กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #21  
เก่า 01-11-2021, 18:08
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนที่น่าภูมิใจก็คือ วัดท่าขนุนยังไม่มีพระเณรติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ขณะที่วัดอื่นโดนไปตาม ๆ กัน ล่าสุดก็วัดทองผาภูมิ โดนไปรอบที่สอง ไปสอบนักธรรมชั้นตรี ปรากฏว่าตรวจเจอพระที่เข้าสอบติด ก็เลยต้องขอไม่ให้เข้าสอบทั้งสามรูป

เนื่องจากว่าตั้งแต่การระบาดรอบแรก วัดจันเดย์หรือวัดจวบจันทร์วนาราม โดนเป็นวัดแรกเลย ถัดมาก็วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ แล้วก็วัดเวฬุวันของหลวงพ่อสาคร ที่ซื้อวัคซีนไฟเซอร์ไปเป็นล้าน เอามาไล่ฉีดให้พระ ปรากฏว่าพระวัดของท่านโดนเอง ต่อมาก็วัดทองผาภูมิ

วัดทองผาภูมิต้องบอกว่าเสี่ยงมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะวัดเป็นตลาดนัด นอกจากนี้ญาติโยมที่ติดเชื้อดันไปถวายสังฆทานกับพระอีก เจอไปสองเด้ง รอบแรกโดนกักตัวไป ๑๔ วัน รอบนี้ก็น่าจะไม่ต่างกัน แต่ขอร้องว่า ถ้าเป็นไปได้ก็กักตัว ๒๑ วันเถอะ จะได้ปลอดภัยแน่นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้มีเวลาก็ต้องเอาเสบียงไปส่งท่านเหมือนกัน แล้วก็มีหลายท่านที่กินจุ ข้าวกล่องไม่พอก็บ่น ก็บอกว่าทนเอา แค่สี่วันเท่านั้น

พระเณรของเรามีอยู่ส่วนหนึ่งที่กินไม่ได้อย่างใจ บางทีก็ย้ายวัดไปเลย เป็นเรื่องที่ประหลาดดี อาตมาเองที่ไม่เห็นว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าอารมณ์นี้เป็นอย่างไร อารมณ์ที่ว่ากินไม่อิ่มแล้วกูไม่อยู่ด้วย ใครรู้ช่วยบอกให้ทีว่าเป็นอารมณ์แบบไหน ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #22  
เก่า 01-11-2021, 18:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนของวัดท่าขนุนของเรา ช่วงนี้พระใหม่ที่บวชในพรรษากำลังพยายามปรับปรุงวัดกันอยู่ โยมที่มาจะเห็นว่ามีการแขวนโน่นแขวนนี่ โคมไฟก็ต้องดูช่วงกลางคืน เพราะว่าไฟติดแล้วถึงจะสวย และก็มีการทำจุดเช็คอิน และทำป้ายบอกทางเข้าวัด

เนื่องจากว่าหลายคน พอถึงเวลาวิ่งรถก็เลยวัด ยาวเข้าบ้านไปเลย ก็เลยต้องทำป้ายดักเอาไว้ว่า "เข้าวัดทางนี้" ที่เมื่อครู่เห็นนั้นยังไม่เสร็จนะ เพราะว่ายังต้องมีแผ่นสเตนเลสฉลุที่จะติดไฟไว้ข้างใน พอเวลากลาคืนมาก็จะเห็นป้ายบอกทางอย่างชัดเจน เพราะมีรอยฉลุให้แสงลอดออกมาได้

ใครมีแนวคิดอย่างไร ถ้าคิดว่าทำให้วัดดีขึ้น อาตมาเองไม่ได้ว่า มีอยู่อย่างเดียวที่คอยเตือนก็คือ อย่าให้ "เว่อร์" เกินไป วัดเราควรจะอยู่ในลักษณะของสมถะ พอเพียง ไม่ใช่หรูหราจนเกินเหตุ เข้าวัดมาแล้วควรที่จะได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่เข้าวัดมาแล้วมีสิ่งที่สนองกิเลสเสียเต็มที่ ไม่มีโอกาสได้ละอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็เสียเวลาเข้าวัด อยู่บ้านก็ราคาเดียวกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #23  
เก่า 01-11-2021, 18:38
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเตือนสติพระอยู่เรื่อย ๆ ว่าทำไมโครงการนี้ผมไม่อนุมัติ เพราะว่าบางทีท่านก็คิดเฉพาะแง่ทางโลก ว่าถ้ามีอะไรสวย ๆ นักท่องเที่ยวจะได้มาเยอะขึ้น ซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการคนเยอะ คนมามากเมื่อไรก็ต้องเสียเวลาไปดูไปแลกัน

หลักการบริหารวัดง่าย ๆ ที่โบราณให้ไว้คือ สะอาด สว่าง สงบ อะไรที่มากกว่านั้น โอกาสที่เกินเลยจะมีมากอยู่
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #24  
เก่า 01-11-2021, 18:45
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พูดถึงภัตตาหารพระ มื้อเพลบางทีก็มีเจ้าภาพเลี้ยง บางวันก็มา "เว่อร์วังอลังการ" เพียงแต่ที่อาตมภาพขอไว้ คือ หมูกระทะอย่าให้มี

ความจริงพวกชาบู หมูกระทะ พระฉันได้ แต่โยมต้องปรุงมาเลย เพราะว่าพระของเราห้ามหุงต้มเอง ห้ามเก็บไว้เอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ เหตุที่ห้ามหุงต้มเอง หลายท่านที่มีฝีมือ อย่างอาตมา ก็จะเลือกทำอาหารอร่อย สนองกิเลสตัวเอง พระพุทธเจ้าก็เลยต้องห้ามหุงต้มเอง ห้ามเก็บอาหารไว้เอง เพราะว่านอกจากต้องห่วง ต้องกังวล ต้องดูแลแล้ว บางทีก็ยังเลือกเก็บแต่ของที่ตัวเองชอบไว้ด้วย

ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ เพราะว่าเก็บไว้ในที่อยู่ก็ไม่รู้ว่าจะแอบฉันตอนกลางคืนหรือเปล่า ? ภาษาบาลีเขาว่า อันโตวุตถะ อันโตปักกะ สามปักกะ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เฉพาะตอนเกิดทุพภิกขภัยเท่านั้น ที่พระอานนท์ต้องนำข้าวเปลือกมาตำเป็นข้าวสาร เพื่อที่จะได้ถวายพระให้นำไปหุงฉันกันเอง เพราะเวลาที่เกิดทุพภิกขภัยอดอยาก ผู้คนล้มตาย ไม่มีใครเขาเสียเวลามาทำอาหารถวายพระกันหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #25  
เก่า 01-11-2021, 18:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างที่หลวงพ่อสมเด็จวัดพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสรมหาเถร) วัดอนงคาราม ท่านบอกเอาไว้ว่า "ถ้าชาวบ้านอด พระกับหมาก็ตายก่อน" พอถึงเวลาชาวบ้านอด ก็ต้องนึกถึงตัวเองว่า ต้องทำอย่างไรที่จะหาใส่ปากใส่ท้องตนเองให้อิ่มก่อน ไม่มีโอกาสที่จะนึกถึงพระ

ถ้าในช่วงทุพภิกขภัยถึงอนุญาตให้เก็บเสบียงไว้ได้ และอนุญาตให้เก็บไว้ในที่อยู่ของตนเองได้ เพราะว่าเคยมีพระไปฝากชาวบ้านไว้ เนื่องจากว่าพระพุทธเจ้าห้ามเก็บอาหารเอาไว้ พอถึงเวลาไปเอามาทำอาหาร ปรากฏว่าชาวบ้านกินเรียบไปแล้ว..!

อนุญาตให้ของบางอย่างไม่ต้องประเคน อย่างเช่นเหง้าบัว ถึงเวลาก็ไปขุดไปงมในสระมา ล้างสะอาดก็ฉันได้เลย ไม่ต้องให้ใครประเคนให้ เพราะว่าเป็นของที่หามาด้วยตนเอง แต่ถ้านอกเวลา ความแห้งแล้งความอดอยากผ่านไปแล้วก็ให้ยกเลิก ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้พระปุราณเถระ ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์มาก ท่านมาจากทักขิณาคีรีชนบท ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณสุไหงโกลก ปรากฏว่ามาถึงราชคฤห์ก็เลยเวลาแล้ว มีการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าไปแล้ว และพระสงฆ์ก็ทำสังคายนาพระไตรปิฎกกันเรียบร้อยแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #26  
เก่า 01-11-2021, 18:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในเมื่อคณะสงฆ์แจ้งให้ท่านทราบ เพราะว่าท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านก็บอกว่า "อาวุโส สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำนั้น เราขออนุโมทนาด้วย แต่เรายังจะปฏิบัติเฉพาะในส่วนที่ได้ยินมาต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น"

ซึ่งลักษณะอย่างนี้เป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะว่าหลายอย่างมีการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าการประกาศเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ได้ประกาศช่วงที่ท่านอยู่ ท่านก็ถือว่าอะไรที่กูได้ยินมา กูก็ทำแค่นั้น ก็ทำให้เดือดร้อนตรงที่การปฏิบัติไม่เสมอกัน

แล้วก็กลายเป็นแนวปฏิบัติที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังจากพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน แล้วก็ไปปรากฏชัดในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี ก็ปรากฏว่ายังมีพระเถระรูปหนึ่ง ก็คือพระเรวัตตะเถระ ท่านอยู่ทันสมัยพระพุทธเจ้า เนื่องเพราะว่าท่านบวชเป็นเณรตอน ๗ ขวบ แล้วท่านอยู่จนอายุ ๑๒๐ ปี ท่านก็เลยทันการสังคายนาครั้งที่ ๑
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:14
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #27  
เก่า 01-11-2021, 18:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การสังคายนาครั้งที่ ๒ นี้ มีภิกษุแคว้นวัชชีทำตัวไม่เหมือนคนอื่น อย่างเช่นว่า เก็บอาหารไว้เองได้ เห็นว่าสุรารสอ่อนสีเหมือนเท้านกพิราบพระฉันได้ อย่างนี้เป็นต้น รวมแล้ว ๑๐ อย่างด้วยกัน

ในเมื่อคณะสงฆ์เห็นว่าจะทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไปมาก จึงทำสังคายนาใหม่ ทางฝ่ายภิกษุแคว้นวัชชีบุตรไม่ยอมรับ ไประดมพวกตัวเองมาเป็นหมื่นรูป มีทำการสังคายนาของตัวเอง อยู่ในลักษณะที่รับรองว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูก ก็เลยกลายเป็นคณะมหาสังฆิกะขึ้นมา ซึ่งตอนหลังก็พัฒนามาเป็นมหายาน

ในส่วนนี้เมื่อถึงเวลาแล้ว กิเลสใครกิเลสมัน "อาจารย์ข้าสอนมา" "อาจารย์ข้าเท่านั้นถึงจะถูก" ก็เลยมีการแยกนิกายต่าง ๆ ออกไปถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน ฉะนั้น..พวกนิกายต่าง ๆ นี่แยกออกไปตั้งแต่สมัยการทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ห่างจากพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี เขาเรียกว่า อาจาริยวาท คือถือคำพูดของอาจารย์เป็นหลัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-11-2021 เมื่อ 20:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 72 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #28  
เก่า 03-11-2021, 00:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อย่างในปัจจุบันของเรา ในส่วนของอาจาริยวาทเริ่มปรากฏ ถ้าหากว่าปรากฏในลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร ถ้าปฏิบัติผิดพลาดเมื่อไรนี่จะเสียหายมาก ในส่วนที่ชัดเจนอย่างที่เห็น ๆ ในปัจจุบันนี้ก็คือ การปฏิบัติสายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง การปฏิบัติสายหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด เริ่มออกแนวอาจาริยวาทแล้ว ก็คือถือวาทะของหลวงตาเป็นใหญ่ ถือวาทะของหลวงปู่ชาเป็นใหญ่ เป็นต้น

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว หลวงปู่หลวงตาท่านไม่ได้ทำผิด แต่ลูกศิษย์ลูกหากิเลสมาก ก็เลยไปยึดว่า "อาจารย์สอนอย่างนี้ ต้องแบบนี้เท่านั้น" ในเมื่อไปยึดในลักษณะอย่างนั้น ถ้าหากว่ายึดถูกต้องตามพระธรรมวินัยก็ปลอดภัย ถ้ายึดผิดเมื่อไร โอกาสที่จะเพี้ยนออกนอกลู่นอกทางก็มีสูง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2021 เมื่อ 01:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #29  
เก่า 03-11-2021, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เราจะเห็นว่าอย่างสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เมื่อออกมาถึงแค่ยุคธรรมกาย ก็มีการสอนผิดเพี้ยนไปมาก เนื่องเพราะว่าธรรมกายนั้น มีผู้บวชที่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก ก็เลยเอาหลักการตลาดขึ้นมาใช้ ในเมื่อเอาหลักการตลาดขึ้นมาใช้ ก็ต้องมีการโฆษณา

คราวนี้การโฆษณาของสายธรรมกายเป็นการ "โฆษณาขายบุญ" ในเมื่อโฆษณาขายบุญ จึงต้องพยายามเอาทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นบุญขึ้นมาขาย อยู่ในลักษณะที่ดึงดูดญาติโยม โดยที่ลืมไปว่าทานทุกประเภท สูงสุดไปได้แค่กามาวจรสวรรค์ ถ้าหากว่าไม่มีต่อท้าย ทานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน อะไรก็ตาม ทำขนาดไหน ผลไม่เกินแค่เทวดา นางฟ้า จะไปได้แค่นั้น

ยกเว้นว่าเราปฏิบัติต่อเองเป็น อย่างเช่นว่าทำจนเป็นฌาน เราก็สามารถที่จะไปเป็นพรหมได้ หรือว่าถ้าหากว่าทำเพื่อสลัด ตัด ละ ความโลภของเรา เพื่อให้สภาพจิตของเราเบาสบาย ทำเพราะเห็นประโยชน์ในส่วนของบุญกุศล ทำโดยไม่ยึดติด ประกอบด้วยอุเบกขา ก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าอย่างนี้ถึงจะไปพระนิพพานได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2021 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #30  
เก่า 03-11-2021, 00:51
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ทางธรรมกายโฆษณาขายบุญแค่ระยะต้นเท่านั้น จึงทำให้คำสอนหลายอย่างผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ก็เลยลำบาก เพราะว่าทางด้านบ้านเมืองต้องยื่นมือเข้าไปแก้ไข ต้องบอกว่าเสียดายในศรัทธาของญาติโยมเป็นล้าน ๆ ถ้าหากว่าตามกันจริง ๆ ก็จะไปได้แค่กามาวจรสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีสิทธิ์ที่จะไปได้สูงกว่านั้นมาก

อาตมาเองคลุกคลีกับสายธรรมกายมาตั้งแต่ก่อนบวช มีเพื่อนฝูงเป็นคณะกรรมการผู้ใหญ่อยู่ข้างในนั้นด้วย ซึ่งตอนหลังเพื่อนฝูงเขาก็ถอนตัวออกมา เพราะว่าไม่อยากเป็นผู้นำบุญที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง เนื่องจากว่าเขาจะมีการบอกต่อกัน ๑ ต่อ ๕

๑ ต่อ ๕ เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ หรือระบบขายตรง ถ้าหากว่าใครสามารถทำได้ ก็ได้รับการชมเชยจากเพื่อนจากฝูง ยิ่งสามารถทำยอดบุญได้มาก ก็ยิ่งได้รับการชื่นชมมาก ทำให้หลงผิดหนักยิ่งขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2021 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #31  
เก่า 03-11-2021, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เนื่องเพราะว่าการทำบุญนั้น สำคัญตรงสละออก ไม่ได้สำคัญตรงจำนวนยอดเงิน มหาเศรษฐีมีเงินเป็นล้านทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท คนยากคนจนมีเงิน ๒๐ แล้วทำบุญมา ๑๐ บาท กำลังใจของใครจะดีกว่ากัน ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงถึงได้แนะนำว่า การทำบุญนั้น แม้จะทำน้อย ๆ แต่ทำบ่อยครั้ง อานิสงส์จะได้มากกว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าจิตใจมีการสละออกอยู่ตลอดเวลา ส่วนท่านที่ทำมาก ๆ ทำทีเดียว จะมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือกำลังใจตก เพราะว่ามัจฉริยะ คือความตระหนี่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก คนย่อมหวงแหน ประการที่สองคือการทำมาก ๆ นั้น ทำบ่อยไม่ได้ เพราะว่าทำบ่อยเมื่อไร ตัวเองอาจจะหมดตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2021 เมื่อ 01:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #32  
เก่า 03-11-2021, 00:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...ตรงส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลายโปรดเข้าใจว่า ในเรื่องของการทำบุญไม่ใช่ของไม่ดี เป็นของดี แต่อานิสงส์ส่วนใหญ่แล้ว ไปแค่กามาวจรสวรรค์ ยกเว้นว่าเราทำจนเคยชิน ทำจนเป็นฌาน เราถึงจะไปพรหมได้ หรือว่าถ้ารู้จักอุเบกขา ทำในลักษณะที่รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ถ้าอย่างนั้น เราถึงจะไปพระนิพพานได้

ในเรื่องพวกนี้ ถ้าเราแนะนำแต่เฉพาะเบื้องต้น โอกาสที่จะทำให้คนหลงยึดติด หลุดพ้นได้ช้าลงจะมีมากขึ้น ตรงจุดนี้เราไม่ได้ตำหนิธรรมกาย เพราะว่าใครเห็นว่าอะไรดีก็ย่อมทำตามนั้น กำลังใจของเขายังไม่เพียงพอ เขาก็จะแนะนำได้แค่กำลังใจของตนเอง ท่านใดที่กำลังใจสูง เมื่ออยู่ไป ๆ รู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาก็จะถอนออกมาเอง เหมือนกับคนเข้าร้านอาหาร เมื่อถึงเวลากินแล้วไม่ถูกปาก ไม่ถูกใจก็ไปหาร้านใหม่เอง เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-11-2021 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #33  
เก่า 04-11-2021, 10:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงส่วนนี้ที่ชี้แจงบอกเหตุให้ ก็เพราะว่าในส่วนของอาจาริยวาท หรือว่าแนวทางปฏิบัติที่เริ่มจะมีแตกแยกกันขึ้นมาในประเทศไทย ซึ่งปกติแล้ว หลัก ๆ ของเราแรกเริ่มก็คือธรรมยุตกับมหานิกาย แต่ตอนนี้เริ่มมีสายสันติอโศก มีสายธรรมกาย มีสายพุทธทาส แล้วก็มีสายหลวงปู่มั่น ที่ตอนนี้เริ่มกระจายออกเป็นสายหลวงตาบัว สายหลวงปู่ชา ทางด้านเหนือก็จะมีสายครูบาศรีวิชัย ที่มีแนวปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่น

เรื่องพวกนี้ตราบใดที่เรายึดติด ตราบนั้นเราก็ไปไหนไม่ได้ แม้แต่หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้เรายึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ยึดติดในลักษณะของการเคารพกราบไหว้ แน่นแฟ้น ชนิดไม่ยอมปล่อย อะไรที่เรายึด ย่อมทำให้เราเกาะอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้ ตรงจุดนี้พระพุทธเจ้าแสดงไว้ชัดในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อย่างด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #34  
เก่า 04-11-2021, 10:23
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านบอกว่า อวิชชา ปัจจะยา สังขารา อวิชชาคือความไม่รู้ รู้ไม่ทั่ว ทำให้เกิดสังขาร คือการนึกคิด ปรุงแต่ง ในเมื่อจำเป็นต้องนึกคิดปรุงแต่ง สังขาระ ปัจจะยา วิญญาณัง การปรุงแต่งต้องอาศัยวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่สามารถที่จะนึกคิดปรุงแต่งอะไรได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณจะอยู่ที่ไหน ? วิญญาณะ ปัจจะยา นามะ รูปัง วิญญาณก็ต้องอาศัยนามรูป นามรูปจริง ๆ ก็คือร่างกายนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ หูได้ยินเสียงด้วยโสตวิญญาณ เป็นต้น

นามะรูปะ ปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูป ก็มีอายตนะ ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สะฬายะตะนะ ปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะ ๖ ก็ต้องมีการสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะ ปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อมีสัมผัส ก็เกิดเวทนา คือความรู้สึก สุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์

เวทะนา ปัจจะยา ตัณหา ซวยแล้ว ในเมื่อมีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ ไม่สุขหรือไม่ทุกข์ขึ้นมา ก็จะเกิดความอยาก อยากในสิ่งที่ดี รู้สึกดีกับตัวเอง ก็คือสิ่งที่เป็นสุข อยากที่จะไปให้ไกลจากส่วนที่ไม่ดี ก็คือส่วนที่เป็นทุกข์ ตัณหา ปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากก็เกิดอุปาทาน คือการยึดมั่น ไอ้ตัวเฮงซวยมาแล้ว

อุปาทานะ ปัจจะยา ภะโว ในเมื่อคุณยึด ก็ต้องมีที่ให้ยึด ภพคือการเกิด สถานที่เกิดจึงเกิดขึ้น ในเมื่อ ภะวะ ปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีภพก็ต้องมีการเกิด พอเกิดขึ้นมาก็ซวยยาวเลยคราวนี้..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #35  
เก่า 04-11-2021, 10:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ชาติ ปัจจะยา ชะรา มะระณัง โสกะ ปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัส สุปายาส ตามมาเป็นพรวน การแก่ การเจ็บ การตาย การเป็นทุกข์ การร่ำไร การเสียใจ การเหือดแห้งใจ การคับแค้นใจ การปรารถนา ไม่สมหวัง การพลัดพรากจากของรัก การได้ของที่ไม่ได้รัก คราวนี้เห็นหรือยังว่าการยึดติดก่อให้เกิดชาติภพแบบไหน

หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า อย่าไปอธิบายให้เขาฟัง เสียเวลา บอกแค่ว่าไม่เอาร่างกายนี้ก็จบเลย

ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ถึงความเป็นพระอนาคามี แกอธิบายไม่ได้หรอก" เพราะจะไม่ชัดเจนว่าแต่ละอย่างมันเกิดขึ้นสืบเนื่องกันอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านก็เลยให้สายดับเอาไว้ด้วย เขาเรียกว่านิโรธวาร สายเกิดเมื่อเกิดขึ้น ก็คือ อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ไล่ยาวไป คราวนี้พอมาสายดับ ท่านบอกว่า อะวิชชายะ เต๎ววะ อะเสวะ วิราคะ นิโรธา ในเมื่ออวิชชาดับ ต้องบอกว่าพอความรู้แจ้งเกิดขึ้น ความไม่รู้ก็ดับไป แสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป

ในเมื่ออวิชชาดับลง สังขารก็ดับ สังขารดับลง วิญญาณก็ดับ วิญญาณดับลง นามรูปก็ดับ นามรูปดับลง อายตนะก็ดับ อายตนะดับลง ผัสสะคือสัมผัสก็ดับ ผัสสะดับลง เวทนาก็ดับ เวทนาดับลง ตัวตัณหาก็ดับ ตัณหาดับลง อุปาทานก็ดับ อุปาทานดับลง ภพก็ดับ ภพดับลง ชาติก็ดับ ชรา มรณะ ทุกอย่างดับหมด

ดังนั้น...ในส่วนนี้ของเรา รู้อยู่อย่างเดียวว่าร่างกายนี้ไม่ดี เราไม่เอา พยายามให้ใจละออกได้จริง ๆ แค่นี้ก็พอ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #36  
เก่า 04-11-2021, 10:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือเรียนมาก รู้มาก บางอย่างก็ไม่ใช่ของที่น่าเรียน อย่างอภิธรรมก็ไปเรียนกัน อภิธรรมเป็นของที่พระพุทธเจ้าสอนพรหม เทวดา ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล ฟังแค่หัวข้อธรรม ก็เข้าใจเลย แล้วคนเราก็พยายามไปเรียนกัน

ที่ขำที่สุดก็คือหลวงพ่ออุตตมะบอกกับปู่ลายว่า "โยมลาย เรียนอภิธรรมแล้ว เดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ" จะเห็นว่าตัวเองเก่งกว่าพระ แล้วปู่ลายขนาดโดนเตือนก็ยังเป็นแบบนั้น พอถึงเวลาก็มักคิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่ามาเป็นมัคคนายกที่วัดท่าขนุน เห็นพระสวดไม่ได้ จะเอาหนังสือมนต์พิธีไปกางไว้หน้าพระเลย แล้วพระที่สวดไม่ได้ก็เป็นถึงเจ้าคณะตำบล เป็นถึงเจ้าอาวาส ก็เลยทำให้ท่านเสียหน้า ไม่มีใครเขาชอบปู่ลาย

ตรงจุดนี้ก็ทำให้ทิฐิมานะเกิดขึ้น เพราะคิดว่าตนเองดีกว่า ตนเองเก่งกว่า หลายคนก็เป็นในลักษณะอย่างนี้ ขอให้พยายาม ลด ละ ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การปฏิบัติธรรมเขาวัดกันตรงที่ว่า ใครละกิเลสได้มากกว่ากัน ไม่ใช่ใครรู้ธรรมมากกว่ากัน รู้แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็เหมือนแค่คลังพัสดุ ถ้าเป็นอาตมาก็บอกว่าเป็นถังขยะ ก็คือเก็บใส่ถังเสียเยอะเลย แต่ไม่ได้ใช้งาน ของที่ไม่ได้ใช้งาน อาตมาถือเป็นขยะ..!

เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องเก็บมาก เอาแค่พอสมควร เมื่อได้หลักแล้วก็ปฏิบัติไปเลย ปฏิบัติแล้วก็พยายามทำให้เกิดประโยชน์จริง ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #37  
เก่า 04-11-2021, 10:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,568 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คืนที่สอง เข้ากรรมฐานตั้งแต่ประมาณ ๔ โมงเย็น ไปจนกระทั่งตี ๒ ก็เลยไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย แล้วแต่พระท่านสั่ง ท่านสั่งให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ว่าไป ๑ รอบ ท่านเอาอีกรอบหนึ่ง โดนไปอีก ๑๐๘ จบ คราวนี้ ๑๐๘ จบสองรอบต้องรวย ๒ เด้ง..! ถึงได้โดนเสียยาวขนาดนั้น แล้วบางทีอยู่ในสมาธิ จิตไปช้า เวลาก็เลยผ่านไปเร็ว

อย่างสมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาภาวนาคาถาเงินล้านจบหนึ่ง ๒ ชั่วโมงกว่า ทั้ง ๆ ที่ก็ว่าไปเรื่อย ๆ ไม่สะดุดอะไรเลย แต่ด้วยความที่เข้าสมาธิลึกเกินไป จบหนึ่ง ๒ ชั่วโมงกว่า ตั้งแต่ ๐๓.๐๐ น. ไปถึงเวลาบิณฑบาตตอน ๐๕.๔๕ น. สองชั่วโมงสี่สิบห้านาทีได้จบเดียว ก็คือลืมตาขึ้นมาเห็นว่า ๐๒.๕๕ น. เดี๋ยวภาวนาคาถาเงินล้านสักจบหนึ่ง แล้วเราไปล้างหน้า แต่งตัว ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน ปรากฏว่าว่าจบหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างแล้ว คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน ก็เลยสงสัย

พอรุ่งขึ้นก็สังเกตดู คราวนี้ว่าได้ ๓ จบ สองชั่วโมงกว่าเหมือนกัน พอถึงเวลาถามพระท่าน ท่านบอกว่าถ้าหากว่าสมาธิของเราอยู่ลึก เวลาข้างนอกผ่านไปเร็ว เราจะไม่รู้ตัว ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่เข้าสมาบัติเต็มที่ บางทีไม่รู้หรอกว่าข้างนอกผ่านไปกี่เดือนกี่ปี


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานทอดกฐินช่วงเช้า ณ วัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรีและเผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2021 เมื่อ 10:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว