กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 07-11-2014, 16:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สภาพของการปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็คือการที่เราต้องทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนเดิมทุกวัน อย่างเช่นว่า สวดมนต์ทำวัตร เจริญกรรมฐาน อย่างนี้เป็นต้น การที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนกันทุกวัน บางทีเราก็จะรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย ขอให้รู้ว่าเป็นความเบื่อที่เกิดจากกิเลสหลอกต้มเรา เพราะว่าสิ่งที่เราทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทุกวัน จนมีบางท่านเปรียบว่า เหมือนกับเราเป็นนักโทษที่กำลังเจาะกำแพงเพื่อจะหนี พอเราเจาะไปหลาย ๆ วัน กำแพงยังไม่ทะลุก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ เขาก็ชวนเราไปทำอย่างอื่น ไปพักผ่อน ไปนอนเล่น ไปหาอะไรคลายเครียด จนกระทั่งลืมไปว่าตัวเองต้องเจาะกำแพง

หรือบางทีก็ชวนให้ไปเจาะที่อื่นแทน ที่เดิมซึ่งเจาะไว้ตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ กลายเป็นว่าสิ่งที่เราทำ ยังไม่ทันจะเกิดประโยชน์เราก็ละทิ้งไป แล้วไปเลือกทำสิ่งใหม่ ซึ่งแม้ว่าบางทีก็เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ แต่ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ หรือถ้าไม่ได้เป็นแนวทางที่มีประโยชน์ ก็จะทำให้รอยเจาะที่เราเจาะเอาไว้นั้น โดนกิเลสถมมิดไปเลย ดีไม่ดีก็หนากว่าเดิมอีก เราจึงกลายเป็นนักโทษอยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่ต้องไปไหนกันเสียที

การที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ แล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่ายนั้น เป็นเพราะสภาพจิตเราไปดิ้นรนต่อต้าน ถ้าสภาพจิตเราไม่ดิ้นรนต่อต้าน คิดว่า ๕ วันนี้เราต้องไปปฏิบัติธรรมที่วัดท่าขนุน ก็ต้องเจอยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอแบบนี้แหละ จะต้องเจอการนั่งกรรมฐานครั้งละครึ่งชั่วโมงแบบนี้ ถ้ากำลังใจยอมรับว่าต้องเป็นแบบนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำไป สภาพจิตของเราก็ค่อนข้างจะนิ่งและมีความสุข อารมณ์ก็ทรงสมาธิได้เร็ว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วจะไปต่อต้าน โดยเฉพาะว่า..ถ้าการปฏิบัติไม่เหมือนกับที่ตัวเองเคยทำมา บางทีก็จะไปลงความเห็นเลยว่าเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ แล้วไม่คิดที่จะทำหรือทำแบบเสียไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2014 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 07-11-2014, 17:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..ในเรื่องของสภาพจิต ถ้าเราไม่ศึกษาจริง ๆ เราก็จะไม่เห็นความกลับกลอก ความเอาแน่ไม่ได้ ความโกหกหลอกลวงสารพัด เพื่อที่จะหลอกเราให้ยึดติดอยู่กับโลกนี้ ยึดติดอยู่กับวัฏสงสารแห่งนี้ คำว่า วัฏสงสารหรือ สังสารวัฏ แปลว่า การหมุนวนซึ่งหาที่สุดไม่ได้ ถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับทะเลทุกข์

เราหมุนวนอยู่ในทะเลทุกข์อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ แล้วก็ไม่พยายามที่จะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งเสียด้วย พอมีคนชี้ทางให้ขึ้นฝั่งก็เกิดความรู้สึกเสียดายว่า ว่ายมาตั้งนานแล้ว ขอต่ออีกหน่อยแล้วกันนะ ลงทุนไปเยอะแล้ว ก็แปลว่าได้ลงทุนอีกหลายชาติ..!

ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดความซ้ำ ๆ ซาก ๆ เราต้องหาเทคนิคในการที่ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า เราไม่ได้ทำอะไรซ้ำ ๆ กัน อย่างที่ได้สอนได้บอกพวกเราไปตอนกรรมฐานช่วงเช้า มีสารพัดวิธี สามารถที่จะปรับเอามาใช้กับเราได้ โดยให้สังเกตว่า อันดับแรก..กำลังใจของเราเกาะพระรัตนตรัยอยู่หรือไม่ ? อันดับที่ ๒ กำลังใจของเรามีนิวรณ์ห้าเกาะกินได้หรือไม่ ? ถ้าสิ่งที่เราทำยึดพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลัก และไม่มีนิวรณ์ห้าแทรกเข้ามาในจิตช่วงนั้นได้ ก็ทำไปเถอะ แบบไหนก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมชันธ์ สำหรับบุคคลสารพัดประเภท เพราะฉะนั้น..ที่เขาบอกไว้ว่ามีคนบ้า ๕๐๐ จำพวก รู้สึกว่าจะน้อยไป ต้องมากกว่านั้นแน่ ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2014 เมื่อ 02:18
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 08-11-2014, 05:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คนโบราณฉลาดกว่าเรา ฉลาดกว่ามากเลย โดยเฉพาะฉลาดในการตัดสินใจ ถ้าจะปฏิบัติให้ได้มรรคได้ผล จะต้องมีการตัดสินใจที่แน่วแน่และเด็ดขาด อย่างสมัยก่อนบวช ๒ ปี อาตมาไปช่วยงานอยู่ที่บ้านสายลม คืนนั้นหลังจากเจริญกรรมฐานแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้พระเสด็จมาบอกว่า บุคคลทั้งหมดที่มาเจริญกรรมฐานในคืนนี้ ถ้าตั้งใจจริงสามารถรักษาศีล ๘ ได้เลย ๗๐ ท่านด้วยกัน” อาตมาได้ยินก็ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า “เราคือ ๑ ใน ๗๐ คนนั้น” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมามา ก็ตั้งใจเลยว่าเราจะมีศีล ๘ บริสุทธิ์บริบูรณ์

