปจับจอง แต่เจ้าตัวยังไม่ไป ให้รีบกำหนดตัดนะ ให้ตัดสายใยนั้นนะ


โอย.. ใครก็ฟัง ตานี้ไม่หลับแหละ จนตาแห้ง ลืมตาจ้อง ปากก็อ้าด้วย ปากหลวงตาบัวก็อ้าด้วย มันอ้าด้วยกันหมด ก็พบสิ่งไม่เคยได้ยินใช่ไหมล่ะ ? ท่านบอกกำหนดให้ตัดนะ ไม่ได้นะ โยมนี้ตายพอออกจากนี่ปั๊บ ตายแล้วจะไปอยู่ท้องหลานคนนี้นะ เวลานี้กำลังไปจับจองที่ไว้อยู่แล้ว แต่เจ้าตัวยังไม่ไป

นั่นฟังสิ ให้กำหนดตัดคือตัดทางโน้น มันก็ขาดจากกรรมสิทธิ์ที่จับจองนั้นก็แล้วไป นี่ละ.. ที่ว่าสภาหนูขึ้น พวกหนึ่งไปจับจองว่าจะเกิดแล้ว ทำไมจึงต้องไปตัดอย่างนั้น มันไม่เป็นการฆ่าสัตว์ ฆ่ามนุษย์เหรอ..ว่างั้น ถึงได้แก้กันว่าไม่ได้เป็นการฆ่า เพราะอันนี้เป็นเพียงไปจับจองเฉย ๆ ยังไม่ได้โยกย้ายตัวไป เพียงไปจับจองที่นี้เท่านั้น เหมือนเราไปจับจองบ้านใหม่ ไปจองไว้แล้วก็กลับมาอยู่บ้านเก่า ออกจากนี้เราก็ไปอยู่บ้านใหม่ ยังไม่ได้ไป..ถูกทำลายเสียก่อน นั่นละ..เรื่องราวมันเป็นอย่างนั้น

ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของพิสดารมากจริง ๆ สำคัญก็คือปรับใจเจ้าของ.. ให้ภาวนาให้จิตสงบเย็น แล้วจะเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้เคยเห็น จะเห็นที่ในใจ ๆ แปลกประหลาดอัศจรรย์มีอยู่ในนี้หมดเลย อยู่ในใจที่เป็นเวทีของธรรมนี่ ธรรมเข้าในเวที ธรรมอยู่ในภาชนะนี้ แล้วจะแสดงลวดลายออกทุกแง่ทุกมุมเลย แต่ก่อนธรรมไม่มีที่สถิต แล้วก็เหมือนไม่มีธรรมอยู่อย่างนั้นนะ พอมีที่สถิต มีที่ยับยั้ง มีที่อยู่อาศัยแล้ว ทีนี้ก็แสดงลวดลาย แสดงได้หมด ..’

‘นี่ได้ทราบว่า อัฐิของแกเป็นพระธาตุ เราเชื่อว่าอย่างนั้นเลย ยายกั้งนี้เราเชื่อแล้วแหละ เพราะตอนนั้นแกเดินจงกรมนี้ เอาไม้เท้าเดินอยู่บนกุฏิ หมายถึงความเพียรหมุนอยู่ภายใน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ให้แกนั่งอยู่นานไม่ไหว ต้องเดิน เพราะอันนี้หมุนอยู่ตลอด เราไม่ลืม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2015 เมื่อ 20:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #304  
เก่า 16-11-2015, 12:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระนางพิมพา

คุณยายกั้งเป็นตัวอย่างสตรีผู้หนึ่งที่บรรลุธรรมในสมัยหลวงปู่มั่น ซึ่งในสมัยพุทธกาลมีสตรีที่บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างพระธรรมเทศนาขององค์หลวงตาเกี่ยวกับพระนางพิมพา ซึ่งเป็นสตรีผู้รู้ธรรมเห็นธรรมผู้หนึ่งในสมัยพุทธกาล ดังนี้

“...พระพุทธเจ้ากับพระนางพิมพาที่สร้างบารมีด้วยกัน นั่นละ...เป็นอันเดียวกันมาตลอด ตั้งแต่สร้างพระบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ไปเกิดในภพใดชาติใด ก็ต้องไปเกิดพบกัน ๆ เป็นคู่บารมีกันมาจนได้ตลอดเลย นี่ละ..ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน เวลาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาแล้ว พระนางพิมพาก็ตามเสด็จ เห็นไหม .. เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชนั้น ก็ทรงเล็งเห็นถึงเรื่องโลกมีคุณค่าขนาดไหน พระชายามีคุณค่าขนาดไหนก็คิด เมื่อเทียบกับประโยชน์ของโลกแล้ว พระชายานี้ก็เท่ากับเม็ดหินเม็ดทราย ฟังซิ...กว้างขวางขนาดไหน.. ประโยชน์ของโลก โลกสามแดนโลกธาตุ เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เปรต ผี ประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุ.. จึงต้องยอมเสียสละ จะลาพระชายาก็ไม่ลา ลูกก็ติดอยู่กับอกแม่ ถ้าไปชมลูก แม่มันตื่นขึ้นมากอดคอก็เสร็จเลย จะไปไหน..สิทธัตถะ ? มัดคอเข้าเรื่อย พูดคำไหนมัดเข้าเรื่อย ๆ ... จึงต้องเสียสละออกไป ไปบำเพ็ญอยู่ ๖ ปีนั้น ..

พระราชบิดาทรงทูลอาราธนาไปเสวยพระกระยาหารที่พระตำหนัก ดูว่าพระติดตามไปตั้ง ๒ หมื่นนะ ฟังซิ...พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รับสั่ง พระสงฆ์ ๒ หมื่นนั่นก็กลับกันไปหมดแล้ว ส่วนพระองค์กับพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ยังอยู่ ๓ พระองค์จะไปเยี่ยมพิมพา แล้วพอดีก็ได้รับคำเผดียงจากพระราชบิดาอีก

‘โอ๊ย.. พระนางพิมพาเป็นคนที่ดีมาก หาไม่ได้แล้ว’ นี่ปู่ชมลูกสะใภ้เข้าใจไหม


พระนางพิมพานี้หายากแล้ว ไม่มีใครเหมือน นี่มาถึงระยะนี้แล้วจะไม่ไปโปรดไปเยี่ยมพิมพาบ้างเหรอ ? ถึงขนาดที่มาฉันนี่แล้ว พระตำหนักพระนางพิมพาก็อยู่ข้าง ๆ นั่น’
ทางนั้นไม่กล้าออกมา พระนางพิมพานะ คนจะมากขนาดไหนไม่กล้าออกมา


พอทูลเผดียงอย่างนั้น พระองค์ก็รับสั่งกับพระว่า ‘สารีบุตรกับโมคคัลลาน์ไปด้วย เราจะไปเยี่ยมพิมพา’ ครั้นเข้าไปแล้วกำชับ เพราะสายเกี่ยวโยงกันมีความแน่นหนามั่นคงมามากน้อยเพียงไร นานแสนนานขนาดไหน... ‘หากว่าพิมพาจะมาทำอะไรกับเราก็ตาม สารีบุตร โมคคัลลาน์นี้ ให้เฉยเป็นแบบหูหนวกตาบอดไปเลย นางพิมพาจะมาทำอะไร ๆ ก็ตาม ไม่ให้สนใจ ให้ทำตามพระอัธยาศัยของพิมพา ซึ่งมีความสนิทสนม ความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาตั้งแต่กัปตั้งกัลป์แล้ว วาระนี้เป็นวาระที่จะแสดงทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นชัดเจน ความหมายว่าอย่างนั้น แล้วเธอจะทำอะไรก็ช่าง อย่าไปสนใจ

พอพระองค์เสด็จเข้าไปที่รับแขก ทางนี้ก็ไปทูลพระนางพิมพาว่า พระลูกเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว เวลานี้ประทับอยู่ที่นั้น พอเสด็จออกมาปรี่เข้าเลย...เห็นไหมล่ะ ? กอดพันเลยทีเดียว เห็นไหมล่ะ ? รู้เรื่องอะไรไหม ? สนใจอะไรไหม ? อำนาจแห่งบุพเพนิวาสชาติปางก่อน เคยเกี่ยวโยงกันมาแน่นหนาขนาดไหน เกินกว่าที่จะมาอ้ำมาอาย มาอะไรกับกิริยาท่าทางของโลกสมมุตินี้เพียงเท่านั้น สิ่งที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจมากี่กัปกี่กัลป์ คราวนี้เข้าด้ายเข้าเข็มแล้วก็ประจักษ์อยู่ในหัวใจ พอมาก็เข้าสวมกอดเลย พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ พระองค์ก็เฉยไม่ได้สนใจ มากอดทางนี้เฉย ก็พระจิตของพระพุทธเจ้าเล็งญาณดูตลอดเวลา ถึงวาระไหนควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าทรงทราบตลอดเวลา แล้วปล่อยให้นางพิมพาทำให้สมใจที่รัก พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น แล้วก็ทรงแสดงย่อ ๆ ว่า

