|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
คนเป็น ๆ ไม่ใช่รูปหล่อนะครับ รอจนพวกเราขึ้นไปได้ที่นั่งก็หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ศากยบุตรพุทธชิโนรสทั้งหลายจึงได้แต่ยืน ทั้งที่พระตถาคตตรัสห้ามบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างเด็ดขาด อาตมาบันทึกภาพ "พระยืน" ที่มีหลวงพ่อพระครูเรือง มหากังวาล และสมุห์สุมิตรที่อยู่ใกล้สุดไว้เป็นที่ระลึก "รถเมล์ยูโร" พามาเลี้ยวขวากลับรถตรงที่มีร้านขายของที่ระลึกเรียงรายริมกำแพงใหญ่ แล้วจอดปล่อยคนทั้งหมดลงกันที่นี่... มัคคุเทศก์รูปหล่อเรียกรวมพล ชี้ไปที่ต้นเมเปิลไม่ใหญ่นักสองต้น ซึ่งข้างใต้มีเก้าอี้ยาวมีคนนั่งเต็มไปหมด บอกว่าให้พวกเราเดินกันโดยอิสระ สุดร้านขายของนี้ จะเป็นประตูเข้าไปยังหอเอนปีซ่า จะไปชมโบสถ์ หอเอน ถ่ายรูป หรือซื้อของก็ได้ มีเวลาให้จนถึงบ่ายสองโมง แล้วมารวมตัวกันที่ใต้ต้นเมเปิลนี้ ยังไม่ทันที่จะพูดจบ ก็เหลือพวกเราอยู่กันแค่ ๔ - ๕ รูป ที่เหลือถ้าไม่ไปดูสินค้าก็เดินตรงไปยังด้านที่เป็นประตูทางเข้ากันหมดแล้ว... อาตมาเดินเลาะร้านค้าไปเรื่อย จนสุดร้านก็เห็นกำแพงอิฐสูงลิ่วที่มีใบเสมาสี่เหลี่ยม เสียงคนขายของทักว่า "สวัสดีครับ" อย่างชัดเจน ถามว่าเป็นคนไทยหรือ ? อีกฝ่ายบอกว่าเป็นบังคลาเทศ พูดไทยได้แค่นี้แหละ อาตมายังไม่คิดที่จะซื้ออะไร จึงเดินไปตามกำแพง เห็นมีคนแต่งตัวแบบสมัยเรอเนสซองส์ ใส่วิกผมสีขาว ทาหน้าขาววอกยืนเป็นหุ่นให้ถ่ายรูป ถัดไปอีกหน่อยเป็นคนใส่ชุดสากลสวมหมวก ทาสีทั้งเสื้อผ้าเนื้อตัวเป็นสีทองเหลือง นั่งเก้าอี้อากาศนิ่งเหมือนหุ่นหล่อจากทองเหลือง ตรงหน้ามีกล่องสำหรับรับบริจาคเงินวางอยู่ ใครไปถ่ายรูปก็โยนเหรียญลงกล่องให้... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-11-2015 เมื่อ 15:26 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ภายในจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) "ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ผู้ที่จะแสดงเป็นหุ่นแบบนี้ได้ ต้องผ่านสถาบันฝึกการแสดงมาอย่างน้อยก็สองปี ถึงจะมาฝึกหาประสบการณ์พร้อมกับหาเงินอย่างนี้ได้" ตูมีมัคคุเทศก์เถื่อนอีกแล้ว ฮ่า..! "ท่านผู้นำ" ค้อนขวับผิดวิสัยชายชาติทหาร แล้วยืนเอามือไขว้หลัง "ตามระเบียบพัก" ไม่เดินตามมาเสียอย่างนั้น เป็นเทวดาอย่าให้กิเลสเกิดมากซีครับ เดี๋ยวก็ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันพอดี..! ผ่านร้านค้าที่ขายน้ำหวานและผลไม้ต่าง ๆ เห็นราคาองุ่น ปอนด์ละ ๕ ยูโร เชอรี่ ปอนด์ละ ๕ ยูโร แสดงว่าตอนเพลได้ฉันของแพงจากพระครูโจไปแล้ว ส้มแทนเจอรีน ปอนด์ละ ๒.๘ ยูโร มะเขือเทศลูกใหญ่ ปอนด์ละ ๓.๕ ยูโร แอปเปิลเขียว ปอนด์ละ ๓ ยูโร แต่แอปเปิลแดงที่น่าจะเป็นพันธุ์วอชิงตัน ปอนด์ละตั้ง ๕ ยูโร อาตมาชอบแอปเปิลเขียวที่เปรี้ยวกว่าแถมราคาถูกกว่าอีกด้วย แต่เนื้อมะพร้าวที่บ้านเราใช้ทำกะทิ ที่นี้ขายชิ้นเล็กไม่ถึงฝ่ามือ ชิ้นละ ๑ ยูโร แพงบรรลัยเลย..! ร้านค้าขายแทบทุกร้านจะมีของที่ระลึกจำพวกโปสการ์ด พวงกุญแจ โมเดล ภาพวาด ที่เป็นรูปหอเอนปีซ่า อื่น ๆ ก็เป็นพวกเสื้อผ้าและข้าวของทั่วไป เมื่อสุดร้านค้าก็เป็นประตูเข้าไปสู่ลานของจตุรัสเปียซซ่า เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) เห็นหอรับศีลจุ่ม (Duomo) ที่เป็นโดมมหึมา ถัดไปเป็นตัวโบสถ์ อาคารทั้งสองหลังตั้งอยู่บนสนามหญ้าเขียวขจี ซึ่งมีเสาคอนกรีตร้อยสายโซ่กันเอาไว้ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะผู้คนนับร้อยทั้งหญิงและชาย กำลังนอน "ปิ้งตัวเอง" กลางสนามในแสงแดดจัดจ้าอย่างมีความสุข และด้านหลังโบสถ์ที่เอนเอียงแบบเท่มาก ก็คือหอเอนแห่งเมืองปีซ่าซึ่งมีชื่อเสียงก้องโลก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2015 เมื่อ 04:03 |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
เอาที่สบายใจเลย..! ทางขวามือเป็นอาคารก่ออิฐลักษณะเหมือนป้อมปราการ ตรงกลางตัวอาคารที่ยกซุ้มขึ้นไปเป็นหอระฆังเล็ก ๆ มีนาฬิกาเรือนใหญ่ติดอยู่ด้วย ด้านหน้าอาคารตั้งเต็นท์ร้านขายของที่ระลึก ติดต่อกันยาวเหยียดหลายสิบร้าน อาตมาอยากได้รูปตรงนี้สักรูป มหากังวาลก็เดินไปไกลแล้ว หันมาเจอหลวงพ่อพระครูเลิศเดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยตามมา จึงขอให้ท่านช่วยถ่ายรูปให้หน่อย ท่านเอาไอแพดของตัวเองหนีบไว้ใต้แขน รับกล้องของอาตมาไปถ่ายให้ เมื่อรับคืนมากดดูรูปอาตมาก็ถอนหายใจเฮือก ตัวเองได้ครึ่งบน ส่วนหอรับศีลจุ่มได้ครึ่งล่าง ไม่มีส่วนประกอบอื่นที่น่าสนใจเลย..! ทั้งที่เป็นช่วงเวลาอาหารกลางวัน แต่ผู้คนก็ยังแน่นมาก บรรดาวัยรุ่นทั้งชายหญิง ต่างก็หามุมถ่ายรูปตัวเองกับหอเอนแบบสุดฤทธิ์สุดเดช บ้างก็ผลักให้ล้ม บ้างก็ดันเอาไว้ บางคนหยิบเลยก็มี รายหนึ่งกระโดดถีบเลย ถ้าถ่ายถูกมุมก็คือถีบหอจนเอนนั่นเอง สาวน้อยนางหนึ่งนอนกับพื้น เอาเท้าพาดอากาศ เหมือนกำลังพาดกับหอ อีกหลายรายโดดขึ้นไปยืนทำท่าบนเสารั้วคอนกรีต บางคนแอ่นอกที่แม่ให้มามาก ดันจนหอเอนกระเท่เร่ เพื่อนฝูงที่ช่วยถ่ายรูปก็กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ เด็กชายฝรั่งอายุไม่น่าจะเกินสิบขวบ วิ่งมาเกาะจีวรขอถ่ายรูปด้วย พอคุณแม่ถ่ายให้ก็วิ่งไปดูรูปชนิดลืมขอบคุณไปเลย... เดินจนเลยโบสถ์มาถึงหน้าหอเอน มีรูปปั้นเด็กอ้วนสามคนกำลังแบกป้ายซึ่งมีอักษร OPA ที่ฐานรูปปั้นเป็นก๊อกน้ำสาธารณะรูปเด็กกำลังฉี่ "เล็ก..เล็ก..ถ่ายรูปให้หน่อยสิ" หันไปเจอท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ส่งกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่มาให้ อาตมารับมาปรับหน้ากล้องไปที่อินฟินิตี้ แล้วถ่ายรูปท่านหัวหน้าภาควิชาที่ "เก๊กหล่อ" กับหอเอนไปสามรูป ท่านรับกล้องของตัวเองคืนไป แล้วเอากล้องของอาตมาถ่ายรูปคืนให้บ้าง จากนั้นก็ตรงไปร่วมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ที่กำลังจะถ่ายรูปหมู่กันอยู่... |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
รูปหมู่ครั้งนี้ขาดเพื่อนไป ๔ - ๕ รูป บรรดาฝรั่งนอกจากรุมถ่ายทั้งที่เรายังรวมกลุ่มไม่เสร็จแล้ว ยังขอเข้ามามีส่วนร่วมในภาพถ่ายด้วย โดยเฉพาะบรรดาแหม่มทั้งหลาย หลวงพ่อพระครูชุบวิ่งเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ขาดท่านอาจารย์คณบดี พระครูด็อกเตอร์ หลวงพ่อพระครูเรือง มหากังวาล และองปลัด ซึ่งไปเดินอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ? ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐและท่านอาจารย์ตู๋ช่วยรับสารพัดกล้องเป็นสิบตัวไปถ่ายให้ "สวยมากค่ะ เดี๋ยวพอมีคลื่นหนูจะอัพลงเฟซบุ๊กให้ ใครต้องการไปโหลดเอาเลยนะคะ" "หญิงใหญ่" ว่าไปโดยลืมนึกถึงอาตมาที่เป็น "เด็กหลังเขา" ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กกับใคร... หลังจากสลายกลุ่มที่เป็นจุดสนใจของฝรั่งสุด ๆ แล้ว ถามดูทราบว่าถ้าจะขึ้นไปบนหอเอนต้องจ่ายเงินต่างหาก ประกอบกับใกล้จะถึงเวลานัดหมาย อาตมาจึงเดินเลาะข้างโบสถ์เพื่อกลับออกไป มีเด็กฝรั่งแอบถ่ายรูป อาตมาจึงหยุดเดินหันไปหากล้องให้เต็ม ๆ หนุ่มน้อยยิ้มอาย ๆ แต่ก็รีบถ่ายเพิ่มโดยด่วน ในสนามข้างโบสถ์มีอีกาฝรั่ง (Raven) กับนกเอี้ยงลาย (Starling) เดินหาแมลงอยู่หลายตัว อาตมาถ่ายรูปแล้วเดินมาถึงหน้าโบสถ์ เจอหลวงพ่อพระครูญาเอากล้องเล็กจิ๋วของท่านถ่ายรูปโบสถ์อยู่ อาตมาจึงถ่ายรูปให้ด้วยกล้องของอาตมาเอง โดยบอกว่าเมื่อถึงเวลาจะส่งรูปให้กับพระครูกล้า ท่านจะได้โหลดไปถวายให้ที่วัด... ถึงจะมัวแต่ถ่ายรูปอยู่ ก็ยังเดินมาทันหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านขอให้ถ่ายรูปของท่านกับโบสถ์และหอเอนให้ด้วย เสร็จแล้วอาตมาจึงเดินช้า ๆ เป็นเพื่อนท่าน จนออกมาถึงร้านขายของที่ระลึกด้านนอก บริเวณร้านที่สามมีพวกเราหลายรูปและคุณโอ๋กำลังซื้อสินค้าอยู่ พวงกุญแจรูปหอเอนแบบต่าง ๆ ราคา ๕ พวง ๖ ยูโร มัคคุเทศก์รูปหล่อรับประกันว่าร้านนี้ราคาถูกที่สุด อาตมาเลือกมา ๑๐ พวง ส่งเงินไปให้ ๑๒ ยูโร เจ้าของร้านเอาใส่ถุงเล็กให้ และหยิบเพิ่มมาให้อีก ๒ พวง จึงกลายเป็นราคาพวงละ ๑ ยูโร ความจริงแล้วพวงกุญแจเป็นของฝากที่ผู้รับ "เซ็งเป็ด" ที่สุด แต่อาตมามักจะไม่มีอารมณ์จะซื้อของฝากใคร คนได้พวงกุญแจไปถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2015 เมื่อ 08:11 |
สมาชิก 108 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ขวดเล็ก ๖๐ บาท ขวดใหญ่ ๘๐ บาท พระครูปรีชาเห็นว่าอาตมาได้พวงกุญแจไปในราคาพวงละ ๑ ยูโร จึงขอให้ช่วยพูดกับเจ้าของร้าน จนได้ไปในราคาเดียวกัน แล้วอาตมาก็เดินออกมาก่อน รู้สึกกระหายน้ำจนคอแห้งผาก ผ่านร้านที่มีน้ำขวดวางขาย เห็นน้ำขวดเล็กราคา ๑.๕ ยูโร ขวดใหญ่ ๒ ยูโร อาตมาควักใบละยูโรส่งให้ ๒ ใบ "Aqua, The large one." แหม่มเจ้าของร้านรูปร่างอ้วนใหญ่ ที่กำลังตักไอศกรีมให้ลูกค้า เปิดตู้แช่หยิบน้ำขวดใหญ่เย็นเจี๊ยบมาส่งให้ "Normal, not cold." หล่อนจึงเก็บขวดเดิมเข้าตู้ และหยิบขวดใหม่ไม่ได้แช่เย็นออกมาจากลังส่งให้ พร้อมกับรับเงินไปหย่อนใส่กระป๋องข้างตัว... อาตมาเปิดน้ำกรอกลงไปเกือบครึ่งขวด เดินมาทันหลวงพ่อพระครูเลิศจึงสะกิดท่านส่งน้ำไปให้ ท่านกรอกน้ำที่เหลือลงคอรวดเดียวเกือบหมด... "ดีเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย..กำลังหิวน้ำแทบตาย ไปขอซื้อเขาก็สั่นหัวไม่ขายให้" "หลวงพ่อพูดไม่ชัด เขาเลยไม่เข้าใจมั้ง ?" "ผมก็ว่า Water ชัด ๆ แล้วนะครับ" "ถ้าอย่างนั้นอดแน่ครับ ในยุโรปนี่ส่วนมากเขาเรียกน้ำว่า Aqua คำเดียวกับ Aquarium ที่แปลว่าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนั่นแหละครับ" "อ้าว..ผมไม่รู้นี่ ตอนเรียนภาษาอาจารย์ท่านก็ไม่เคยบอกให้เรียกแบบนี้"
|
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
มาเจอก๊อกน้ำตอนที่จ่ายเงินไปแล้ว เดินคุยกันไปถึงจุดนัดพบ เห็นเก้าอี้ใต้ต้นไม้มีที่ว่าง อาตมาทั้งสองจึงนั่งลง แล้วเห็นอะไรรู้ไหม ? ก๊อกน้ำสาธารณะ..! ฮ่วย..มาพบไม้งามยามจ่ายเงินไปแล้ว แต่ก็ลุกไปเปิดน้ำใส่ขวดจนเต็มเหมือนเดิม กลับมานั่งได้ครู่หนึ่ง มหากังวาล หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ท่านไพฑูรย์และพระครูปรีชาก็ทยอยกันมา อาตมาส่งน้ำไปให้ ทุกคนเวียนกันดื่มแบบกระหายจัดกันทั้งนั้น จนอาตมาต้องไปเติมจากก๊อกถึงสองรอบ... "คุณมืด" หอบผ้าพันคอสวย ๆ เต็มอ้อมแขนมาเสนอขาย อาตมาถามราคาอีกฝ่ายตอบว่า ๒ ผืน ๕ ยูโร ถามว่ามาจากไหน ? "เซเนกัล..คุณเป็นเพื่อนผมนะ ของดีราคาถูก ๒ ผืน ๕ ยูโรเท่านั้น" อาตมาไม่มีนิสัยคบเพื่อนด้วยการซื้อของ จึงชี้ไปที่มหาประโยค ๙ รูปเดียวของรุ่น "คุณมืด" รีบรี่เข้าไปเสนอขาย มหากังวาลเก่งแต่ภาษาบาลี เจอภาษาอังกฤษสำเนียงเซเนกัลเลยฟังไม่ทัน บอกให้อาตมาต่อราคา ๓ ผืน ๕ ยูโรได้ไหม ? "โอเค...โอเค...๖ ผืน ๑๐ ยูโร" โอเคบิดาคุณนะซี...ตูจะเอาไปทำซากอะไรเยอะแยะขนาดนั้น..! "คุณมืด" อีกรายหอบร่มแบบพับได้เข้ามาเสนอขาย ๒ อัน ๕ ยูโร อะไรวะ ? ของแถวนี้ทุกอย่างราคาสองชิ้นห้ายูโรหมดเลยหรือ ? "๔ อัน ๘ ยูโร" พระครูปรีชาบอกให้ต่อราคา "เฮ้ย..เดี๋ยวเขาให้จริง ๆ ต้องซื้อนะโว้ย..!" อีกฝ่ายเลยหุบปากเงียบ พวกเราทุกคนมากันเกือบครบ แม้แต่คุณโอเล่ที่ไม่เห็นหน้าตั้งแต่ลงรถก็มาแล้ว สักครู่พระครูโจก็หอบผ้าพันคอมาหลายผืน "ราคาเท่าไร ?" พระครูกล้าถาม "๓ ผืน ๕" อีกฝ่ายเด้งดึ๋งขึ้นมาจากท่านั่ง "ร้านไหน ? พาไปที...ผมจะซื้อบ้าง" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2015 เมื่อ 06:34 |
สมาชิก 100 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
กลับไปที่ลานจอดรถตามเดิม (รูปนี้ถ่ายจากหน้าต่าง "รถเมล์ยูโร") สรุปว่าพระครูโจโดนเพื่อนลากไปอีกจนได้ พระครูกล้าจะเอา "ว่าที่หลวงพ่อตา" ไปด้วย แต่หลวงพ่อพระครูญาคงเดินไม่ไหวแล้ว จึงควักเงินส่งให้ ๑๐ ยูโร บอกว่า "เอามา ๖ ผืนเลย" ดีที่ "คุณมืด" ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นคงประท้วงเสียงหลงว่า ๖ ผืน ๑๐ ยูโรก็ยอมขายให้แล้ว ทำไมไปซื้อจากร้านอื่น ? พอดี "รถเมล์ยูโร" มาถึง คุณโอ๋ต้องวิ่งไปตามพระครูกล้ากับพระครูโจ ปล่อยให้คุณโอเล่ต้อนพวกเราขึ้นรถ อาตมาที่อาศัยความคล่องตัวมุดขึ้นไปเป็นคนแรก ได้ที่นั่งติดริมหน้าต่าง ท่านอื่น ๆ มัวแต่เกรงใจปล่อยให้บรรดาฝรั่งขึ้นก่อน จึงต้องดำรงตนเป็น "พระยืน" กันโดยทั่วหน้า... พระครูกล้า พระครูโจ กับคุณโอ๋กลับมาทันขึ้นรถพอดี ได้ยินประมาณว่า "แพงกว่าที่เขาเอามาขายถึงที่อีก" แต่อาตมาไม่ได้ติดตามว่าตกลงได้ซื้อหรือไม่ ? และราคาเท่าไร ? สงสัยว่า "รถเมล์ยูโร" จะบรรทุกน้ำหนักเกิน เพราะตอนตีวงเลี้ยวกลับ ท้องรถขูดพื้นดังครืดใหญ่ เมื่อตั้งลำได้ก็วิ่งมาส่งพวกเราลงที่ข้างลานจอดรถเดิม มัคคุเทศก์รูปหล่อโทรศัพท์หานายสันโดษ แจ้งว่าพวกเรามารอกันที่เดิมแล้ว ให้วนรถกลับมารับได้ อาตมาและหลายท่านปวดปัสสาวะ แต่พอเดินไปถึงหน้าห้องน้ำข้างลานจอดรถ เจอราคา ๑ ยูโรอาตมาก็ถอยกลับ ฉี่ที ๔๐ บาทไม่ได้คุ้มกันเลย..! |
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
"ท่านผู้นำ" ว่านักท่องเที่ยวเก็บลูกสนที่อยู่ข้างล่างไปหมด คุณโอ๋ชี้ไปยังแนวต้นสนที่ขนาบสองฝั่งของถนน บอกว่านายสันโดษให้พวกเราไปรอตรงนั้น เมื่อเดินไปถึงก็เห็นว่าต้นสนที่ไม่ใหญ่นักนั้น มีลูกอยู่เฉพาะช่วงบน ๆ ขนาดต้องกระโดดจึงจะเก็บถึง ช่วงล่างมีแต่ใบล้วน ๆ ฝีมือนักท่องเที่ยวครับ เก็บเอาไปเป็นที่ระลึกจนหมด ท่านผู้นำ คงจะหายงอนแล้ว แอบย่องมาทำหน้าที่มัคคุเทศก์เถื่อนต่อ ความจริงเป็นงานที่เท่มากนะนี่ ไม่มีใครสามารถจับไปปรับโทษฐานที่ไม่มีใบอนุญาตได้เลย... พอตากแดดกันจนหัวแดงได้ที่นายสันโดษก็นำรถมาถึง เมื่อพวกเราตะกายขึ้นไปครบคุณโอเล่ก็เอาน้ำดื่มมาแจก พร้อมกับบอกว่า เป็นชุดสุดท้ายของน้ำดื่มจากเมืองไทยแล้วนะคะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ต้องซื้อน้ำดื่มของที่นี่กันแล้ว เสียงประท้วงกันให้ขรมว่าที่นี่หาน้ำดื่มยาก ที่พอมีก็อยู่ในระดับ แพงโคตร มัคคุเทศก์รูปหล่อหัวเราะชอบใจ... ที่นี่เขาดื่มน้ำก๊อกกันครับ น้ำประปาของยุโรปสะอาดเป็นอันดับหนึ่งของโลก น้ำขวดถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยจึงราคาค่อนข้างแพง พระอาจารย์ทุกท่านอย่าไปคิดเป็นเงินไทยสิครับ ให้คิดว่าขวดหนึ่งสองยูโรก็แค่สองบาทเท่านั้น นี่ถ้าไปเจอน้ำแร่จะแพงกว่านี้อีกครับ ขวดหนึ่ง ๖ ๘ ยูโรทีเดียว |
สมาชิก 97 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
มารับบัตรผ่านทางที่ด่านนี้ นายสันโดษนำรถออกจากเมืองปีซ่า วิ่งข้ามลำรางเล็ก ๆ แล้วเลี้ยวขวา ไปได้หน่อยหนึ่งก็ข้ามสะพานที่มีแม่น้ำสายไม่ใหญ่นัก กว้างประมาณ ๑๐ เมตรเห็นจะได้ วิ่งไปสักสองนาทีก็เข้าสู่ถนนสายหลักกว้างหกเลน (ไปสามเลน มาสามเลน) อึดใจต่อมาก็เจอด่านนักเลงเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งต้องรับบัตรผ่านทางแบบถนนบูรพาวิถีของบ้านเรา ซึ่งน่าจะไปจ่ายเงินปลายทางเหมือนกันด้วย... “เรายังอยู่ในแคว้นทัสคานี (Tuscany) นะครับ แต่วันนี้เราจะมุ่งไปทิศตะวันออก เพื่อไปเที่ยวเมืองโบราณที่มีอายุถึง ๗๐๐ ปี อยู่ในยุคเดียวกับกรุงสุโขทัยของเรา คือ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) หรือที่ภาษาอิตาเลียนเรียกว่าเมืองฟีเรนเซ่ (Firenze) เมืองนี้ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน (Arno River) แม้จะอยู่แคว้นเดียวกันแต่ต้องวิ่งข้ามเมือง ประมาณว่าจากปทุมธานีไปสมุทรปราการ... แคว้นทัสคานีเป็นแคว้นที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ศาสนา วัฒนธรรม และอุตสาหกรรม ของประเทศอิตาลี สามารถผลิตไวน์ที่มีรสชาติอร่อยมาก เป็นเมืองต้นกำเนิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) โดยเฉพาะเป็นบ้านเกิดของสุดยอดนักศิลปวิทยาผู้ยิ่งใหญ่คือ มิเคลันเจโล (Michelangelo)ซึ่งออกจากบ้านเกิดไปเติบโตและสร้างผลงานเอาไว้ที่เมืองฟลอเรนซ์” มัคคุเทศก์รูปหล่อทำหน้าที่อย่างแข็งขัน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2015 เมื่อ 06:02 |
สมาชิก 99 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
เลี้ยวขวาไปเมืองฟลอเรนซ์ นายสันโดษทำหน้าที่แบบไม่มีปากไม่มีเสียง อะไรจะรักสงบปานนั้น พารถวิ่งผ่านท้องนาที่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยว บางช่วงเป็นไร่องุ่นที่ยังปลูกไม่นาน เพราะต้นยังเล็กอยู่มาก “ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศดีมากของอิตาลี เพราะมีแดดจัดตลอดวัน พวกเราเจอแดดแล้วเดินหลบ แต่ฝรั่งจะนอนอาบแดดอย่างมีความสุข พอพวกเราเห็นหิมะก็วิ่งเข้าไปเล่น จนฝรั่งเขาสงสัยว่าเล่นไปทำไม ? หนาวจะตาย..!” แสดงว่าหนุ่มโอ๋ยังไม่เข้าถึงคำว่า “แสวงหาในสิ่งที่ตนขาด” อย่างแน่นอน... ป้ายจราจรสีเขียวคาดขาว ระบุถนนสาย A 11 ให้เลี้ยวขวาไปทางเมือง Lucca และ Firenze นายสันโดษนำรถเลี้ยวขวา เจ้าประคุณเถอะ..เกือบจะวนเป็นวงกลมเลย ขึ้นมาบนไฮเวย์ที่เปรียบเหมือนกับทางด่วนบ้านเรา แต่พลขับก็ยังรักษาความเร็วที่ ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างคงเส้นคงวา ช่วงนี้ท้องนาเริ่มกลายเป็นภูเขา มีเมืองเล็กเมืองน้อยซุกตัวอยู่ตามหุบเขาเป็นระยะไป ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐเห็นพวกเราส่วนหนึ่งหลับไปแล้ว จึงขอไมโครโฟนมาครวญเพลงกล่อมซะเลย... “เจื้อยแจ้วแว่วเสียงสำเนียงขับร้อง ดังเพลงมนต์รักแม่กลอง ล่องลอยพลิ้วหวานซ่านมา กล่อมสาวงามบ้านอัมพวา มนต์รักแม่กลองแว่วมา เหมือนสายธาราแม่กลองรำพัน ฯลฯ” เพลงมนต์รักแม่กลอง ขับร้องโดยพิเชฐ ศรีสุโขทัย แทนศรคีรี ศรีประจวบ... “อย่างเข่าเดือนฮก ฝนก็ต๊กพรำๆ กบมันก็ร้องงึมงำ ระงมไปทั่วท้องนา ฝนต๊กทีไรคิดถึงขวัญใจของข้า แม่ดอกโสนบ้านนา น้องเคยเรียกข้าพ่อดอกสะเดา ฯลฯ” เพลงฝนเดือนหก ขับร้องโดย พิเชฐ แหลมฉบัง แทนต้นฉบับของรุ่งเพชร แหลมสิงห์... “ขวัญหาย...จดหมายของแม่ส่งมา เนื้อจดหมายเขียนว่า ทุกข์ตรมเจียนบ้า นาฝนแล้ง พ่อก็ซ้ำมีอันต้องตาย เพราะมีโจรปล้นควาย ใช้อุบายเสแสร้ง ทั้งยิงแทงพ่อยับ..ดับสิ้นใจ ฯลฯ...” ไลน์ เอ๊ย..จดหมายจากแม่ โดยพิเชฐ รุ่งทั้งวัน ขับร้องแทนเสรี รุ่งสว่าง... “โอ..โอ๊..โอละเน้อ..เออ..เอ่อ..น้องพร พรจ๋าพร..คืนนี้ขอนอนบ้านพรด้วยได้ไหม พี่คนบ้านไกล ขอมาอาศัย อย่าได้ตัดรอน ฯลฯ..” รักน้องพร แต่อย่าเขียนเป็น Porn เพราะน่าเกลียดมาก พิเชฐ รุ่งสะเดา จากบ้านทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย ขับร้องแทน สดใส รุ่งโพธิ์ทองครับ... |
สมาชิก 98 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
มาจอดให้ลงแถวถังขยะพอดี ขึ้นเขาลงห้วย มุดเข้าอุโมงค์สั้น ๆ อีกหลายแห่ง ประมาณชั่วโมงเศษรถก็เริ่มเข้าสู่เขตเมือง บ้านเรือนหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเข้าสู่ใจกลางเมือง ผ่านย่านที่อยู่อาศัยลักษณะของแฟลตที่มีหลายชั้น แต่ทางเข้าเป็นประตูไม้ติดรหัสบานเดียว อย่าคิดว่าบ้านของเขาดูเก่า ๆ โทรม ๆ นะครับ ข้างนอกที่เก่าเพราะผ่านมาหลายสิบหรือเป็นร้อยปี แต่ข้างในจะตกแต่งหรูหรามาก มัคคุเทศก์รูปหล่อที่ไม่ยักหลับไปตามเสียงเพลง ขอไมโครโฟนคืนไปได้ก็บรรยายต่อ... ผ่านสถานีรถรางที่มั่นใจว่าเป็นรถรางไฟฟ้า มีป้ายบอกว่า ALAMANNI STAZIONE มีคนรอคิวขึ้นกันแน่นทีเดียว ข้างสถานีมีรถจักรยานจอดเรียงกันเป็นตับ มาถึงสามแยกนายสันโดษเลี้ยวขวา แล้วชิดขวาจอดให้พวกเราลงตรงที่เป็นถังทิ้งขยะสเตนเลสเรียงรายเป็นแถวยาว อาตมาลงไปแล้วถ่ายรูปถังขยะที่หน้าตาดูดีมากเอาไว้ พร้อมกับลองเหยียบเปิดถังดูสภาพข้างใน เห็นเป็นหลุมลึกลงไป เงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นว่า พฤติกรรมนี้โดนท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเก็บภาพไปแล้ว... ตรงนี้เป็นสถานีขนส่งหมอชิต เอ๊ย..สถานีขนส่งเมืองฟลอเรนซ์ นิมนต์พระอาจารย์ทุกท่านไปเข้าห้องน้ำที่ด้านในกันก่อนครับ เสร็จแล้วเราจะได้เดินเที่ยวเมืองนี้กัน มัคคุเทศก์รูปหล่อพาเดินยาวเลาะชานชาลาด้านนอกเข้าไป ช่วงนอกนี้เป็นท่าเทียบรถที่จะไปยังเมืองต่าง ๆ มีคนนั่งรอเวลารถออกอยู่บนม้ายาวไม่น้อยทีเดียว ด้านในที่เป็นห้องกระจกมีคนหนาแน่นกว่าข้างนอกตั้งเยอะ มีทั้งที่นั่งฟังเพลง อ่านหนังสือ กินอาหาร ฯลฯ สารพัด... |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
เข็มกันนกที่ "โหดสลัด" ห้องน้ำอยู่ท้ายสุดของสถานี ข้างบริเวณห้องขายตั๋ว อาตมาที่ปวดฉี่มานานพอเห็นป้าย WC ก็รี่เข้าไปหา แต่เจอ “คนติด” แถวยาวไม่น้อย มีชายวัยกลางคนใส่แว่นมีสายคล้องคอ ในเสื้อยืดคอปกสีเขียวขี้ม้า นั่งเก็บเงินค่าห้องน้ำคนละ ๖๐ เซ็นต์ ใครต้องการกระดาษชำระ ต้องจ่ายอีกห่อละ ๑ ยูโร ชอบใจแผงเก็บเงินของเขา ที่มีช่องสำหรับใส่เหรียญขนาดต่าง ๆ รับไปก็ใส่ไว้เป็นแถวได้เลย... เมื่อถึงคิวอาตมาก็ผลุบเข้าห้องน้ำไป เมื่อเคยเจอส้วมหลุมมาแล้ว กลิ่นฉุนกึกที่ปะทะหน้าจึงพอทน จัดการปลดทุกข์เบาอยู่นานเพราะอั้นไว้ เสร็จแล้วกดน้ำราดก่อนที่จะออกมา ด้วยเหตุที่เพื่อน ๆ ยังเข้าแถวรอกันอีกหลายรูป จนกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาฝรั่งทั้งหลาย อาตมาจึงเดินแยกออกมาไม่ไกลนัก ถ่ายรูปมุมต่าง ๆ และดูการจองตั๋วเพื่อเดินทางของพวกเขาด้วย... ซุ้มจองตั๋วรถบัส euro lines มีตัวหนังสือแสดงสถานที่ไป ได้แก่ Roma (โรม) Milano (มิลาน) Bologna (โบโลญญา) Venezia (เวนิส) Torino (ตูริน) Napoli (นาโปลี) มีไปถึง Bermuda (เบอร์มิวดา) ด้วย เมื่อเงยหน้าขึ้นกวาดตาดูภูมิประเทศก็เจอของแปลก ตามป้ายและคานต่าง ๆ มีสิ่งที่น่าจะเป็นเข็มแหลมเปี๊ยบ ยาวบ้าง สั้นบ้าง ตามขนาดของวัสดุนั้น ๆ ติดอยู่เต็มพรืด มันคืออะไรหว่า ? "เข็มกันนกครับ ป้องกันนกต่าง ๆ เข้ามาเกาะแล้วทำสกปรก" "ท่านผู้นำ" อุตส่าห์ตามมาเฉลยถึงหน้าส้วม ไม่เหม็นบ้างหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ? ของบ้านเราใช้ตาข่ายบ้าง เส้นเอ็นบ้าง ขึงกันนก ที่นี่เขาเอาเข็มที่คำนวณแล้วว่า เวลานกเกาะจะโดนทิ่มพุงพอดีมาติดไว้แทน รู้สึกว่าจะได้ผลเด็ดขาดดีมาก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 17-02-2016 เมื่อ 12:02 |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
พนักงานเทศบาลหนุ่มหล่อคนขยัน "รวมพลครับ" เมื่อพรรคพวกมากันครบแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อก็เดินนำพวกเราออกมาที่หน้าถนน มีคุณโอเล่ปิดท้ายขบวน พาข้ามถนนไปเมื่อสัญญาณคนเดินเปลี่ยนเป็นไฟเขียว เลี้ยวซ้ายเลาะข้างตึกเก่าสีเหลืองซีด ๆ ไปตามบาทวิถี สวนทางกับชาวบ้านชาวเมืองของที่นี่ ซึ่งเดินกันมาแบบตัวใครตัวมัน จะมีที่มาด้วยกันส่วนมากก็เป็นแม่กับลูก ทางซ้ายมือที่เป็นสี่แยกใหญ่มีรถม้าจอดอยู่กลางถนน คงจะให้นักท่องเที่ยวเช่าชมเมือง เยื้องมาเกือบตรงหน้าพวกเราคือ Grand Hotel อยู่กลางเมืองแบบนี้ราคาน่าจะแพงหูดับ... พอหมดช่วงตึกคุณโอ๋ก็พาเลี้ยวขวา รู้สึกว่าเมืองนี้จะเป็นมุมไหนก็มีแต่ตึกเก่า ๆ น่าดูไปซะทั้งนั้น ตรงนี้เป็นกำแพงยาวที่มีซุ้มโค้งปลายแหลม คล้ายศิลปะของบรรดา "แขก" แต่สลับลายเป็นม้าลายไปเลย ในซุ้มทิ้งไว้ว่าง ๆ โล่ง ๆ ไม่มีอะไรตั้งอยู่แม้แต่ซุ้มเดียว พวกเราข้ามถนนไปอีกช่วงและอีกช่วง ตรงนี้ถนนเป็นหินลูกเต๋าแทบจะไม่มีรถวิ่ง สองข้างทางเป็นตึกเก่า ๆ ลักษณะของร้านค้าที่เปิดหน้าร้านอย่างเป็นทางการ ส่วนมากขายเสื้อผ้าตามแฟชั่น น่าจะรับตัดเสื้อผ้าตามสั่งด้วย แต่ละร้านคงจะมีดีไซเนอร์เป็นของตัวเอง เพราะรูปแบบการนำเสนอไม่ซ้ำกันเลย บางแห่งก็เปิดเป็นร้านกาแฟ... ถัดไปอีกหน่อยมีผู้หญิงหมอบฟุบอยู่กับพื้นข้างถังขยะ ถือถ้วยกระดาษขอทานอยู่ตรงหน้า ดูจากลักษณะการแต่งกายแสดงว่าเป็นพวกยิปซี มี "อาหมวย" สองคนที่น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจีนหรือฮ่องกง ซึ่งไม่รู้ว่าแตกกลุ่มมาจากไหน กำลังใช้โทรศัพท์สาธารณะกันอยู่ ถัดไปเป็นพนักงานเทศบาลหนุ่มหล่อในชุดสะท้อนแสงสีส้ม กำลังกวาดพื้นซึ่งยังดูสะอาดตาอยู่ ร้านค้าหลายร้านเปิดรับแลกเงิน มีป้ายอัตราการรับแลกเงินติดตั้งไว้หน้าร้าน มีอยู่ร้านหนึ่งเป็นป้ายตัวเลขดิจิตอลเลยทีเดียว ถนนช่วงนี้คงอนุญาตให้จอดรถได้ จึงมีรถจอดกันยาวเหยียด แต่แทบจะไม่มีรถวิ่ง พวกเราส่วนใหญ่จ้ำตามมัคคุเทศก์ไปแบบไม่สนใจรอบข้างเอาเสียเลย... |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
รูปหมู่หน้ามหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ เดินไปอีกไม่กี่ก้าว สิ่งก่อสร้างมหึมาอลังการก็โผล่มาให้เห็น นั่นคือยอดโดมสีส้มอันเป็นสัญลักษณ์ของมหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ มองจากมุมที่พวกเราเดินมา ตัวมหาวิหารโผล่มาแต่ยอดโดมกับด้านข้างมุมหนึ่งเท่านั้น เพราะถูกบังด้วยหอรับศีลจุ่มที่ดูอ้วนใหญ่จนเหมือนกับผิดสัดส่วน ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือด้านข้างเกือบติดกับหอรับศีลจุ่ม ซึ่งมีเสาไม้กางเขนต้นใหญ่นั้น มีร้านกาแฟที่ผู้คนนั่งกันเต็มไปหมด และไม่ใช่ร้านเดียวเสียด้วย ร้านหนึ่งมีรั้วเป็นแผ่นพลาสติกใสกั้นเขตของตน ที่เหลือตั้งโต๊ะเรียงรายกันไป โดยไม่สนใจว่าจะบดบังทัศนวิสัยอย่างไรบ้าง... "นี่คือมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ครับ มีชื่ออังกฤษว่า Florence Cathedral หรือชื่อในภาษาอิตาเลียนว่า Basilica di Santa Maria del Fiore (อาสนวิหารนักบุญหญิงมาเรีย เดล ฟิออเร่) มหาวิหารแห่งนี้ใหญ่เป็นลำดับที่ ๔ ของทวีปยุโรป รองจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์ปอล และมหาวิหารมิลาน มีความยาว ๑๕๓ เมตร ฐานของโดมกว้างถึง ๙๐ เมตร ผมจะปล่อยให้พระอาจารย์ทุกท่านเดินชมบริเวณโดยรอบนี้กันตามสบาย แล้วตอนหนึ่งทุ่มไปพบกันที่ด้านหน้ามหาวิหารที่เรียกว่าประตูสวรรค์นะครับ" มัคคุเทศก์โอ๋บรรยายโดยมีผู้ฟังแค่ ๓ - ๔ รูป ที่เหลือรี่ไปหามุมถ่ายรูปกันตั้งแต่แรกแล้ว... พระครูปรีชาเพิ่งช่วยถ่ายรูปแรกให้อาตมา หลวงพ่อพระครูชุบก็ตะโกนให้รวมพลเพื่อถ่ายรูปหมู่ พอตั้งขบวนเสร็จคราวนี้กล้องที่ทั้งแอบถ่ายและตั้งหน้าตั้งตาถ่าย ก็ระดมมาพร้อมกันจากทุกสารทิศ ฝรั่งหลายรายโดดเข้ามามีส่วนร่วมในภาพด้วย รายหนึ่งขนาดนั่งคุกเข่าลงแล้วยังบังใบฎีกาวรัญญูไปเกือบมิด จากนั้นมัคคุเทศก์รูปหล่อก็พาพวกเราเดินอ้อมร้านกาแฟและหอรับศีลจุ่ม ไปยังด้านหน้ามหาวิหาร เพื่อให้ชมความงดงามอลังการกันให้เต็มตา พร้อมกับชี้ไปที่ประตูสีเขียวซึ่งมีแผ่นโลหะสีทองของหอรับศีลจุ่มว่า "นิมนต์ทุกรูปตามอัธยาศัย แล้วมาพบกันตรงนี้ตอนหนึ่งทุ่มตรงนะครับ" มัคคุเทศก์รูปหล่อย้ำเวลานัดหมายอีกรอบ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-02-2016 เมื่อ 07:57 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ตัวโบสถ์และหอระฆังของมหาวิหารเมืองฟลอเรนซ์ (ภาพจากอินเตอร์เน็ต) ในเมื่อมัคคุเทศก์อุตส่าห์เรียกตรงนี้ว่าประตูสวรรค์ (Gate of Paradise) อาตมาจึงตั้งใจดูหน่อย เห็นภายในรั้วที่กั้นไว้ไม่ให้คนเข้า เป็นเสาหินอ่อนกระหนาบกรอบประตูสัมฤทธิ์สีเขียวเข้ม ที่กรอบประตูมีลายดอกไม้หล่อแบบนูนต่ำ ตัวบานประตูถูกซอยออกเป็นช่อง ๆ ด้วยสัมฤทธิ์เขียว จนดูเหมือนขั้นบันไดข้างละ ๕ ช่องด้วยกัน เป็นภาพเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทางคริสตศาสนาที่สลักเสลาไว้ในแผ่นทองเหลืองขัดเงาเป็นภาพกึ่งลอยตัว ข้าง “ขั้นบันได” ที่เป็นสัมฤทธิ์เขียว เป็นแผ่นทองเหลืองขัดเงาสลักเป็นรูปศีรษะ และรูปคนเต็มตัว ไม่ทราบว่าเป็นนักบุญหรือกษัตริย์ ยาวเกือบเต็มความสูงของประตู ขอบบนล่างของประตู เป็นแผ่นทองเหลืองที่วางขวางสลักลวดลายเช่นกัน ความแยบยลอยู่ที่การวางกรอบที่ไม่ได้ขัดเงา ให้ตัดกับภาพที่ขัดเงาจนดูเด่นสะดุดตา... แม้ว่าฝีมือในการรังสรรค์ประตูบานนี้จะยอดเยี่ยม แต่ถ้าจะให้เรียกตรงนี้ว่าประตูสวรรค์อาตมายังไม่ยอมรับนับถือ ตัวประตูสวรรค์จริง ๆ น่าจะเป็นที่โบสถ์มากกว่า อาคารมหึมาหลังนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนประกอบด้วยประตูสัมฤทธิ์บานมหึมา ซึ่งประกอบด้วยเสาหินอ่อน “ครึ่งซีก” ที่เป็นทั้งเสาเรียบสลักรูปลอยตัวและเสาเกลียว ที่หายากก็คือหินอ่อนนั้นมีทั้งสีขาว สีเขียว และสีชมพู สูงขึ้นไปจากบานประตูที่เหมือนกับเป็นชั้นที่สอง เป็นซุ้มแบบโกธิคที่มีภาพวาดสีสันสดใส ขนาบข้างด้วยซุ้มรูปสลักหินอ่อนลอยตัวของนักบุญต่าง ๆ นำไปสู่ส่วนบนที่เป็นปลายแหลมครอบซุ้มไว้ นั่นคือหน้าต่างวงกลมที่มักจะประดับกระจกสี ที่เป็นงานฝีมือเลื่องชื่อของยุคเรเนสซองส์... ปลายแหลมของซุ้มกลางและหน้าต่างวงกลมประดับกระจกสีของซุ้มข้าง นับเป็นชั้นที่สามของตัวโบสถ์ ส่วนชั้นที่สี่นั้นเป็นซุ้มหินอ่อนสลักรูปนักบุญยืนเต็มองค์ ไม่ทราบว่าตั้งใจหรือไม่ เพราะว่ามีอยู่ทางซ้าย ๓ องค์ ทางขวา ๓ องค์ ตรงกลาง ๗ องค์ ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นมงคลเลย แต่ถ้านับองค์กษัตริย์และพระราชินีตรงซุ้มกลางแยกกัน ก็จะเป็น ๑๔ องค์ ตัวโบสถ์ช่วงซ้ายขวาสิ้นสุดลงเป็นหลังคาตัดเพียงเท่านี้ เหลือตรงกลางที่ยื่นสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๕ ซึ่งเป็นหน้าต่างวงกลมประดับกระจกสีขนาดใหญ่มหึมา แล้วไปสิ้นสุดลงที่เสาคู่สลักเสลาลวดลายกระหนาบหน้าบันของจั่วหลังคาโบสถ์ที่มีสายล่อฟ้าติดอยู่ จากนั้นช่วงที่ลึกถัดเข้าไปจึงเป็นโดมขนาดมโหฬาร จนได้ชื่อว่าเป็นโดมซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ความละเอียดลออของงานฝีมือระดับสุดยอด ลายละเอียดที่ประณีตงดงาม และการจัดวางที่ลงตัวอย่างเหมาะเจาะนี่ต่างหาก ที่น่าจะเป็นประตูสวรรค์ของจริง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-11-2015 เมื่อ 19:56 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
มุมนี้กว้างยังไม่พอ เพราะท่านถ่ายไม่ถึงยอดหอระฆัง..! ที่ขนาบอยู่ทางซ้ายของตัวโบสถ์ ก็คือหอระฆังจิออตโต (Giotto’s Bell Tower) ทรงสี่เหลี่ยม ๕ ชั้น ที่สูงลิบลิ่วถึง ๘๘ เมตร รังสรรค์จากหินอ่อนสามสีเช่นเดียวกับตัวโบสถ์ที่เรามาผิดเวลาแล้วเข้าไม่ได้ หอระฆังนี้ยังเปิดให้เข้าชมได้จนถึงเวลาทุ่มครึ่ง อาตมาไม่ได้เกี่ยงราคาตั๋ว ๖ ยูโรที่ต้องจ่ายหรอก แต่สภาพของ “ไอ้เป๋” ที่กระดูกสะโพกเคลื่อนแบบนี้ ขืนไปขึ้นบันได ๔๑๔ ขั้น มีหวังโดนผีนายจิออตโต (Giotto di Bondone) หัวเราะเยาะโทษฐานที่ไม่เจียมสังขารแน่ ๆ จึงเดินหามุมเพื่อถ่ายรูปแทน พอพ้นหอรับศีลจุ่มก็เห็นมุมที่สามารถถ่ายหอระฆังได้เต็มทั้งหลัง... “อาจารย์พระครู...ช่วยถ่ายรูปมุมนี้ให้ผมหน่อยครับ” มหาประโยค ๙ รูปเดียวของรุ่นเอ่ยปากขอแรง อาตมาถ่ายรูปท่านกับหอระฆังและมุมหนึ่งของโบสถ์แล้ว ท่านก็ถ่ายให้กับอาตมาเป็นการตอบแทนบ้าง มองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นพรรคพวกท่านอื่นเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเดินตามมาไม่ทัน ก็คงจะเตลิดเปิดเปิงไปกับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากแล้วแน่ ๆ ตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงสิบเจ็ดนาทีของที่นี่ ยังมีเวลาตั้งเยอะกว่าจะหนึ่งทุ่มตามที่นัดหมาย... เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไหลไปยังทิศใต้ที่เป็นตรอกหรือซอยค่อนข้างกว้าง อาตมาจึงกำหนดจำทิศทางของมหาวิหารแล้วเดินตามไปบ้าง เห็นสองฟากข้างเป็นตึกแถวแบบเก่าสูงห้าชั้นทาสีขาวนวล ส่วนมากเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ฯลฯ พอพ้นไปช่วงหนึ่งตัวอาคารก็ทาสีเหลืองอ่อนแทน มุมตึกบางแห่งมีอิฐเก่าสึกกร่อนโผล่ออกมา แสดงถึงอายุอันยาวนานของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ มีรถแท็กซี่แล่นช้า ๆ ปะปนไปกับหมู่นักท่องเที่ยวด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-02-2016 เมื่อ 08:08 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
รูปหล่อสัมฤทธิ์ โคสิโมที่ ๑ (มหาราช) ภาพจากอินเตอร์เน็ต พ้นตึกช่วงนี้ไปข้างหน้าเป็นลานกว้าง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือตัวอาคารลักษณะเดียวกับป้อมปราการโบราณ ก่ออิฐสูงขึ้นไปถึง ๕ ชั้น ด้านบนของใบเสมายังมีหอตรวจการณ์สูงลิบขึ้นไปอีกประมาณ ๒ ชั้นความสูงของตัวหอ ข้างใต้หอตรวจการณ์มีนาฬิกาบอกเวลาที่บอกเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว ด้านหน้าของหอมีรูปสลักหลายรูปที่โดดเด่นเห็นแต่ไกล ถ้านับจากมุมตึกซ้ายมือที่เห็นเป็นอย่างแรกในลานกว้างก็คือรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวทรงม้า ของ..ของใครวะ ? “เป็นรูปหล่อของ โคสิโมที่ ๑ เดอ เมดิซี่ (Cosimo I de Medici) หรือ Cosimo the Great เป็นผู้ปกครองแคว้นทัสคานีซึ่งเท่ากับเป็นประเทศในยุคนั้น ถือว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของตระกูลเมดิซี่ในยุคคริสตศตวรรษที่ ๑๖ ครับ” “ท่านผู้นำ” มาช่วยชีวิตเอาไว้ทันพอดี “ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ตระกูลเมดิซี่เป็นตระกูลที่มีอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองอย่างผูกขาดในแคว้นทัสคานี แต่เดิมมาจากชาวไร่ชาวนา พอค้าขายร่ำรวยขึ้นมาก็ตั้งธนาคาร บริหารจัดการจนธนาคารเมดิซี่เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป... ในคริสตศตวรรษที่ ๑๖ สมาชิกจากตระกูลนี้ ๒ คนได้เป็นพระสันตะปาปา คือสมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ ๑๐ และ สมเด็จพระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ ๗ เรียกว่ามีอำนาจเต็มทั้งทางอาณาจักรและทางศาสนจักร “เขาเล่าว่า” ชาวเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนั้นครึ่งเมือง ต้องทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตระกูล “ชินวัตร” เอ๊ย..ตระกูลเมดิซี่นี้ หลังจากนั้นแม้ว่าจะพ้นยุครุ่งเรืองที่สุดไปแล้ว คนในตระกูลเมดิซี่ก็ยังได้เป็น สมเด็จพระสันตะปาปาลีโอที่ ๑๑ อีก ๑ พระองค์” “นี่เป็นประวัติศาสตร์ฉบับ “ผีบอก” หรือเปล่า ?”
“เป็นประวัติศาสตร์ของแท้พิสูจน์ได้ครับ” เออ..ตูจะได้อ้างอย่างเต็มปากเต็มคำหน่อย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2015 เมื่อ 17:51 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
รูปปั้นเทพสมุทรที่ยากจนถึงขนาด..! ที่ข้างขวาของป้อมปราการ เป็นรูปเทพสมุทรโพไซดอน (Poseidon) ของกรีซ ที่ชาวโรมันเรียกว่าเนปจูน (Neptune) แกะสลักจากหินอ่อน ยืนอยู่ในอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นธรรมดาของเทวดาฝรั่งที่น่าสงสาร ก็คือไม่มีผ้าจะนุ่ง ยืนโชว์ ช้างน้อย โทง ๆ มีเทพบุตรตัวเล็กแก้ผ้าโชว์ ช้างน้อยกว่า ที่ งวง ค่อนข้างยาว พันแข้งพันขาอยู่อีก ๒ องค์ รูปแกะสลักนี้ตั้งอยู่บนหมู่ ม้าน้ำ ที่หน้าตาเหมือนม้าบก ๔ ตัว ส่วนรอบอ่างน้ำพุนั้น มีเทวดานางฟ้าหล่อจากสัมฤทธิ์เขียวในอิริยาบถต่าง ๆ ที่เหมือนกันก็คือหาผ้านุ่งไม่ได้ เหตุเพราะศิลปินต้องการโชว์ความแม่นยำของลักษณะกายวิภาคและความงดงามที่เป็นธรรมชาติ จึงจับเทวดานางฟ้าแก้ผ้าซะหมด..! ถัดไปทางด้านขวาของประตูใหญ่ป้อมปราการ นั่นคือรูปสลัก เดวิด ที่ว่ากันว่าเป็นหนุ่มที่รูปหล่อที่สุดในโลก ในอิริยาบถยืนเขย่งเท้าข้างหนึ่ง ซึ่งศิลปินตั้งใจ โชว์พาว ของตัวเองว่าแม่นยำต่อศูนย์ถ่วงของรูปปั้นเพียงใด จึงสลักเสลาออกมาในลักษณะแบบนี้ รูปนี้เป็นแค่ของทำเลียนแบบเท่านั้น ของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่พวกเรามาผิดเวลาจึงเข้าไปชมไม่ได้ แต่รู้สึกว่าพ่อหนุ่มหน้าตาออกจะเศร้า ๆ ไปหน่อย คงเป็นเพราะมีปมด้อยที่ ช้างน้อย ของตัวเองนั้น น้อยจนอยู่ในระดับอนุบาล อาจจะเกิดจากศิลปินแกะสลักรูปช่วงหน้าหนาวก็เป็นได้ จึง หดจู๋ ซะขนาดนั้น..! ด้านหลังของพ่อหนุ่มหน้าเศร้า เป็นรูปปั้นแขนกุดของเทพีแห่งความงาม (Venus) ที่ทำจำลองขึ้นมาเช่นกัน เนื่องจากแขนของคุณเธอกุดไป อาตมาจึงให้อภัยที่เธอทำผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ไม่สามารถที่จะนุ่งให้เรียบร้อยได้ ถัดไปตรงมุมป้อมเป็นรูปของจอมพลังเฮอร์คิวลีส (Hercules) ยืนถือกระบองสั้น จิกหัวศัตรูที่ถูกสยบเอาไว้ ยืนอยู่บนฐานหินอ่อนที่แกะสลักเป็นรูปหัวสัตว์ ทั้งสิงห์ หมาป่า หมูป่า แต่ที่สั้นกว่ากระบองยังคงเป็น ช้างน้อย ของเฮอร์คิวลีสตามเคย รูปสลักเหล่านี้ดูอย่างไรก็ไม่เบื่อ เพราะว่าแม้จะแกะสลักขึ้นมาจากหินอ่อน แต่ก็มีชีวิตชีวาเหมือนจริง ขนาดสีหน้าท่าทางยังบ่งบอกอารมณ์ต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน... |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
เทพเปอร์ซีอุสตัดหัวนางอสูรกอร์กอน ตรงกับรูปสลักพ่อหนุ่มบ้าพลัง เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมหลังคาตัด แบ่งตัวอาคารออกเป็นสามช่วงด้วยซุ้มโค้ง สองข้างซุ้มโค้งที่เป็นทางขึ้นมีรูปสลักสิงห์เหยียบโลก (ลูกบอล ?) ที่เก่าแก่จนสึกกร่อนไปมากแล้ว ข้างซ้ายมือที่อยู่ใกล้ที่สุด เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์เขียวของ Perseus ที่ตัดหัวนางผมงู Medusa ชูให้เลือดไหลย้อย โดยที่เปอร์ซีอุสเหยียบอยู่บนร่างของนางกอร์กอนเมดูซ่า และเป็นธรรมเนียมของช่างยุคนั้น ที่ต้องการอวดสรีระของทั้งชายและหญิง ดังนั้นเทพเปอร์ซีอุสและนางอสูรเมดูซ่าจึงเปลือยเปล่าทั้งคู่ ดูยากจนพอ ๆ กัน..! รูปหล่อนี้ตั้งอยู่บนฐานหินอ่อนที่สลักเสลาเป็นซุ้มเข้าไป มีรูปหล่อสัมฤทธิ์ทั้งชายและหญิงที่ไม่ใหญ่มากนักอยู่ข้างในฐานด้วย... ข้างหลังของรูปสลักเปอร์ซีอุส เป็นรูปสลักหินอ่อนของทหารผู้หนึ่ง ที่อุ้มหญิงสาวเปลือยเปล่าอยู่ในมือซ้าย มือขวาถือดาบเงือดเงื้อจะฟันใส่ผู้หญิงผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ที่พยายามจะฉุดกระชากลากถูทหารซึ่งเหยียบคร่อมอยู่บนซากศพผู้ชายที่น่าจะเป็นสามีของหญิงใจเด็ดคนนั้น ทุกคนในรูปสลักนั้น เหยียดกายบิดผันไปในแง่มุมที่สามารถอวดกายวิภาคทั้งชายและหญิงได้สมจริงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผ้าผ่อนที่จีบพับยับย่นเหมือนจริงจนสงสัยว่า “ช่างเขาสลักได้อย่างไรวะ ?” ด้านหลังที่ติดผนังเป็นรูปสลักหินอ่อนชายหญิงเรียงรายอยู่ ๖ รูป มีทั้งงามสง่า เคร่งขรึม อมยิ้ม ครุ่นคิด ฯลฯ น่าจะเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลเมดิซี่ที่ทรงอำนาจในยุคนั้น จนบรรดาช่างต้องทำการแกะสลักให้อย่างสุดฝีมือ ถึงจะไม่ได้อวดกายวิภาคเหมือนกับรูปหล่อและรูปปั้นที่แล้ว ๆ มา แต่ก็แสดงถึงฝีมือชั้นครูที่ถ่ายแบบจากคนจริงลงมาสู่หินอ่อน จนแสดงบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนออกมาอย่างได้อารมณ์สมจริงยิ่งนัก... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-12-2015 เมื่อ 07:53 |
สมาชิก 78 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
หนึ่งหญิง..สองชาย ด้านหน้ารูปสลักหินอ่อนทั้ง ๖ ตรงช่วงกลางของอาคาร เป็นรูปของทหารผู้เศร้าโศกที่กำลังยกร่างเปลือยของผู้ที่น่าจะเป็นเพื่อนร่วมสมรภูมิ ซึ่งทิ้งร่างแบบหมดสภาพ น่าจะตายไปแล้วมากกว่าสลบไสล ถ้าเป็นสมัยนี้คงถูกฟันธงว่าเป็นคู่ขาเกย์แน่ ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าสมัยนั้นจะไม่มี เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยเหมือนกับยุคนี้ และจิตใจของคนที่ไปชมก็สนใจแต่ศิลปะ มากกว่าที่จะคิดอะไรไปในทางลามกเสื่อมเสีย เอ..นี่ตูกำลังว่าตัวเองอยู่หรือเปล่าหว่า ? ถัดไปชิดผนังอาคารมีรูปสลักหินอ่อนตั้งอยู่บนฐาน ๒ รูปด้วยกัน รูปที่อยู่ด้านหน้าเป็นรูปสลักของสองชายที่ยื้อแย่งหนึ่งหญิง ทั้งสามคนต่างก็เปลือยเปล่าอยู่ในชุดวันเกิด คนที่ยืนฉวยได้แม่ยอดหญิงไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าสาวเจ้าจะยินยอมพร้อมใจ เพราะยังดิ้นรนปัดป่ายสุดชีวิต ขณะที่อีกหนึ่งชายที่ถูกหนีบอยู่ใต้หว่างขาของอีกฝ่ายก็หันไปมองด้วยความเสียใจและเสียดาย ที่ปกป้องหญิงอันเป็นที่รักของตนไม่ได้ จากสีหน้าทำให้คิดถึงพุทธภาษิตที่ว่า ปิยโต ชายเต โสโก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ขึ้นมาทันใด... รูปที่อยู่ด้านหลังเป็นเจ้าหนุ่มบ้าพลัง Hercules คนเดิม ถือกระบองสั้นอันเดิม แต่คราวนี้กำลังยืนไขว้คร่อมอยู่บนหลังส่วนที่เป็นม้า ใช้มือขวากดคอมนุษย์ม้า (Centaur) จนแหงนหงาย มือซ้ายเงือดเงื้อกระบองเตรียมทุบ ดูท่าแล้วมนุษย์ม้าคงต้องไปหาที่เกิดใหม่เป็นแน่ รูปนี้อวดกล้ามเนื้อทั้งของเฮอคิวลีสและของคนครึ่งม้า ที่ทั้งสวยงามและถูกต้องตามหลักกายวิภาค จนสาว ๆ บางคนเห็นแล้วอาจจะถึงกับละเมอหาเลยก็เป็นได้... |
สมาชิก 73 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|