#21
|
||||
|
||||
รัฐบาลคิดโครงการอะไรออกมา ชาวบ้านเขาทำเองหมดแล้ว รัฐบาลไม่ทันรับประทานหรอก อย่างเรื่องแจกเงินดิจิทัล จนป่านนี้ยังแจกไม่ได้เลย จำไว้ว่าอย่าคุยอะไรแบบไม่รอบคอบ..เรื่องนี้ทำยาก กว่าจะได้แจกอาจจะต้องเป็นรัฐบาลสัก ๒ - ๓ รอบ..!
เนื่องเพราะว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี โดยเฉพาะเงินตรามายา จับต้องไม่ได้ เป็นแค่ตัวเลข จะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีคนให้ความสำคัญและร่วมการใช้สอย คราวนี้ถ้าหากว่าเขาแจกทั่วประเทศ คนใช้ก็เป็นล้าน ๆ จะทำให้เงินตราที่ไม่มีราคามาก่อนเลย อยู่ ๆ ก็พุ่งพรวดขึ้นไป จากบาทต่อบาท ก็อาจจะเป็นบาทต่อ ๑๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐๐ บาท แล้วเขาตุนไว้เท่าไร..เขาเคยบอกคุณไหม..!? ในเมื่อเขาเป็นคนเริ่มต้น เขาจะใส่ตัวเลขให้กับตัวเองเท่าไรก็ได้..ใช่ไหม ? ถ้าเขาให้เราฟรี ๆ..รอไปเถอะ อาตมาตั้งแต่เกิดมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นนักการเมืองคนไหนทำงานให้ชาวบ้านฟรี ๆ มาก่อนเลย พูดไปก็เศร้าใจ..เลี้ยวกลับมาเถอะ..! อีก ๙ นาทีพระจะขึ้นอาสน์สงฆ์ ตอนจำพรรษามีอยู่ด้วยกัน ๔๙ รูป มาถึงวันนี้เหลือ ๔๘ รูป เพราะว่าหลวงตาปรีชาท่านน้อยใจ เลิกหายใจไปก่อน ก็เลยหายไป ๑ ราย ท่านอายุ ๘๑ ปีแล้ว ท่านจะน้อยใจ จะเลิกหายใจ ก็น่าจะเป็นเรื่องปกตินะ อาตมภาพนึกถึงครูบาอาจารย์ก็คือหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่ปานเกิดปี ๒๔๑๘ มรณภาพปี ๒๔๘๑ อายุ ๖๓ ปีเท่านั้นเอง มานึกถึงตัวเอง อาตมาก็อายุ ๖๔ ปีเต็ม ย่าง ๖๕ มาจะครึ่งปีแล้ว ก็น่าจะไปได้แล้วเหมือนกันนี่หว่า..?!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-10-2023 เมื่อ 17:40 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ ที่เหลือไปไหนหมด ? ต้องบอกว่ากำลังใจไม่ได้อยู่กับงาน ไม่ได้สมกับที่ตั้งใจสมัครมาปฏิบัติธรรมเลย ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสโลก เหมือนกับการว่ายทวนน้ำหรือว่าปีนขึ้นที่สูง ในระยะแรกที่กำลังของเรายังน้อยอยู่ โอกาสที่จะเอาชนะใจตนเองเป็นเรื่องยากมาก เพราะว่าสิ่งที่กิเลสหรือว่ามารแสวงหามาเพื่อขวางกั้นพวกเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่เราชอบทั้งหมด ในเมื่อเราชอบก็เลยไม่คิดที่จะผลักไส [/COLOR][/SIZE] ตาเห็นรูปแล้วชอบใจ หูได้ยินเสียงแล้วชอบใจ จมูกได้กลิ่นแล้วชอบใจ ลิ้นได้รสแล้วชอบใจ กายสัมผัสแล้วชอบใจ แค่นี้ก็ฟุ้งซ่านพอแล้ว ใจเรายังไปยินดีด้วยอีกต่างหาก..! ก็แปลว่าไม่ต้องแกะออกกันเลย ครูบาอาจารย์บางท่านบอกว่า "เหมือนกับลิงติดตัง" เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักตัง ตังก็คือยางไม้ สมัยก่อนคนโบราณจะไปเจาะต้นไม้เอายางเหนียว ๆ มาใช้งาน อย่างเช่นว่าต้นโพธิ์ ต้นไทร ก็มียาง เมื่อรวบรวมได้จำนวนมากพอ ก็เอามาเคี่ยวไฟ จนกระทั่งเหนียวหนึบหนับ ส่วนใหญ่เขาเอาไปทากิ่งไม้ที่นกมาหากิน ถึงเวลานกมาเกาะก็ติดตัง..ดิ้นไม่ออก เขาก็มาจับเอาไปทำอาหาร แต่ปรากฏว่าสัตว์ประเภทลิงบางทีก็ขี้สงสัย ถึงเวลาเห็นคนทำอะไรก็มาลองด้อม ๆ มอง ๆ แล้วท้ายที่สุดก็ลองสัมผัสดู เลยติดไปด้วย ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติดแน่น เรื่องของอวิชชา ซึ่งถ้าหากว่าแปลตามรากศัพท์คือความไม่รู้ คำว่า ไม่รู้ ในที่นี้หมายถึง ไม่รู้เท่าทันในความเป็นจริง อย่างเช่นว่า สภาพร่างกายนี้ไม่เที่ยง แต่ด้วยความที่ร่างกายประกอบขึ้นมาจาก ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นร่างกายที่เราไม่เห็นช่องว่าง เราก็คิดว่ามั่นคง แข็งแรง เที่ยงแท้ ร่างกายนี้เป็นทุกข์ เรานั่งเมื่อยก็ขยับ ยืนเมื่อยก็เดิน หิวก็หาให้กิน ร้อนก็อาบน้ำ หนาวก็หาผ้าให้ กลายเป็นว่าปิดบังความทุกข์ไปหมด แล้วท้ายที่สุดร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ปัญญาไม่ถึง มองไม่เห็นว่าร่างกายนี้เปรียบเสมือนกับเสื้อตัวหนึ่ง ที่เราอาศัยใส่ใช้งานอยู่ชั่วคราว เมื่อถึงเวลาเสื้อตัวนี้หมดอายุ เราก็ต้องไปหาเสื้อตัวใหม่ ซึ่งก็จะได้มาตามบุญตามกรรมที่เราสร้างไว้ ในเมื่อมองไม่เห็นตรงนี้ ก็ไปยึดถือว่าเสื้อตัวนี้คือของกู..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2023 เมื่อ 00:13 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
คราวนี้อวิชชาที่ปิดบังอยู่ ถ้าหากว่าเปรียบเสมือนกับวัตถุที่มีความเหนียว ความแข็ง ก็ต้องอาศัยสิ่งที่แหลมคมเพียงพอ ถึงจะเจาะทะลวงผ่านไปได้ ถ้าหากว่ามีแต่เครื่องมือที่แหลมคมเพียงพอ แต่กำลังเราไม่มี ยกเครื่องมือขึ้นมาใช้งานไม่ได้ ก็เจาะไม่สำเร็จเช่นกัน
ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมจึงไม่ใช่แค่เรามานั่งสมาธิหรือว่าเดินจงกรม แต่เป็นเรื่องที่ทุกขณะจิตทุกเวลา เราต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่เที่ยง ก้าวไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตัวเราก็ดี ตัวคนอื่นก็ดี ตัวตนของสัตว์อื่นก็ดี หรือว่าวัตถุธาตุต่าง ๆ จะเป็นบ้าน เรือนโรง ต้นไม้ ภูเขาก็ตาม ก้าวเข้าไปหาความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา ท้ายที่สุดถ้าไม่ได้รับการบำรุงรักษาบูรณะซ่อมแซมก็พัง ระหว่างที่ดำรงอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ต่อให้เป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ยังมีความทุกข์โดยสภาพ คือ เสื่อมอยู่ตลอดเวลา แล้วท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือให้เรายึดถือมั่นหมายได้ ถึงเวลาตายไป เรือนชาน บ้านช่อง ที่ดิน รถรา ข้าวของ เครื่องใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์ กลายเป็นคนอยู่ข้างหลังเอาไปแบ่งปันกัน ในเมื่อการอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ ต้องการปัญญาที่มองเห็น เราจึงจำเป็นที่จะต้องทำสมาธิ เพราะว่าสมาธิช่วยให้จิตของเราสงบระงับ มีความผ่องใส ปัญญาก็จะเจิดจ้าสว่างไสวขึ้นมา ทำให้เรามองเห็นความเป็นจริงของร่างกายนี้ และความเป็นจริงในโลกนี้ เอาแค่ร่างกายของเราก่อน ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่อาบน้ำ ไม่แปรงฟัน ไม่เข้าส้วมไหวไหม ? นี่แค่พักเดียว แล้วถ้าหากว่าไม่อาบน้ำ ไม่ดูแลสัก ๓ วัน ๗ วันจะเป็นอย่างไร ? แม้แต่ตัวเราก็ทนตัวเราเองไม่ได้..! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2023 เมื่อ 00:16 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
ทุกวันนี้เราโดนอวิชชาคือความไม่รู้บดบังเอาไว้ มองข้ามความเป็นจริงไปอย่างน่าเสียดาย มองไม่เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้กำลังหลอกลวง กำลังปิดบังเราอยู่ เราก็ไปยึดมั่นถือมั่น นอกจากตัวกูของกูแล้ว ก็ยังมี ผัวกู เมียกู ลูกกู ทรัพย์สมบัติของกู ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ท้ายที่สุดก็คืนเป็นสมบัติของโลกไป แม้แต่ร่างกายนี้ก็สลายกลายเป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม คืนให้กับโลกไป
ในเมื่อต้องการปัญญา ก็ต้องการความเพียรด้วย ต้องการสัจจะคือความจริงจังด้วย ต้องการอธิษฐานคือความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยด้วย ต้องการขันติคือความอดทนอดกลั้นด้วย ไม่มีสักอย่างเลยใช่ไหม..? ตาย ๆ ๆ ๆ..! ไม่มีก็หาสิ..รู้แล้วนี่ว่าเราต้องการอะไรก็หาอย่างนั้น ถึงเวลาหาได้ก็รีบใช้งาน เราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏที่หาต้นหาปลายไม่ได้มานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แต่ละชาติที่ตายลงไป ถ้ากระดูกนี้ไม่สลาย โครงกระดูกของเราก็คงท่วมจักรวาลแล้ว รู้จักเข็ด รู้จักพอหรือยัง ? ถ้ายังไม่รู้จักเข็ด ยังไม่รู้จักพอ เราก็ยังต้องทนทุกข์ต่อไป เพราะว่าหนทางนี้เขาไม่กลัวคนมาก มาเท่าไรก็รับได้หมด ตราบใดที่ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ ก็ก่อให้เกิดกรรมคือการกระทำต่าง ๆ เมื่อเกิดการกระทำ ผลของการกระทำที่เรียกว่าวิบากก็กลับมาสนอง ก็ทำให้เราต้องเวียนว่ายไม่รู้จบ อยู่ในลักษณะของการ ต้องการ..ลงมือทำ..ทำแล้วรับผล..รับผลแล้ว..ต้องการอีก..ทำอีก วนเวียนไปเรื่อย ทุกข์อยู่แบบนี้ชาติแล้วชาติเล่า เกิดอยู่แบบนี้ชาติแล้วชาติเล่า อย่างที่บาลีว่า ทุกขา ชาติ ปุนัปปุนัง เกิดมาทุกข์แล้วทุกข์อีก ปุนับปุนัง ก็คือแล้ว ๆ เล่า ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น พวกเราเองเสียอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า นอกจากแปลบาลีไม่ได้แล้ว ภาษาไทยที่ครูบาอาจารย์พยายามสรุปให้ง่ายก็ไม่ค่อยจะศึกษา ถึงศึกษาก็อาจจะตีความเข้าข้างตนเองอีก ก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเรามีเวลามาก ติดไปว่า "ทำเมื่อไหร่ก็ได้ เดี๋ยวขอเขี่ยไลน์สักพักก่อนแล้วค่อยไปภาวนา" โถ.. อนาถมาก..! อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก ชีวิตเรามีอยู่แค่ชั่วลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าไม่เร่งรัดการปฏิบัติให้มากเข้าไว้ อาจจะตายลงไปเสียก่อนก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2023 เมื่อ 00:19 |
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
หลายท่านปฏิบัติอยู่ตรงนี้มาหลายปีแล้ว อาตมภาพได้รับตราตั้งสำนักปฏิบัติธรรมวัดท่าขนุนปี ๒๕๕๑ นับมาถึงวันนี้ก็ ๑๕ ปีแล้ว จัดปฏิบัติธรรมมาโดยตลอด บางท่านมาแล้วก็หายไป หายไปแล้วได้สติก็กลับมาใหม่ วนแล้ววนอีก ไม่ได้เรื่องสักที..!
การที่เราวนนั่นแหละคือวัฏฏะ แปลว่าการหมุนรอบ การหมุนรอบนี้จะยาวหรือว่าสั้นขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมของเรา ถ้าวาระนั้นกรรมส่งผลนาน วงรอบนี้ก็ยาว อาจจะหลายปีถึงหลายสิบปี ถ้าหากว่าบุญส่งผลให้ วงรอบนี้ก็สั้น อาจจะไม่กี่เดือน ไม่กี่ปี ได้สติ นั่งคร่ำครวญสักพักหนึ่ง แล้วก็ย่องมาแบบอาย ๆ หน่อย มาเถอะ..ไม่ต้องอายหรอก เป็นเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ..! แต่คราวนี้ถ้าหากว่าเรายังประมาทอยู่ บางทีไม่ทันจะบรรจบครบรอบให้เรามาทำความดีใหม่ ก็ตายไปเสียก่อน คราวนี้ก็เสียชาติเกิดเลย..! เพราะว่ากำลังใจที่ไม่มั่นคง โอกาสลงอบายภูมิมีสูงกว่ามาก จึงเป็นเรื่องที่พวกเราจะต้องรู้สำนึก และรีบตะเกียกตะกาย กอบโกยความดีใส่ตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าถึงเวลาโดนดีดหลุดวงโคจรไป ก็จะได้ไปไม่ไกลนัก หรือว่าไปไม่นานนัก วนกลับมาได้เร็ว ก็เท่ากับว่าเรารวบรับตัดทางในการเวียนว่ายตายเกิดของเราให้สั้นลงไป นั่งบ่นตรงนี้มา ๑๕ ปีแล้ว ถึงโยมไม่เบื่อ อาตมาก็เบื่อแล้วนะ..! มานั่งพูดได้ทุกงาน โยมได้สติขึ้นมาหน่อยก็ "เอ้า..จะเร่งทำความดีแล้ว" ลับหลังไปสองก้าวเท่านั้น ก็ไหลตามกระแสไปอีกแล้ว..! ถ้าเป็นลูกเป็นหลานนี่ฟาดก้นลายแล้วนะ..! เขาถึงได้บอกกันว่า "พระอาจารย์เล็กปากจัด ใครมาโดนด่าหมด..!" เพียงแต่ว่าท่านด่าไพเราะ บางทีฟังไม่รู้เรื่องหรอกว่าโดนด่า..! เพราะฉะนั้น..ควรที่จะได้สติ ไม่ใช่สิ้นสติ ได้สติแล้วก็เร่งรัดกอบโกยความดีใส่ตัว วัดท่าขนุนไม่ได้เปิดบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมทุกวัน แต่ปีหนึ่งก็เปิดหลายรุ่น รุ่นนี้ก็เป็นรุ่นที่ ๗ เข้าไปแล้ว รุ่นหน้าจะเป็นรุ่นสุดท้ายของปีนี้ ก็คือช่วง ๕ ธันวาคม แล้วก็วนรอบใหม่ รุ่น ๑ ของปี ๒๕๖๗ จะอยู่ถึงกันไหม ? ถ้าไม่ถึงก็ตรงนี้แหละ กอบโกยให้เต็มที่ บรรลุวันนี้เลยก็ไม่มีใครอิจฉาหรอก..! ไปเถอะ..บ่นมากคนเขาเบื่อหน้า สมาทานพระกรรมฐานเข้าสู่การปฏิบัติกันดีกว่า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-10-2023 เมื่อ 00:23 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๖ ใครเลี้ยงไอ้แหนม ? ไอ้แหนมตายแล้ว หมาพวกนี้บุญดีกว่าคน ตายปุ๊บก็มีคนถวายสังฆทานให้ปั๊บ ส่วนพวกเราตายแล้วก็แหงนคอรอคอยไปนะ เพราะฉะนั้น..ทำเองเถิด ดูที่ท้ายรถสิบล้อสิ "ความดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ให้ทำเอง" พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง นาญโญ อัญญัง วิโสธเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำอีกบุคคลหนึ่งให้บริสุทธิ์หาได้ไม่ ก็คือไม่ได้นั่นแหละ ถ้าทำได้..พระพุทธเจ้าเสกพวกเราไปนิพพานกันหมดแล้ว..! เพราะฉะนั้น..สำนักไหนที่สามารถอาบแสงทิพย์อริยธรรม เพื่อเลื่อนชั้นความเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็ลอง ๆ ไปดูนะ เผื่อว่าจะได้บ้าง อย่าเพิ่งไปปฏิเสธเขาทีเดียว เรื่องพวกนี้ต้องทำตัวมืดหน้าตามัว อย่าฉลาดมากนัก เดี๋ยวเขาหลอกเราไม่ได้..เอ๊ย..ไม่ใช่ พูดผิด..ขอโทษ แก่แล้วเริ่มเลอะเทอะ..! สมัยนี้เขามีหากินง่าย ๆ ต่อเส้นชะตา เส้นวาสนา เส้นโชคลาภ ในเรื่องของรูปธรรมนามธรรม ร่างกายของเราเกิดมาจาก "เราทำมาเอง" ในเมื่อเราทำมา ก็ได้แค่นี้แหละ มีอย่างเดียวคือเพียรพยายามทำในชาตินี้ให้มากขึ้น ถ้าทำได้มากพอ ยาวนานพอ ปลาย ๆ ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น ถ้าหากว่าไม่พอก็ชาติต่อไปจะดีขึ้น ไม่ใช่ไปขีด ๆ เขียน ๆ ลายมือแล้วรู้สึกสบายใจ นั่นไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรมที่เราทำ ตัวเราทำเราถึงได้ ใครเวลาเจออะไรทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน พยายามคิดให้ได้ว่า "เพราะเราทำเอง เราถึงต้องเป็นอย่างนี้" "เพราะเราทำเอง เราถึงเจอกับเรื่องแบบนี้" ถ้าไม่ทำไม่มีใครได้เจอหรอก ให้รู้เอาไว้ว่าตัวเราก่อนหน้านี้เกเรเอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นไม่เจอแบบนี้หรอก ดูนิสัยชาตินี้ก็รู้แล้ว..ใช่ไหม ? ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนคิดบวก เจอหน้าใครก็พร้อมบวก..! คนคิดบวกเขาให้คิดแต่เรื่องดี ๆ ไม่ใช่คิดแต่จะบวก..! พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันนวมินทรมหาราช ๒๕๖๖ ณ วัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ - วันอาทิตย์ที่ ๑๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-12-2023 เมื่อ 00:58 |
สมาชิก 16 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|