‘นี่เป็นวาระของเราที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ไปด้วยกันแล้ว ก็แสดงย่อ ๆ ออกมา เราอุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายออกบวชมาแล้ว ก็ได้สำเร็จมรรคผลขึ้นมาเต็มกำลัง


ทีนี้ก็จะมาถึงนางละนะ คือความหมายว่านางนั้นคืออะไรของเรา ความหมายก็พูดย่อ ๆ แสดง ทีนี้จะเอากันไปให้พ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง.. ก็สอนทางนั้นก็ค่อยได้สติ ที่กอดรัดอยู่นั้นเป็นไปเองนะ ค่อยถอยตัวออกเอง นั่นละ...ธรรมเข้า ค่อยถอยตัวออกเอง จนกลายเป็นประทับนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามมาก ทางนี้ก็แสดงธรรมให้ฟัง เกิดความเชื่อความเลื่อมใสถึงใจเลย นั่นเป็นปฐมฤกษ์ จากนั้นก็สำเร็จโสดาฯ สกิทาฯ เรื่อยไป เราไม่พูดไปมากละ

นี่คือความผูกพันเป็นอย่างนั้นแหละ เป็นมาตั้งแต่ก่อน พระองค์ทรงทราบหมด พวกเราไม่ทราบจะว่ายังไง ความเป็นคนดี ความเป็นผู้ที่จะทำประโยชน์ให้โลกมากมาย จึงต้องชั่งต้องตวง ประโยชน์กับพระนางพิมพาไม่มากเท่ากับประโยชน์แก่สัตว์โลกทั่ว ๆ ไป จึงต้องสละพระนางพิมพา แต่สละออกไปเพื่อจะเอา ไม่ได้สละเพื่อจะปัดทิ้ง สละไปเสียก่อน ได้แล้วก็มาเอากันไป...เห็นไหมล่ะ ? ก็อย่างนี้ละ..นี่..ความดี..พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเคยสืบต่อเกี่ยวเนื่องกันด้วยคุณงามความดี เป็นอวัยวะเดียวกัน เป็นจิตใจดวงเดียวกันแล้ว เกิดในภพใดชาติใดไม่ต้องบอก

ปุพเพ สันนิวาเสนะ ปัจจุปันนะ หิเตนะ วา เอวันตัง ชายะเต เปมัง อุปะลังวะ ยะโถทะเก

บุพเพนิวาสชาติปางก่อน เป็นสิ่งที่สนิทสนมกลมกลืนกันมา ไม่มีใครแยกได้เลย พอพบกันปั๊บมันเป็นของมันเอง นี่คือความเคยชิน เป็นมาอย่างนี้ จากนั้นมาอยู่ด้วยกันก็บำรุงกันในปัจจุบัน ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ยิ่งมีความแน่นหนามีความอบอุ่นมากขึ้น ๆ ท่านจึงเทียบเหมือนกับว่าดอกบัว กอบัวที่ได้รับเปือกตมเปือกโคลนที่หล่อเลี้ยงแล้ว มันก็มีความชื่นบานขึ้นไปโดยลำดับ อันนี้การมาอยู่ด้วยกัน ได้รับความซื่อสัตย์สุจริต ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน ก็ต่างฝ่ายต่างเป็นเครื่องบำรุงน้ำใจซึ่งกันและกัน สนิทสนมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป แปลในธรรม นี่ละ...ที่ว่าดอกบัวที่เกิดในโคลนตม โคลนตมแลหล่อเลี้ยงดอกบัวให้ชุ่มเย็น ใครที่มาเกิดด้วยกันในวงวัฏวนนี้ ก็เหมือนเกิดในเปือกตมแล้วต่างคนต่างทำความดี ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน แล้วก็เป็นอันเดียวกันไปเลย สุดท้ายก็ยกกันขึ้น อย่างพระนางพิมพากับพระพุทธเจ้า..เห็นไหมล่ะ..?”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-11-2015 เมื่อ 16:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #305  
เก่า 16-11-2015, 17:08
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่มั่นอาพาธ ไปพักวัดร้างบ้านนาใน

เหตุการณ์ในคราวหนึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงปู่มั่นนึกอยากไปพักที่วัดร้างบ้านนาในสักระยะหนึ่ง หลวงปู่หล้าได้บันทึกเหตุการณ์ไว้ ดังนี้

“...หันมาปรารภ ปี ๒๔๙๑ ในฤดูแล้ง หลวงปู่มั่นก็เริ่มป่วย มีไข้สลับมีไอด้วย องค์ท่านป่วยแต่ยังไปบิณฑบาตได้อยู่ อีกประมาณ ๖ – ๗ วัน องค์ท่านนึกอยากจะไปพักบ้านนาในสักวาระ องค์ท่านก็สั่งเสียหลวงตาทองอยู่ว่า

‘อยู่เอ๋ย จะไปพักวัดร้างบ้านนาในสักวาระก่อน เพราะไกลกันจากวัดป่าบ้านหนองผือประมาณหนึ่งกิโล’


แล้วก็บอกหลวงปู่มหาให้ดูแลหมู่ องค์ท่านจะไปกับองค์นั้นองค์นี้ ก็ไม่ลั่นวาจาออกชื่อ ... แล้วพระอาจารย์มหาพิจารณาว่าควรให้องค์หนึ่งไปกับองค์ท่าน แล้วตกลงลับหลังหลวงปู่ว่าควรให้ท่านทองคำไปด้วย แล้วก็จัดแจงบริขารรวดเร็วพลันทันกาลแล้ว องค์ท่านไปพักได้สองคืน พระเณรยังไม่กล้าเข้าไปเยี่ยม เพราะเกรงองค์ท่านดุ ว่าเรามาวิเวก พากันมายุ่งทำไม ?

พระเณรผู้อยู่ข้างหลังเงียบเหงาไปทั้งวัด ว้าเหว่มาก ปรากฏแก่ตาแก่ใจว่า ต้นไม้ต่าง ๆ ในวัดและบรรยากาศเงียบเหงา ลมก็ไม่พัดมา คล้ายกับว่าว้าเหว่ไปตามกันหมด...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 19-11-2015 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #306  
เก่า 19-11-2015, 15:10
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พอตกพลบค่ำ ๕ โมงเย็น ก็ไปกราบพระอาจารย์มหาแล้วปรารภว่า

กระผมอยู่ไม่เป็นสุข อยากจะไปเยือนหลวงปู่ที่อยู่กับครูบาทองคำ ๒ องค์ ทั้งกลัวองค์ท่านจะดุ จิตใจกระผมว้าเหว่มากขอรับ กระผมนึกว่าจะไปองค์เดียว แม้จะกลับตอนกลางคืนองค์เดียว จะเป็นประการใดหนอ ?’


องค์พระอาจารย์มหาตอบว่า ‘เออ..ผมก็ว้าเหว่เหมือนกัน ท่านลองไปดูซิ ผมไม่ว่าดอก’

กราบลาองค์ท่านแล้วก็รีบไป พอไปถึงก็ค่ำมืดพอดี ขณะนั้นองค์หลวงปู่และครูบาทองคำนั่งอยู่พื้นดิน พอเรายังไม่ทันนั่งลงกราบ องค์หลวงปู่พูดขึ้นเย็น ๆ ว่า

‘เออ..คุณหล้ามา ไปเอาฟืนนั้นมาใส่ไฟให้กัน ดุ้นไหนไม่เรียบร้อยก็เก็บเสียเน้อ’


การจับไข้ขององค์หลวงปู่ก็เบาลงแล้ว ชะรอยจะเป็นด้วยอากาศโปร่งกว่ากันบ้างหรือยังไงไม่ทราบได้ ครั้นตอนดึกประมาณ ๔ ทุ่มเศษก็กราบลากลับวัด แล้วพระอาจารย์มหายังมิทันได้หลับ ขึ้นจากทางจงกรมใหม่ ๆ ไฟตะเกียงจุดริบหรี่อยู่ ขึ้นไปกราบองค์ท่าน (พระอาจารย์มหาฯ) เล่าถวายทุกประการ องค์ท่านคำนึงพิจารณาแบบบรรจง องค์ท่านกล่าวว่า

‘เออ.. พรุ่งนี้ฉันเช้าเสร็จผมจะพาหมู่เราทั้งหมด และชาวบ้านหนองผือทั้งหมดไปอาราธนากราบเท้า นิมนต์วิงวอนให้องค์หลวงปู่คืนมาวัดเราตามเดิม เพราะชาววัดชาวบ้านก็ว้าเหว่เงียบเหงา กินมิได้นอนไม่หลับ แม้ตัวของผมก็สลดใจและว้าเหว่มาก คราวนี้องค์ท่านจะไปวิเวกจริงหรืออะไร ๆ ผมก็พิจารณายากอยู่สักหน่อย ไม่ว่าแต่สักหน่อยละ.. พิจารณายากกันดี ๆ นี้เอง หล้าเอ๋ยหล้า’

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2015 เมื่อ 15:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #307  
เก่า 20-11-2015, 18:41
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ครั้นตื่นเช้าบิณฑบาตฉันเสร็จ โยมก็หลั่งไหลเข้ามารวมกันที่วัดป่า องค์พระอาจารย์มหาฯ ก็ประกาศ พระในวัดเตรียมตัวห่มผ้าจีวร และโยมก็เอาแคร่สำหรับจะหามองค์หลวงปู่ไปพร้อมด้วย ทั้งชาวบ้านชาววัดประมาณร้อยคน พอไปถึงก็เงียบสงัด ไม่มีใครกรอบแกรบและไอจาม กราบพร้อมกันหมดแล้ว โยมผู้ฉลาดขอโอกาสกราบเรียนว่า

เวลาที่องค์หลวงปู่มาพักวิเวก เพียงสองสามวันนี้เท่ากับว่านานถึงร้อยพันปี ทั้งชาวบ้านและชาววัดไม่เป็นอันกินอันนอน ว้าเหว่มาก ขอกราบเท้าเรียนถวายองค์หลวงปู่ ได้โปรดกรุณากลับตามเคยเทอญ โทษของเกล้าอันใดมี ขอได้โปรดประทานอภัยให้เกล้าและทุกถ้วนหน้าเทอญ


การปฏิบัติทุก ๆ ประการ หลวงปู่เห็นสมควรประการใด ทั้งชาวบ้านและชาววัดจะยอมทำตาม ไม่มีขัดหฤทัยของธรรมแห่งองค์หลวงปู่ตามสติกำลังอยู่ทุกเมื่อเทอญ'

ครั้นแล้วก็ค่อยจัดแจงแต่งบริขารขององค์หลวงปู่ นิมนต์หลวงปู่ขึ้นบนแคร่หามเดินช้า ๆ เงียบ ๆ โยมหามออกก่อน พระตามหลัง ที่นั่งขององค์ท่านปูอาสนะด้วยเบาะยัดใบกล้าแห้ง องค์ท่านนั่งขัดสมาธิไม่ขึงขังและไม่อ่อนแอ แลดูถึงใจไม่มีจะเทียบได้ ..

จนถึงวัด ครั้นองค์หลวงปู่ขึ้นถึงกุฏิเรียบร้อยแล้ว บรรดาลูกศิษย์ที่ถือนิสัยก็มีรีบห่มผ้าเฉวียงบ่า มาขอโอกาสต่อนิสัยตามเคย ต่อแต่นั้น ข้อวัตรในระหว่างลูกศิษย์กับหลวงปู่ก็ของใครของมันตามเคยที่ทำมา

ขอให้เข้าใจว่า มีพระอาจารย์มหาและหลวงตาทองอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้ขอนิสัย เพราะองค์ท่านทั้งสองนี้มีพรรษาสูงพอควรแล้ว แต่พระอาจารย์มหานั้นขอหรือไม่ขอ ก็มีข้อวัตรประจำหลวงปู่แบบลึกซึ้งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะสงสัยจะเอามากล่าววิจัยเลย เพราะองค์ท่านเป็นมือขวาช่วยหลวงปู่รองรับอยู่...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-11-2015 เมื่อ 02:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #308  
เก่า 25-11-2015, 14:19
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่ฝั้น.. กราบเยี่ยมหลวงปู่มั่น

องค์หลวงตากล่าวถึงเหตุการณ์อัศจรรย์ในวันหนึ่ง ที่หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ลูกศิษย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของหลวงปู่มั่น ได้เข้ามากราบเยี่ยมหลวงปู่มั่น ดังนี้

“... ตามธรรมดาครูบาอาจารย์องค์ไหนก็ตาม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมากราบเยี่ยม เราจะไม่ละสายตาว่าท่านปฏิสันถารต้อนรับทั้งภายนอกภายในกันอย่างไรบ้าง เราจะจับให้ได้ทุกองค์ทีเดียว เพราะลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของท่านมีเยอะ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นลงมาเป็นลำดับลำดา ท่านอาจารย์อ่อน ใครต่อใครที่มา


ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านมีความรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ พอท่านขึ้นไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านทั้งพูดทั้งยิ้ม พอกราบลงท่านก็กล่าวว่า ‘เออ! หอมอะไรแปลก ๆ แต่ไม่ใช่ธูป’ ท่านพูดแล้วก็อมยิ้ม

‘เออ! ใช่แล้ว’ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านตอบสั้น ๆ เท่านั้น

เราก็จับเอาคำพูดนั้นไว้ ‘ที่ว่าใช่แล้ว มันใช่อะไรหนอ ?’ เราก็สงสัยอยู่นานวัน

วันหลังพอได้โอกาสดี ๆ เราจึงไปกราบเรียนถามท่านว่า ‘ที่พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูดกับท่านอาจารย์ฝั้น ตอนที่ท่านอาจารย์ฝั้นขึ้นมากราบแล้วยิ้ม ๆ แล้วบอกว่ามันหอมอะไรน้า แปลก ๆ แต่ไม่ใช่ธูป แล้วพ่อแม่ครูอาจารย์ตอบว่า เออ!.. ใช่แล้ว นั่นมันหมายความว่าอย่างไร ?’

‘โห.. พวกรุกขเทพมาฟังเทศน์เต็มหมดเลย คำที่ว่าหอมอะไรที่ไม่ใช่ธูปนั้น ท่านฝั้นท่านพูดถึงรุกขเทพต่างหาก’

ความหมายของท่านก็คือว่า ท่านอาจารย์ฝั้นมาที่นี่ พวกรุกขเทพทั้งหลายมารอเป็นทิวแถวเต็มไปหมด เวลาท่านทั้งสองสนทนาธรรมกัน พวกรุกขเทพทั้งหลายก็ได้โอกาสฟังธรรมไปพร้อมด้วย...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2015 เมื่อ 16:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #309  
เก่า 27-11-2015, 11:45
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ดูแลพระเณรทำข้อวัตรหลวงปู่มั่น

โดยปกติองค์หลวงตาจะเป็นผู้ดูแลให้คำแนะนำเรื่องต่าง ๆ ว่าอันใดต้องทำ อันใดควรทำ อันใดต้องเว้นหรืออันใดควรเว้น เพื่อไม่ให้เป็นที่ขวางหูขวางตา ขวางอรรถขวางธรรมของหลวงปู่มั่น ท่านจะวางระเบียบหน้าที่การงานตามธรรมให้เหมาะสมและเข้าอกเข้าใจกัน ให้ความเคารพตามอายุพรรษา ผู้ใดเคยดูแลบริขารชิ้นใดของหลวงปู่มั่นก็ให้เอามาตามนั้น ไม่มีการก้าวก่ายกัน ท่านกล่าวถึงการดูแลอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นในช่วงอยู่วัดป่าบ้านหนองผือในระยะท้าย ๆ ไว้ ดังนี้

“... ตอนเช้าพอออกมาจากห้อง แต่ก่อนเรานั่นแหละจะเข้าถึงท่านก่อนเพื่อน เข้าไปในห้องท่าน พอท่านเปิดประตู บริขารอะไร ๆ เรานั่นแหละจะเป็นผู้ขนออกมาให้พระให้เณร ครั้นพอนาน ๆ มาท่านก็ปรารภว่า ‘เออ ! พระที่มีอายุพรรษามาแล้ว ไม่ควรที่จะมาเกี่ยวข้องกับข้อวัตรปฏิบัติสำหรับเรามากนัก เพียงมาอยู่ห่าง ๆ ปล่อยให้พระเณรเหล่านี้มาทำข้อวัตรปฏิบัติต่อไป จะไม่มีนิสัยติดตัวมันล่ะ ถ้าไม่ให้มันทำบ้าง’


เมื่อปรารภเช่นนั้น ตั้งแต่นั้นมาเราก็อยู่ห่าง ๆ เป็นแต่เพียงบอกกับพระว่า องค์ไหนเอาบริขารชิ้นใด ๆ ของท่านลงมา ไม่ให้ก้าวก่ายกัน เราเป็นเพียงอยู่ห่าง ๆ บางทีก็นั่งอยู่ข้างนอกห้องในกุฏิ คอยดูแลพระเณรเอาบริขารท่านลงไป บางทีก็ไม่ขึ้น แต่จะมายืนอยู่ใต้ถุนกุฏิคอยดูพระเณรเอาของลงมา...”

เมื่อหลวงปู่มั่นไม่เห็นท่านสักสองวันสามวันผ่านไป หลวงปู่มั่นก็มักจะถามกับพระว่า

“นี่ ! ท่านมหามามั้ย ? ตอนเช้าท่านมหามามั้ย ?”


พระเณรก็ตอบว่า “มาครับ ท่านอยู่ข้างล่าง”

หลวงปู่มั่นก็นิ่งไปเสีย ท่านว่าเหมือนกับเรดาร์จับอยู่ตลอด พอเว้นห่างสองสามวันผ่านไปไม่เห็นอีก ท่านก็ถามขึ้นมาลักษณะเดิมอีก พระเณรก็ตอบแบบเดิม ท่านก็นิ่งอีก แม้ในช่วงที่หลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็ถามกับพระเณรว่า

ท่านมหาพิจารณายังไงละ ? เราเจ็บไข้ได้ป่วยเอามากแล้วนะ ท่านมหาได้พิจารณาอย่างไร ?


พระเณรก็ตอบว่า “ท่านจัดเวรดูแลเรียบร้อยแล้ว”

คือให้มีพระอยู่ข้างบนสององค์ นั่งภาวนาเงียบ ๆ อยู่ข้างล่างสององค์เดินจงกรมเงียบ ๆ สำหรับท่านเป็นผู้คอยควบคุมเวรอีกต่อหนึ่ง

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2015 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #310  
เก่า 30-11-2015, 12:32
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านพ่อลีมากราบหลวงปู่มั่น

ในระหว่างที่หลวงปู่มั่นพักอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ มีลูกศิษย์รุ่นเก่า ๆ มาคารวะท่านเสมอ ท่านพ่อลีก็เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ ๆ ผู้หนึ่งมาตั้งแต่เริ่มแรก และได้เข้ามากราบท่านที่วัดป่าบ้านหนองผือเช่นกัน ดังนี้

“... ทั้งพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นและท่านพ่อลีเองก็เคยไปมาหาสู่กันอยู่เสมอเท่าที่ได้สังเกต ในเวลาท่านไปกราบนมัสการพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นที่วัดป่าหนองผือนั้น รู้สึกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านแสดงอากัปกิริยาเต็มไปด้วยความเมตตาอย่างมากมายเห็นได้อย่างเด่นชัด


คราวที่ท่านพ่อลีมากราบเยี่ยมท่าน ท่านเป็นผู้สั่งสอนเราเองว่า ‘ให้ไปจัดที่พักในป่าลึก ๆ นอกบริเวณรั้ววัด ให้ท่านได้พักสบาย ๆ เพราะสงัดดีกว่าที่อื่น ๆ’

หลังจากนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นยังตามไปดูสถานที่พักนั้นอีกด้วย นี่ก็เป็นเหตุให้ประทับใจไม่ลืม และการให้โอวาทสั่งสอนใน ๒ – ๓ คืนที่ท่านพ่อลีพักอยู่นั้น รู้สึกว่าประทับใจอย่างมากมายทีเดียว เพราะท่านพ่อลีเป็นศิษย์ที่ท่านเมตตาไว้วางใจ นาน ๆ จะได้มากราบนมัสการท่านครั้งหนึ่งและได้สนทนาธรรมกัน ท่านจึงได้สนทนาธรรมกันอย่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มอรรถ เต็มธรรมทุกขั้นตอน ซึ่งยากที่จะหาฟังได้ในเวลาอื่น

‘เราได้พบท่านพ่อลีครั้งแรกมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ท่านมีนิสัยเด็ดเดี่ยว อาจหาญชาญชัยมากในการประพฤติปฏิบัติ’…”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2015 เมื่อ 14:15
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #311  
เก่า 01-12-2015, 11:29
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พลาด... เทศน์ครั้งสุดท้าย

หลวงปู่มั่นพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ ๕ พรรษา เฉพาะองค์ท่านเองพักอยู่กับที่ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยววิเวกทางไหนเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากตอนมาอยู่ทีแรกอายุท่านราว ๗๕ ปีเข้าไปแล้ว สุขภาพก็นับวันทรุดลง เพียงพักอยู่เป็นร่มเงาของบรรดาศิษย์ที่กำลังแสวงหาธรรม ได้อาศัยความร่มเย็นก็เป็นที่ภาคภูมิใจแล้ว และเนื่องจากวัดป่าบ้านหนองผือเป็นศูนย์กลางของคณะปฏิบัติทั้งหลาย ทั้งที่เที่ยวอยู่ในที่ต่าง ๆ แถบนั้น ทั้งที่พักอยู่ตามสำนักต่าง ๆ ที่ไปมาหาสู่หลวงปู่มั่นได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งทำเลบำเพ็ญสมณธรรมมีมาก หาเลือกได้ตามชอบใจ มีทั้งป่าธรรมดา มีทั้งภูเขา มีทั้งถ้ำ ซึ่งเหมาะแก่ผู้แสวงหาที่บำเพ็ญ

ท่านว่าคงเป็นด้วยเหตุผลเหล่านี้ ที่ทำให้หลวงปู่มั่นพักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือนานกว่าที่อื่น ๆ นับว่าท่านทำประโยชน์แก่พระเณรและประชาชนได้มากกว่าที่อื่น ๆ ในเขตจังหวัดสกลนคร ส่วนประโยชน์กับภูตผีเทวดาไม่ค่อยมีมาก มาหาท่านเป็นบางสมัย ไม่บ่อยเหมือนเมื่ออยู่เชียงใหม่ ท่านกล่าวว่าเมื่อครั้งหลวงปู่มั่นเทศน์แบบฟ้าดินถล่ม คือเอาอย่างเต็มเหนี่ยวถึง ๓ ชั่วโมงที่วัดเจดีย์หลวงนั้น เป็นครั้งสุดท้ายที่เชียงใหม่ซึ่งท่านมีโอกาสได้ร่วมฟังด้วย แต่ในคราวที่บ้านหนองผือนี้ ท่านกลับพลาดโอกาสฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่น เทศน์ครั้งนี้เป็นประเภทฟ้าดินถล่มเช่นกัน นานถึง ๔ ชั่วโมงเต็ม ที่สำคัญก็คือเป็นเทศน์ครั้งสุดท้าย ดังนี้

“...พูดง่าย ๆ ว่าเป็นครั้งสุดท้าย เทศน์ที่หนองผือเหมือนกัน เราก็พูดกับท่านอย่างชัดเจนก่อนที่จะลาท่านไปเที่ยว มาทางวาริชภูมิ (อ. วาริชภูมิ จ. สกลนคร) ... จากอำเภอวาริชภูมิไปหาหนองผือทางตั้งพันกว่าเส้น…

ที่นี้เวลาเราจะกราบลาท่านไปที่ไหน รู้สึกว่าท่านจะไม่อยากให้ไป แต่ท่านก็เห็นใจในเรื่องความพากเพียรของเรา ท่านคิดถึงเรื่องพระเรื่องเณร ส่วนมากท่านคิดถึงเรื่องนี้ เพราะเวลาเราอยู่พระเณรเรียบหมด เวลาเราออกไปแล้วพระเณรอาจจะระเกะระกะ ขวางหูขวางตาให้ท่านหนักใจได้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-12-2015 เมื่อ 15:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #312  
เก่า 08-12-2015, 12:16
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ที่นี้พอถึงเวลาจะไปแล้ว เช่นปรึกษากันอย่างวันนี้ เว้นอีกวันสองวัน ทีนี้เวลาจะไปลาจริง ๆ ครองผ้าขึ้นไปแหละ พอขึ้นไปท่านมองเห็น... ท่านก็ถามว่า ‘จะไปทางไหน ?’

‘ว่าจะไปทางถ้ำพระโน้น ทางบ้านตาดภูวง’

ท่านพูดของท่านไปเรื่อย ๆ ก่อนจนนานพอสมควรแล้วก็เปิดโอกาสให้อย่างนี้ละ เราก็กราบเรียนถามถึงเรื่องการงานภายในวัด

‘ถ้ามีอะไรที่จะจัดจะทำ กระผมก็จะได้ช่วยหมู่เพื่อนทำให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง หากว่าไม่มีอะไรก็อยากจะกราบนมัสการปรึกษาพ่อแม่ครูอาจารย์ไปภาวนาสักชั่วระยะหนึ่ง’


ท่านถาม ‘จะไปทางไหนล่ะ ?’

‘คราวนี้คิดว่าจะไปไกลสักหน่อย’ คือตามธรรมดาเราไม่ค่อยไปไกล ไปประมาณสัก ๒๐ – ๓๐ กิโลเท่านั้นล่ะ... ๔๕ กิโล คราวนี้จะไปไกลหน่อย ไปทางอำเภอวาริชภูมิ’

‘เอ้อ...ดี ทางโน้นก็ดี’ ท่านว่า ‘สงบสงัดดี มีแต่ป่าแต่เขาทั้งนั้นแหละ’ ท่านว่า ‘แล้วไปกี่องค์ล่ะ ?’

‘ผมคิดว่าจะไปองค์เดียว’

‘เออ...ดีละ ไปองค์เดียว’ ท่านก็ชี้ไป ‘ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาจะไปองค์เดียว’

(เมื่อถึงวันจะไป) ท่านก็ให้ปัญหาถึง ๔ ข้อ เราไม่ลืมนะ เพราะตามธรรมดาเราขึ้นไปหาท่านไม่ค่อยครองผ้าแหละ เพราะไม่มีผู้คนก็มีแต่พระแต่เณรในวัด ไม่มีใครไปยุ่งกวน สงบสงัด ตอนเช้าจะไปหาท่าน ฉันจังหันเสร็จแล้วก็ขึ้นไป มีแต่ผ้าอังสะเพราะท่านก็ไม่ได้ถืออะไรนี่ มีแต่พวกกันเอง แต่วันนั้นเราครองผ้าไป พอขึ้นไป

‘หึ ! ท่านมหาจะไปไหนนี่ ? จะไม่ไปละมั้ง จะอยู่ด้วยกันนี้ละมั้ง


เราก็เฉยไม่รู้จะว่าไง สะเทือนใจแล้วนะทีนี้ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้แล้วว่าเราจะลา ก็ตกลงกันแล้วเรียบร้อยแล้ว ท่านยังใส่ปัญหานะ เราก็กึกเลยเชียว นี่ถ้าหากว่าท่านไม่มีเงื่อนไข ครองผ้าขึ้นมาแล้วก็ตามเราจะไม่ลาท่าน เรากลับเลย

ทีนี้ท่านสงสารอยู่ ท่านมีเงื่อนไข พอขึ้นไปกราบแล้วท่านก็คุยไป ไม่ได้ปรารภถึงว่าเราจะไปไหนมาไหนเลย พอนั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว

‘หึ ! อยากจะไปเที่ยวเหรอ’ ท่านว่า


‘ก็คิดว่าอยากจะไปวิเวกภาวนาชั่วระยะกาล’ เราเรียนท่านว่าอย่างนั้น

ท่านนิ่งแล้วให้เหตุผลนะ นิ่งอยู่สักครู่หนึ่งแล้วท่านก็ปรารภมาว่า

‘ถ้าอยู่ก็ได้กำลังใจ
ไปก็ได้กำลังใจ อยู่ดีกว่า

ถ้าอยู่ก็ได้กำลังใจ
ไปไม่ได้กำลังใจ อยู่ดีกว่า

ถ้าอยู่ไม่ได้กำลังใจ
ไปได้กำลังใจ ไปดีกว่า

ถ้าทั้งไปทั้งอยู่
ไม่ได้กำลังใจ ให้อยู่ดีกว่า’


คำพูดของท่านแยกออกมาละเอียดมาก ‘เออ ! ไป’ ท่านว่า

ที่นี้เวลาจะไป ก็จำได้ว่า เดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ เราไม่ลืมนะ ก่อนจะไปก็ ‘กระผมไปคราวนี้ คงจะไม่ได้กลับมาร่วมทำมาฆบูชาคราวนี้’ เราก็ว่าอย่างงั้น ไป ๙ วัน ๑๐ วันกลับมา ทางมันไกลนี่ เดินด้วยเท้าทั้งนั้นแหละ

‘เอ้อ บูชาคนเดียวนะ มาฆบูชาคนเดียวจริง ๆ นี่’ ท่านว่าอย่างนั้นแล้ว ชี้เข้าตรงนี้นะ ‘พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เป็นมาฆบูชาทั้งนั้นแหละ เอาตรงนี้นะ’

จากนั้นก็ไป ... พอเราไปสัก ๖ – ๗ วันมั้ง ‘เออ ! ท่านมหาไปอยู่ยังไงนา’ ถามถึงเรื่อยนะ

คือท่านพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับเรา พระเณรจะเป็นผู้เล่าเรื่องให้เราฟังหมดนั่นแหละ สำหรับท่านเองเฉยนะ เราก็จับไว้ลึก ๆ ท่านถามถึงเรายังไง เราทราบแล้วเราก็เงียบ คือเป็นอย่างงั้นตลอดมาพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราก็ไม่อยากไปจากท่าน เพราะรู้สึกว่าท่านเมตตามากทั้งที่อนุญาตให้ไป แต่ต้องถามถึงเรื่อยว่า ‘หึ ! ท่านมหาไม่เห็นมานะ หลายวันแล้ว’

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-12-2015 เมื่อ 14:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #313  
เก่า 15-12-2015, 12:56
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บางทีธรรมะท่านขึ้นภายในใจ ‘เออ ! วันนี้บาลีผุดขึ้นแล้ว ท่านมหามาจะให้ท่านมหาแปลให้ฟังนะ’ ท่านว่าอย่างนั้น

รอท่านมหามาก่อนแล้วค่อยพูด พอเรามาท่านก็ว่า ‘นี้บาลีขึ้นแล้วนะ ยกบาลีขึ้น ปึ๋ง ปึ๋ง เอ้า ! แปล ใครเป็นมหา’

เราก็ขอนิมนต์พ่อแม่ครูอาจารย์โปรดเมตตาไปเลย ท่านก็ผางทันทีเลยก็ท่านรู้หมดแล้วนี่ ท่านหาอุบายที่จะก้าวเดินธรรมของท่านโดยเอาเราเป็นพื้นฐานต่างหาก เพราะธรรมะภายในใจท่านมักจะเกิดเป็นบาลี บาลีเป็นภาษามคธ ความเข้าใจขึ้นพร้อมกันเลย บาลีขึ้นยังไง ความเข้าใจไม่ต้องแปลคือขึ้นพร้อมกัน.. ความเข้าใจปรากฏขึ้นพร้อมกัน

นี่เราพูดเรื่องพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเมตตา ท่านเมตตาเราสุดขีด เราปฏิบัติต่อท่านมันเข้ากันได้ เรียกว่าทุกกระเบียดก็ไม่ผิด เราเป็นปุถุชนก็ตาม แต่ความเทิดทูนเคารพเลื่อมใสที่มีต่อท่านนั้นมันเต็มหัวใจ ทีนี้พอถึงวันมาฆบูชา สาย ๆ หน่อยประมาณสัก ๑๑ โมง ท่านถามพระ

“ท่านมหาไม่มารึ ? เห็นท่านมหาไหม ?”


พระว่า “ไม่เห็นครับกระผม”

“ไปไหนกันนา ?” พอบ่าย ๒ โมง ๓ โมง เอาอีกถามอีก ตกเย็นเข้ามาอีกถามอีก

‘เอ๊ ! มันยังไง ท่านมหาไปยังไงนา ?’ เหมือนกับว่า ท่านมีความหมายของท่านอยู่ในนั้น เหมือนกับว่าท่านจะเทศน์ให้เต็มที่เพราะท่านจะป่วย ก่อนนั้นท่านไม่ได้ป่วยนี่นะ แต่ท่านทราบของท่านไว้แล้วเรื่องเหล่านี้ ตอนที่เราจะลาท่านไป ท่านก็ดี ๆ อยู่นี่ พอถึงเวลาท่านลงมาศาลา หันหน้ามาปุ๊บ

‘หือ ? ท่านมหาไม่ได้มารึ ?’


‘ไม่เห็นครับ’ ใครก็ว่า ‘อย่างงั้น’

‘เอ๊ ! มันยังไงนา ? ท่านมหานี่ยังไงนา ?’ ว่าอย่างนี้แปลก ๆ อยู่ ทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงเรียบร้อยแล้ว ท่านมีอะไรของท่านอยู่ แล้วท่านก็เทศน์ตั้งแต่นั้นจนกระทั่งถึง ๖ ทุ่มฟาดวันมาฆบูชานี้ โอ๋ย.. เอาอย่างหนักเทียวนะ ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึง ๖ ทุ่มเป๋ง

เทศน์จบลงแล้ว ‘โอ๊ย.. เสียดายท่านมหาไม่ได้มาฟังด้วยนะ’ ว่าอีกนะ ซ้ำอีก ก็เหมือนอย่างว่าเทศน์ครั้งสุดท้าย จากนั้นมาท่านไม่ได้เทศน์อีกเลยนะ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2015 เมื่อ 13:32
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #314  
เก่า 22-12-2015, 11:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พอเดือน ๔ แรมค่ำหนึ่ง ผมก็มาถึง ผมไปเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ถึงเดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ ก็เป็น ๑ เดือนพอดี เดือน ๔ แรม ๑ ค่ำ ผมกลับมา ผมจำได้แต่ข้างขึ้นข้างแรม.. จำวันที่ไม่ได้ เหตุที่จำได้ก็เพราะว่า ผมขึ้นไปกราบท่านตอนบ่าย พอท่านออกจากที่แล้วผมก็ขึ้นไปกราบ

‘มันยังไงกันท่านมหานี่’ ท่านว่าอย่างนี้ ‘เทศน์เสียจนฟ้าดินถล่มก็ไม่มาฟังกัน’

นี่เราถึงได้ย้อนพิจารณากัน อ๋อ.. ที่พระท่านเล่าให้ฟังอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุนี้เอง

เทศน์เสียจนฟ้าดินถล่ม นี่ผมเริ่มป่วยแล้วนะ เริ่มป่วยมาตั้งแต่วานซืนนี้’ นั่นท่านว่า...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 16:13
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #315  
เก่า 22-12-2015, 14:37
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default


หลวงปู่มั่นเตือนล่วงหน้า

การอบรมพระเณรของหลวงปู่มั่น มีเป็นการเฉพาะภายในวัดป่าบ้านหนองผือ และประชุมอบรมพระที่มาจากสถานที่ต่าง ๆโดยรอบ ดังนี้

“.. วงกรรมฐานนี้การอบรมถือเป็นอันดับหนึ่ง พอถึงกาลเวลาแล้วเหมือนเด็กหิวนม จะได้มาฟังเทศน์ครูบาอาจารย์.. จิตใจยิ้มแย้มแจ่มใส หน้าตาผ่องใสมาจากที่ต่าง ๆ ที่ท่านไปภาวนาอยู่ไม่ไกลนัก สถานที่ ๔ กิโลบ้าง ๕ – ๖ กิโลบ้าง พอถึงวันประชุมท่านอบรมนี่ พระมาจากที่ต่าง ๆ บางแห่งถึง ๙ กิโล ๑๐ กิโลก็มา ท่านอบรมตอน ๒ โมงคือกลางคืนจะมีเฉพาะภายในวัด แต่สำหรับข้างนอกท่านมีการประชุมอบรมกันตามวัน


ท่านถือเอาวันลงปาฏิโมกข์รวม ตามหลักธรรมหลักวินัยคือ ปาฏิโมกข์นั้นสวดหลักเกณฑ์ของพระวินัยสำหรับพระผู้ปฏิบัติ ตามพระวินัยวัน ๑๕ ค่ำมีผู้สวดปาฏิโมกข์ ปาฏิโมกข์เป็นข้อยืนยันของพระ ผู้รักษาพระวินัยมายืนยันสวดปาฏิโมกข์สำหรับวงกรรมฐาน ถึงวันเช่นนั้นพระอยู่ในที่ต่าง ๆ หลั่งไหลมาด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนเด็กหิวนมแม่นั่นแหละ ไม่ผิดอะไรกัน ด้วยความพออกพอใจ วันนี้จะได้ยินได้ฟังการอบรมจากท่าน เพราะที่อยู่ห่าง ๆ จะได้มาเป็นบางเวลา ไม่เหมือนที่อยู่ในวัดกับท่าน อยู่ในวัดก็เรียกว่าเป็นกรณีพิเศษอยู่โดยดี แต่อยู่นอก ๆ จะได้มาในวันอุโบสถ..

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-12-2015 เมื่อ 16:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #316  
เก่า 25-12-2015, 14:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

วันอุโบสถปาฏิโมกข์ส่วนมากท่านจะเทศน์เวลาบ่าย ๒ โมง บ่ายโมงก็เริ่มลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ พอบ่าย ๒ โมงท่านก็ให้โอวาทพระสงฆ์..

โอวาทนั้นจะเด็ดมากอยู่นะ เพราะมีแต่พระล้วน ๆ โอวาทท่านจะเด็ดเฉียบขาด ๆ แม่นยำ ๆ ...”


เมื่อหลวงปู่มั่นชราภาพมากแล้ว ท่านจะพูดเตือนพระเณรอยู่เสมอให้ตั้งอกตั้งใจ เพราะการอยู่ด้วยกันมิใช่เป็นของจีรังถาวร มีแต่ธรรมเท่านั้นเป็นสิ่งที่ควรยึดอย่างมั่นใจตายใจ ครูอาจารย์เป็นของไม่แน่นอน อย่านอนใจว่า ได้มาอยู่กับครูกับอาจารย์แล้วท่านจะอยู่กับเราตลอดไป เมื่อนานเข้า ๆ หลวงปู่มั่นก็เปิดออกมาอีกว่า

“... ใครจะเข้มแข็ง ความพากเพียรอะไรก็ให้เข้มแข็ง มีความรู้ความเป็นอะไรภายในจิตใจ เอ้า.. ให้มาถามมาเล่าให้ฟัง ภิกษุเฒ่าจะแก้ให้.. นี่เวลาภิกษุเฒ่าตายแล้วยากนะ ใครจะแก้เรื่องจิตใจทางด้านจิตภาวนา นี่ไม่นานนะ”


ท่านย้ำลง “ไม่เลย ๘๐ นะ... ๘๐ ก็นี่มันนานอะไร พากันมานอนใจอยู่ได้เหรอ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-12-2015 เมื่อ 14:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #317  
เก่า 28-12-2015, 11:35
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เมื่อหลวงปู่มั่นพูดเตือนดังกล่าว พระเณรทั้งหลายต่างสลดสังเวชใจ.. รีบตั้งหน้าตั้งตาเร่งปฏิบัติกัน สำหรับตัวท่านเอง ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ตอนสำคัญนี้ให้พระเณรฟังว่า

“... เหมือนกับว่าจิตนี่มันสั่นริก ๆ อยู่ พอได้ยินอย่างนั้นแล้วความเพียรก็หนัก เวลาครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เราก็ได้พึ่งพาอาศัยร่มเงาท่านแก้ข้ออรรถข้อธรรมที่สงสัย ก็เร่งความเพียรเข้าเต็มที่ ๆ พอท่านย่างเข้า ๘๐ พับ ท่านก็เริ่มป่วยแหละ พอป่วยแล้วท่านบอกไว้เลยเชียว...แน่ะฟังซิ ซึ่งท่านเคยป่วยเคยไข้มาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เป็นไข้มาลาเรียเป็นไข้อะไรท่านไม่เคยพูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตาย แต่พอเป็นคราวนี้เพียงเริ่มเป็นเท่านั้น ไม่ได้มากอะไรเลยท่านบอกว่า ‘ผมเริ่มป่วยมาตั้งแต่วานซืนนี้นะ’


เพราะเราเพิ่งกลับมาจากไปเที่ยวภาวนาอยู่ที่อำเภอวาริชภูมิ มาถึงท่านตอนค่ำ เราไปถึงวันค่ำหนึ่ง.. ท่านก็ป่วย ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ผมจำได้ขนาดนั้นนะ วันค่ำหนึ่งเราก็กลับมาถึงท่าน

‘ผมเริ่มป่วยมาตั้งแต่วานซืนนี้นะ’ วานซืนก็หมายถึงวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ‘นี่ป่วยครั้งนี้ เป็นครั้งสุดท้ายนะ ไม่หาย ยาจากเทวดาชั้นพรหมไหน ๆ ก็มาเถอะ ไม่มียาขนาดใดในโลกนี้จะมาแก้ให้หาย.. ไข้นี้จึงเป็นไข้สุดท้าย แต่ไม่ตายง่ายนะ เป็นโรคทรมาน เขาเรียกว่าโรคคนแก่ อย่าไปหาหยูกหายามาใส่มารักษา มันเป็นไปตามสภาพของขันธ์นี้แหละ เอามารักษาก็เหมือนกับใส่ปุ๋ยแล้วรดน้ำไม้ที่ยืนต้นตายแล้วนั่นแหละ จะให้มันผลิดอก ออกใบ ออกผล เป็นไปไม่ได้ ยังแต่เวลาของมันเหลืออยู่ที่จะล้มลงจมแผ่นดินเท่านั้น นี่ก็อยู่.. แต่มันยังไม่ล้มเท่านั้นเอง จะให้หายด้วยยาไม่หายนะ นี่เพียงเริ่มเป็นเท่านั้น’

ท่านว่าอย่างนั้น แน่ไหม ? ฟังซิ ... ท่านอาจารย์มั่นแม่นยำมาก ท่านเคยบอกกับพระอยู่เรื่อย ๆ เวลาลงอุโบสถเสร็จเรียบร้อย.. ผมถึงได้กราบสุดหัวใจผม ท่านเปิดออกมาอย่างนั้นไม่มีอะไรผิด

‘ย่างเข้า ๘๐ ไม่เลย ๘๐ นา โรคนี้เป็นไข้วาระสุดท้าย จะไม่หายจนกระทั่งตาย จะตายด้วยป่วยคราวนี้แหละ แต่ไม่ตายง่าย เป็นโรคทรมาน’

ก็เป็นจริงทุกอย่างที่ท่านพูด ตั้งแต่เดือน ๔ ถึงเดือน ๑๒ ฟังซิ ๗ – ๘ เดือน ท่านเริ่มป่วยไปเรื่อย ๆ เหมือนกับค่อยสุมเข้าไป ๆ สุดท้ายก็เป็นอย่างว่านั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2015 เมื่อ 12:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #318  
เก่า 04-01-2016, 12:43
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หมู่คณะฟังหลวงปู่มั่นเทศน์

คราวหนึ่งในช่วงต้นปี ๒๔๙๒ ขณะที่องค์หลวงตากำลังธุดงค์อยู่บ้านคำบิด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนครนั้น หลวงปู่บุญจันทร์ กมโล และหมู่คณะก็ได้ธุดงค์ไปพบ และขอพักอยู่กับท่านระยะหนึ่ง และเมื่อใกล้วันวิสาขบูชาก็ได้พบกันอีกครั้งที่วัดป่าบ้านหนองผือ ในประวัติหลวงปู่บุญจันทร์ได้กล่าวถึง วิธีปฏิบัติขององค์หลวงตาต่อพระอาคันตุกะที่เข้ากราบหลวงปู่มั่นในครั้งนั้นไว้ ดังนี้

“... หลวงปู่ (บุญจันทร์) พร้อมด้วยลูกศิษย์ .. เที่ยววิเวกขึ้นไปบนภูอ่างสอ ซึ่งเป็นภูเขาสูงลูกหนึ่งที่ใหญ่ในเทือกเขาภูพาน ที่ภูอ่างสอนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ๆ เขียวชอุ่ม และมีสัตว์ป่าที่เที่ยวหากินกลางคืน ส่งเสียงร้องประกอบกับความวิเวกวังเวงในเวลาดึกสงัด ทำให้จิตใจตื่นอยู่ตลอดเวลาและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เมื่อพักวิเวกอยู่บนภูอ่างสอพอสมควรแล้ว ... จึงลงจากภูอ่างสอมุ่งหน้าสู่บ้านคำบิด อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร..


พอมาถึงบ้านคำบิดได้ทราบว่า ท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน พักวิเวกอยู่ที่เสนาสนะป่าหนองน่อง บ้านคำบิด จึงได้พาลูกศิษย์เข้ากราบนมัสการและพักอยู่กับท่าน ๗ คืน ตอนเช้าเข้าบิณฑบาตในหมู่บ้านคำบิด เวลากลับออกจากบ้าน หลวงปู่จะรับบาตรท่านพระอาจารย์มหาบัว แต่ท่านไม่ยอมให้รับง่าย ๆ อาศัยความพยายามทำด้วยความเคารพ ทำด้วยความจริงใจ ในที่สุดท่านจึงยอมให้รับบาตรท่าน พอกลับถึงที่พัก จัดแจงฉันภัตตาหารตามมีตามได้ เสร็จแล้วจึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์มหาบัวเดินทาง (ต่อไป) ...

(ต่อมา) ในระยะนั้นเป็นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ใกล้จะถึงวันวิสาขบูชา ในขณะนั้น หลวงปู่ท่านมีความสงสัยในอุบายธรรมที่ได้ปฏิบัติอยู่ ... มองไม่เห็นใครที่จะแก้ความสงสัยนี้ได้ มีแต่ท่านพระอาจารย์มั่นเท่านั้นที่จะแก้ความสงสัยนี้ได้ หลวงปู่จึงให้ลูกศิษย์คอยอยู่ที่สำนักป่าหนองเม้า บ้านจำปา.. (และ) เดินทางไปที่บ้านไชยวาน อำเภอหนองหาน .. บ้านต้อง .. บ้านหนองโดก

(ต่อมาได้) เดินทางด้วยเท้าเข้าไปบ้านหนองผือนาในพร้อมกันกับท่านพระอาจารย์เพียร วิริโย ... พอเดินทางถึงวัดป่าหนองผือเป็นเวลาใกล้ค่ำ ได้พบท่านพระอาจารย์มหาบัวที่วัดหนองผืออีก จึงได้กราบเรียนถามท่านถึงเวลาที่จะเข้ากราบนมัสการฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น.. พระอาคันตุกะที่ไปถึงใหม่จะต้องรอคอยก่อน

ท่านพระอาจารย์มหาบัวจะเป็นผู้เข้าไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นก่อนว่า ‘ท่านให้พักในวัดหนองผือด้วยหรือไม่อย่างไร ? หรือท่านจะให้พักกุฏิหลังไหน ?’

เมื่อท่านสั่งอย่างไรก็ทำตามอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะทำตามอำเภอใจของตนเอง พอท่านพระอาจารย์มหาบัวเข้าไปกราบเรียนท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว ท่านก็บอกเสนาสนะให้ และบอกให้สรงน้ำเสร็จแล้ว จึงขึ้นไปกราบนมัสการฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นบนกุฏิท่าน เมื่อหลวงปู่สรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนุ่มห่มครองจีวรให้เรียบร้อย สำรวมใจให้อยู่ในความสงบ ไม่ฟุ้งซ่านไปในอารมณ์อย่างอื่น มีสติอยู่กับใจตัวเอง หลวงปู่เล่าว่า การสำรวมนั้นได้สำรวมระมัดระวังมาโดยตลอด พอคิดว่าจะไปกราบนมัสการท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเป็นพิเศษ พอขึ้นไปบนกุฏิท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ต้องระมัดระวังไม่ให้มีเสียงอะไรรบกวนท่าน ในขณะนั้น ได้มีพระเถระและพระภิกษุรูปอื่นขึ้นไปนั่งฟังธรรมอยู่ก่อนแล้ว ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นกำลังแสดงธรรมอยู่ พอหลวงปู่ขึ้นไปแล้วก็กราบเบา ๆ เสร็จแล้วก็นั่งกำหนดจิตฟังธรรมจากท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นต่อไป...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-01-2016 เมื่อ 13:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #319  
เก่า 06-01-2016, 11:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ภายหลังหลวงปู่มั่นได้แสดงธรรมและถามถึงที่มาแล้ว ท่านก็พูดว่า

จะพิจารณาอะไร ? ผมปฏิบัติมานี้ ๔๐ ปีแล้ว ผมไม่หนีจากกายกับใจ.. พิจารณากายแล้วก็พิจารณาใจจนหายสงสัย


แล้วท่านก็แสดงธรรมต่อไป พอหลวงปู่บุญจันทร์ได้รับโอวาทคำตอบจากหลวงปู่มั่นทั้งที่ยังไม่ได้ถามอะไร หลวงปู่ก็หมดความสงสัยลงในขณะนั้น

สำหรับหลวงปู่เพียร วิริโย เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่ได้ฟังเทศน์หลวงปู่มั่นอยู่ในขณะนั้นด้วย ในประวัติของท่านกล่าวถึงเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

“…ออกมาพักภาวนาอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองโดกอีก ช่วงนี้มีหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ท่านอาจารย์กู่ ธมฺมทินฺโน ท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ท่านอาจารย์บุญมี ปริปุณฺโณ แล้วผมก็ได้พักอยู่ด้วยกันที่นี่


พอดีใกล้วันวิสาขบูชา เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ท่านอาจารย์บุญจันทร์ กมโล ท่านก็จะเข้าไปกราบหลวงปู่ใหญ่มั่น และท่านก็ได้เข้ามาพักที่นี่ ๑ คืน พอวันรุ่งขึ้นฉันจังหันเสร็จแล้ว ท่านก็จะเข้าไปกราบหลวงปู่ใหญ่มั่น ผมเลยได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับท่าน นับว่าเป็นการเข้าไปกราบหลวงปู่ใหญ่มั่นอีกเป็นครั้งที่ ๒ ของผม

พอไปถึงคืนนั้นก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ใหญ่มั่น ได้ฟังเทศน์ท่าน ท่านได้เมตตาถามขึ้นว่า ‘ท่านองค์ไหนมาจากท่านสิงห์ทอง ?’

ผมได้ตอบกราบเรียนท่านไปว่า ‘เกล้ากระผมครับ’ แล้วก็นั่งฟังเสียงนาฬิกาอยู่ที่กุฏิของท่านนั่นเอง...”

หลวงปู่เพียรเล่าความรู้สึกในการฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรกว่า “หลวงปู่มั่นเมตตาเทศน์ให้ฟัง แต่ผมฟังไม่รู้เรื่องว่าท่านเทศน์อะไรบ้าง ผมเองตอนนั้นก็เหมือนลิงเหมือนควายตัวหนึ่ง

สำหรับการฟังเทศน์หลวงปู่มั่นในครั้งที่สอง หลวงปู่เพียรบอกว่า “หลวงปู่ใหญ่มั่น ท่านเอาธรรมะข้างในมาเทศน์ให้ฟัง ผมก็เลยฟังไม่รู้เรื่องที่ท่านเทศน์”

การพบกันเวลาออกวิเวกและการต้อนรับพระอาคันตุกะขององค์หลวงตาในครั้งนั้น ทำให้ท่านมีความคุ้นเคยสนิทใจในธรรมต่อกัน จนต้องได้เกี่ยวข้องช่วยเหลือกันอีกในกาลข้างหน้า

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-01-2016 เมื่อ 19:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #320  
เก่า 14-01-2016, 17:26
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หมู่เพื่อนแก้นิมิต ๙ ปีสำเร็จ

เมื่อครั้งองค์ท่านจะออกปฏิบัติ มีนิมิตตาปะขาวมาหาแล้วนับข้อมือให้ดู นับถึง ๙ ก็หันมามองดูหน้า ท่านก็รับรู้ความหมายกันว่าปฏิบัติ ๙ ปีสำเร็จ แต่ครั้นมาถึงวันออกพรรษาที่ ๑๖ ยังไม่เป็นไปตามนั้น จึงทำให้รู้สึกเสียกำลังใจจนต้องได้ปรารภปัญหากับหมู่เพื่อน ดังนี้

“...ภาวนาเก็บไว้ ๙ ปี มาขายโง่ให้หมู่เพื่อนฟัง เพื่อนฝูงก็เป็น ภาวนาด้วยกัน วันนี้ผมจะขายโง่ให้ท่านฟังว่า

‘ผมเก็บความรู้สึกนี้ เวลาภาวนาปรากฏว่าตาปะขาวเข้ามาหา นั่งภาวนาอยู่พอจิตสงบเข้าไปปั๊บ.. ตาปะขาวเดินเข้ามา เดินเข้ามาก็มานับข้อมือให้เห็น นับเป็นข้อ ๆ ถึง ๙ ข้อ พอถึง ๙ ข้อแล้วก็เงยหน้ามาดูเรา ทางนี้ก็รู้รับกันว่า ๙ ปีสำเร็จ


คิดว่าตั้งแต่วันบวชมาถึง ๙ ปีสำเร็จ พอถึง ๙ ปี ปีที่ ๙ แล้ว แหม.. ไฟนรกเผาหัวอกจะตาย โอ๊ย.. มันจะ ๙ ปียังไงยังงี้มีแต่ไฟนรก แล้วคิดไปอีกว่าหรือตั้งแต่วันปฏิบัติออกไป ๙ ปีสำเร็จนะ ทีนี้เลยแยกไปนั้น

ทีแรก ๙ ปี ๙ พรรษาสำเร็จ แต่ที่ไหนได้ ๙ พรรษาจิตนี้เป็นไฟมันจะสำเร็จได้ยังไง.. เอา..! ถ้างั้นแยกไป เอาตั้งแต่ปฏิบัตินี้ ๙ ปีว่างั้นนะ ก็เลยแยกไป ๙ ปี ... แต่ไม่ได้บอกว่าบวชมา ๙ ปีหรือปฏิบัติ ๙ ปีสำเร็จนะ เราก็จับอันนั้นเอาไว้เลย...

๙ ปีนี้ไม่ได้เรื่องแล้ว เป็นไฟ ๙ ปีที่บวชมานี้ คงเป็น ๙ ปีในการปฏิบัติมากกว่า ๙ ปีเราหมายถึงวันออกพรรษา เรานับเป็น ๙ ปีแล้วนะ พอออกพรรษาปุ๊บ.. จิตนี้หมุนพอแล้ว หมุนติ้ว ๆ แล้วแต่ก็ยังไม่สำเร็จ มาออกพรรษาเสียวันนั้น

‘แล้วกันทำไมว่า ๙ ปีสำเร็จ นี่ออกพรรษาวันนี้แล้ว ทำไมยังไม่สำเร็จ แต่จิตที่ละเอียดลออยอมรับ รับกันหากยังไม่สำเร็จ’

จึงไปเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ‘โอ้.. ผมจะมาขายโง่ให้ท่านฟัง นี่ผมภาวนา ปรากฏทางภาวนาว่ามีตาปะขาวมาบอกว่า ๙ ปีสำเร็จ ผมก็บวชมาถึง ๙ ปี ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เลยแยกออกมาปฏิบัติ ๙ ปีสำเร็จ นี่ก็ออกพรรษาวันนี้ เป็น ๙ ปีแล้วยังไม่สำเร็จเลย แต่ความละเอียดของจิตยอมรับว่าละเอียด หากยังไม่สำเร็จ

ท่านก็แก้ดีนะ เป็นคติได้ดี ผู้ปฏิบัติภาวนาด้วยกัน ‘โห.. ไม่ใช่คำว่า ๙ ปีนี้ ต้องหมายถึงตั้งแต่ออกพรรษาถึงเข้าพรรษาหน้านู้น ๙ ปีถึงจะครบถ้วน อันนี้มันพึ่งออกพรรษามา นี้ยังอีกเท่าไรถึงวันเข้าพรรษายังอีกนานอยู่นะ ยังไม่ใช่ ๙ ปีวันออกพรรษา ๙ ปีนี้จนกระทั่งถึงพรรษาหน้า ๙ ปีเต็มนั่นละ สำเร็จไม่สำเร็จก็รู้กันตรงนั้นละ เดี๋ยวนี้ยังไม่ใช่ ๙ ปี’

พระท่านแก้ดีนะ ‘หือ.. อย่างนั้นเหรอ !’ คึกคักตั้งใหม่ คราวนี้จิตก็ละเอียดอยู่นะ ฟาดกันเสียตั้งแต่นั้นละ มาเป็นเครื่องปลอบใจดี เราก็คิดเพื่อนฝูงภาวนาด้วยกัน องค์นี้ท่านก็เด็ดเดี่ยว เก่งเหมือนกัน พูดเป็นคติเครื่องเตือนใจได้ จึงฟาดกันอีกตั้งแต่วันออกพรรษา..

อันนี้เราก็ระลึกถึงคุณของท่านอยู่นะ ท่านแก้ดีอยู่ .. นี่เราก็ไม่ลืมนะ คือเก็บไว้ตลอดไม่พูดให้ใครฟังเลย ... เพื่อนฝูงนักภาวนาด้วยกันนี้ปรึกษาหารือกันได้กำลังใจนะ นี่เราก็ไม่ลืม เพื่อนฝูงเตือนเรา ไม่ให้หมดหวังว่างั้นเถอะ เรานี้รู้สึกจะหมดหวังตั้งแต่วันออกพรรษาปั๊บ.. มันยังไม่สิ้นนี่ ท่านก็มาแก้ให้อีก ..

องค์ที่ว่านี่เพื่อนฝูงด้วยกัน เป็นคู่ปรึกษาหารือกันได้ว่าอะไรเป็นยังงั้น จิตใจเด็ดเดี่ยวเหมือนกัน.. ท่านพูดเป็นคติดี ไอ้เรานึกว่าหมดหวังแล้วตั้งแต่วันออกพรรษาปึ๋ง.. นั่นละหมดหวัง เราก็ไม่ลืมนะ นี่เพื่อนฝูงด้วยกันนะ ปรึกษาหารือกันทางจิตภาวนา .. มีแก่ใจขยับเข้าอีก แต่ก่อนก็ขยับอยู่แล้ว ทีนี้เพื่อนมาเพิ่มกำลังใจให้...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-01-2016 เมื่อ 19:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 16 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 16 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:15



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว