#21
|
||||
|
||||
"พวกเราก็รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กันทุกคน จะบรรลุวันนี้ไหม ? อาตมาจะได้อาศัยใบบุญบ้าง ญาติโยมบรรลุกันเยอะ ๆ อาตมาจะได้อาศัยเกาะหลังไปด้วย
ที่กล่าวมาเพื่อที่จะบอกกับพวกเราว่า การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสั่งสมบารมีมาชาติแล้วชาติเล่า ทำกันมาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเริ่มทำ ถ้ามาเริ่มทำก็ไม่มีใครทำได้แบบนี้หรอก อาตมาขอยืนยัน เพราะว่าบารมีหรือกำลังใจไม่เข้มแข็งพอ เราจะสังเกตว่าบางท่านนั่งแบบทุกข์ทรมานมาก เมื่อไรจะหมดเวลาสักที ลืมตาแล้วลืมตาอีก ขยับแล้วขยับอีก แต่ว่าหลายท่านก็นั่งนิ่งเงียบไปเลย หลับหรือสมาธิทรงตัว ? น่าจะหลับนะ..โดยเฉพาะตอนช่วงบ่าย ๆ นี่น่าจะหลับกันดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-08-2015 เมื่อ 10:23 |
สมาชิก 76 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
"ในเมื่อเป็นเรื่องของบุคคลที่เป็นปรมัตถบารมี คือกำลังใจขั้นสุดยอดถึงสามารถทำได้ แปลว่าเราทั้งหลายเป็นบุคคลที่ไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา แปลกแยกจากสังคม เขาไปเที่ยวกันจนกรุงเทพฯ ร้างเลย
เมื่อเช้าเขาส่งรูปมาให้ดู หมานอนอยู่บนถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งอนุสาวรีย์ฯ มีรถอยู่ ๓ คัน นาน ๆ ทีหมาก็เลยไปนอนเต๊ะจุ๊ยอยู่กลางถนน เขาไปเที่ยวกันจนกรุงเทพฯ ร้าง แต่พวกเรามาปฏิบัติธรรม ในเมื่อเราแปลกแยกจากสังคมขนาดนี้ ใครเขาว่าบ้าก็ทน ๆ เอาเถอะ ยอมบ้ากับเขาชาติหนึ่ง ถ้าหลุดพ้นไปได้ก็เป็นอันว่าจบ ถ้าหลุดพ้นไม่ได้ เส้นทางของเราก็สั้นกว่าคนอื่นเขา โบราณท่านบอกว่า “คนอื่นขี่ม้าอย่าไปอิจฉา เราขี่ลาดีกว่าคนเดินเท้าตั้งเยอะ” ม้าวิ่งเร็ว ขี่ลาได้แต่เดินก๊อก ๆ ไปเรื่อย ส่วนคนไม่มีอะไรจะขี่เลยไม่ว่า ยังไม่ได้เริ่มเดินทางอีกไม่รู้ตั้งเท่าไร เพราะฉะนั้น..ควรจะภูมิใจว่าเราเริ่มต้นมาไกลมากแล้ว นึกย้อนหลังไปสมัยก่อน ศีลสักสิกขาบทหนึ่งก็ไม่มี มาในสมัยนี้ของเราศีล ๕ ก็รักษาได้ อยู่ระหว่างปฏิบัติธรรมก็รักษาศีล ๘ ด้วย ความก้าวหน้ามีอยู่เห็น ๆ เพียงแต่ว่าบางทีเราตั้งเป้าไกลเกินไป จะเอามรรคผลจะเอาพระนิพพานเลย เมื่อยังไม่ถึงก็รู้สึกท้อใจทำไมไม่ได้สักที ไม่รู้ว่าเราเข้าใกล้ไปตั้งเท่าไรแล้ว ต้องดูตัวอย่างชาวทิเบต เช้า ๆ ไปสวดมนต์ เดินทักษิณาวัตรรอบพระเจดีย์ ๑๐๘ รอบ ของเรารอบโบสถ์ ๑๐๘ รอบไหวไหม ? เขาทำอย่างนั้นกัน เดินสวดมนต์รอบพระเจดีย์ ๑๐๘ รอบ เสร็จแล้วก็ไปทำงาน เลิกงานตอนเย็นกลับมาเดินสวดอีก ๑๐๘ รอบ แล้วค่อยกลับบ้าน เดินไปมือหนึ่งหมุนกงล้อมนต์ไป หรือนับลูกประคำไป เขาว่านับลูกประคำเม็ดหนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หมุนกงล้อมนต์รอบหนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง ของเราเองก็ใช้วิธีนับลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกคู่หนึ่งก็ใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าออกสองคู่ก็ใกล้พระนิพพานไปสองก้าว ต้องทำให้ได้อย่างเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-08-2015 เมื่อ 18:03 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
"พม่า..เพื่อนบ้านเรือนเคียงของเรา ก่อนจะไปทำงานชาวบ้านก็เข้าวัด ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ อาตมาไปนั่งดู สาว ๆ แต่งตัวทันสมัยไปนั่งหลับตาภาวนาชักลูกประคำ อาตมาตั้งใจดูว่าเขาจะนั่งได้นานเท่าไร ปรากฏว่า ๒ ชั่วโมงผ่านไปแท็กซี่บอก “อาจารย์..เดี๋ยวไม่ได้ไปที่อื่นหรอก” อาตมาก็เลยต้องไปเอง จะดูว่าเขานั่งได้นานเท่าไร ๒ ชั่วโมงผ่านไปอาตมาต้องไปเอง สวดมนต์ทำวัตรเสร็จเขาก็ไปทำงาน เลิกงานก็เข้าวัด สวดมนต์ทำวัตรเสร็จค่อยกลับบ้าน
บ้านใครอยู่ไกลวัดใช้วิธีเปิดเทปเสียงสวดมนต์ โดยเฉพาะอภิธรรม ๗ บท เขาชอบกันจริง ๆ เดี๋ยวไว้มีโอกาสอาตมาจะทำวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง ใช้พระอภิธรรม ๗ บทนี่แหละ แต่เป็นบท “เหตุปัจจะโย” เขาเรียกว่า ๒๔ ปัจจ์ เพราะว่าลงท้ายด้วยคำว่าปัจจะโย ที่แปลว่าสาเหตุหรือปัจจัยทั้ง ๒๔ อย่างด้วยกัน ทางด้านพม่าเขาถือว่าช่วยคุ้มครองป้องกันได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทั้งกลางวันกลางคืน ปัดให้ตลอด เดี๋ยวมีโอกาสแล้วจะทำดู บ้านอยู่ไกลวัดเปิดเสียงสวดมนต์ทำวัตรในบ้าน ลูก ๆ ก่อนจะไปโรงเรียนมากราบแม่ แล้วไปกราบพ่อ ขอโอวาทว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เสร็จแล้วก็ไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนมากราบพ่อกราบแม่ แล้วค่อยไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลา ทำการบ้าน เสร็จแล้วก็มานั่งสวดมนต์ ไปโรงเรียนถึงเวลาสวดมนต์ก่อนแล้วค่อยร้องเพลงชาติ บ้านเราร้องเพลงชาติก่อนถึงสวดมนต์ แสดงว่าเรารักชาติมากกว่า ส่วนเขารักศาสนามากกว่า เด็กสวดมนต์ยาวมากเลย ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณ อิติปิ โสฯ ๓ จบประมาณนั้น อาตมาไปพม่าด้วยความตั้งใจว่าเรามาจากที่เจริญ ถ้ามีอะไรพอที่จะช่วยเหลือบอกกล่าวเกี่ยวกับเรื่องพุทธศาสนาก็จะช่วย พอไปเจอบ้านเขาอับอายขายหน้าจนพูดไม่ออก บ้านเขาทุกคนต้องไปวัด หนังพม่าทุกเรื่อง พระเอกนางเอกถ้ารักกันต้องไปไหว้พระ ต้องมีฉากเข้าวัด ไม่มีนี่เขาไม่ดู บางเรื่องก็มักง่าย เดินเรื่องในวัดไป ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เดี๋ยว ๆ ก็เข้าวัด เขาไปวัดเหมือนบ้านเราไปเดินห้าง ส่วนบ้านเราเดินห้างดีกว่า ไม่ไปวัดกันหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2015 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
"บ้านเขาไปวัดเหมือนบ้านเราไปเดินห้าง ก็เลยอับอายขายหน้าจนไม่รู้ว่าจะสอนอะไรเขา ได้แต่เก็บกลับมาให้บ้านเรา ถึงเวลาก็บอกกล่าวบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้รู้ว่า ที่อื่นเขาจริงจังกว่าเราเยอะ บ้านเราใส่บาตร พระก็เมตตาบอก โยมถอดรองเท้าใส่บาตรสิ โยมถามว่า จะดีหรือเจ้าคะ อ้าว..ดีสิ ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น โยมก็เลยถามอีกว่า แล้วท่านจะรับข้างไหนดีคะ ? โอ้พระเจ้า..!
ไปดูประเทศลาว ที่หลวงพระบาง เวลาเณรเดินมาร้อยกว่าสองร้อยรูป คนลาวคุกเข่าใส่บาตร ส่วนพวกเราเองถอดรองเท้ายังไม่ถอดเลย บอกให้ถอดรองเท้ายังถามว่าจะรับข้างไหน แต่คนลาวคุกเข่าใส่บาตร แล้วตกลงว่าเราจะสู้ใครได้ ? คนพม่านี่เดินเข้าประตูวัดก็ถอดรองเท้าแล้ว เดินถือไป ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวก็มีถุงให้ใบละ ๑๐ จั๊ต ใส่รองเท้าแล้วหิ้วไป อาตมาไปใหม่ ๆ ก็ เออ..พวกนี้ไม่มามือเปล่าเว้ย มีข้าวของมาถวายพระกันทุกคนเลย ถือมาคนละถุง ดูไปดูมา อ้าว..รองเท้านี่หว่า..! เขาถอดรองเท้าตั้งแต่ประตูวัด ของเรานะหรือ ? เมื่องานถวายพระเพลิงสมเด็จพระพี่นางฯ ข้าราชการทั้งอำเภอใส่รองเท้าเข้าโบสถ์ เอาธรรมเนียมที่ไหนมา ? ถ้ารู้ตัวโปรดอย่าทำ เป็นการสร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเองแท้ ๆ เลย สภาพจิตหยาบขนาดนั้น ขนาดพระพุทธเจ้านั่งอยู่ยังใส่รองเท้าเดินย่ำโครม ๆ เข้าไปได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-08-2015 เมื่อ 18:51 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
"อาตมาไปเทศน์ที่โรงเรียนนาคประสิทธิ์ เป็นโรงเรียนเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอสามพราน นักเรียนห้าพันกว่าคน พอนั่งลงก็บอกบรรดาครูบาอาจารย์กับนักเรียนว่า “ถ้าบอกอะไรแปลก ๆ สักอย่างหนึ่ง โปรดรับฟังและทำตามด้วยนะ ขอให้ถอดรองเท้าก่อน เพราะพระพุทธเจ้าห้ามพระเทศน์ให้คนใส่รองเท้าฟัง ถือว่าเขาไม่เคารพในธรรม” ทุกคนยอมถอดรองเท้าแต่โดยดี ก็แปลว่าสำคัญที่พระเราต้องนำ ต้องบอกให้เขารู้ ไม่ใช่ปล่อยให้ใส่รองเท้าเข้าโบสถ์
ขณะที่บ้านใกล้เรือนเคียงของเราไม่ใช่แค่ถอดรองเท้าใส่บาตร แต่คุกเข่าใส่บาตร ถอดรองเท้าตั้งแต่ปากทางเข้าวัด ของเขาเคร่งครัดกว่าเรามาก ส่วนคนไทยของเราไปถึงก็ใส่บาตรกันอีรุงตุงนังหมด พระในหลวงพระบางนี่เบื่อคนไทยสุด ๆ ใส่ทุกอย่างที่ขวางหน้า คนลาวเขาใส่แค่ข้าวเหนียว กับข้าวเขาใส่ปิ่นโตหิ้วไปส่งที่วัดทีหลัง ของเราเองมีทุกอย่างใส่ลงไป ชาเขียว น้ำเต้าหู้ กาแฟกระป๋อง เครื่องดื่มชูกำลัง มีอะไรใส่ไปตะบันราด คราวนี้พระเณรของเขาไม่เคย ถ้าเห็นถือของพะรุงพะรังมายืนค้ำหัวพระเณรนี่ มั่นใจได้เลยว่าคนไทย กลายเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว บ่นมากไปก็ไม่ดี ตั้งใจจะคุยเรื่องดี ๆ กลายเป็นนินทาคนไปได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-08-2015 เมื่อ 15:21 |
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องการปฏิบัติ พอรู้วิธีแล้ว ของยากก็เป็นของง่าย ค่อย ๆ ทำไป ในส่วนที่จะบอกกับญาติโยม ก็คือ ถ้าเราค่อย ๆ สะสมไปทีละเล็กละน้อยโดยที่ไม่ทิ้ง สิ่งต่าง ๆ ที่เราจะพึงรู้พึงเห็นก็เป็นเรื่องปกติ แต่รู้เห็นแล้วมักจะเสียมากกว่าดี
ที่ว่าเห็นแล้วมักจะเสียมากกว่าดี ก็เพราะว่าเราไม่รู้หนักไม่รู้เบา บางอย่างรู้แล้วพูดไม่ได้เราก็พูด บางอย่างรู้เป็นร้อย พูดได้ไม่เกินสิบ เราก็ไปพูดจนเต็มร้อย ก็แปลว่ากำลังจะหาเรื่องเดือดร้อนเอง ถ้าใช้คำพูดของหนังจีนกำลังภายในก็บอกว่า "ท่านกำลังฝืนลิขิตฟ้า เปิดเผยความลับของสวรรค์" ฉะนั้น..การรู้เห็นจึงเสียมากกว่า ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไรก็ยิ่งโดนหลอกได้ง่าย เพราะจะมีการทดสอบ แล้วเขาไม่บอกด้วยว่าเป็นการสอบ ถึงเวลาก็มาเลย คราวนี้ทุกคนจะมีจุดอ่อนตรงที่ว่า “เพราะเราเห็น..เราจึงเชื่อ” คนอื่นพูดอะไรก็ไม่ฟัง เพราะเห็นด้วยตัวเอง จุดนี้แหละที่จะโดนหลอกง่ายที่สุด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เห็นเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีดลากปืนไปช่วย จะโดนเขากระทืบตาย..เพราะเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นจริง ๆ ใช่ไหมว่าเขาไล่ยิงไล่ฟันกันมา ? ก็เห็นจริง แล้วเรื่องที่เราเห็นจริงไหม ? ไม่จริง เพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ ตรงจุดนี้แหละที่เขาจะหลอกเราได้ ในเมื่อเราเห็น เราเชื่อ คนอื่นเตือนก็จะไม่ฟัง มักจะโดนลากให้หลงทางไปได้ง่าย ดังนั้น บางสำนักเขาถึงมีนิพพานขาว นิพพานดำยุ่งไปหมด เรื่องพวกนี้ถ้าไม่รู้จักยั้งใจตนเอง มีแต่อธิโมกขศรัทธา คือน้อมใจเชื่ออย่างเดียว ก็จะเกิดผลเสียแก่ตนเอง แล้วไปติดอยู่แค่ตรงนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2015 เมื่อ 11:23 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
"หลายท่านถามว่า ทำไมอาตมาไม่สอนมโนมยิทธิ ? อาตมาก็บอกไปตรง ๆ ว่า ที่ไม่สอนเพราะกลัวลูกศิษย์จะติดอยู่แค่นั้น เนื่องจากว่ามโนมยิทธินั้น จริง ๆ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการให้ทุกคนรู้จักพระนิพพาน ไปพระนิพพานได้ แต่ปรากฏว่าพอได้มาแล้วมักจะไปใช้ผิด มักจะไปดูว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นกับเรา คนนี้เป็นอย่างนี้กับเรา แค่ดูอย่างเดียวแทนที่จะเข็ด ว่าทุกชาติเกิดมาก็มีแต่ความทุกข์อย่างนี้ กลับไม่เข็ด ดันไปฟื้นความสัมพันธ์ขึ้นมาใหม่ แทนที่จะรอดจากวัฏสงสาร ก็กอดคอกันจมตายทั้งพรวน
อาตมาโง่มาก่อนมาก่อนหลายปี ก็เลยมาคิดว่าขนาดอาจารย์ยังโง่อย่างนี้ ถ้าลูกศิษย์เรียนต่อจะโง่กว่าขนาดไหน จึงตัดใจไม่สอนดีกว่า แต่ถ้าใครเรียนสายนี้มาโดยตรงแล้วติดขัดตรงไหน ให้มาสอบถามได้ จะชี้แจงแถลงไขให้ฟังได้ทุกอย่าง คาดว่าในปัจจุบันนี้เรื่องมโนมยิทธิ อาตมาท้าชนได้ทุกรายในประเทศไทย เพราะตอนสมัยอยู่วัดท่าซุงเป็นกระบี่มือวางอันดับหนึ่ง มีการซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา ตอนบิณฑบาตก็ซ้อมดูว่า วันนี้ใครจะใส่บาตรเป็นคนแรก ผู้หญิงหรือผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีอะไร มาเป็นคณะหรือมาเดี่ยว สมัยที่ฝึกใหม่ ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านให้ไปนั่งข้างถนน ถ้าอยากรู้ให้ไปถามเจ๊นี้ (สุมาลี ตรีเลิศพานิช) นั่นเขาอยู่เป็นกองเชียร์ ถึงเวลาไปนั่งข้างถนน เสียงรถวิ่งมาให้กำหนดใจถามว่ารถสีอะไร ถ้าตอบถูกให้จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าตอบผิดไม่ต้องจำ ถ้าตอบถูกบ่อยเข้า ๆ สัก ๘ ใน ๑๐ คัน เราจะจำได้ว่าวางอารมณ์ใจอย่างไรจึงถูก ก็ให้เพิ่มรายละเอียดว่ารถมาสีอะไร คนนั่งมากี่คน ถ้าถูกสัก ๘ ใน ๑๐ ก็เพิ่มอีกว่า รถมาสีอะไร คนนั่งมากี่คน ผู้หญิงเท่าไร ผู้ชายเท่าไร แล้วต่อไปก็ใส่เสื้อผ้าสีอะไรบ้าง พริบตาเดียวเราจะรู้ครบถ้วนแต่อธิบายนานมาก เพราะรายละเอียดเราจะรู้ครบ รู้มากจริง ๆ ท้ายสุดกระทั่งหมายเลขทะเบียนอะไรก็บอกได้ แล้วโปรดทราบ อย่าให้มีกองเชียร์อย่างอาตมา เพราะว่าพอตอบถูกจะมีเสียงเฮแล้วก็ปรบมือชอบใจกัน ถ้าสมาธิไม่ดีก็พังหมด ในเมื่อฝึกมาลักษณะอย่างนี้ เลยทำให้แม่นในเรื่องของมโนมยิทธิ แต่ที่ต้องเลิกไปเพราะว่าโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสั่งห้าม ท่านห้ามอยู่ ๒ เรื่องคือ ห้ามให้หวย เพราะว่าไปเผลอให้เขาถูกกันหลายงวด แล้วอีกเรื่องหนึ่งก็คือคนตายแล้วไปไหน ท่านว่าอย่าบอก..เพราะว่ามีผลเสียมากกว่าผลดี ในมหากัมมวิภังคสูตร พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำดีในปัจจุบันไม่แน่ว่าจะไปดี บุคคลที่ทำชั่วในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไปไม่ดีแน่นอน บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำชั่วในปัจจุบัน ไม่แน่ว่าจะไปชั่ว บุคคลที่ทำดีในอดีต ทำดีในปัจจุบัน ไปดีแน่นอน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2015 เมื่อ 11:26 |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
"คราวนี้เราดูแต่ปัจจุบันว่าเขาทำชั่วมาตลอด แต่อดีตเขาเคยทำดีไว้อย่างมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พอถึงเวลาความดีมาสนองก็ไปรับผลความดีก่อน คนก็จะเห็นผิดเป็นชอบ เหมือนกับขี้เมาที่ไปนอนอยู่ใต้ธรรมาสน์ หลับไม่รู้เรื่องมาตื่นเอาตอนพระเทศน์ว่า “การฆ่าสัตว์ก็ดี การลักทรัพย์ก็ดี การประพฤติผิดในกามก็ดี การดื่มสุราเมรัยก็ดี” เจ้านั่นยกมือสาธุแล้วไปเลย ก็ได้ยินว่าดีทุกอย่าง พระท่านยังไม่ทันจะสรุปเลยว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะพาให้ตกนรก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2015 เมื่อ 11:27 |
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
"เรื่องพวกนี้ก็เลยทำให้อาตมาเห็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าคนเรามักจะหักห้ามใจไม่เป็น ในเมื่อหักห้ามใจไม่เป็น ถึงเวลารู้ก็มักจะทุ่มเทเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเพื่อนสหธรรมิกรายหนึ่ง รู้แล้วทุ่มใจเชื่อเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถึงขนาดอาตมาต้องจับไปส่งเข้าโรงพยาบาลเลย แต่โรงพยาบาลก็เอาไม่อยู่
เนื่องจากว่าสมัยที่อยู่วัด ถ้าไม่ใช่อาตมาแล้วไม่มีใครจับเขาได้ เขาหนีเข้าไปขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ ญาติพังประตูเข้าไป เขาเดินทะลุข้างฝาออกไปเฉยเลย แล้วญาติจะทะลุกำแพงตามไปได้อย่างไร ? อาตมาจับตัวได้เรียบร้อย พอส่งไปถึงมือหมอ กำชับอย่างดีเลย “หมอ..ระวังสุดชีวิตเลยนะ เผลอเมื่อไรเขาจะหนีทันที” หมอบอกว่า “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้ที่ไหนเขาเก่งกว่าผมเลยครับ” อีกครึ่งชั่วโมงโทรมา “อาจารย์ครับ..เขาหนีไปแล้วครับ” ประตู ๔-๕ ชั้นไม่มีความหมายเลย เพราะเขาสามารถเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้ทุกชั้น อาตมาไปดูสิ่งที่เขาบันทึกเอาไว้ จึงเห็นว่ามารหลอกวิธีไหน เช่นว่า “วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ วันนี้พระมาบอกว่าวาระแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว ให้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติให้มากไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งทุ่มเทมากเท่าไรโอกาสที่จะได้มรรคผลก็มีมากเท่านั้น” มีอะไรผิดไหม ? ถ้าเผลอจะคิดว่าไม่ผิดเลย ของผิดอยู่ตอนท้าย ที่ว่าทุ่มเทเท่าไรได้ผลเท่านั้น พ่อเจ้าประคุณก็เลยไม่ยอมนอน ๒ เดือนเต็ม ๆ เดินจงกรมภาวนาอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่ทรงฌานได้คงตายไปนานแล้ว นี่คือการเห็นสหธรรมิกโดนหลอกขนาดนั้น แล้วทุกวันนี้เขาก็ไม่ยอมโผล่หน้ามาหาอาตมาอีกเลย เพราะกลัวโดนจับไปส่งโรงพยาบาล เป็นที่น่าเสียดายเหมือนกัน นั่นคือลักษณะของการเห็นแล้วเชื่อ เชื่อโดยไม่ยั้งใจไว้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2015 เมื่อ 09:18 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
"สมัยอยู่วัดท่าซุง ถ้ามีพวก "เรือเกลือ" ก็คือ พวกมาสายพุทธภูมิ ถ้าหลวงพี่อาจินต์เอาไม่อยู่ ก็จะไปตามหลวงตาวัชรชัยมาช่วย ถ้าหลวงพี่อาจินต์ ทั้งหลวงตาวัชรชัยเอาไม่อยู่ ก็จะมาตามอาตมาไปช่วย ปรากฏว่ารายล่าสุดหลวงพี่อาจินต์มาถึงก็บอก “เล็ก..ทิ้งเวรพักหนึ่งสิ มีเรือเกลือมาอีกแล้ว” ถามว่าแล้วหลวงตาละครับ ? “หลวงตาเข็นมา ๒ วันแล้ว ไม่ไหวว่ะ ไปช่วยกันหน่อย” อาตมาก็โดดขึ้นรถไป ใช้เวลาสอนอยู่ ๒ ชั่วโมงครึ่งไปได้แค่พระจุฬามณี..! เพราะเขาเอารายละเอียดทุกขั้นตอน ขนาดเอาบันไดทีละขั้น คุณรู้ไหมว่าจุฬามณีบันไดกี่หมื่นขั้น ?
ปกติมโนมยิทธิแค่กำหนดใจนึกก็ถึงแล้ว เขาไม่ยอม เขาค่อย ๆ ไป “ตอนนี้เรากำลังออกจากโลกมนุษย์ไปสวรรค์” เขาถาม “เดี๋ยว ๆ ไปทางไหน ?” “กำหนดทิศประมาณทิศตะวันออกของโลก” ก็ค่อย ๆ ไป มารดาท่านเถอะ..! เหนื่อยฉิบหา..เลย เขาจะเอารายละเอียดมาก พวกพุทธภูมิเขาไม่เหมือนพวกเรา ของพวกเราแค่เป็นสาวกภูมิ เราขึ้นบันไดบางทีมีกี่ขั้นยังไม่รู้เลย มีหน้าที่ขึ้นอย่างเดียว แต่พุทธภูมินี่เขาเอารายละเอียด บันไดกว้างยาวเท่าไร สร้างจากวัสดุอะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง ถึงขนาดเขาพร้อมที่จะสร้างบันไดเอง ฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับครูบาอาจารย์มาก ถึงได้บอกว่าถ้าอาตมาที่เป็นมือวางอันดับ ๑ ของวัดท่าซุงยังไปไม่รอด โดนเขาหลอกอยู่หลายปี พวกเราถ้าเรียนรู้แล้วก็โดนหลอกไปเรื่อย ๆ แล้วกัน อาตมาไม่อยากซ้ำเติมด้วยการสอนพวกเรา ส่วนหลักการปฏิบัติที่ให้พวกเราเอาไว้ ตอนเช้า ๆ เวลามีไม่พอ ถ้าจะต้องการให้ปฏิบัติแบบละเอียดครบชุดจริง ๆ ต้องให้เวลาประมาณชั่วโมงถึงชั่วโมงเศษ แต่ว่าชั่วโมงเศษนั้นถ้าคนที่เคยอ่านตำรามาบ้าง บางทีช็อกตาค้าง เพราะอาตมาใส่กรรมฐาน ๔๐ กองไว้ครบเลย เกิดจากว่าเวลาทำไปแล้วเห็นว่ากรรมฐาน ๔๐ กองมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันหมด ญาติโยมอาจจะคิดว่า “มาครั้งนี้ก็อย่างนี้ มาอีกครั้งก็อย่างนี้ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย” ที่เปลี่ยนแปลงคือตัวคุณเองไม่ใช่อาตมา ทำไปแล้วกาย วาจา ใจดีขึ้นไหม ? ทำแล้วสมาธิเราดีขึ้นไหม ? ทำแล้วกดกิเลสได้นานกว่าเดิมไหม ? ทำแล้วกิเลสลดน้อยลงไหม ? ทำแล้วหมดกิเลสอย่างไรบ้าง ? อยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ใช่อยู่ที่คนสอน แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา แม้ตถาคตก็เป็นได้แต่เพียงผู้บอก ส่วนเราจะทำหรือไม่ทำไม่ใช่หน้าที่ของพระท่านแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นอาตมาก็มีหน้าที่ตักน้ำรดหัวตอคอนกรีต ไม่หวังว่าจะงอกหรอก เอาแค่เปียก ๆ ก็พอ แต่ถ้าตอคอนกรีตนั้นเป็นตอเสาไฟฟ้าแล้วดันมีโคมอยู่ เปิดสวิทซ์เมื่อไรก็สว่างเองแหละ เอาเป็นว่าถ้ามีอารมณ์ก็จะลองนำยาว ๆ ดูสักที ถ้าไม่ขาดใจตายกันไปก่อน ก็จะได้หลักปฏิบัติเอาไปใช้ได้ตลอดชีวิตเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-08-2015 เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมของเราครั้งนี้ เรียกว่าไม่ค่อยจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย เนื่องเพราะว่าวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษาเราก็มีกิจกรรมอื่น แต่ถ้าท่านรู้วิธีการปฏิบัติธรรมแล้ว เราก็สามารถจะทำได้อยู่ทุกอิริยาบถและทุกเวลา สิ่งที่ได้ไปจากที่นี่ ถ้าจดจำเอาไว้ได้ ให้ไปฝึกซักซ้อมบ่อย ๆ ท่านใดต้องการฤทธิ์ต้องการอภิญญา ให้ใส่ไปให้เต็มที่เลย ตามแบบที่อาตมาสอนไปเมื่อครู่นี้ ถ้าท่านสามารถทำได้อารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไร ไม่ใช่อภิญญาเฉย ๆ แม้แต่ปฏิสัมภิทาญาณก็สามารถเข้าถึงได้ เนื่องเพราะว่าที่สอนนั้นก็คือกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองเลย
ส่วนที่ยากที่อาตมาฝึกมาก็คือพรหมวิหาร ๔ และอรูปฌาน ๔ ก็แทรกอยู่ในนั้นแล้ว พรหมวิหารอาจจะชัดเจน แต่อรูปฌานให้ไปคลำดูว่าอาตมายัดไว้ตรงไหน ใครหาเจอมารับรางวัลได้..! ในส่วนนี้ถ้าใครสามารถซักซ้อมและทำเอาไว้บ่อย ๆ กำลังใจจะทรงตัวมั่นคงได้เร็ว การแผ่เมตตาอย่าลืมเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นการปฏิบัติของเราจะรู้สึกว่าแห้งแล้ง ไม่มีอะไรให้น่ากระตือรือร้น แต่ถ้าหากว่าเราแผ่เมตตาเป็นปกติ จะรู้สึกจิตใจชุ่มชื่นเบิกบาน ทำเท่าไรก็ไม่เบื่อไม่หน่าย โดยเฉพาะว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นต้น สิ่งที่เราทำควรจะมีคุณภาพที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะพึงทำได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เราบอกว่าเราถวายพระราชกุศลแด่พระองค์ท่าน ส่วนที่ถวายไปก็คงจะขาด ๆ เกิน ๆ เกินคงจะหายาก มีแต่ขาดมากกว่า ท่านใดที่ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ยังไม่พอใจ กลับไปบ้านโปรดอย่าทิ้ง อย่ารอจนมีการปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยมาซักซ้อมปฏิบัติกัน ถ้ามัวแต่รอลักษณะอย่างนั้น งวดต่อไปกว่าที่จะปฏิบัติได้ก็เดือนกันยายน กิเลสจะฟัดเราตายเสียก่อน การปฏิบัติธรรมต้องทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาทีได้ยิ่งดี ถ้าถามว่าทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ ? อาตมายืนยันว่าได้ ถ้าสมาธิของเราทรงตัว สติจะทรงตัวโดยอัตโนมัติ สิ่งใดไม่ดีเข้ามาสติจะแยกแยะ สมาธิจะหยุดยั้งและปัญญาจะขับไล่ออกไปเอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-08-2015 เมื่อ 18:26 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"ทันทีที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สติจะรับรู้ ถ้าไม่ดีก็ยั้งตนไว้โดยอาศัยกำลังสมาธิเป็นตัวห้าม แล้วก็กดกิเลสเอาไว้ หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของปัญญาว่าจะทำอย่างไร จะฆ่าให้ตายหรือว่าจะเมตตาปล่อยไปก็แล้วแต่เราจะกระทำกัน
ขอโมทนากับทุกท่านที่ได้ปฏิบัติในวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าจริง ๆ แล้วกิเลสเก่งมาก หลอกให้เราไปห้องน้ำได้ทุกครึ่งชั่วโมง แต่พอปฏิบัติยาว ๆ เข้าจริง ๆ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ก็แสดงว่าที่ผ่านมานั้นพวกเราโดนกิเลสหลอก การนั่งกรรมฐานของเราก็เหมือนกัน เรานั่งไปสักพักหนึ่งก็โอดโอยจะตายแล้ว..เลิกเถอะ ขอให้ลองฝืนดูหน่อย ถ้าฝืนแล้วจะขาดใจลงไปจริง ๆ แล้วค่อยเลิก แต่ถ้าฝืนแล้วไปต่อได้ แสดงว่าเมื่อครู่กิเลสเรียกร้อง ไม่ใช่เรา ถึงเวลากิเลสเรียกร้องอะไร เราก็ตามใจกิเลสทุกอย่าง เพราะกิเลสอาศัยอยู่กับเรา เป็นส่วนหนึ่งของเรา พอถึงเวลากิเลสบอกว่าจะตายแล้ว เราก็ไปหลงประเด็นว่าที่จะตายคือเรา แล้วก็ไปหลงเชื่อ ปล่อยให้กิเลสรอดไปทุกที ถ้าอย่างนี้โอกาสที่เราจะก้าวหน้าในการปฏิบัติก็ไม่มี นักปฏิบัติจึงจำเป็นที่จะต้องเด็ดขาด แล้วก็เอาจริงเอาจัง ไม่เช่นนั้นมัวแต่รออยู่ว่าเมื่อไรจะมีการปฏิบัติธรรมแล้วเราค่อยไปเข้าร่วมปฏิบัติ ก็กลายเป็นเด็กหัดใหม่ทุกที ไม่มีอะไรที่เป็นของเก่าเหลือให้ชื่นใจได้เลย หัดพิจารณาแบบพระบ้าง วันคืนล่วงไป ๆ เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ? คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ? เพื่อจะได้ไม่เก้อเขินเวลาเพื่อนสหธรรมิกไต่ถาม แล้วถ้าคุณวิเศษมีก็ระมัดระวังด้วย เผลอเมื่อไรจะโดนกิเลสหลอกอีก จึงขอฝากเอาไว้กับพวกเราว่า การปฏิบัติจำเป็นจะต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ทำแล้วอย่าทิ้ง ถ้าทิ้งก็ต้องเริ่มต้นใหม่ทุกที กลายเป็นคนขยันแต่ไม่มีผลงาน ก็จะน่าสงสารมากเป็นพิเศษ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2015 เมื่อ 16:20 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
"ในสิ่งที่เราทำ ขอย้ำว่าต้องจริงจังและสม่ำเสมอ ทำแล้วต้องหวังผล ถ้าทำแล้วไม่รักษากำลังใจไว้ ถึงเวลาก็ต้องเริ่มต้นใหม่ แบบนี้เสียผู้เสียคนมาเยอะแล้ว หลายท่านเคยปฏิบัติดี ๆ แล้วปล่อยให้กำลังใจเสียไป กู้เท่าไรก็เอาคืนมาไม่ได้ ที่กู้เท่าไรเอาคืนมาไม่ได้เพราะเราไปอยากได้เท่าเดิม การที่เราปฏิบัติแล้วอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้กำลังใจไม่มั่นคง จัดอยู่ในส่วนของอุทธัจจะกุกกุจจะ ก็คือความฟุ้งซ่าน ในเมื่อยังฟุ้งซ่าน นิวรณ์ยังกินอยู่ โอกาสที่จะเข้าถึงอย่างเดิมก็ยาก
ฉะนั้น..ต่อไปให้เราตั้งหน้าตั้งตาภาวนา ส่วนจะได้หรือไม่ได้อย่างไรช่างมัน ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ก็จะเข้าถึงกันเร็ว ปกติแล้วหลังการปฏิบัติธรรมของเราจะเลิกรับศีล ๘ หันมารับศีล ๕ แทน แต่อาตมาขี้เกียจให้ เพราะว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่าศีล ๕ คืออะไร ให้ตั้งใจทำไปเลย การสมาทานศีลคือไปขอศีลจากพระ พระท่านก็จะบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง แล้วเราก็นำไปปฏิบัติ ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าศีลมีอะไร ก็ไม่ต้องเสียเวลามาขอ ให้ปฏิบัติไปได้เลย ถ้าใครรักษาศีล ๘ ไว้ได้ ก็เป็นการดี เพราะจะสนับสนุนการปฏิบัติของเราให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เนื่องจากตัดความห่วงลงไปได้มาก แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ อย่างน้อยศีล ๕ จะต้องมี เพื่อที่เราจะได้มีพื้นฐานของความดีที่จะช่วยสนับสนุน อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่าแย่จริง ๆ ตายไปก็ไม่หลุดจากความเป็นมนุษย์ คือศีล ๕ เขาเรียก มนุษยธรรม คือธรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเป็น หิริ โอตตัปปะ เรียกว่า เทวธรรม คือธรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา ถ้าพรหมวิหาร ๔ เรียกว่า พรหมธรรม คือธรรมเป็นเครื่องอาศัยของพรหม ฉะนั้น..ในเมื่อเรารู้แล้วว่าจะเกิดเป็นคนได้ต้องมีอะไร ก็ปฏิบัติตามกติกานั้นเป็นอย่างน้อย แต่ถ้าสามารถปฏิบัติตามเทวธรรม พรหมธรรม ตลอดจนกระทั่งหลักธรรมที่ทำให้เราหลุดพ้นจากกองทุกข์ได้ก็ยิ่งเป็นการดี พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. โอวาทช่วงงานบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมวันอาสาฬหบูชา วันที่ ๓๐ กรกฎาคม – ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-08-2015 เมื่อ 14:48 |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|