|
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
คุยไปคุยมา ครูทนไม่ได้ถามว่า "อาจารย์..ถามจริง ๆ เถอะ เห็นผมกินเหล้า จะไม่ห้ามบ้างหรืออย่างไร ?" อาตมภาพบอกเขาไปว่า "อ้าว..ตัวก็ตัวของมึง เงินก็เงินของมึง อยากกินก็กินไปสิ กูจะไปห้ามทำไม..?!" แกบอกว่า "พระอื่นแค่ได้ยินว่าผมกินเหล้านี่ โอ๊ย..เทศนาเป็นชั่วโมง จะให้เลิกให้ได้ มีแต่อาจารย์นี่แหละที่นั่งคุยกับผม ผมคุยไปดื่มไปครึ่งกลมแล้ว อาจารย์ยังไม่บ่นสักคำ..!"
อาตมาก็บอกว่า "เรื่องของสุรา เรื่องของยาเสพติด ถ้าเจ้าตัวยังไม่เห็นโทษและคิดเลิกด้วยตนเองแล้ว อาตมาพูดให้ปากฉีกถึงหู โยมก็ไม่เลิกหรอก แล้วจะพูดไปให้เหนื่อยทำไม ?" แกบอกว่า "จริงครับ" หลังจากนั้นหลายปีก็เลิกได้นะ เพราะว่าตับแข็ง ไปโรงพยาบาลหมอบอกว่า "ถ้ากินต่อตายแน่..!" เลยเลิกได้ นี่ถ้าไม่มีความตายมาเกี่ยวก็คงไม่เลิกหรอก แล้วไปนึกถึงพี่ชายคนโตของอาตมภาพเหมือนกัน ตายตอนอายุ ๙๕ ปี พี่ชายคนนี้ตั้งแต่วัยรุ่นก็กินเหล้าแทนน้ำเลย ถึงเวลาคนอื่นออกไร่ออกนาไปทำงาน เขาหิ้วน้ำกันไป พี่ชายอาตมภาพหิ้วแกลลอนใส่เหล้าเถื่อนไป ดื่มแทนน้ำทั้งวันเลย..! อาตมาพอเรียนหนังสือรู้ภาษา สมัยโน้นเข้าเรียนตอน ๘ ขวบ ตอนเย็น ๆ ก็มีหน้าที่เอาจักรยานไปรับแกกลับจากตลาด แกก็นั่งโงกเงก ๆ อยู่ท้ายจักรยาน อาตมาก็ปั่นไปเรื่อย ไกลหลายกิโลฯ อยู่ สักพักหนึ่งก็ โครม..หล่นลงไปกองกับพื้น..! อาตมภาพก็ต้องหยุดจักรยาน ปัดขาตั้งเรียบร้อย พยุงแกขึ้นมานั่งใหม่แล้วก็ปั่นต่อ อีกสักพักก็ โครม..ลงไปกองกับพื้นอีกแล้ว..! สักอายุ ๘๐ กว่าปี ไปเยี่ยมแก ปรากฏว่าเลิกเหล้าได้แล้ว ตับแข็ง..หมอไม่ให้กินต่อ หมอบอกว่า "ถ้าอยากตายก็กินไปเลย..!" เหมือนกันเลย ก็คือถ้าไม่มีเรื่องตายเข้ามานี่ห้ามไม่ได้หรอก แล้วอัศจรรย์มากว่าแกอยู่มาได้อย่างไร กินเหล้าแทนน้ำมาตั้งแต่วัยรุ่น อยู่มาได้จนอายุ ๙๕ ปี ถ้าแกไม่กินเหล้าไม่อยู่เป็นร้อยปีหรือ ? เรื่องพวกนี้เราบอกกันไม่ได้นะ บอกคนอื่นว่ากินเหล้าไม่ดี ไม่ดีที่ไหน ดูอาแปะแกอยู่ถึง ๙๕ ปี แล้วถ้าบอกว่าสูบบุหรี่ไม่ดี ลองไปถามล้อต๊อกดูสิ ล้อต๊อกสูบวันละสองซองครึ่ง อยู่จนอายุ ๗๙ ปี ยังมีลูกเลย ตายตอนอายุเกือบ ๙๐ ปี เด็กรุ่นหลังแทบจะไม่รู้จักล้อต๊อกกันแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-08-2023 เมื่อ 00:34 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ที่ว่ามาถึงตรงนี้ก็เพราะว่า เรื่องของการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง เราต้องมีจิตสำนึกของตนเอง อย่างที่เมื่อวานเล่าไปว่า ถามโยมคนหนึ่งว่า "โยม..เมื่อไหร่จะเข้าวัด ?" โยมบอกว่า "ลูกยังเล็กเจ้าค่ะ" พอลูกโตเข้าโรงเรียนได้ก็ถามใหม่ "โยม..เมื่อไรจะเข้าวัดเสียที ?" โยมตอบว่า "กำลังเลี้ยงหลานเจ้าค่ะ" อย่างนี้เอ็งไม่ต้องเข้าหรอก รอเขาหามเข้ามาเถอะ..! ตอนนั้นมาก็แบมือรอรดน้ำอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว..!
เรื่องบุญเรื่องกุศลเป็นเรื่องที่พวกเราต้องทำเอง ทำแทนกันไม่ได้ ทำให้ได้ แต่ทำแทนกันไม่ได้ คำว่าทำให้ได้นี่ก็คือ ตอนที่เราตายแล้วคนอื่นทำให้ แต่คราวนี้มีปัญหาที่ว่า อันดับแรก..เขาจะทำให้หรือเปล่า ? อันดับที่สอง..เขาทำถูกวิธีหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง มาบอกมากล่าวไว้ พวกเราก็ยังไม่รู้เลยว่าการถวายสังฆทานจำเป็นต้องมีอะไรบ้าง ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ผีกี่ราย ๆ มาขอบุญให้ถวายสังฆทานให้ อันดับแรก ต้องมีพระพุทธรูปอย่างน้อยหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป เพราะว่าจะทำให้มีรัศมีกายสว่างมาก เทวดา นางฟ้า พรหม ตลอดจนพระบนนิพพาน เขาวัดกันด้วยรัศมีกาย ใครมีศักดานุภาพมากกว่าก็มีรัศมีสว่างกว่า อันดับที่สอง ขอให้มีผ้าอย่างน้อยกว้างคืบยาวคืบ ผ้ากว้างคืบยาวคืบภาษาบาลีเขาเรียกว่าจีวร หรือถ้ามีสตางค์มากก็ซื้อสบงสักผืนก็ได้ ถ้ามีมากกว่านั้นก็ถวายผ้าไตรทั้งชุดไปเลย อันดับที่สาม ขออาหาร จะเป็นอาหารสดก็ได้ อาหารแห้งก็ได้ ขอให้เป็นอาหาร จะสด จะแห้ง จะน้ำ อะไรได้ทั้งหมด จะทำให้เขามีร่างกายเป็นทิพย์ ไม่ต้องเสียเวลากิน..ก็คืออิ่มบุญ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2023 เมื่อ 03:06 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
เขาขอหลัก ๆ แค่นี้แหละ แต่หลวงปู่มหาอำพัน ครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่งของอาตมภาพ ท่านไปอ่านในพระธรรมบท ที่ยักษ์ได้รับพรจากท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นใหญ่ใต้ต้นไทรต้นหนึ่ง คนหรือสัตว์ที่เข้าไปในร่มเงาของไทรต้นนั้น ยักษ์สามารถจับกินได้ อันนี้ไม่ใช่ท้าวเวสสุวรรณท่านให้พรส่งเดชนะ คนหรือสัตว์ที่วาระกรรมมาไม่ถึง ก็จะไม่เข้าไปที่ตรงนั้น
ปรากฏว่าตรงนั้นเป็นทางผ่านระหว่างเมืองต่อเมือง พอยักษ์กินคนหนัก ๆ เข้า ก็ไม่มีใครเดินทางนั้น การค้าระหว่างเมืองก็สะดุดลง คนที่เดือดร้อนที่สุดคือพระเจ้าแผ่นดิน เพราะว่าเก็บภาษีการค้าระหว่างเมืองได้น้อยลง พระเจ้าแผ่นดินก็เลยประกาศหาคน ถ้าใครไปจัดการกับยักษ์ได้จะให้รางวัล พระโพธิสัตว์ท่านเป็นคนจน อยากได้รางวัลมาเลี้ยงดูแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยไปอาสา เมื่อถูกถามว่า "จะเอาอาวุธอะไรบ้าง ?" พระโพธิสัตว์ตอบว่า "อาวุธไม่ต้อง ขอเพียงรองเท้าหนึ่งคู่ กับร่มหนึ่งคัน" แล้วก็ใส่รองเท้าอย่างเท่เลย กางร่มเดินออกไป ยักษ์ก็งง ระยะนี้ไม่มีใครมาเพราะเขารู้ข่าวกันหมด แต่ไอ้นี่ดันเดินดุ่ย ๆ มาเฉยเลย..! พอพระโพธิสัตว์ไปถึง ยักษ์ก็โผล่ออกมาตะคอกว่า "เจ้าเข้ามาอยู่ในร่มเงาต้นไทรนี้ อยู่ในอำนาจของข้าแล้ว ข้าจะกินเจ้า" พระโพธิสัตว์บอกว่า "แกไม่มีสิทธิ์กินข้าหรอก" ยักษ์ถามว่า "ทำไม ?" พระโพธิสัตว์บอกว่า "ข้าอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไทรที่ไหน ข้าถือร่มอยู่ อยู่ใต้เงาของร่มคันนี้" ยักษ์บอก "ถ้าแกเหยียบพื้นดินนี่อยู่ ข้าก็กินแกได้" พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า "ข้าเหยียบอยู่บนรองเท้า" ยักษ์เห็นว่ามีปัญญาก็เลยยอม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2023 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
พระโพธิสัตว์ถามยักษ์ว่า "อยากจะพ้นจากสภาพนี้ไหม ?"
ยักษ์บอกว่า "ถ้าไปจากที่นี่ก็จะไม่มีอะไรกิน หรือถ้าหากว่าต้องไปไล่ล่าเองก็ลำบากมาก" พระโพธิสัตว์บอกว่า "ไม่ต้อง อยู่เฉย ๆ ก็มีคนเอามาให้กิน" ยักษ์ก็ตกลง พระโพธิสัตว์ก็เลยชวนยักษ์ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน บอกพระเจ้าแผ่นดินว่า "ต้องการทหารเฝ้าปากทางเข้าเมืองไหม ? รับประกันได้ คนเดียวเท่านั้น แค่กินเยอะหน่อย แต่ว่าใช้การได้เหมือนทหารทั้งกองทัพเลย" พระเจ้าแผ่นดินก็ตกลง สั่งคนเอาเสบียงไปส่งให้ยักษ์ทุกวัน ก็แค่กินมากกว่าคนธรรมดา ๓-๔ เท่าเท่านั้น คราวนี้ข้าศึกเข้ามาไม่ได้ ไม่ว่าจะขี่ช้างขี่ม้าอะไรมา ยักษ์โผล่หน้าไปก็วิ่งกันป่าราบหมด กลายเป็นเมืองที่ไม่มีข้าศึก หลวงปู่มหาอำพันท่านติดใจตรงนี้ก็เลยถวายร่มกับรองเท้าไว้ในชุดสังฆทานด้วย สรุปว่าสังฆทานต้องมี อันดับแรก พระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วขึ้นไป อันดับสอง ผ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป อันดับสาม อาหารสดหรือแห้งก็ได้ ส่วนรองเท้ากับร่มไม่ต้องมีก็ได้ แต่หลวงปู่มหาอำพันท่านถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ปลอดภัย ท่านก็เลยทำไปด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2023 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
เมื่อครู่พูดถึงว่า "ถ้าเราไม่ทำเอง แล้วคนอื่นจะทำให้ไหม ?"
แล้ว "ถ้าเขาทำให้ จะทำถูกหรือเปล่า ?" ประการต่อไป "ทำให้ ทำถูก แล้วเราจะได้เมื่อไร ?" ถ้าเขาไม่อิทัง ปุญญะพลังฯ นี่เราอดเลยนะ ซื้อของไว้เต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไม่ส่ง "เคอรี่" ให้ ไม่จ่าหน้าถึงเรา แล้วเราจะได้เมื่อไร ? เพราะบางคนทำแล้วอุทิศส่วนกุศลไม่เป็น แบบพระเจ้าพิมพิสาร ญาติที่เป็นเปรตมาตั้ง ๙๑ กัปต้องไปทวง ร้องกรี๊ด ๆ พระเจ้าพิมพิสารตกใจ จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญแล้วต้องอุทิศส่วนกุศล ธรรมเนียมพราหมณ์ถึงเวลาจะให้อะไรใครก็เอาน้ำรดมือคนนั้น เป็นสัญญาณว่าฉันให้แกแล้ว คนที่โดนน้ำรดมือก็ยกเอาของอะไรที่เขาให้นั้นไปได้ คราวนี้พอจะให้ส่วนกุศล ผีอยู่ไหนหว่า ? มือก็ไม่ยื่นมา จะเอาน้ำรดใคร ? พระเจ้าพิมพิสารก็เลยรดมือตัวเอง อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย ขอผลบุญนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติของข้าพเจ้าจงมีความสุข พวกเราก็ถือเป็นรูปแบบกรวดน้ำมาจนถึงทุกวันนี้ พอถึงเวลาก็เอาน้ำรดมือ ซึ่งไม่ต้องรดก็ได้ เราจะอุทิศส่วนกุศลให้ใครไม่ต้องทำใหม่ด้วยนะ ที่นั่งอยู่ตรงนี้บุญล้นกันแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ยังใช้บุญไม่เป็น ก็เลยยังไปนิพพานไม่ได้สักที เพราะฉะนั้น..จะอุทิศส่วนกุศลให้ใคร ตั้งใจไปเลยว่า "ผลบุญที่ข้าพเจ้าสร้างมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ จะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนาก็ตาม ขอเธอ..เธอคือใคร ? ถ้าได้ยินแต่เสียงก็..ผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้น ถ้าได้กลิ่นก็..ผู้เป็นเจ้าของกลิ่นนั้น ถ้าเห็นแต่เงาแว่บ ๆ ก็..เจ้าของเงานั้น แต่ถ้ารู้ชื่อรู้นามสกุล ก็ออกชื่อออกนามสกุลไปเลย ขอเธอจงโมทนา เราได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด" คราวนี้รู้หรือยังว่ารอคนอื่นทำนั้นแย่แค่ไหน ? ทำให้หรือเปล่า ? ทำถูกหรือเปล่า ? ทำถูกแล้วอนุญาตให้เรารับหรือเปล่า ? ดังนั้น..จงทำเองเถอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-07-2024 เมื่อ 02:31 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
การทำบุญของเรา
ทาน อานิสงส์ทำให้เกิดกี่ชาติก็จะสมบูรณ์พูนสุข มีโภคทรัพย์มาก รักษาศีล เกิดมามีรูปสวย มีจิตใจดีงาม มีชื่อเสียงเกียรติคุณ เป็นที่เคารพนับถือของคนอื่น เจริญภาวนา จะเป็นผู้มีปัญญามาก อานิสงส์ไปคนละทิศคนละทางเลย ก็แปลว่าเราควรที่จะทำทั้งสามอย่าง มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารีบรักษา มีโอกาสภาวนาเรารีบปฏิบัติ ถ้าอย่างนี้ถือว่าประกันความเสี่ยง เพราะว่าหนทางในวัฏสงสารนี้ยาวไกลจนไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย หลวงปู่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (ญาโณทยมหาเถร) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ท่านกล่าวเอาไว้ว่า "บุญเป็นเรื่องสำคัญมาก ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตราบนั้นเราต้องเร่งสร้างบุญให้มาก เพราะว่าบุญส่งผลให้ดีในส่วนเดียวเท่านั้น" ทำดีได้รับผลดีแน่นอน เพียงแต่ของเรานั้นดีไม่ทั่วแถมยังชั่วไม่หมด ก็เลยดีบ้างชั่วบ้างอย่างทุกวันนี้ เพราะว่าบุญบาปจะมาสนองกันตามวาระที่เราทำ มาตามเวลาบ้าง มาตามความหนักเบาบ้าง มาแบบยักย้ายถ่ายเทบ้าง มีอย่างเดียวที่ไม่ให้ผลเลยก็คืออโหสิกรรม จบแล้วจบเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2023 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
พวกเรามานั่งอยู่ตรงนี้ก็เป็นการสร้างสมบุญกุศลให้ตัวเอง โดยเฉพาะการเปิดดวงตาคือปัญญา ให้รู้หลักการวิธีการว่า เราจะต้องดำเนินชีวิตอย่างไรให้อยู่ในโลกนี้แบบไม่ลำบากมากนัก แล้วขณะเดียวกันให้หนทางในวัฏสงสารของเรารวบรัดตัดสั้นที่สุด พ้นทุกข์ชาตินี้ได้เลยยิ่งดี เป้าหมายมีแค่นี้เอง ทำงานกันแทบเป็นแทบตาย..อย่าผิดเป้าหมายนะ ผิดเป้าหมายตรงไหนต้องถามสุนทรภู่ สุนทรภู่บอกว่า
อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน มาใกล้ ๆ ตอนนี้สิ อาตมาจะถองให้ดู ก็บอกว่าใครตัดได้จะให้ถอง ก็ดันไปเจอแต่คนที่ตัดไม่ได้ ทุกวันนี้ที่เราทำงาน จริง ๆ แล้วเป็นการสร้าง มีแต่เพิ่ม ไม่ได้ลด สร้างภาระในการแบกทุกข์หาบทุกข์ของเรา ขันธ์ ๕ คือร่างกายนี้ก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว ยังไปเอาขันธ์ ๑๐ มาไว้ข้างตัว แถมกรนเสียงดังอีก..! แล้วมีไอ้ตัวเล็ก ๆ มาเป็นขันธ์ ๑๕ ขันธ์ ๒๐ โอ๊ย..ทุกข์อย่าบอกใครเลย..! เห็นลูกคนอื่นเขาน่ารักทุกคน เป็นเทวดาตัวจ้อย นางฟ้าจิ๋ว เห็นแล้วอยากจะอุ้มอยากจะชู เลี้ยงเองเมื่อไรนรกชัด ๆ..! ทำไมอาตมาถึงรู้ ? อาตมามีพี่ ๘ คน เขาเอาหลานมาให้เลี้ยง ๓๒ คน..! คนจีนเขานิยมลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง อาตมาเลี้ยงหลานจนเข็ด จนต้องหนีมาบวชอยู่นี่แหละ..! ใครจะเลียนแบบก็ลองไปเลี้ยงหลาน ๓๒ คนดู ตกนรกทุกวันเลย..! พอแล้ว..โม้มากไม่ดี เห็นทุกข์เห็นโทษแล้วก็เร่งปฏิบัติธรรมหนีกันด่วน ๆ เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-08-2023 เมื่อ 03:19 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ปีแรกที่อาตมภาพจำพรรษาเป็นหลักเป็นฐานที่ทองผาภูมิคือปี ๒๕๓๖ ฝนตกวันแรกวันที่ ๑๒ มิถุนายน ไปหยุดวันที่ ๒๐ ตุลาคม..! ตกทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดเลยสักวันเดียว นั่นคือสภาพป่ายุคนั้น ยุคนั้นเขายังมีพวกทำไม้กันเยอะมาก สมัยก่อนเขาบอกว่าข้าราชการมาอยู่ทองผาภูมิต้องยุ่งกับ สาม ม. ไม่ ม.ใดก็ ม.หนึ่ง ไม่ก็เอาหมดเลย คือ ม้า ไม้ มอญ ม้า ก็คือ ค้ายาม้า (ยาบ้า) ไม้ ก็คือ ทำไม้เถื่อน มอญ ก็คือ วิ่งพวกต่างด้าวเข้าประเทศ ก็น่าคิดนะ..หัวละ ๒๐,๐๐๐ บาท รถกระบะหนึ่งคันยัดเข้าไปเกือบ ๒๐ คน..! ไม้เถื่อนตอนนั้นยกละ ๑,๗๐๐ บาท - ๑,๘๐๐ บาท อาตมภาพสร้างเกาะพระฤๅษี วิ่งลงไปซื้อไม้ในเมืองกาญจน์ ยกละ ๗,๐๐๐ บาท ใคร ๆ ก็ว่าพระอาจารย์เล็กบ้า ไม้แค่ ๑,๗๐๐ บาท - ๑,๘๐๐ บาท มีเต็มป่า แต่วิ่งลงไปซื้อไม้ยกละ ๗,๐๐๐ บาทจากในเมือง แล้วกว่าจะขนขึ้นมาอีกล่ะ ? แต่เขารู้ไหมว่า พระเราต้องรักศีล รักความเป็นพระของเรามากกว่ารักผลประโยชน์ เพราะพระเรามีราคาไม่เกิน ๙๙ สตางค์ ถึง ๑ บาทเมื่อไร ขาดความเป็นพระทันที..! ไม้เถื่อนแปลว่าไม่ได้ตีตราชักลาก ไม่ได้เสียภาษี แล้วภาษีเท่าไร ? ซื้อไม้เถื่อนไปเมื่อไรก็ขาดความเป็นพระเมื่อนั้นแหละ..! เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลพระว่า "ภิกษุรู้อยู่ ช่วยพ่อค้าซ่อนภาษีฯ" สมัยก่อนเขามีการขายเพชรขายพลอย แล้วพ่อค้าฝากใส่ย่ามพระ ผ่านด่านไปเพื่อหลบภาษี แล้วในกรณีไม้เถื่อนหมายความว่าอย่างไร ? รู้อยู่..เราก็รู้ว่านั่นเป็นไม้เถื่อน ซ่อนภาษี..ก็คือหลบไป..ไม่ยอมจ่าย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 18:51 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส ๔ คือข้ออ้างใหญ่ ๔ ข้อไว้ให้ตีความพระวินัย หนึ่งในนั้นคือ สิ่งที่ไม่สมควร..ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร..สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร ไม้เถื่อนเป็นสิ่งไม่สมควรอยู่แล้ว..พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร..ถ้าเราไปซื้อมาก็ย่อมไม่สมควร แปลว่าโดนอาบัติ
คราวนี้อาบัติข้อนี้เกี่ยวข้องกับเงิน เพราะไม่ได้จ่ายภาษี ถ้าถึง ๑ บาทขึ้นไปขาดความเป็นพระเลยนะ แล้วตกลงคุณจะรักความมักง่าย รักผลประโยชน์ หรือว่าจะรักความเป็นพระของตนเอง ? เป็นพระเป็นเณรแล้วพอทำอะไร สิ่งแรกเลยที่ต้องนึกถึงคือ บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ที่เป็นของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ พระท่านพิจารณากันอยู่บ่อย ๆ พวกเราฟัง ทำวัตรตามไปก็เห็น แต่ส่วนใหญ่ก็พิจารณาแล้วไม่ได้เอาไปใช้ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนโกยไปใช้หมด..ต่างกันตรงนี้ สมัยอาตมภาพอยู่วัดท่าซุง มีพระอยู่ร่วมกันภายใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของหลวงพ่อฤๅษีฯ ๔๐ กว่ารูป แล้วทำไมถึงออกมาเป็นหลักให้ชาวบ้านเขาได้แค่ ๓ - ๔ รูป ? ก็เพราะว่าที่ออกมาส่วนใหญ่ก็คือบุคคลที่แบกระเบียบวัด แบกศีลพระอยู่จนคนอื่นเขาเหม็นขี้หน้าแล้วว่า "มึงจะเคร่งไปถึงไหน ?" เรื่องของศีล เรื่องของระเบียบวินัย เราต้องเคร่งไว้ก่อน แต่เคร่งในลักษณะเคร่งครัดกับตัวเอง เพราะว่าโดยปกติแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง กฎระเบียบอะไรก็ตาม พอนาน ๆ ไปจะเกิดการล้า ล้าแล้วก็หย่อนยาน ถ้าเราขันตึงไว้แต่แรก ถ้าหย่อนก็จะพอดี แต่ถ้าเราหย่อนตั้งแต่แรกก็จะยานติดพื้นนะสิ..! ไม่รู้จะเหลือความเป็นพระให้ชาวบ้านเขาไหว้ได้สักกี่มากน้อย เพราะฉะนั้น..ตรงนี้เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคำนึงถึงก่อน คุยต่อไม่ดี..เดี๋ยวเลยเวลาทำวัตร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 18:53 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ การซึมเศร้าเกิดจากการที่เราคิดแล้วหยุดความคิดไม่เป็น สังเกตดูสิว่าความคิดของเราจะมา ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ ครบรอบแล้วก็จะกลับมา ๑ ใหม่ ไม่ได้ไปไหนไกลเลย เรื่องเดิม ๆ วนไปวนมาสัก ๓ - ๕ รอบก็เริ่มคิดได้อย่างลึกซึ้ง..ก็คือคิดแล้วได้อารมณ์..ก็เริ่มซึม..แล้วเดี๋ยวก็จะเศร้า..+ อาตมาเองบวชใหม่ ๆ ความคิดก็ชวนให้สึก เดี๋ยวเราสึกไป แล้วทำงานหาเงิน ซื้อบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งงานมีเมีย มีลูกสักสองคน แล้วก็กลับมาบวชใหม่ สักพักก็เอาใหม่อีกแล้ว ถ้าเราสึกไปนะ""เราก็ไปทำงานนี้ ซื้อรถยี่ห้อนี้ ซื้อบ้านหมู่บ้านนี้ แต่งงานกับสาวคนนี้ มีลูกสักสองคน แล้วเดี๋ยวมาบวชใหม่ พอจะวนรอบที่สามนึกขึ้นมาได้ "ไอ้เหี้..มึงกำลังบวชอยู่ไม่ใช่หรือ""!? แล้วมึงจะออกไปทำอะไร..!?" บังเอิญรู้ตัวเร็ว..เลยวนได้แค่สองรอบ รอบที่สามกำลังจะวน รู้ตัวก่อน..ด่าไปทีหูตาสว่างเลย..! แล้วก็รู้ด้วยนะว่าถ้าพาไปไกลวัด เราจะไม่ไปด้วย ก็เลยอุตส่าห์ให้โอกาสกลับมาบวชใหม่ "แล้วมึงจะไปลำบากลำบนตั้งหลายปีทำไม ? ก็มึงบวชอยู่แล้ว..!" ลองกลับไปดูตัวเองนะ ที่นอนไม่หลับนั้น ส่วนใหญ่เพราะคิดไม่เลิก คิดเป็นแต่หยุดความคิดไม่เป็น เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือหยุดความคิดตัวเอง อย่าให้ปรุงแต่งต่อ อยู่กับลมหายใจเข้าออกตรงนี้ ถ้าอยู่แค่นี้ไม่หลุดไปไหน รัก โลภ โกรธ หลง อะไรก็เกิดไม่ได้ เก่งแค่ไหนก็เกิดไม่ได้ ขอยืนยันว่า ที่ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดได้เพราะเราไปคิด เลิกคิดก็เกิดไม่ได้หรอก อาตมภาพเคยเปรียบให้ฟังหลายครั้งแล้วว่า ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำร้อนเปล่า ๆ มา ไม่มีใครอยากกิน ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไรล่ะ ? ก็ใส่ลูกชิ้น ๒..๓..๔..๕ ห้าลูกก็พอ เยอะเกินไม่ดี..เดี๋ยวขาดทุน หมูสับอีกหน่อย หอมซอยนิด ผักชีหน่อย แถมยังมีตั้งโอ๋ กระเทียมเจียว ใส่พริกป่นนิด ถั่วคั่วหน่อย น้ำส้มอีกนิด ยิ่งใส่ก็ยิ่งอร่อย ทีนี้ก็กินไม่เลิก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 18:59 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
ก็เพราะว่าเราไปปรุง ไปปรุงด้วยการคิด ทำอย่างไรที่เราจะไม่คิด ? ไม่คิดก็จะเป็นเหมือนก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ไม่มีใครกินหรอก แต่คราวนี้สภาพจิตของเราทำอย่างไรถึงจะเห็นโลกเหมือนก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า ไม่มีอะไรให้น่าสนใจ
ก็ต้องเร่งใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ หยุดอารมณ์ใจเราไว้กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า อย่าให้ไปไกลเกินนี้ รู้ตัวเมื่อไรให้รีบดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกทันที ถ้าอย่างนี้มีโอกาสรอด แต่ถ้าหลุดจากลมหายใจไปเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมฟ้ามาเชียว..! หลายคนตอนปฏิบัติธรรมดีมากเลย มีเพื่อนมีฝูง มีสภาพแวดล้อมดี ประคับประคองรักษาใจเอาไว้ได้ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้ แต่เผลอหน่อยเดียวกิเลสตีกลับ โดนแล้วโดนอีกไม่เข็ดสักที..! ถ้ารู้จักเข็ดก็จะรู้จักระวัง พอรู้จักระวังก็จะไม่ให้ผิดอีก ก็จะผิดน้อยลง แรก ๆ เอาแค่ผิดน้อยลงก็พอ หลายคนก็มาสารภาพว่า "หลวงพ่อเจ้าขา..หนูยังมีกิเลส" มีก็ปล่อยแม่งงสิ..! จะไปยุ่งอะไรกับมัน ? รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย เราตัดทิ้งได้ที่ไหนกัน ? "แล้วที่เขาบอกว่าตัดกิเลสละเจ้าคะ ?" เขาไม่ได้ตัดกิเลส เขาแค่ไม่ไปยุ่งกับกิเลส ไม่ยุ่งกับกิเลส ไม่ใช่ไม่มีกิเลสนะ กิเลสมีครบถ้วนเลย "อ้าว..แล้วที่เขาตัดกันจนกลายเป็นพระอรหันต์ละเจ้าค่ะ ?" อันนั้นตัดด้วยปัญญา ท่านเห็นแล้วว่าเป็นโทษอย่างไร ท่านก็เลยเลิกยุ่งกับกิเลสอย่างเด็ดขาด ส่วนพวกเรานี่เสือนอนอยู่เฉย ๆ ก็ไปแหย่วักนิดหนึ่งซิ..กลัวเสือจะไม่ตื่น..! การที่เราจะไม่ไปยุ่งกับกิเลสได้ อันดับแรกเลยต้องทรงสมาธิให้ได้ นี่คือเบื้องต้น ของพวกเรานี่ยังไม่ใช่ตัดกิเลส ถ้าทรงฌานได้ก็แค่ละกิเลส..ห่างออกมาหน่อยหนึ่ง ตัดกิเลสนี่ต้องเลิกหรือวางทิ้งไปเลย เพราะเห็นโทษแล้วว่ากี่ชาติ ๆ เอ็งก็พาข้าเกิดแทบเป็นแทบตายอยู่อย่างนี้ เข็ดหรือยัง ? พอหรือยัง ? ถ้ารู้จักเข็ด รู้จักพอก็จะหยุด พอหยุดแล้วก็จะหาทางหนีจากไป ตรงนี้เขาจัดเป็นวิปัสสนาญาณ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 19:02 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
อาทีนวานุปัสสนาญาณ เห็นทุกข์เห็นโทษในร่างกายนี้
จะเกิดมุญจิตุกัมยตาญาณ หาทางหลีกหนีจากร่างกาย เกิดปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พยายามที่จะหนีจากไป เกิดนิพพิทาญาณ เบื่อหน่ายเหลือทน ซึมเศร้าดีกว่า..อ้าว..เลี้ยวผิด..! ต้องเบื่อก่อนนะ ถ้าไม่เบื่อเราจะไม่เลิก เพราะฉะนั้น..ใครที่ปฏิบัติธรรมแล้วเบื่อ แล้วก็รีบ ๆ ไปดูหนังฟังเพลงให้หายเบื่อ..นั่นผิด..! ให้รักษาความเบื่อให้อยู่กับเราให้นานที่สุด..เราจะได้เข็ด แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่รักษา เรารีบผลักทิ้ง บ๊ายบาย..ไปละ..ดูหนังฟังเพลง เที่ยวชายทะเลดีกว่า ของดีอยู่ตรงหน้าดันโยนทิ้งเสียได้ เพราะไปคิดว่าความเบื่อเป็นของไม่ดี ความเบื่อเป็นของดีมาก ๆ เลย เพราะโดยปกติแล้วเขาไม่เบื่อกันนะ..! หลักการของพุทธตันตระที่เป็นเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งที่เละเทะอยู่ทุกวันนี้ เขามี ๕ ม. มัทนะ กินเหล้า คนฮินดูทั่ว ๆ ไปไม่กินเหล้า มังสะ กินเนื้อ คนฮินดูส่วนใหญ่เป็นมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ มุทรา ร่ายรำบวงสรวง มันตรา ท่องบ่นภาวนา เมถุน เสพกาม เขาบอกว่าเรื่องของการกินเหล้า เรื่องของการกินเนื้อ เรื่องของการเสพกาม ถ้าทำจนเต็มที่แล้วจะเบื่อ หมดอยากไปเอง หลักการดีมาก..! แต่ถ้าบารมีคุณสร้างมาไม่ถึงระดับจริง ๆ..ไม่เบื่อหรอก การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ ถ้าไม่ใช่ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารจะไม่เบื่อ ๔ ตัวนี้เด็ดขาด มีแต่จะต้องการมากยิ่งขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 19:05 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
เขาบอกว่าเมื่อผู้หญิงผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กันไปจนถึงจุดสุดยอด จะเกิด "ภาวะนักปราชญ์" อันนี้แปลมาจากตำราฝรั่ง ก็คือสภาพจิตจะรู้สึกพึงพอใจ ปล่อยว่างจาก รัก โลภ โกรธ หลง ทั้งหมดชั่วคราว คราวนี้คนที่เขาเก่งจริง ๆ เขาจะจับสภาวะนี้แล้วรักษาเอาไว้ ก็เลยทำให้คิดว่าพุทธตันตระช่วยให้หลุดพ้นได้ แต่นั่นเป็นแค่อุปจารสมาธิขั้นปลายเท่านั้น ยังไม่เป็นฌานเลย เป็นสภาพจิตที่ว่างจากกิเลสชั่วคราว ลักษณะเหมือนช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น มาแค่แวบหนึ่ง ใครนะ..เก่งขนาดจับเอาไว้ได้..!
แล้วแต่ละอย่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นของที่สร้างโลก เป็นสัญชาตญาณฝังลึกอยู่ใน DNA อย่าตำหนิตัวเองว่าเรามีราคะจัด อย่าตำหนิตัวเองว่าเราโลภโน่นโลภนี่ อย่าตำหนิตัวเองว่าเราขี้โกรธ พวกนี้เป็นเครื่องมือสร้างโลก ฝังอยู่ใน DNA ของเรา เพียงแต่เราเห็นแล้วว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็พยายามหลีกหนี อันดับแรกก็ลด แล้วก็ละ ท้ายสุดก็เลิก ไล่ไปแต่ละขั้นตอน โอกาสที่จะโดดข้ามขั้นนั้นยากมาก เพราะฉะนั้น..ทางเดียวคือค่อย ๆ ไปตามขั้น อันดับแรกเมื่อเห็นโทษแล้วก็พยายามหนี รักษาใจของเราให้ผ่องใสไว้ โดนกิเลสกินพอกพูนกลับไปเมื่อไร ก็รีบขัดรีบเกลา โดยสังเกตตัวเองได้ว่าปฏิบัติธรรมแล้วเกิด อัปปิจฉตา มักน้อยไหม ? คนมักน้อยนี่ไม่อยากได้อะไรเพิ่มเติมแล้ว ไม่ใช่ว่ามีเสื้อผ้าเต็มสามตู้ที่บ้าน ไปถึงห้างเดินผ่านร้าน หยุดซื้ออีกหนึ่งชุดก็แล้วกัน ซื้อไปก็ไม่ได้ใส่หรอก แขวนไว้เฉย ๆ ถ้าเป็นคนมักน้อยก็จะไม่อยากได้เพิ่มแล้ว สันตุฏฐิตา สันโดษ ยินดีตามมีตามได้ไหม ? อันนี้อย่าเข้าใจผิดนะ สันโดษที่โคตรรวยเลยก็มี เขามียถาลาภสันโดษ..ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ..ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ลองไปแข่งกับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ดูสิว่าใครจะหาได้มากกว่าเขาไหม ? ยถาสารุปปสันโดษ..ยินดีตามฐานะของตน คนที่มีเป็นพันเป็นหมื่นล้าน เขาจะซื้อรถลัมโบร์กินี่ สัก ๔ - ๕ คัน จะไปมีใครเขาว่าอะไร ส่วนของเรานี่ยังกินเงินเดือนอยู่เลย ไปผ่อนลัมโบร์กินี่ก็ตายกันพอดี ต้องรู้จักยินดีตามมีตามได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 19:07 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
สัลเลขตา ขัดเกลากาย วาจา ใจของตนเอง ทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้ไหม ?
อิทมัฏฐิตา ปลีกตัวออกจากหมู่ไหม ? หรือวัน ๆ ถ้าได้ "เม้าท์" แล้วมีความสุขมาก ? รู้ไหมว่าเพราะ "เม้าท์" มากเกินไปเลยตัดกิเลสไม่ได้สักที ถ้าถามว่าเกี่ยวกันตรงไหน ? เราปฏิบัติธรรมเพื่อสร้างสมกำลังให้เพียงพอที่จะมีอำนาจเหนือกิเลส แต่ว่ากำลังเหล่านี้ถ้าเผลอมักจะรั่ว รั่วออกทางตา..ไปดูโน่นดูนี่ ไม่ได้ซื้อ ขอแค่มองก็ยังดี รั่วออกทางหู..ดูหนังฟังเพลง รั่วออกทางจมูก..หลีกกลิ่นที่ไม่ชอบ ไปหากลิ่นที่ชอบ รั่วออกทางลิ้น..บางคนนี่ถ้าไม่ใช่ร้านอาหารเชลล์ชวนชิม หรือแม่ช้อยนางรำ หรือถนัดแดกแนะนำ กูไม่กิน กูจะต้องกินเฉพาะร้านพวกนี้เท่านั้น รั่วออกทางกาย..ที่นอนต้องดีอย่างนั้น เสื้อผ้าต้องดีอย่างนี้ รั่วออกทางใจ..หนักกว่าอีก ฟุ้งซ่านทั้งวันทั้งคืน คราวนี้ถ้าเรานั่งกรรมฐาน สมมุติว่ารักษาใจได้เปรี๊ยะเลย ๒ ชั่วโมง แล้วเผลอไปนั่งส่องเฟซฯ พักเดียวหมดไป ๒ ชั่วโมงแล้ว ไปเขี่ยไลน์ต่ออีกครึ่งชั่วโมง..ขาดทุนไปแล้ว..! เห็นหรือยังว่าสิ่งที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้เหล่านี้ ทำให้กำลังที่เราทำได้หมดไปทุกวัน กลายเป็นคนขยัน แต่ทำงานเท่าไรไปไม่ถึงเป้าหมายสักที ในเมื่อรู้แล้วก็ระวัง หัดปลีกตัวออกจากหมู่ อยู่คนเดียวบ้าง "ฉันกำลังเป็นโรคซึมเศร้า แกอย่ามายุ่งกับฉัน..!" รักษา กาย วาจา ใจ เอาไว้ อกจะแตกแล้วค่อยยื่นหน้าออกไปหน่อยหนึ่งอย่างระมัดระวัง เปิดช่องให้ระบายอากาศได้นิดหนึ่ง พอหายอกแตกแล้วก็รีบกลับมา สมัยอาตมาภาพบวชใหม่ ๆ พอถึงเวลานั่งกรรมฐานทั้งวันทั้งคืน ไปต่อไม่ได้..อกจะแตกตาย..! ขออนุญาตลาหลวงพ่อฤๅษีฯ นั่งรถทัวร์จากอุทัยธานีลงมาหมอชิต ถึงเวลาก็ดูฟ้า ดูดิน ดูท้องนาเขียว ๆ มาตามข้างทาง พอมาถึงหมอชิต สั่งข้าวแกง กินอิ่มแล้วก็โดดขึ้นรถกลับ หมดวันพอดี แค่นั้นแหละ..ภาวนาต่อได้อีกเป็นเดือน ดังนั้น..เราจะเห็นว่าทำไมบุคคลบางคนต้องออกธุดงค์ ก็เพื่อให้สภาพจิตที่คุ้นชินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนตายด้าน ไม่ยอมรับความดีเพิ่ม เมื่อเปลี่ยนสถานที่แล้วจะรู้สึกว่าดีขึ้น ทำอะไรได้มากขึ้น เดี๋ยวได้ออกธุดงค์กันหมด..เสืออิ่มแน่นอน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-08-2023 เมื่อ 19:11 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๖ วันนี้นิสิตระดับปริญญาตรีที่มาเก็บข้อมูลชุมชน ต้องทำพรีเซนต์ร่วมกับเด็กอนุบาลในชุมชน ปรากฏว่าเด็กอนุบาลของเราพรีเซนต์ได้ดีกว่า เพราะนิสิตมัวแต่สั่น ส่วนเด็กอนุบาลของเราชั้นประถม ๔ ถึง ประถม ๖ พูดจ๋อย ๆ เป็นต่อยหอย ที่นิสิตสั่นก็เพราะว่าปกติเจอแต่อาจารย์ เต็มที่ก็แค่คณบดี แต่คราวนี้อธิการบดีก็มา รองอธิการบดีก็มา เจ้าของทุนวิจัยก็มา เลยสั่นไปหมด อาตมาสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกตอนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ พอให้สัมภาษณ์เสร็จ ครูถามว่า "เคยให้สัมภาษณ์แบบนี้มาก่อนหรือเปล่า ?" ตอบไปว่า "ไม่เคยครับ" ครูบอกว่า "ท่าทางของเธอเหมือนคนให้สัมภาษณ์เป็นประจำ เพราะไม่ประหม่าเลย" ก็เลยบอกไปว่า "อ๋อ..ครูสอนให้ผมพูดหน้าชั้นตั้งแต่ ป.๕ ครับ" ครูถามต่อว่า "แล้วครูเขามีหลักการอะไร ?" ตอบไปว่า "ครูเขาบอกว่า เพื่อนนั้นคือคนตาย เรากำลังพูดให้คนตายฟัง ไม่เห็นมีอะไรต้องไปประหม่าเลย..!" แต่ปรากฏว่าทำไม่ได้ คนตายอะไรวะ มองตาแป๋วทุกคนเลย..?! ท้ายสุดก็เลยต้องใช้วิธีของตัวเอง คิดว่า "กูเก่งกว่ามึง กูถึงได้มาพูดหน้าชั้น..!" คิดได้อย่างนั้นแล้วคราวนี้ไปได้ลื่นเลย เพราะฉะนั้น..บางทีสิ่งที่ตำราสอนใช้ไม่ได้หรอกนะ เพราะว่าไม่ตรงกับสภาพจิตของเรา หรือว่าไม่ตรงกับแนวที่ถนัดของเรา อาตมภาพตอนสมัยวัยรุ่นจนกระทั่งเริ่มบวช ส่วนหนึ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือเรื่องของกามราคะ เพราะฉะนั้น..เวลาฝึกกรรมฐาน หมวดแรก ๆ เลยที่ต้องไปลุยก็คืออสุภกรรมฐาน เพราะเขาบอกว่าตัดราคะได้ แต่ปรากฏว่าตัดไม่ได้ กลัวผีแทบตาย แต่พอความกลัวเลยไป ราคะก็โผล่มาใหม่..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ตอนบวชใหม่ ๆ ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหนึ่งก็คือ ร้อยตำรวจเอกสุรินทร์ หลากสุขถม เป็นลูกของลุงโต๋ว - ป้ากิมกี หลากสุขถม ที่เปิดร้านค้าอยู่ในวัดท่าซุง เยื้อง ๆ กับโบสถ์ พี่สุรินทร์เป็นเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของนิติเวชกรมตำรวจ เพราะรู้ว่าพวกเราอยากจะพิจารณาศพ พอถึงเวลามีศพให้ผ่า พี่สุรินทร์ก็จะโทรมาวัด "หลวงพี่รูปไหนต้องการดู ให้รีบมา พรุ่งนี้จะมีการผ่าศพครับ" พวกเราก็ไปกัน
เหยียบเข้าห้องนิติเวชครั้งแรกเกือบอ้วกแตกเพราะกลิ่น..! ขอยืนยันกับญาติโยมที่ฝึกอสุภกรรมฐานด้วยการเปิดรูปดูตามอินเตอร์เน็ต ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะว่ามีแต่สีไม่มีกลิ่น เหยียบเข้าไปในห้องนิติเวช กลิ่นเลือด กลิ่นน้ำเหลือง กลิ่นเน่า สารพัด รู้เลยว่านี่กลิ่นศพ..! ครั้งแรกเห็นเขาจรดมีด กรีดควั่บ พอปลิ้นเนื้อคนออกมา ข้างใต้เป็นไขมันเหลือง ๆ เป็นแผงใหญ่ ๆ เลยนะ เสร็จแล้วก็เอามีดเลาะกระดูกหน้าอก แล้วก็แบะออก เจอเข้าไปครั้งแรกกินอะไรไม่ได้ไปเกือบหนึ่งอาทิตย์ ทั้งสี กลิ่น รส ติดตาติดใจมาก ใหม่ ๆ ก็อ้วกแตกอ้วกแตนไปตาม ๆ กัน..! หลังจากนั้นไม่กี่วันเอาอีกแล้ว ไม่ดูตรงที่เขาผ่าน่ะสิ แต่เลือกดูตรงที่ยังดี ๆ..น่าฆ่าไหม..?! เหลือเชื่อว่ากิเลสมีมารยามากขนาดนี้ ก็แปลว่า สำหรับอาตมาภาพแล้ว อสุภกรรมฐานไม่สามารถที่จะแก้ไขในเรื่องของกามราคะได้ พิจารณากายคตานุสติ แยกร่างกายออกเป็นชิ้น ๆ ตามตำราสายอีสาน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้นท่านสอนให้ เดี๋ยวพรุ่งนี้พอสอนไปถึงจะบอกให้ว่าเป็นชิ้น ๆ เป็นอย่างไร เขาเรียกว่าวิชาม้างกาย ถอดเป็นชิ้น ๆ ไปเลย เห็นชัดเจนมาก แต่สำหรับอาตมาก็ได้แค่ตอนทำ พอเลิกทำราคะก็มาท่วมฟ้าเหมือนเดิม..! "โอ้หนอ..กูจะเอาอย่างไรกับมึงดีวะ ? ไหนบอกว่าอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสติเป็นคู่ศึกของกามราคะ นี่สู้แม่งไม่ได้สักมุม..!" อย่างเก่งก็ได้พักเดียว เหมือนกับกินยารักษาโรค พอกินลงไป ไข้ก็ลดไปนิดหนึ่ง มองซ้ายมองขวาเห็นว่าเราไม่มียาแรงกว่านี้ ไข้ก็กลับมาแรงกว่าเดิมอีก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
จนกระทั่งวันหนึ่งญาติโยมนิมนต์ ปรากฏว่าบ้านที่ต้องไปกิจนิมนต์นั้นมีลูกสาว ๒ คน สวยเสียด้วย ที่วัดท่าซุงนี่เวลาเราจะลา อันดับแรก ให้ไปแจ้งพระหัวหน้าเวร อันดับที่สอง ลงสมุดลา อันดับที่สาม ไปยื่นใบลากับหลวงพ่อ..!
ตอนยื่นใบลากับหลวงพ่อนี่แหละทีเด็ด ท่านไม่ต้องอ่านใบลาของเราท่านก็รู้ คราวนี้ไปถึงก็ถวายใบลา "หลวงพ่อครับ ขออนุญาตไปกิจนิมนต์ครับ" ท่านบอกว่า "เหรอ..นึกว่าไปงานแต่ง" ได้ยินแล้วสะดุ้ง..! ครูบาอาจารย์ท่านไม่พูดเล่นนะ ก็เลยต้องกลับมาพิจารณา "กูจะทำอย่างไรดีวะ ? ฝึกมาตั้งหลายปี กรรมฐานทุกอย่างชัดเจนดีมาก และอสุภกรรมฐาน ๑๐ อย่างนี่แทบจะกวาดมาครบแล้ว แต่ใช้อะไรไม่ได้สักอย่าง..!" พอดีก่อนหน้านี้กำลังเรียนนักธรรมชั้นโทอยู่ เขามีอนุพุทธประวัติ คือ ประวัติพระเถระผู้ใหญ่ ๘๐ รูป เขาเรียกว่าอสีติมหาสาวก มีประวัติของพระรัฐบาลเถระ ซึ่งเป็นผู้ออกบวชด้วยศรัทธา พระเจ้าอุเทนถามพระรัฐบาลเถระว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้ ?" เราแค่เปลี่ยนจากภิกษุมาเป็นตัวกูก็จบแล้ว จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย จะหนุ่มจะสาวได้ทั้งนั้น พระรัฐบาลเถระท่านตอบว่า "ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาว่า มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งที่สาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ดูก่อนมหาบพิตร..ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาอย่างนี้ ก็ทรงพรหมจรรย์อยู่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
โอ้โห..อ่านถึงตรงนี้สว่างไปสามโลกเลย..! นี่แหละ..ใช่เลย เห็นเขาเหมือนกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเรา ก็เลยไม่เกิดกามราคะขึ้น แล้วก็เลยทำให้เข้าใจว่า ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันนักหนาว่า กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น เข้าถึงอรหัตผลได้ทั้งหมด
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ก็เพราะว่ากรรมฐานทุกกองต้องสามารถ ตัดราคะ ตัดโลภะ ตัดโทสะ ตัดโมหะ ได้ เพียงแต่ว่าจะตัดมุมไหน ? เขาบอกว่ากรรมฐานคู่ศึกของกามราคะก็คืออสุภกรรมฐาน และกายคตานุสติกรรมฐาน แล้วทำไมเราเอามาใช้แล้วถึงสู้ไม่ได้สักมุม ? แต่พอมาเจอประวัติพระรัฐบาลเถระ คราวนี้สบาย..ลอยลำ มาเท่าไรกูสู้ได้หมด..! นั่นคือเมตตาพรหมวิหาร รักเขาเหมือนคนในครอบครัวตัวเอง ถ้าหากว่าพรหมวิหารสี่ตัดราคะไม่ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้..นี่ตัดได้ ขอยืนยัน..เพราะว่าทำมาด้วยตัวเองแล้ว ถึงได้บอกกับโยมว่า บางทีกิเลสไม่มาในมุมที่เราคิดไว้ นักสู้กิเลสจะประมาทไม่ได้ ประมาทเมื่อไรตายฟรีเมื่อนั้น แล้วอาตมาไม่อายหรอก ที่จะเล่าเรื่องชั่ว ๆ ของตัวเองให้โยมฟัง เพราะว่าเจอกับตัวเองมาทุกรูปแบบ เราเป็นอย่างนี้เราก็พร้อมที่จะบอกว่าเราเป็นอย่างนี้ เราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ เราก็ต้องบอกว่าเราแก้ไขได้ด้วยวิธีนี้ ประโยชน์ถึงจะเกิดกับโยมได้ ถ้ามัวแต่อายอยู่ กลัวคนอื่นจะบอกว่าครูบาอาจารย์ของเราราคะจัดมาก เดี๋ยวเขาตำหนิเอา ไม่ต้องไปสนใจใคร เราเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านเดินจงกรมต่อสู้กับกามราคะในป่าช้า ปรากฏว่าเวลาเกิดอารมณ์เพศขึ้นมา อวัยวะเพศเสียดสีผ้าสบงก็แข็งตัว ท่านต้องเดินเกือบจะแก้ผ้าก็คือตลบผ้าสบงขึ้นมาผูกไว้ข้างบน เดินจงกรมเป็นวันเป็นคืนกว่าที่จะยอมสงบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้ามึงไม่เลิก กูก็เดินให้ตายไปเลย..! บรรดพาลูกศิษย์หน้าบาง พอจะเขียนประวัติหลวงพ่อชาก็ขอว่า "ตัดตรงนี้ออกได้ไหม ?" หลวงพ่อชาบอกว่า "ถ้าตัดออกก็ไม่ต้องเขียนประวัติข้า" ก็ท่านสู้มาแบบนี้แล้วท่านชนะ ต้องไปอายตรงไหน..!?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
มีใครไม่มีกิเลสบ้าง ? มีทุกคน ญาติโยมส่วนหนึ่งพอถึงเวลาที่กิเลสชนะ ก็อับอายขายหน้าเหลือเกิน ไม่กล้าไปวัด ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งอยู่เป็นเดือนเป็นปี กว่าที่กำลังใจจะทรงตัวได้เหมือนเดิม แล้วค่อยไปวัด ตอนชั่ว ๆ อายหลวงพ่อ..ไม่กล้าไป..!
ถามหน่อยเถอะว่า "ตอนดีแล้วมึงมาทำไม..?" ตอนที่เราไม่ไหวนั่นแหละ เราต้องรีบไปวัด พระท่านจะได้แนะนำว่าควรที่จะแก้ไขอย่างไร ท่านไม่มาเสียเวลาดูหรอกว่าเราชั่วอย่างไร แต่ท่านจะดูว่าจะช่วยเราอย่างไร เพราะฉะนั้น..เปลี่ยนได้แล้วนะ ตอนชั่วเต็มที่ให้รีบมาวัด ระยะเวลาในการชั่วจะได้น้อยลงหน่อย ขอให้พวกเรารู้ว่า ในเวลาที่เราแพ้กิเลส ควรเป็นเวลาที่เราพึ่งพาครูบาอาจารย์ให้มากที่สุด อาตมภาพถึงได้สอนว่าพวกเราทำดีต้องหน้าด้าน..! ถ้าหน้าไม่ด้านพออย่ามาทำดี มัวแต่อายอยู่ มัวแต่กลัวอยู่ แล้วเมื่อไรจะเอาดีได้ เราต้องดูตัวอย่างในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสถาม "ภิกขเว ดูก่อน..ภิกษุ เธอได้กระทำสิ่งนี้หรือ ?" คนผิดจะตอบว่า "ทำพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสบอกไปว่า "ดูก่อน..โมฆบุรุษ สิ่งที่เธอทำนั้นไม่เป็นประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น" เป็นการว่ากล่าวที่รุนแรงมากเลย เพราะโมฆบุรุษแปลว่าผู้ว่างเปล่าจากความดี ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง..! แล้วอย่างไร ? ผิดก็คือผิด..รับไปเลย..! สำหรับอาตมภาพถ้าผิดก็คือผิด จนกระทั่งทุกคนเขาสงสัยว่าอาตมภาพเป็นเด็กเส้น ทำอะไรไม่เห็นหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ฟันหัวขาดเหมือนกับคนอื่น ก็โดนเหมือนกันนั่นแหละ คือถ้าเราคิดว่าดีเมื่อไรโดนแน่นอน..! แต่ถ้าคิดว่าครั้งนี้เราพลาดไปแล้ว เราจะพยายามระมัดระวัง ครั้งต่อไปจะไม่ให้โดนอีก คิดได้นี่หลวงพ่อท่านจะไม่พูดถึงเลย แต่คนไหนที่ปิด ๆ บัง ๆ ประเภททำผิดแล้วกลัวว่า "เดี๋ยวครูบาอาจารย์จะรู้" จะโดนเต็ม ๆ ทุกครั้ง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
ในเรื่องของการทำดี ถ้าหากว่าคนเราเดินมาพร้อมกัน หกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้แล้วไปเลย อีกคนหนึ่งมัวแต่นั่งคร่ำครวญ "ไม่น่าเลย..เดินมาตั้งไกล..เจ็บเหลือเกิน..ปวดเหลือเกิน..เสียเวลามานานขนาดนี้..หกล้มเสียได้" ในขณะที่อีกคนไปไกลหลายกิโลฯ แล้ว ลองคิดดูว่าสองคนนี้ใครจะไปถึงจุดหมายก่อนกัน ? ก็ต้องเป็นคนที่หน้าด้านหน้าทน ล้มแล้วลุก..ไปต่อเลย
พวกเราก็เหมือนกัน ทันทีที่พลาด ให้ตั้งใจเลยว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" เริ่มต้นนับหนึ่งเดี๋ยวนั้นเลย วินาทีที่สองร่วงตึงลงไปอีก วินาทีที่สามก็ลุกใหม่ ตั้งใจว่า "ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์" หน้าด้านหน้าทนสู้ไป พอระมัดระวังไปเรื่อย ๆ ก็จะยืนระยะได้ จากนาทีก็เป็นหลาย ๆ นาที เป็นชั่วโมง เป็นสองชั่วโมง เป็นสามชั่วโมง ครึ่งวัน หนึ่งวัน เราก็ไม่เลวนี่หว่า..ดีได้เป็นวันเหมือนกัน..! ศีลเขารักษากันทั้งชีวิต ไม่ใช่รักษาเป็นวัน แต่ก็เอาเถอะ..ดีกว่าไม่ได้เลย เพียงแต่ว่าอย่าซึมเศร้า อย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่ เริ่มต้นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย แล้วเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนคนอื่นเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2023 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|