จำไว้ว่าเรื่องของศีลนั้น ไม่ต้องเสียเวลาไปสมาทาน ซึ่งแปลว่าศึกษาว่าศีลมีอะไรบ้าง ไม่ต้องไปอาราธนาศีล ซึ่งแปลว่าไปขอศีลจากพระ ถ้าเรารู้ว่าศีลมีอะไรแล้ว แค่ตั้งใจงดเว้นไปก็เป็นศีลแล้ว ต่อให้ขอศีลจากพระ ต่อให้สมาทานศึกษาอีกกี่ชาติก็ตาม ถ้าไม่คิดที่จะงดเว้น ตราบนั้นเราก็ยังไม่มีศีล

ทันทีที่ตัดสินใจอย่างนั้นก็มีเครื่องทดสอบ เพราะว่าหลังจากเลิกงานจากบ้านสายลมก็เกือบสี่ทุ่ม ตอนนั้นคุณสมโชค ปัจฉิมางกูร ก็ถือว่าเป็นรุ่นพี่ที่เป็นรุ่นพ่อก็ว่าได้ เพราะว่าอาตมาเป็นเพื่อนกับลูกสาวของท่าน ชวนเดินทางกลับด้วยกัน บ้านอาตมาอยู่ซอยโมราวรรณ ๒ ใกล้สวนหลวง น้าสมโชคอยู่เลยไปหน่อยหนึ่ง พอมาถึงแยกคลองตันก็เลี้ยวขวับเข้าร้านหัวปลาหม้อไฟ “เล็ก..กินกันก่อน เดี๋ยวค่อยกลับบ้าน” ทดสอบกำลังใจกันชัด ๆ เลย จึงบอกว่า “น้าสองคนกินไปเถอะครับ ผมเองไม่รู้สึกหิว บ้านก็ใกล้แค่นี้เอง ขออนุญาตเดินกลับก่อนก็แล้วกัน” ยกมือไหว้ลาก็เดินกลับ บ้านอยู่แค่นี้คือ ๒ ก.ม.ครึ่ง เดินกลับด้วยความอิ่มอกอิ่มใจว่า ข้อสอบแค่นี้เล่นตูไม่ได้หรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2014 เมื่อ 15:06
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 08-11-2014, 05:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยนึกอยากกินอะไรหลังเที่ยงเลย ถ้าโยมที่เคยไปร่วมปฏิบัติธรรมที่วัด ร่วมทำวัตรค่ำ จะเห็นว่าหลังทำวัตรค่ำแล้ว ก็จะมีการถวายน้ำปานะให้แก่พระภิกษุสามเณร จะเป็นนมเป็นน้ำหวานอะไรก็ตาม ทุกคนจะเห็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนนั่งมองอย่างเดียว ก็คือไม่รู้ว่าจะฉันไปทำไม ในเมื่อร่างกายไม่ได้ต้องการ ก็ดีเหมือนกัน เพราะว่าก่อนบวชอาตมาน้ำหนัก ๖๓ ก.ก.ครึ่ง ต้องบอกว่ามีแต่กล้ามเนื้อ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเอวแค่ ๒๔ นิ้ว ต้องถามป้ามุกดา กางเกงที่อาตมาใส่ตอนเป็นทหาร ป้ามุกดาเอาไปใส่ได้สบายเลย เอวเท่ากัน เพียงแต่ปรับสะโพกกับขาเท่านั้น

ตอนนี้บวชมา ๒๙ ปีได้เอวเพิ่มมา ๒ นิ้ว เป็นเอว ๒๖ นิ้ว แต่ตอนนั้นน้ำหนักหายฮวบเดียว จาก ๖๓ ก.ก.ครึ่งเหลือ ๕๔ ก.ก. หายไป ๙ ก.ก.ครึ่ง ศีลแปดนี่ลดน้ำหนักได้เด็ดขาดจริง ๆ ใครที่บอกว่าลดน้ำหนักไม่ได้..ให้ลองดู หลังเที่ยงเหลือแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว รับประกันเห็นผลภายใน ๒ อาทิตย์..!

ที่กล่าวมาถึงตรงนี้เพื่อเปรียบเทียบให้พวกเราเห็นว่า ในเรื่องของการปฏิบัตินั้น ถ้าจะมรรคเอาผลกันจริง ๆ ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ตรงนี้เราทำได้เราจะทำ ถ้าไม่มีการตัดสินใจลักษณะอย่างนั้น กำลังใจที่ไม่เพียงพออย่างหนึ่ง ปัญญาที่ไม่เพียงพอ ไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอะไรอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้เราติดอยู่แค่นั้น เหมือนกับเด็กเรียนที่เรียนเท่าไรก็สอบไม่ผ่านสักที สอบทีไรอาจารย์ก็บอกว่าผลสอบเกือบได้ อาตมายอมเกือบตกดีกว่านะ เกือบได้ฟังดูดี แต่ไม่เคยได้สักที เกือบตกนี่ยังไม่ตก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 08-11-2014 เมื่อ 21:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 08-11-2014, 14:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตั้งแต่ปฏิบัติอย่างจริงจังตอนอายุ ๑๖ ปี เริ่มทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง เขาว่าบ้ากันทั้งนั้น ขอบอกว่า ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นนักปฏิบัติ แล้วคนรอบข้างยังไม่ชมว่าบ้า ยังไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริงหรอก ต้องได้รับคำชมอย่างนั้นเยอะ ๆ ก่อน ชนิดที่ทุกคนลงความเห็นว่าบ้าแน่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอมีหวัง

เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติ ก็ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เรามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูก อย่าไปสนใจปากหอยปากปู ที่ไม่สร้างสรรค์ความเจริญให้กับตนเองและผู้อื่น เพียงแต่ว่าให้ระมัดระวังนิดหนึ่งว่า อย่าให้ตัวเราต้องเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่นเขา ถ้าเรารักษาศีล ๘ เพื่อนชวน “เฮ้ย..กินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ข้าเลี้ยง” ถ้าเราตอบว่า "ไม่ละ..ตอนนี้รักษาศีล ๘" เพื่อนคงได้มองหัวถึงตีน แล้วจากตีนกลับมาที่หัวอีกที บอกไปดีกว่าว่า “ตอนนี้อ้วนมากแล้ว ไม่กินข้าวเย็น ถ้าจะเลี้ยง ๆ ให้มื้ออื่นเถอะ” ฟังดูดีกว่ากันตั้งเยอะ

ดังนั้น..นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาด้วย การปฏิบัติทุกรูปแบบขึ้นต้นด้วยปัญญา แล้วถึงมาเป็นศีล เป็นสมาธิ ถามว่าทำไม ? ก็เพราะว่ามรรคแปด คือหนทางแปดสาย ซึ่งรวมกันเป็นเส้นทางให้เราก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์ ขึ้นต้นด้วยสัมมาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง การมีความเห็นที่ถูกต้องคือการมีปัญญา เพราะว่าบุคคลในโลกจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ยังไม่เห็นเลยว่าการปฏิบัติธรรมดีตรงไหน

เอาแค่ในประเทศไทยเรา คุยนักคุยหนาว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์เป็นพุทธศาสนิกชน ลองไปถามดูสิว่า ๖๘ ล้านคนมีเข้าวัดเข้าวาเพื่อถือศีลปฏิบัติธรรมถึงแปดล้านไหม ? อาตมายืนยันว่าไม่ถึงหรอก แปดแสนก็ไม่ถึง นอกนั้นบางทีก็ใส่บาตรปีละครั้งตอนวันเกิด น่าชื่นชมจริง ๆ ๓๖๔ วันยังไม่ลืมว่าต้องทำบุญอยู่วันหนึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2014 เมื่อ 15:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 09-11-2014, 05:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเราเป็นบุคคลจำนวนน้อยกว่าน้อย ไม่ต้องไปเสียใจว่าเราแปลกแยกจากสังคมหรอก สังคมไม่ยอมรับเราตั้งแต่แรกแล้ว ทน ๆ อยู่ไปเถอะ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องหาวิธีที่ปรับเปลี่ยน อย่าให้ตัวเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นด้วย ขณะเดียวกันก็ให้การปฏิบัติของเราก้าวหน้าด้วย ก็คือต้องมาทำในสิ่งที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ

นักปฏิบัติ ถ้ามีอายุราชการในการปฏิบัติธรรมหลายปีหน่อย หลายท่านอาจจะสังเกตเห็นว่า มีบางช่วงการปฏิบัติของเราไม่ได้อะไรเลย เหมือนกับเดินไปชนกำแพง ทำไปวันหนึ่งก็แล้ว ๓ วันก็แล้ว ๗ วันก็แล้ว ครึ่งเดือนก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ๓ เดือน ๖ เดือน ๑ ปี ไม่ไปไหนเลย ขอให้รู้ว่า..ถ้าเกิดลักษณะนี้ขึ้นมาในการปฏิบัติของเรา แปลว่า เรากำลังจะเข้าถึงช่วงเปลี่ยนผ่านกำลังใจบางอย่าง อย่าได้ท้อถอย ขอให้ทำในสิ่งซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั่นแหละ ทำแล้วทำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก อย่าเบื่อหน่ายเป็นอันขาด เพราะเรากำลังรวบรวมกำลัง เพื่อที่จะก้าวข้ามสิ่งที่สูงหรือว่าเกินกำลังที่เราจะข้ามไปได้ ถ้าเรารวมกำลังพอวันไหน วันนั้นเราก็จะข้ามไปได้เอง

อย่าเบื่อว่าเป็นสิ่งที่ซ้ำซากต้องทำทุกวัน หาความก้าวหน้าไม่ได้ อย่าท้อว่าเราต้องทำสิ่งที่ซ้ำซากวันแล้ววันเล่า แล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้น เราเจาะกำแพงจวนจะทะลุแล้ว เพียงแต่ตอนท้าย ๆ พอลึกเข้าไปก็ชักจะรู้สึกโหวงเหวง รอบข้างไม่เหลือใครเลย กูบ้าอยู่คนเดียวหรือเปล่าวะ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2014 เมื่อ 08:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 09-11-2014, 05:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมาอยากจะยกตัวอย่างบริษัทอารามโก (Arabian American Oil Company) เจาะสำรวจน้ำมันที่ซาอุดิอาระเบีย ๓ ปีเต็ม ๆ เจาะเข้าไปเถอะ วันแล้ววันเล่า ผ่านระยะ ๒๐๐ เมตร ๓๐๐ เมตร ๕๐๐ เมตร ๗๐๐ เมตร ๑,๐๐๐ เมตร ๒,๐๐๐ เมตร ๓,๐๐๐ เมตร จนถึง ๖,๐๐๐ เมตร ลึกที่สุดในโลกเท่าที่เคยเจาะมา ก็ยังไม่เจอน้ำมัน ท้ายสุดผู้ร่วมหุ้นชาวอเมริกาบอกว่า..กลับบ้านเถอะลูก เก็บของกลับกันดีกว่า ปรากฏว่าหัวหน้าคนงานภาคสนาม (โฟร์แมน) บอกกับลูกน้องว่า “พรุ่งนี้จะเก็บของกลับบ้าน วันนี้เจาะให้เต็มที่ไปเลย” โป๊ะเดียวลงกลางอ่างพอดี น้ำมันพุ่งสวนมานองพื้นเป็นรัศมีกว่า ๒ กิโลเมตร นั่น..ถ้ากลับบ้านเสียก่อนเป็นอย่างไร ? ป่านนี้ชาวซาอุดิอาระเบียก็ยังคงขี่อูฐเหมือนเดิม ไม่ได้ขี่เฟอร์รารี่อย่างทุกวันนี้หรอก

นั่นคือความอดทน พากเพียรและรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง พรุ่งนี้จะกลับแล้ว วันนี้ขอทิ้งท้ายให้เต็มที่ เพราะฉะนั้น...พรุ่งนี้พวกเราก็จะกลับกันแล้ว ...(หัวเราะ)... วันนี้พวกเรามาพากเพียรกันให้เต็มที่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2014 เมื่อ 08:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 75 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 09-11-2014, 05:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่ ต้องอาศัยสมาธิเป็นพื้นฐาน ถ้าไม่มีสมาธิ ความสนใจจะไม่ต่อเนื่อง จิตใจไม่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับงาน โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2014 เมื่อ 08:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 74 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 09-11-2014, 16:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าทำเป็นก็แปลว่าได้ผลมหาศาล ถ้าทำไม่เป็นก็ได้น้อยหน่อย การสวดมนต์ทั่ว ๆ ไปอย่างน้อยต้องมีสมาธิทรงตัว ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอ สมาธิเคลื่อนเมื่อไรก็สวดผิด ถ้าหากว่าเราได้มากกว่านั้น ก็คือ เอาคำสวดเป็นคำภาวนา มีหลายคนอาศัยคำสวดมนต์เป็นคำภาวนา ถึงเวลาฟังคนอื่นสวด ตัวเองนั่งแข็งทื่อ สวดมนต์ต่อไม่ได้ เพราะสมาธิสูงเกินไปแล้ว ก็แปลว่า สามารถใช้การสวดมนต์เป็นการภาวนาจนทรงฌานได้

ถ้าอยากได้ประโยชน์มากกว่านั้น สำหรับบุคคลที่ได้มโนมยิทธิ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดมนต์ถวายพระบนพระนิพพาน ถ้ากำลังใจทรงตัวจดจ่ออยู่ที่นั่น ตายตอนนั้นก็ไปอยู่ที่นั่นเลย หรือถ้าใครแปลคำสวดมนต์ออก ปฏิบัติตามคำที่แปลได้ ก็เท่ากับว่าเราปฏิบัติธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั่นเอง

ดังนั้น..ในเรื่องของการสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าทำไม่เป็นประโยชน์ก็น้อย ถ้าทำเป็นก็ได้ประโยชน์มหาศาล แต่ว่าขนาดประโยชน์น้อย ๆ รับรองว่าได้มากกว่ามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรเยอะเลย เพราะว่าเราตั้งใจกราบพระแล้วถึงสวดมนต์ บางท่านบอกว่าเหมือนกับการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ดังนั้น..วัดท่าขนุนจึงมีการเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าวันละ ๓ รอบ คือรอบเช้า รอบเย็น แล้วก็รอบค่ำที่กำลังจะสวดกันนี้ ก็ถือว่าเป็นอนุสติใหญ่ โดยเฉพาะพุทธานุสติที่เข้าสู่พระนิพพานได้ง่ายที่สุด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-11-2014 เมื่อ 17:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 10-11-2014, 05:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อครู่พระครูแสงฝากเอกสารมา บอกว่าให้ช่วยแจกแก่ญาติโยมด้วย อาตมาอ่านไปบรรทัดกว่า ๆ ก็เจอที่ผิด ท่านเขียนว่า "คนเราเกิดมาไม่ยึดดีก็ยึดชั่ว ยึดชั่วก็ลงนรกไป ถ้ายึดดีก็ไปพระนิพพาน ไปสวรรค์" อาตมากากบาททิ้งไปเลย

คนเรายึดดียังไปพระนิพพานไม่ได้ การจะไปพระนิพพานต้องพ้นทั้งดีทั้งชั่วไปแล้ว แต่แรกเริ่มต้องเกาะดีไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยในการดำเนินชีวิต เพราะว่ากุศลผลบุญของความดีนั้น ส่งผลให้รับความสุข ความสะดวกสบายโดยส่วนเดียว แต่พอทำไป ๆ จนถึงที่สุด ก็จะวางดีไปเองโดยอัตโนมัติ เหมือนกับคนขึ้นที่สูง ต้องเกาะราวบันไดเพื่อความปลอดภัย พอถึงชั้นบนแล้ว บางทีปล่อยราวบันไดตอนไหนตัวเองก็ไม่ทันจะรู้ตัว

ดังนั้น..การไปพระนิพพานถ้ายังเกาะดีก็ไปไม่ได้ เกาะชั่วก็ไปไม่ได้ กำลังใจเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ก็จะอยู่ที่หลังเสื้อกระโถนข้างธรรมาสน์นั่นแหละ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว รู้ว่าดีเราทำ เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นความดีจริง ๆ อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่นักปราชญ์ท่านสรรเสริญอย่างหนึ่ง เราดำเนินตามความดีอย่างนั้น ย่อมไม่ผิดทั้งทางโลกทางธรรม

รู้ว่าชั่วก็ละ ค่อย ๆ ลดละไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็หมดไปเอง ในเมื่อรู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ สภาพจิตไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ก็ผ่ากลางพ้นไปได้ ฉะนั้น..ที่บอกว่าเกาะดีแล้วไปพระนิพพาน ขอยืนยันว่ายังไปไม่ได้ แต่ก็ต้องเอาเอาไว้ก่อน เดี๋ยวพอถึงเวลาเบื่อมาก ๆ ก็จะปล่อยไปเอง กอบโกยความดีไว้มาก ๆ ก่อน จน “ดีพอ” ก็จะเกิดความ “พอดี” ในเมื่อความดีมีพอ ก็จะเริ่มรู้ว่าอะไรที่พอดี ก็จะเริ่ม “วางดี” เมื่อวางดีได้ก็จะก้าวพ้นดี หลังจากนั้นไปไหนก็ไม่รู้ เพราะว่าเกินสมมติบัญญัติไปแล้ว อธิบายเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ ทำเองแล้วจะรู้ เขาเรียกว่าปัจจัตตัง ผู้ที่ปฏิบัติจะพึงรู้ได้ด้วยตนเอง ปัจจะ คือเฉพาะตน อัตตะ คือตัวตน ปัจจัตตังคือเฉพาะตนเอง

มีคนบอกว่าใครไม่มาปฏิบัติธรรมงวดนี้เสียดายตายเลย เพราะว่าหลวงพ่อกินยาผิด บอกหมดทุกอย่างเลย คนที่อยู่ก็ไม่ต้องดีใจหรอก บอกไปจะจำได้บ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-11-2014 เมื่อ 21:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 10-11-2014, 05:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(หลังจากหยุดพูดไปสักพักหนึ่ง) ที่คิดว่าเงียบ เอาจริง ๆ แล้วมีสารพัดเสียง พออารมณ์ใจนิ่งแล้วก็ขยายความรู้สึกออกไป รับรู้เสียงรอบข้างทีละเสียง ๆ จนครอบคลุมหมดแล้ว ก็ขยายกว้างออกไปเรื่อย ๆ รับเสียงได้ไกลขึ้น ๆ จนกระทั่งได้ทั่วโลก จนกระทั่งได้ถึงโลกอื่นด้วย แต่ถ้าฝึกได้แล้วจะกลุ้มใจ ไม่อยากฟังก็ได้ยิน มีโยมอยู่คนหนึ่ง ใครอยู่ใกล้เขารู้ความคิดหมด อ่านได้เป็นประโยค ๆ เหมือนตัวหนังสือเลย แต่ว่าเครียด ที่เครียดเพราะว่าคนคิดอย่างหนึ่งแต่พูดอีกอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือมายา สิ่งที่ฉาบอยู่ภายนอก ว่าไปแล้วก็เหมือนเขาหลอกลวงเรานี่แหละ ด้วยความที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมา พอไปเจอคนที่ปากไม่ตรงกับใจก็เลยเครียด อยากรู้ว่ามีวิธีไหนที่จะไม่ให้รู้ความคิดของคนอื่น ก็มี ๒ วิธีด้วยกัน วิธีแรกก็คือยกกำลังใจให้ไปอยู่ระดับกลาง ๆ ของสมาธิ อย่าอยู่ระดับอุปจารสมาธิและอย่าอยู่ในฌาน ๔ ก็จะตัดการรับรู้ออกไป วิธีที่ ๒ ก็คือไปหาอะไรที่ฟุ้งซ่านเป็น รัก โลภ โกรธ หลง ไปเลย สมาธิจะตกหายไปก็ไม่ต้องรู้อีก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2014 เมื่อ 07:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 10-11-2014, 15:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

(กล่าวถึงช่างที่กำลังทำงานอยู่ในวัด) ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นอาถรรพ์ต้องสาปของพวกช่าง พอเบิกเงินไปแล้วต้องหยุด ใช้เงินให้หมดก่อนแล้วค่อยมาทำใหม่ ตอนสมัยอยู่เกาะพระฤๅษี ยายจงกับช่างน้อย ๒ คนผัวเมียมาทำงานกับอาจารย์เล็ก มาตัวเปล่า ๆ อาตมาต้องหาเครื่องมือให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งเครื่องเชื่อมไฟฟ้าก็ต้องซื้อให้ เสร็จสรรพเรียบร้อยผ่านไป ๒ ปี เมียใส่ทองจนแทบจะเดินไม่ไหว ก็คงรู้สึกว่าตัวเองรวยเกินไป พอสงกรานต์ของปีที่ ๒ ลากลับบ้านไป ๕ วัน พอมาใหม่เหลือแต่ตัวเหมือนเดิม แม้กระทั่งเครื่องเชื่อมไฟฟ้าของอาตมาเขาก็เอาไปจำนำด้วย เพราะว่าช่วงไปสงกรานต์ที่กลับบ้าน ไปเล่นป๊อกเด้ง ยังดีที่เหลือเมียไว้ ไม่จำนำเมียไปด้วย..!

ก็เลยสงสัยว่าเป็นอาถรรพ์อะไร ช่างพวกนี้เบิกเงินเมื่อไรจะต้องใช้ให้หมดแล้วค่อยมา ถ้าโยมสงสัยอาตมาตอบให้ เป็นเพราะ “แพ้ใจตัวเอง” เหตุที่แพ้ใจตัวเองเพราะกำลังใจไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ก็เลยทนสิ่งเร้าคือกิเลสภายนอกไม่ได้ ในเมื่อทนสิ่งเร้าคือกิเลสภายนอกไม่ได้ ก็ต้องไหลตามกิเลสไป เหมือนอย่างกับญาติโยมจำนวนมากในเมืองใหญ่ ๆ ถึงเวลาค่ำลงต้องไปเข้าคลับ เข้าบาร์ เข้าลานเบียร์ เข้าคาราโอเกะ อ้างว่าไปพักผ่อน พักภาษาอะไรกันกลับบ้านตีหนึ่งตีสอง ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-11-2014 เมื่อ 15:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 10-11-2014, 15:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เพราะเขาไปแล้วเขารู้สึกว่าเขามีความสุข เนื่องจากว่าอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รับการกระตุ้น ตาเห็นรูป มีสาวสวย ๆ มาฉอเลาะ ป๋าคะป๋าขา หูได้ยินเสียง มีดนตรี มีคาราโอเกะ มีสาวอ้อนอยู่ใกล้ ๆ จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ได้ทั้งเหล้าได้ทั้งเบียร์ลงไป กายสัมผัส สิ่งทั้งหลายเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดปีติชั่วครั้งชั่วคราวขึ้นมา ก็เลยรู้สึกว่าตนเองทำอย่างนั้นแล้วมีความสุข โดยที่ไม่ได้คิดว่าถึงเวลาจะมีทุกข์ภายหลัง เพราะลูกเมียจับได้ก็บ้านแตก เมื่อกลับมาจากการเที่ยว สิ่งกระตุ้นเร้าต่าง ๆ หมดไปก็กลายเป็นไม่มีความสุขอีก จึงต้องตะเกียกตะกายไปเที่ยวใหม่

กลายเป็นคนติดการเที่ยวกลางคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สรรเสริญ จัดว่าเป็นอบายมุขอย่างหนึ่ง อบาย แปลว่าทางเสื่อม ทางแห่งความตกต่ำ หรือจะแปลว่านรกไปเลยก็ได้ มุขะ แปลว่า เบื้องหน้า ตรงหน้า ปากทาง หนทางที่นำไป อบายมุขคือหนทางที่นำไปสู่ความเสื่อม

ถ้าหากว่าเราอยากมีความสุข ขอให้เข้ามาปฏิบัติธรรม ทันทีที่เราเริ่มชนะใจตนเองได้ จากผู้ที่ไม่มีศีลก็เริ่มมีศีล จากผู้ที่ไม่มีสมาธิก็เริ่มมีสมาธิ จะเกิดปีติขึ้นจากภายใน ทำให้ไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่ายในการปฏิบัติ ไม่ต้องไปอาศัยสิ่งกระตุ้นเร้าจากภายนอก เมื่อเป็นเช่นนั้นความสุขนี้ก็จะยั่งยืนกว่า แต่ถ้าเผลอเกิดใหม่ก็ทุกข์อีก

เมื่อโยมไม่ตอบอาตมาก็ตอบให้ เหมือนที่หลวงปู่หลวงพ่อบางท่านกล่าวว่า “รู้ทุกเรื่องแหละ แต่แพ้ใจตัวเอง” รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะเดือดร้อนทีหลัง รู้ว่าทำอย่างนั้นแล้วจะลำบากทีหลัง รู้ว่าเบิกค่าแรงไปหมดถึงเวลาทำแล้วจะไม่ได้ค่าแรงเลยก็จะเบิก เสร็จแล้วก็ขอเบิกล่วงหน้าอีก ก็เป็นหนี้เป็นสินอีรุงตุงนังไปเรื่อย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ตัวเล็ก : 10-11-2014 เมื่อ 16:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 11-11-2014, 05:26
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ญาติโยมหลายท่านถึงขนาดต้องไปกู้เงินนอกระบบ เสียดอกเบี้ยร้อยละ ๒๐ ต่อวัน อาตมาได้ยินนี่ถอนหายใจดังเฮือก แค่ ๕ วันดอกก็ท่วมต้นแล้ว ถามว่า "แล้วทำไมต้องไปกู้เขาด้วย ?" เขาบอกว่า “ ๒๐ บาทต่อวันนี่พอหาได้ แต่ ๑๐๐ บาทต่อวันหาไม่ได้ ก็เลยต้องกู้” พระพุทธเจ้าตรัสว่า อิณาทานัง ทุกขังโลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก

ความจริงไม่ที่สุดหรอก อาตมาใส่เพิ่มให้เอง ที่ว่าทุกข์ที่สุดเพราะว่าคนประเภทพวกเรา พอถึงเวลาเป็นหนี้ใคร ก็ตะเกียกตะกายขวนขวายไปใช้คืนตามเวลา ตามสัญญา ต่อให้เหนื่อยรากเลือดก็ต้องเอาไปใช้เขา เพราะเรามีหิริ โอตตัปปะ เรามีสัจจบารมี ถึงเวลาต้องทำตามคำพูด ทำตามสัญญา แต่พอคนอื่นมากู้เงินเรา ถึงเวลาแล้วเขาไม่คืน เราก็ดันหน้าบางไม่กล้าไปทวงเสียอีก เพราะฉะนั้น..คนอย่างประเภทพวกเราจงอย่าเป็นหนี้ใครและอย่าให้ใครเป็นหนี้ เพราะทุกข์ทั้งขึ้นและล่อง

ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก ก็แปลว่าสิ่งที่พระองค์ท่านพูดมาไม่ผิดหรอก จงยอมเชื่อเสียแต่โดยดี อาตมาเคยมีเพื่อนคนหนึ่งไปประกันรถให้คนอื่น เขาก็ทำสัญญากันว่า วางดาวน์เท่านี้ แล้วก็ผ่อนเดือนละ ๘,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๔๘ เดือน ตอนนั้นรถราคายังไม่สูงมาก เพื่อนคนนั้นผ่อนไป ๕ เดือน ขึ้นเดือนที่ ๖ ต้องการใช้เงินก้อน เขาก็เอารถไปขายให้อีกคนหนึ่ง แล้วเอาเงินก้อนมาใช้ คนที่ซื้อรถต่อไปก็ไม่สนใจที่จะไปผ่อนต่อ ปรากฏว่าถึงเวลาบริษัทเขาฟ้องร้องเพื่อนที่เป็นคนรับประกัน ถ้าไม่ไปใช้หนี้ก็แปลว่าต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน

โทรไปหาเพื่อนคนที่เขาเป็นคนช่วยประกันให้ เขาก็ไม่รับสาย โทรไปหาคนที่ซื้อต่อ เจ้านั่นบอกว่าเขาซื้อมาแล้วนี่ ทำไมต้องไปผ่อนด้วย ? ตอนซื้อไม่เห็นบอกนี่ว่าต้องผ่อน สรุปแล้วว่าโบราณบอกไว้ถูก “ถ้าอยากเป็นหนี้ให้เป็นนายหน้า ถ้าอยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” สรุปว่าเพื่อนคนนี้ต้องไปก้มหน้าก้มตาผ่อนใช้เขาอยู่ ไม่มากไม่มายหรอก ๓ ปีกับ ๗ เดือน ๆ ละ ๘,๐๐๐ บาท ตอนนั้นรถกระบะคันหนึ่งแค่สองแสนกว่าสามแสนบาทเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2014 เมื่อ 15:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 11-11-2014, 05:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วัดมีงานแล้วพวกเราเหนื่อย ให้รักษากำลังใจไว้ทุกวัน ทุกเวลา ไม่อย่างนั้นถึงเวลากำลังใจพลิกกลับ เราจะทุกข์ทรมานมาก เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง รุมตีแทบตาย ถ้าเป็นพระเป็นชีก็สึกเตลิดเปิดเปิงไปหมด เพราะฉะนั้น..โปรดสังวรระวัง กิเลสไม่เคยปราณีเรา ดังนั้น..เราก็อย่าไปเปิดช่องทางให้กับกิเลสเขา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2014 เมื่อ 15:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 11-11-2014, 09:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อาตมามีงานที่กรุงเทพฯ พรุ่งนี้ต้องไปสอนหนังสือต่อ แล้วก็วิ่งกลับมาเทศน์ในงานศพ โอ้พระเจ้า...ชีวิตอยากเป็นฆราวาสเหมือนกัน ถ้างานชุกขนาดนี้รวยตายชักเลย ทั้งหมดที่บอกมาก็คือ อยากบอกกับพวกเราว่า ถ้าสมาธิดี ก็จะมีกำลังเพียงพอที่จะคุมร่างกายให้ทำงานเหล่านี้ แต่ให้กลับถึงที่นอนก่อนแล้วค่อยคลายสมาธินะ ไม่อย่างนั้นแล้วจะเสียท่า จะป๊อกเงียบไปเลยเพราะหมดสภาพแล้ว

ใครที่เคยทำงานหนักจนหมดสภาพจะรู้ว่า พองานเสร็จกำลังใจคลายตัวออกก็ไปเลย ก็คืออยากหลับเดี๋ยวนั้นเลย ฉะนั้น..ให้ถึงที่นอนก่อนแล้วค่อยคลายสมาธิออกมา สิ่งนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า มโนสัญเจตนา คือความมุ่งมั่นของใจ ถ้าตราบใดที่ใจยังมุ่งมั่นอยู่ ตราบนั้นร่างกายก็ยังไปไหว

แบบเดียวกับที่เขาวิ่งส่งข่าวศึกเป็นระยะทาง ๔๒ กิโลเมตรกว่า ว่ากรีซได้รับชัยชนะกองทัพโรมันแล้ว คนส่งข่าววิ่งไป ๔๐ กว่ากิโลเมตรไปแจ้งข่าว วิ่งไปได้ พอแจ้งข่าวเสร็จหมดหน้าที่ก็หงายหลังตึง หมดลมตายเดี๋ยวนั้นเลย ทุกวันนี้เขาก็เอามาเป็นการวิ่งมาราธอน ๔๒.๗ กิโลเมตร ตามระยะทางที่เขาวิ่งข้ามเมืองไปแจ้งข่าว ถ้าหากว่าเป็นฮาร์ฟ-มาราธอนก็ครึ่งหนึ่ง มินิมาราธอนก็หนึ่งในสี่ ญาติโยมอาจจะสงสัยว่ามาจากไหน ? มาจากมโนสัญเจตนาของบุคคลหนึ่ง ก็คือมุ่งมั่นว่าจะไปส่งข่าวให้พรรคพวกของตนเองรู้ ไปจนถึง ส่งข่าวแล้วถึงได้ตาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2014 เมื่อ 15:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 11-11-2014, 09:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,552 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มโนสัญเจตนาเป็นอาหารอย่างหนึ่ง ที่จะประคับประคองชีวิตเราเอาไว้ ชีวิตของเราต้องกวฬิงการาหาร อาหารคือข้าว น้ำ ขนมพวกนั้น ผัสสาหาร อาหารคือลมหายใจเข้าออก วิญญาณาหาร อาหารทีใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในการสัมผัส อย่างเช่นว่า ถ้าเห็นรูปสวย ๆ ก็มีความชื่นอกชื่นใจอยากมีชีวิตอยู่ต่อ หูได้ยินเสียงเพราะ ๆ ก็ชื่นใจ อยู่ต่อได้อีกระยะหนึ่ง เป็นต้น

ตัวสุดท้าย คือ มโนสัญเจตนาหาร ความมุ่งมั่นของใจ เราจะเห็นว่ามีบุคคลที่ขาดธรรมะส่วนนี้ เมื่อเกษียณอายุราชการ หมดความมุ่งมั่นแล้วก็มักจะเฉาตาย ฉะนั้น..พวกเราให้ตื๊ออยู่ต่อไป ตราบใดไปไม่ถึงพระนิพพาน เราจะไม่ตายเด็ดขาด ๑๐๗-๑๐๘ ปี แล้วค่อยว่ากัน ไหวไหม ? ตะบันน้ำกินแน่ ก็ขอให้ทุกคนเดินทางกลับด้วยความปลอดภัยทุกคน ประสงค์สิ่งใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้ทุกท่านจงสมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทงานบวชเนกขัมมะ ตักบาตรเทโว ฯ และกฐินสามัคคี
วันที่ ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๗

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-11-2014 เมื่อ 15:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:44



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว