|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ถาม : ที่พระอาจารย์กล่าวว่า "พอจิตเราทรงฌาน สภาพร่างกายกับจิตจะแยกกันเป็นคนละส่วน อะไรที่เกิดกับร่างกายจิตจะไม่รับรู้ หรือว่าถึงรับรู้แต่ก็ไม่สนใจ" คำถามคือ ความฝัน เป็นการแยกจิตกับกาย ด้วยไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาวะตอนนั้น ถ้าหากว่าจิตไปด้วย เราจะเหนื่อยมาก ในลักษณะเหมือนกับเราไปที่นั้นจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นการแยกจิตออกจากกาย แต่ว่าบางอย่างแค่เห็นเฉย ๆ ลักษณะเหมือนกับดูหนัง ถ้าอย่างนั้น จิตยังอยู่กับกายอยู่ เพราะฉะนั้น..ก็ต้องแยกแยะเองว่าสภาพที่ตัวเองฝันมีลักษณะอย่างไร แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:36 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ถาม : ลูกมักจะเจริญพระกรรมฐานจนหลับเป็นปกติ มีอยู่ครั้งหนึ่งรู้สึกตัวขึ้น รู้ตัวว่ากำลังหลับอยู่ ได้ยินเสียงกรนของตนเอง และเห็นทุกอย่างที่อยู่หลังเปลือกตา พอยกมือขึ้นมาดูกลับไม่เห็นมือตัวเองทั้งที่รู้สึกว่ากำลังยกมืออยู่ จึงขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า อาการข้างต้นคืออะไรครับ ?
ตอบ : อาการข้างต้นก็คือลักษณะของจิตที่ตื่นขณะที่ร่างกายหลับ การรู้เห็นต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่หลับตาอยู่คือทิพจักขุญาณ แต่ตอนที่สภาพจิตกลับมาสวมกับร่างกายแล้ว เราต้องใช้ตาดู ทะลึ่งไปหลับตาแล้วจะเห็นอะไร ? ถาม : ถ้าต้องการจะนอนภาวนาแล้วไม่ให้ตัดหลับ พระอาจารย์มีเคล็ดลับอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : พยายามอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่าให้หลุด หลุดเมื่อไรก็หลับเมื่อนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:37 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
ถาม : กำลังสมาธิระดับใดจึงส่งผลให้คาถาเมตตามหานิยมเริ่มเกิดผล เพราะเคยได้ยินจากหลวงพ่อว่า คาถาส่วนที่ยากที่สุดนั้นคือ คาถาด้านเมตตามหานิยมครับ ?
ตอบ : ส้นตีนแน่ะ..! บอกแล้วว่าอ้างไปส่งเดชแล้วก็เอาไปใช้ผิด ๆ ที่ยากที่สุดคือการเสกวัตถุมงคลให้เป็นเมตตามหานิยม ไม่ใช่คาถา บอกแล้วว่าพวกคุณชอบเอาไปมั่ว คาถาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนก็ตาม จะเริ่มให้ผลในอุปจารสมาธิขึ้นไป สมาธิสูงเท่าไรก็ได้ผลมากเท่านั้น ถาม : ผลของคาถาวัวกินนมเสือและคาถา "พระอะระหัง สุคะโค ภะคะวา นะ เมตตาจิต" เหมือนและแตกต่างกันอย่างไรครับ ? ตอบ : แตกต่างกันนิดหน่อย วัวกินนมเสือนี่หวาดเสียว ประมาณว่าอยู่กับเจ้าพ่อดุ ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะยิงกบาลเมื่อไร แล้วต้องอยู่กับเขาให้ได้..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:38 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เรานั่งสมาธิแล้วหลับนั้น เกิดจากจิตเริ่มเป็นปฐมฌานหยาบ แต่ที่หลับเพราะสติตามไม่ทัน กราบเรียนถามหลวงพ่อครับว่า ในกรณีที่เรานั่งสมาธิแล้วหลับ แต่ยังฝัน นับว่าหลับในสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อันนั้นแสดงว่าหมดสภาพแล้ว คือสติขาดจนต่อไม่ติด กลายเป็นหลับจริง ๆ ไปแล้ว เพราะว่าถ้าทรงสมาธิอยู่จะไม่ฝัน แต่มีอยู่อย่างหนึ่งกรุณาอย่าเข้าใจผิด อย่างหนึ่งที่รู้เห็นแล้วไม่ใช่ฝัน แต่เป็นนิมิต ลักษณะของกรรมนิมิต แสดงเหตุให้รู้ ถ้าหากเราแยกไม่ออกจะคิดว่าเป็นความฝัน เพราะฉะนั้น..ต้องไปสังเกตเอาเองว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นนั้น เป็นกรรมนิมิตหรือว่าเป็นฝัน ถาม : หากตายในขณะที่หลับฝันนั้น จะถือว่าตายในฌานและได้ไปจุติเป็นพรหมหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าฝันถึงแต่เรื่องชั่ว ๆ ก็มีหวังจะลงข้างล่างมากกว่า..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:39 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ถาม : หากรู้สึกว่า "ไม่มีอารมณ์ทำงาน" แล้ว แม้ว่าจะฝืนทำงาน ก็จะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ และทำงานไม่ได้นาน วอกแวกง่าย แต่เมื่อไรที่รู้สึกว่า "มีอารมณ์ทำงาน" จะสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และทำงานได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงขอกราบเรียนถามกลอุบายหรือวิธีในการแก้ไขความรู้สึก "ไม่มีอารมณ์ทำงาน" เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ ?
ตอบ : ถ้าหากวันไหนไม่มีอารมณ์ทำงาน ก็ให้ตั้งใจไว้เลยว่า กูจะต้องโดนไล่ออกแน่ เดี๋ยวอารมณ์ก็เกิดเองแหละ..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:39 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ โดยในชาตินั้น พระองค์ทรงมีรูปกงจักรสีแดงอยู่ที่อุ้งเท้าทั้ง ๒ ข้าง และได้ทำการฆ่ารากษส อันเป็นเหตุให้พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษาในชาติที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้นพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี โดยใกล้จะถึงปรมัตถบารมีแล้ว นับว่า ณ ชาตินั้นท่านได้สะสมบุญกุศลมามากมายหลายอสงไขยแล้ว โดยเฉพาะในเรื่องทานบารมี แต่เหตุใดในชาตินั้นท่านจึงได้เกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอย่างฝืดเคือง ไม่ได้มีฐานะดีมีเงินทองจากทานบารมีที่ได้สร้างมาครับ ?
ตอบ : ทานบารมีตามมาไม่ทัน เพราะว่าไม่ได้ทำให้ต่อเนื่อง ทำบ้างทิ้งบ้าง ถึงเวลาไปเจอตอนทิ้งช่วงเข้าพอดีก็เฮงไป เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าพวกเราอยากจะรวยต่อเนื่อง รวยทนรวยทาน ก็พยายามทำทานให้ต่อเนื่องกันเอาไว้ ขอแก้หน่อย..คนไม่มีอุ้งเท้านะ อุ้งเท้านั่นมีแต่สัตว์..! คนมีแต่ฝ่าเท้า ถ้าเรียกแล้วไม่ชัดก็ฝ่าตีน..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 07-05-2019 เมื่อ 14:49 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
ถาม : ต้องทำอย่างไรจึงจะมีกำลังกายมากเหมือนหลวงพ่อครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ในเพศบรรพชิตที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ครับ ?
ตอบ : ผ่านการฝึกหลักสูตรโหด ๆ ของทหารหลาย ๆ หลักสูตรแบบอาตมา ถ้าผ่านได้ก็แข็งแรงไปเองแหละ แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:41 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถาม : จากที่ว่า การฆ่าสัตว์ใดต้องไปเกิดเป็นสัตว์นั้น ๕๐๐ ชาติ เหตุใดจึงกำหนดว่าต้องชดใช้กรรมเป็นเวลา ๕๐๐ ชาติหรือ ๕๐๐ ชีวิต ด้วยครับ ?
ตอบ : เข้าใจคำว่ากฎของธรรมชาติไหม ? ก็เหมือนกับกฎหมายว่า ทำผิดแล้วโดนปรับเท่านี้ จำคุกเท่านี้ ในเมื่อกฎของธรรมชาติเขาปรับเท่านั้น ก็รับไป ๕๐๐ ก็แล้วกัน จะเอามากกว่านั้นเขาก็คงไม่ให้หรอก..! ถาม : มีวิธีใดบ้างที่จะลดระยะเวลาจาก ๕๐๐ ชาติให้น้อยลงได้บ้างครับ ? ตอบ : อย่าฆ่าเป็นดีที่สุด ไม่ต้องรับเลยสักชาติ..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:42 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
ถาม : เหตุใดเลข ๕๐๐ จึงมีความสำคัญ และอ้างถึงอยู่บ่อยครั้ง เช่น ชาดก ๕๐๐ ชาติ เป็นต้น ?
ตอบ : เพราะว่าห้าร้อยมากกว่าร้อยหนึ่ง..! ถ้าหากว่าให้เงินห้าร้อยคนก็โดดใส่ ถ้าให้ร้อยหนึ่งก็ทำหน้าเมื่อย..! ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ พระห้าร้อย บาลีเขามักจะเอาสิ่งที่ว่าไปอยู่ตรงกลาง อย่างเช่นว่า "สัตนาคนหุต" นาคก็คือช้าง นหุตก็หมื่น สัตตะคือร้อย ร้อยหมื่นคือล้านหนึ่ง สัตนาคนหุตก็แปลว่า ล้านช้าง พระวัดท่าขนุนที่เรียนบาลีเพิ่งจะสอบตกมา เพราะว่านาคแปลได้หลายความหมาย สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นงูใหญ่ก็ได้ ผู้ที่ได้รับการฝึกตนดีแล้วก็ได้ ช้างตัวประเสริฐก็ได้ ผู้เป็นใหญ่คือพระมหากษัตริย์ก็ได้ ผู้ที่เลิศแล้วอย่างพระพุทธเจ้าก็ได้ ดูบริบทไม่ออก แปลผิดทีเดียวก็ตกเลย ...(หัวเราะ)... ตอนนี้พระของอาตมาจะเป็นผู้ชำนาญคำว่านาค เพราะว่าสอบตกมาแล้ว..! เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของตัวเลข ๕๐๐ ต้องบอกว่า ค่านิยมเขาเป็นอย่างนั้น อย่างสมัยนี้เรานิยมเลข ๙ กัน แต่คนจีนเขานิยมเลข ๘ เป็นต้น ในเมื่อนิยมอย่างนั้น กำหนดมาอย่างนั้นก็ทนรับ ๆ ไปแล้วกัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ถาม : อากาสเทวดาในทุกแห่งบนโลก ท่านต้องไปเทวสภาในเวลาเดียวกัน คือในเวลาประมาณ ๙ โมงเช้าของประเทศไทยใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เวลาของประเทศนั้น แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:43 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า องค์ไต่ฮงกง มีที่มาจากไหน และเป็นพระโพธิสัตว์ตามความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปค้นเอาในกูเกิ้ล มีข้อมูลเป็นกุรุส แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:44 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
ถาม : หนูเริ่มมานั่งสมาธิอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้นั่งมานาน ตั้งใจจะเจริญสติปัฏฐานแบบเอาจริงเอาจังสักที พอเริ่มรักษากาย งดอาหาร รับประทานมื้อเดียว ท้องว่าง กายเบา หนูจะเริ่มเข้าสมาธิ หนูรู้สึกว่าเข้าสมาธิได้ถึงอุปจารสมาธิ แต่ก็ไปต่อไม่เป็น พอหนูพยุงอารมณ์สมาธิให้นิ่งได้นาน ๆ หนูกลับแน่นที่หัวขึ้นมากขึ้น ๆ และแน่นแบบนี้ ๒-๓ ครั้งแล้วค่ะ และเมื่อเช้านี้ หนูมาเปิดเพลงฟัง อาการแน่นก็หายไป แต่พอหนูมานั่งสมาธิอีก ไม่ถึง ๓๐ นาที ก็แน่นขึ้นอีก หนูจะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ถ้าอยากได้สมาธิก็ปล่อยให้แน่นไป เราแค่รับรู้ไว้เฉย ๆ ตั้งใจว่า แม้แต่ตายลงไป เราก็ยอมเพื่อแลกกับความดีที่ต้องการ เพราะว่าอาการแน่นที่ว่านั้น เป็นอาการของสมาธิเริ่มทรงตัวมากขึ้น แต่คราวนี้ของเราดันไปเปิดเพลงฟัง กำลังใจไหลไปกับเพลง สมาธิหลุด อาการแน่นก็หายไป แต่เชื่อเถอะ..เดี๋ยวทำใหม่จะยากมาก เพราะดันไปรู้ว่าดี แล้วอยากได้แบบนั้นอีก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:44 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ในเรื่องของการปฏิบัติ เขาทุ่มเทชนิดแลกกันด้วยชีวิต ไม่ใช่ถึงเวลารู้สึกแน่นหน่อยเดียวก็เปิดเพลงฟังดีกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าสมัยนี้นอกจาก "เต่างอย" แล้วมีเพลงอะไรที่ฮิตบ้าง ? เพลงนี้เด็กเขาร้องให้อาตมาฟังทีหนึ่ง ต้องหนีไปอุดหูในห้องน้ำ..! ถามตัวเองอยู่หลายรอบว่า "แม่..เพราะตรงไหนวะ..?!" แล้วทำไมถึงฮิตกันจริง หรือว่าอาตมาแก่เกินไปแล้วหูไม่ถึงก็ไม่รู้ ?
ยุคสมัยเปลี่ยนไป คนโบราณเขาเอาเสียงนำดนตรี สมัยนี้เอาดนตรีนำเสียง สมัยก่อนเนื้อเพลงต้องไพเราะ สวยงาม ได้ยินแล้วเห็นภาพตามไปเลย สมัยนี้เนื้อเพลงอย่างไรก็ได้ เอาดนตรีมันไว้ก่อน เพราะฉะนั้น..ยุคสมัยเปลี่ยนไป อาตมาเองก็ตามไม่ทัน เด็กอนุบาล ๓ ร้องเพลงนี้ ให้รางวัลไป ๑๐๐ บาท แล้วก็หนีไปหลบในห้องน้ำ ไม่ออกมาแล้ว..เข็ด..! ใครเป็นคนอีสาน เข้าใจคำว่า "งอย" ไหม ? ก็ประมาณว่ายืดหรือเด่น เต่างอยนี่อาตมาแปลว่าเต่าเต๊ะจุ๊ย..!” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-05-2019 เมื่อ 09:46 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดือนนี้ทั้งเดือนใส่เสื้อเหลืองก็แล้วกันนะ หามาเพิ่มสัก ๑-๒ ตัว จะได้ผลัดกันใส่ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าปีติยินดี ตอนที่พวกเราขวัญหายกันว่าในหลวงรัชกาลที่ ๙ เสด็จสวรรคต ตอนนี้ก็ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรฯ ไปแล้ว ก็คือพ่อผู้เป็นใหญ่ อธิ คือยิ่งกว่า เบศร คือความเป็นใหญ่
เสื้อเหลืองให้ใส่ยาวไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาเลย ถ้าอย่างนั้นซื้อเสื้อเหลืองเพิ่มเถอะ..หลายเดือนอยู่เหมือนกัน ส่วนพระเราให้ความร่วมมือดีมาก เหลืองตลอด...ไม่เคยเปลี่ยน ...(หัวเราะ)...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 14:34 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “สำหรับอาตมาแล้ว ถ้าหากว่าโทรศัพท์เข้ามาช่วงฉันเพลอยู่ ถ้าเป็นฆราวาส คุยเสร็จแล้วจะบอกว่า "คราวต่อไปให้ดูเวลาด้วย อย่าโทรมาเวลานี้ เพราะว่าพระกำลังฉันเพลอยู่" แต่ถ้าเป็นพระนี่จะด่าสวนไปเลย "ถ้ามึงไม่แดกก็โปรดรู้ว่า กูจะฉันโว้ย..!"
ส่วนใหญ่ญาติโยมลืมว่าพระมีเวลาฉันเพลอยู่พักเดียว แบบเดียวกับที่อาตมาลืมว่าโยมต้องกินข้าวเย็นนั่นแหละ ตอนเรียนปริญญาโทอยู่ รอสอบโครงร่างกับพระครูอนุกูลปัญญากร อาตมาสอบ ๑๕ นาที แต่ที่อยู่ก็คืออยู่ลุ้นเพื่อน เพราะว่าเพื่อนมักจะโดนกันเป็นชั่วโมง กว่าจะถึงรูปสุดท้ายที่นัดสอบก็โน่น..เกือบ ๑ ทุ่ม พระครูอนุกูลปัญญากรท่านบอกว่า "กลับด้วยกัน เดี๋ยวผมไปส่ง" อาตมาก็ตกลง ปรากฏว่าออกมาเจอคนขับรถของท่าน ตีหน้าประหลาด ๆ ถามว่า "เป็นอะไรวะ ไม่สบายหรือ ?" "หิวข้าวครับ" อาตมาเพิ่งนึกได้ว่าชาวบ้านเขากินข้าวกัน ตัวเองบวชนานไปหน่อยเลยลืม ...(หัวเราะ)... คนขับรถก็ดีเหลือเกิน ไม่กล้าหนีไปกินข้าว เพราะไม่รู้ว่าเจ้านายจะเรียกเมื่อไร นั่งเฝ้ารถไปเถอะ หิวไส้แขวนไปเลย..!” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อครู่อยู่ข้างบน ไปนั่งคิด ๆ ว่า มีการเฉลิมพระปรมาภิไธยให้ในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แล้วถ้าหากว่าเอ่ยถึงสมเด็จพระอัยยิกาธิราช จะทำอย่างไร ? เพราะว่าไม่ได้เฉลิมพระนามใหม่ ก็แปลว่าถ้าเอ่ยถึงปู่ถึงย่า อย่างสมเด็จย่าก็ยังเป็น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แต่มาถึงยุคนี้ไม่ใช่สมเด็จพระบรมราชชนนีแล้ว เป็นสมเด็จพระอัยยิกาไปแล้ว ถ้าไปถึงสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ก็ต้องเป็น สมเด็จพระปรมัยยิกาไปแล้ว แต่ในเมื่อยังไม่มีพระนามใหม่ ก็ยังต้องเรียกของเก่าไปก่อน”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:32 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
ถาม : ขอพระอาจารย์เมตตาอธิบายคำว่า "ทรงกรม" คืออะไรคะ ?
ตอบ : ทรงกรม จริง ๆ ก็คือ ให้มีกำลังพลเอาไว้ใช้งาน กำลังที่ให้มี เขาเรียกว่า ๑ กรม เพราะฉะนั้น..ในเมื่อดูแลลูกน้องตัวเอง ๑ กรม ก็จะต้องมี จางวางกรม ปลัดกรม สมุห์กรม คอยทำหน้าที่แบ่งเบาภาระให้เจ้าของกรมด้วย เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าทรงกรมเป็นกรมพระยา จางวางกรมก็จะเป็นคุณพระ ปลัดกรมก็จะเป็นคุณหลวง สมุห์กรมจะเป็นท่านขุน ลดหลั่นกันไปอย่างนี้ ถ้าหากว่าทรงกรมเป็นกรมพระ จางวางกรมก็จะเป็นคุณหลวง ปลัดกรมก็จะเป็นท่านขุน แล้วสมุห์กรมก็จะเป็นคุณหมื่น แต่ไม่ใช่พี่หมื่นนะ..! ก็คือตำแหน่งเดียวกัน เขาลดหลั่นกันลงไปอย่างนี้ แล้วส่วนใหญ่บุคคลที่ทรงกรมสมัยก่อนจะมีศักดินา อย่างเช่นว่า ทรงกรมเป็นกรมหลวง จะมีศักดินาสองแสนไร่ สองแสนไร่นี้ก็คือเอาไปทำเลี้ยงลูกน้อง ส่วนใหญ่ก็เอากำลังพลในกรมนั่นแหละไปทำนา ถ้าหากว่าศึกเสือเหนือใต้มา ก็สละส่วนหนึ่งมาเป็นเสบียงหลวง ส่วนที่เหลือก็ไว้เลี้ยงลูกน้องตัวเอง ดังนั้น..บุคคลที่ทรงกรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ว่ามีกำลังอยู่ในมือแล้วจะไม่ก่อกบฏ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ให้หรอก ถาม : นึกว่าอะไรท้องกลมค่ะ ? ตอบ : อันนั้นตายทั้งกลม..! ตายทั้งกลมคือตายหมดทั้งแม่ทั้งลูก เด็กรุ่นใหม่ไม่รู้ ไปเรียก "ตายท้องกลม" คงเห็นท้องกลม ๆ กระมัง ? ตายทั้งกรมนี่กำลังพลละลาย ออกรบแล้วไม่เหลือกลับมา ถ้าแบบนี้คือตายทั้งกรม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:34 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ศักดินานี่ไม่ได้แปลว่าต้องทำเองนะ บางทีให้เขาเช่าก็ได้ พวกจางวางกรม ปลัดกรม สมุห์กรม ก็เป็นผู้เก็บผลประโยชน์ ดูแลผลประโยชน์ อย่างเช่นว่า แบ่งเป็นข้าวเปลือกมา หรือว่าสีเป็นข้าวสารส่งมา หรือว่าจ่ายเป็นเงิน จ่ายเป็นพืชผลอื่น จ่ายเป็นหมู เห็ด เป็ด ไก่ แล้วแต่จะตกลงกัน
อย่าลืมว่าที่ราชพัสดุทั้งหมดก็คือที่ของในหลวง เพราะฉะนั้น..จริง ๆ แล้วสามารถประทานให้ได้ อย่างสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ท่านทรงกรม มีสถานที่ก็คือเป็นกรมหลวงนราธิวาสฯ ก็คือทรงกรมจังหวัดนราธิวาส แต่ว่าปัจจุบันรัชกาลที่ ๑๐ ทั้ง ๓ พระองค์ทรงกรม ไม่มีที่ อย่างสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ก็เป็น สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ก็ไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าทรงกรมสถานที่ไหน อย่างกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช สมัยก่อนนั้นนครชัยศรีเป็นมณฑล กินพื้นที่หลายจังหวัด กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา กรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี กรมขุนสุพรรณภาควดี จะระบุเอาไว้เลยว่าสถานที่ไหน แต่ปัจจุบันนี้ถ้าหากว่านับก็คือ เป็นกรมลอย ไม่มีสถานที่ ...(หัวเราะ)...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:35 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
“แล้วประวัติศาสตร์มีท่านเดียวคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ทรงกรมเมืองหลวงเลย ถ้าไม่ไว้ใจนี่ให้ไม่ได้เด็ดขาด แต่ว่าพระองค์ท่านก็ทำหน้าที่ราชเลขาในรัชกาลที่ ๕ มาตั้งแต่ต้น แล้วหลังจากนั้นกรมขุนอู่ทองเขตขัตติยนารี ก็คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้านิภานภดลฯ ถึงได้รับหน้าที่ต่อ
แล้วมีตอนที่ประท้วงพ่อ ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ผู้หญิงพอโกนจุกก็ถือว่าเริ่มเป็นสาวแล้ว ห้ามปรากฏตัว สั่งให้เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอม..อย่างไรก็จะทำงานช่วยพ่อ ขอร้องให้รัชกาลที่ ๕ สั่ง อย่าให้เป็นสาว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงพระสรวล ตรัสว่า "สั่งได้ด้วยหรือ ?" "ได้..ทูลกระหม่อมพ่อเป็นทั้งเจ้าฟ้า เป็นทั้งเจ้าแผ่นดิน ไม่มีอะไรที่สั่งไม่ได้" ก็เลยต้องสั่งให้ทำงานต่ออีก ๒ ปี ...(หัวเราะ)... เพราะฉะนั้น..ใครไม่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวก็ให้ในหลวงสั่ง..! จะไม่ให้เป็นหนุ่มเป็นสาวนี่พอได้ แต่ไม่ให้แก่นี่คงไม่ได้ เป็นนางสาวอายุ ๘๐ อะไรอย่างนี้” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:36 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
“ไปนึกถึงหลวงพ่อโต วัดระฆัง สมัยรัชกาลที่ ๓ ขอให้ท่านรับภารธุระในพระพุทธศาสนา ท่านธุดงค์หนีเลย พอมารัชกาลที่ ๔ ขอให้รับ ท่านก็รับ ก็เป็นพระราชาคณะ จนท้ายสุดเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในหลวงรัชกาลที่ ๔ สงสัยตรัสถามว่า "ก็ในเมื่อรัชกาลก่อนให้แล้วไม่รับ ทำไมรัชกาลนี้จึงรับ ?" ท่านทูลว่า "อ๋อ..รัชกาลก่อนเป็นแค่พระเจ้าแผ่นดิน ไม่รับก็ยังพอหนีได้ แต่รัชกาลนี้เป็นทั้งเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ก็เลยไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหน" เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๓ พระมารดาเป็นสามัญชน พระยศแรกก็คือหม่อมเจ้าเท่านั้น ซึ่งสมัยก่อนเขาถือเป็นไพร่ จะเป็นเจ้าต้องระดับพระเจ้าวรวงศ์เธอขึ้นไป ก็เลยเป็นแค่พระเจ้าแผ่นดิน ไม่ได้เป็นเจ้าฟ้า ไม่ได้เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า
ในหลวงรัชกาลที่ ๔ เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า พอครองราชย์ก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านถึงบอกว่าหนีไม่ได้..ไม่จริงหรอก ถึงเวลาทรงพระพิโรธขึ้นมา เพราะว่าหลวงพ่อโตท่านชอบเตือนแรง ๆ ท่านก็ไล่ออกจากแผ่นดิน ห้ามอยู่ หลวงพ่อโตก็โน่น..ไปนอนสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ ถึงเวลาสังฆการีก็ไปทูลถวายรายงานว่าท่านไปอยู่ถึงไหนแล้ว ทั้ง ๆ ที่ไล่ไปนะ ยังเป็นห่วงถามหา ก็ไม่เห็นท่านไปไหน สวดมนต์อยู่ในโบสถ์ โกรธ..ตามไปอีก ตรัสว่า "ในเมื่อโยมไล่แล้วทำไมยังไม่ไป ?" "อ๋อ..โยมไล่ออกจากแผ่นดินของพระองค์ท่าน แต่ตรงนี้ประทานให้เป็นแผ่นดินของพระพุทธศาสนาแล้ว" เพราะว่าเป็นวิสุงคามสีมา พระราชทานให้วัดนั้นไปแล้ว ไม่ใช่ที่ของพระองค์ท่าน ก็เลยอยู่ในโบสถ์ เล่นกับหลวงพ่อโตไม่ได้หรอก ท่านลื่นเป็นปลาไหลเลย..! ขนาดฝรั่งอวดนักอวดหนา ประเภทดูดวงอาทิตย์ ดูดวงจันทร์ได้ หลวงพ่อโตถามว่า "รู้ไหม..ศูนย์กลางของโลกอยู่ตรงไหน ?" ฝรั่งบอกว่า "ไม่รู้..แล้วพระคุณเจ้ารู้ไหม ?" ท่านว่า "รู้..เดี๋ยวพาไปดู" เดินออกไปแค่หน้ากุฏิเอาไม้ปัก "นี่แหละ" ฝรั่งก็งง "ใช่หรือ ?" "ใช่สิ ก็พ่อคุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าโลกกลม ถ้าโลกกลมจิ้มไปตรงไหนก็ศูนย์กลางทั้งนั้นแหละ..!"” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:39 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|