|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
คนแน่น ๆ แบบนี้พวกนักล้วงชอบนักแล "จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๑ ทรงประกาศให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมัน ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จะได้รับการยกเว้น ห้ามไม่ให้ทำทารุณกรรม แม้แต่ข้าศึกที่เป็นคนต่างศาสนา ถ้ายอมรับนับถือศาสนาคริสต์ก็จะไม่ฆ่า จึงมีคุณูปการต่อศาสนาคริสต์เป็นอย่างมาก จนได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญ (Saint) เลยทีเดียว.." พระครูญาณฯ กับพระครูกล้าเดินแซงหน้าไปแล้ว อิลลาเรียจึงพาพวกเราที่เหลือเดินตามไป ทางด้านซ้ายมือที่เป็นตาข่ายขึงกันเอาไว้นั้น คือบันไดที่ชำรุดจนหมดสภาพเกือบจะเป็นแค่ทางลาดเฉย ๆ เดิมเป็นช่องทางเปิดไปสู่สนามด้านในช่องหนึ่ง ที่ต้องปิดเอาไว้เพราะอันตรายเกินกว่าจะใช้งานได้ พวกเราต้องเดินเลยไปจนถึงประตูทางออกที่ใช้กันอยู่ในตอนนี้... นักท่องเที่ยวทั้งที่มากันเองและเป็นกรุ๊ปทัวร์ มาอัดกันแน่นอยู่ตรงประตู ที่ด้านบนซึ่งเป็นขอบประตูนั้น เขาทำโครงเหล็กค้ำเอาไว้ ป้องกันไม่ให้พังลงมาทับ อาตมาไหลตามนักท่องเที่ยวออกไป มือหนึ่งถือกล้องถ่ายรูป อีกมือหนึ่งกุมกระเป๋าจิงโจ้เอาไว้ คนแน่น ๆ แบบนี้พวกนักล้วงชอบนักแล เผลอเมื่อไรเป็นเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน..! |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
กล้องตัวเองหมดฤทธิ์ ต้องอาศัยพระครูปรีชาถ่ายให้ หลุดพ้นจากประตูออกมาเป็นขอบกำแพง สูงประมาณหน้าอก เมื่อมองข้ามกำแพงลงไป ข้างล่างคือสนามโคลอสเซี่ยมรูปไข่ขนาดมหึมา พวกเราหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย ขณะที่หูฟังเสียงบรรยายของมัคคุเทศก์สาวและเสียงแปลของคุณโอ๋ไปด้วย... "สนามโคลอสเซี่ยมถูกปิดไม่ได้ใช้งานมาตั้งแต่ ค.ศ. ๕๐๐ ตามนโยบายห้ามการทารุณกรรมขององค์จักรพรรดิ เมื่อขาดการดูแลจึงปรักหักพังไปเรื่อย ประกอบกับชาวบ้านมาขนเอาอิฐไปสร้างบ้านของตัวเอง จึงชำรุดทรุดโทรมมาก.." ขนาดเหลือแต่ซากแล้วยังเห็นได้ชัดเจนถึงความยิ่งใหญ่อลังการในอดีต... กล้องของอาตมาหมดสภาพเอาตอนนี้เอง กำลังถ่ายรูปอยู่ดี ๆ ก็วูบไปเฉย ๆ แม้จะมีแบตเตอรี่สำรองแต่ก็ติดอยู่ในกระเป๋าบนรถ จึงขอให้พระครูปรีชาช่วยถ่ายรูปให้ด้วย ส่วนใหญ่เป็นมุมที่มองลงไปในสนามข้างล่าง เห็นมีแต่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาทางประตูอื่น ๆ เต็มไปหมด... |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
ตรงลานครึ่งวงกลมคือบริเวณที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ พื้นสนามแต่เดิมจะปูลาดด้วยทราย เรียกว่า อารีน่า (สนามทราย) เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด เมื่อการต่อสู้จบลงเขาจะกวาดทรายที่เปื้อนเลือดออก เอาทรายใหม่เทลงไปแล้วเกลี่ยให้เรียบ จากนั้นก็เริ่มการต่อสู้รอบใหม่.. อาจารย์ตู๋เห็นอาตมาหมดท่าเพราะกล้องทำพิษ จึงเอาไอแพดของตัวเองช่วยถ่ายรูปให้ หญิงใหญ่ ของคณะชอบสีชมพูเป็นชีวิตจิตใจ แม้แต่ซองหุ้มไอแพดก็ยังเป็นสีชมพู ส่วนท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ถ่ายวีดิโอการบรรยายและบรรยากาศโดยรอบไปเรื่อย... บรรดาซุ้มโค้งที่เห็นอยู่นั้น นอกจากจะช่วยกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นจุดรับน้ำหนักของโครงสร้าง ตรงลานครึ่งวงกลมคือบริเวณที่ประทับของพระเจ้าจักรพรรดิ สันนิษฐานว่า สมัยนั้นอาจจะมีแผ่นหนังแบบพับเก็บได้ เป็นโครงหลังคาอยู่ข้างบนอีกชั้นหนึ่ง.. |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
อาจารย์ตู๋กับมุมสวยของโคลอสเซี่ยม ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่า ? จึงทำให้อาตมาได้ยินเสียงโห่ร้องเชียร์การต่อสู้ บางขณะก็มีเสียงคำรามของสัตว์ดังแทรกเสียงบรรยายมาด้วย..! ถึงจะสงสัยว่าเป็นคลื่นแทรกเข้ามา แต่อาตมาก็รีบอุทิศส่วนกุศลให้กับเขาทั้งหลายเหล่านั้นเอาไว้ก่อน... "นักสู้แกลดิเอเตอร์จะอยู่ข้างใต้สนาม เมื่อได้เวลาก็จะถูกส่งขึ้นมาข้างบนด้วยแผ่นเลื่อนที่ใช้แรงคน ถือเป็นต้นกำเนิดของลิฟท์ในปัจจุบัน ส่วนไม้กางเขนที่เห็นนั้นเป็นของใหม่ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ ๒ ทรงให้ติดตั้งไว้ เพื่อคนจะได้เกรงใจ ไม่มารื้อวัสดุไปสร้างบ้านอีก ไม่อย่างนั้นสนามอาจจะพังเร็วกว่านี้.." เมื่อเห็นว่าทุกคนได้รูปเป็นที่พอใจแล้ว อิลลาเรียก็พาเดินลัดเลาะต่อไป บอกว่าจะพาไปถ่ายรูปกับมุมที่สวยที่สุด พอได้ยินว่ามีมุมสวย ทุกคนก็ไหลตามไปทันที เมื่อมาถึงจึงได้รู้ว่า มุมสวยนั้นเป็นเหมือนระเบียงของโคลอสเซี่ยม มองเห็นประตูชัยคอนสแตนตินและสิ่งก่อสร้างอื่นเป็นมุมกว้าง ผู้คนแออัดยัดทะนานเพื่อถ่ายรูปกันเต็มไปหมด... |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
สักวันหนึ่งจะต้องมีผู้โชคดีโดนพังใส่หัว..! "พระอาจารย์ทุกรูประวังกระเป๋าด้วยนะครับ” คุณโอ๋รีบเตือนเพราะมุมนี้คนแน่นมาก แล้วแปลคำบรรยายของอิลลาเรียต่อ “ประตูชัยนี้เป็นต้นแบบของประตูชัยที่ฝรั่งเศส สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๑ ซึ่งรบชนะพวกอิสลาม สิ่งก่อสร้างทางขวามือเป็นห้องสมุด เริ่มสร้างโดยจักรพรรดิตีตุส แต่ยังไม่ทันเสร็จก็สวรรคตก่อน จักรพรรดิเนโรมาทำการสร้างต่อจนเสร็จ.." บรรดานักท่องเที่ยวพอเห็นพระ ต่างก็หันมาถ่ายรูปกันใหญ่ บางคนก็ร้องบอกเพื่อนว่า "Buddha...Buddha" พากันเปิดมุมเพื่อถ่ายรูป ทำให้เกิดที่ว่างโดยปริยาย พวกเราจึงผลัดกันยึดมุมสวย เป็นดาราให้ทั้งกล้องของตัวเองและนักท่องเที่ยว... สมควรแก่กาลแล้ว มัคคุเทศก์สาวก็พาพวกเราเดินลงมาชั้นล่าง เลี้ยวซ้ายมายังทางออกที่เป็นซุ้มประตูเก่าแก่คร่ำคร่า โครงสร้างเป็นก้อนหินขนาดใหญ่เรียงเกยกันขึ้นไป แล้วพอกด้วยวัสดุจำพวกคอนกรีต ซึ่งก็กะเทาะหลุดร่วงให้เห็นอิฐหินด้านในที่ผุเปื่อย ถึงจะมีการซ่อมแซมแล้วก็ยังน่ากลัวว่า วันร้ายคืนร้ายจะมีการถล่มลงมาใส่ผู้โชคดีสักคน... |
สมาชิก 143 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ศิลาจารึกชิ้นเดียวของโคลอสเซี่ยมอยู่ทางขวามือของอิลลาเรีย สองข้างทางออกมีชิ้นส่วนหัวเสาที่หักหลุดลงมาจัดแสดงไว้หลายชิ้น รวมทั้งชิ้นสำคัญ ก็คือ หินที่เป็นศิลาจารึก ซึ่งอิลลาเรียยืนยันว่า เป็นศิลาจารึกชิ้นเดียวของที่นี่ และตรงใต้ซุ้มประตูซึ่งถ้าเป็นเรือนไทยก็คือส่วนด้านในของหน้าบัน มีรูปวาดที่อาจจะตีความได้ว่า โคลอสเซี่ยมแห่งนี้สร้างมาในยุคไล่ ๆ กับคริสตกาล เพราะมีไม้กางเขนเล็ก ๆ วาดอยู่ด้วยสามอัน... อาตมาลองเปิดกล้องเพื่อถ่ายรูป ซึ่งเมื่อถ่านหมดแล้วปิดทิ้งไว้ครู่หนึ่ง ถ้าเปิดแล้วรีบถ่ายเคยลักไก่ได้รูปหนึ่งหรือสองรูป แต่งานนี้กล้องถ่ายรูปยืนยันเจตนารมณ์เดิมอย่างแน่วแน่ พออาตมาเปิดปุ๊บกล้องก็ปิดตัวเองปั๊บ จึงต้องรบกวนกล้องของพระครูปรีชาตามเคย... ประตูออกจากโคลอสเซี่ยมอยู่ใกล้กับประตูชัยคอนสแตนติน พวกเราจึงแยกย้ายกันหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมาวนดูรูปปูนปั้นรอบประตูชัยคอนสแตนติน แม้จะดูด้วยตาเปล่าไม่ถนัดเพราะสูงเอาการ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือประณีตงดงามมากทีเดียว... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2015 เมื่อ 14:15 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
มีผู้ทักท้วงว่ามุมนี้เก่าแก่เข้ากับใบหน้าจนเกินไป..! ทางขวามือเป็นเนินใกล้ห้องสมุดโบราณที่ผุพัง มีคนแต่งตัวเป็นนักสู้แกลดิเอเตอร์ยืนอยู่บนเนินหลายคน รอให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปด้วย แล้วขอเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นรางวัล ถ้าพวกเราทำแบบเดียวกัน คาดว่าวันหนึ่งคงจะทำเงินได้รูปละหลายพันยูโรเลยทีเดียว เพราะคนแถวนี้ไม่ค่อยได้เห็นพระ เดินไปทางไหนก็มีแต่กล้องจ่อถ่ายมารอบทิศทาง... ผลัดกันถ่ายรูปให้พระครูปรีชากับท่านไพฑูรย์ เสร็จแล้วอาตมาเดินตามขบวนใหญ่ไปทางที่ซึ่งนัดรถมารับ ด้านนี้เป็นเนินที่มีหมู่บ้านเก่าแก่อยู่ข้างบน เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของพวกที่มาถึงในยุคแรก ๆ เรียกหมู่บ้านนี้กันว่า Palatino หรือ Palazzo ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า Palace นั่นเอง... ตรงจุดนี้มองไปจะเห็นทั้งประตูชัยคอนสแตนตินและโคลอสเซี่ยม ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยจึงขอให้ทุกคนถ่ายรูปหมู่ด้วยกัน แต่มีผู้ท้วงว่าบรรยากาศตรงนี้ทั้งเก่าแก่ทั้งทรุดโทรม เดี๋ยวจะเข้ากับหน้าตาของบุคคลในคณะจนเกินไป เอาไว้ไปถ่ายที่โบสถ์เซนต์ปีเตอร์จะดีกว่า... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2015 เมื่อ 01:45 |
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ป้อมโบราณสำหรับป้องกันวังวาติกัน เมื่อส่วนใหญ่ว่าอย่างนั้นส่วนน้อยก็ต้องตามใจ พอดีรถบัสของเราเลี้ยวมาถึง อาตมาจึงบอกขอบใจมัคคุเทศก์สาว หวังว่าจะได้เจอกันอีกที่เมืองไทย อิลลาเรียหัวเราะพลางกล่าวว่า อยากไปเมืองไทยมานานแล้ว ที่ทำงานเก็บเงินอยู่นี่ก็หวังว่าจะได้ไปเที่ยวสักครั้งหนึ่ง แต่โปรดอย่าเพิ่งบอกลา เพราะยังต้องไปด้วยกันอีกหลายชั่วโมง ตายละวา..งานนี้แม่คุณกะฟาดค่าตัวจากคณะของเราจนพอไปเที่ยวเมืองไทยเลยมั้ง ? อาตมาขอให้คนขับเปิดประตูห้องเก็บของข้างรถ เอาแบตเตอรี่สำรองออกมาเปลี่ยนให้กล้อง เมื่อคืนชีพเรียบร้อยก็ถ่ายรูปพระครูด็อกเตอร์ที่ขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย คุณโอ๋บอกพลขับให้ออกรถตอน ๑๑.๓๐ น.ของที่นี่ แปลว่าบ่ายสี่ครึ่งเมืองไทยแล้ว พวกเรายังไม่ได้ฉันเพลกันเลย หลายท่านคงไส้แขวนขึ้นมาจนถึงคอหอยแล้ว..! รถวิ่งผ่านสนามกีฬาแม็กซิมุส เลียบแม่น้ำตรงไปข้างหน้า ริมฝั่งแม่น้ำเป็นต้นเมเปิลเรียงรายไปตลอดทาง เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ มองเห็นอาคารหน้าตาเหมือนป้อมค่ายโบราณ มีรูปปั้นสวย ๆ อยู่บนหลังคาป้อมหลายรูป คุณโอ๋บอกว่าเป็นป้อมค่ายสำหรับป้องกันวังวาติกันมาแต่โบราณ... |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
"..มะลิวัลย์พันกอพฤกษาดาด เหมือนผ้าลาดขาวลออหนอน้องเอ๋ย.." พลขับนำรถวิ่งเลียบแม่น้ำไป มีต้นเมเปิลเขียวสะพรั่งเป็นร่มเงาดีจริง ๆ บางแห่งบนรั้วมี "มะลิวัลย์" บานสะพรั่ง ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ บอกกับพวกเราว่า "ผมขอแชร์ประสบการณ์หน่อยครับ เมื่อครู่ตอนกำลังถ่ายรูปทุกท่านบนระเบียงของโคลอสเซี่ยม ผมโดนล้วงกระเป๋า ดีที่ระวังตัวอยู่ตามที่คุณโอ๋เตือน พอรู้สึกว่ามีมือล้วงเข้ามา ผมก็ดีดลูกหลังใส่ทันที..! โดยปกติแล้วถ้าเป็นฝรั่งทั่วไป อยู่ ๆ เจอส้นรองเท้าหนังกระแทกหน้าแข้ง ถ้าไม่ทรุดลงไปนั่งกุมก็ต้องแหกปากโวยวายแล้ว แต่นี่เขาทำเดินเลี่ยงไปไม่รู้ไม่ชี้ ผมเพิ่งเห็นว่าเขาเอาเสื้อแจ็กเก็ตมัดเอวไว้ แล้วล้วงผ่านใต้เสื้อมา คนทั่วไปจะมองไม่เห็นว่าเขากำลังล้วงกระเป๋าเราอยู่..." หลายท่านเพิ่งจะรู้วีรกรรมของท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ที่สั่งสอนนักล้วงชาวยุโรปแบบไม่มีใครกระโตกกระตาก พระครูกุ้ยไฮ้ (พระครูภาวนาโชติคุณ) จึงขอร่วมแชร์ประสบการณ์ด้วย ท่านว่าเคยพาโยมมาเที่ยว แล้วมีแหม่มมาขอถ่ายรูปด้วย โยมมัวแต่ยืนยิ้มให้กล้องถ่ายรูป มารู้ตัวอีกทีตอนจะซื้อของ ว่าโดนล้วงหมดเกลี้ยงทั้งกระเป๋า รวมทั้งพาสปอร์ตก็โดนไปด้วย... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-09-2015 เมื่อ 18:08 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
กำแพงอิฐเก่าแก่สูงใหญ่ มีแต่ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเต็มไปหมด พลขับนำรถวิ่งมาถึงถนนที่มีกำแพงก่อจากอิฐขนาดมหึมาอยู่ทางขวามือ เก่าแก่จนกระทั่งมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอยู่มากมาย ไปได้หน่อยเดียวก็โดนตำรวจจราจรยกมือห้ามผ่าน เพราะทางด้านหน้ามีแต่รถนักท่องเที่ยวขนาดใหญ่ติดหนุบหนับอยู่หลายสิบคัน ล้วนแต่กำลังส่งนักท่องเที่ยวลงกันทั้งนั้น ต้องรอจนรถของพวกเขาวิ่งเลยไปหมดแล้ว คุณโปลิศถึงได้โบกมือให้คันของเราวิ่งเข้าไปบ้าง... มาจอดอยู่บริเวณที่เขาตีเส้นเอาไว้ พอพวกเราลงมากันครบ คุณโอ๋ก็ต้อนให้เข้าประตูกระจกตามอิลลาเรียไป มีตู้ขายน้ำอัดลมแบบหยอดเหรียญขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ทางขวาเป็นทางเดินที่กว้างประมาณสี่เมตร กรุด้วยโลหะเหมือนกับเดินอยู่ในรถไฟความเร็วสูงหรืออยู่ในท้องเครื่องบิน พวกเราลงบันไดตามอิลลาเรียที่จ้ำอ้าวนำหน้าไปอย่างกับตามควาย หรือกำลังโดนควายตามอยู่ก็ไม่รู้ ? ทางเดินกรุโลหะหักมุมสองครั้งก็หมดลง กลายเป็นกำแพงอิฐหนาทึบเหมือนกับด้านนอก แสดงว่ากำแพงนครวาติกันนี้นอกจากจะสูงถึง ๑๒ ฟุตแล้ว ยังหนาหลายสิบฟุต บวกกับทางเดินที่ค่อนข้างจะแคบ อย่างเก่งก็ให้ม้าวิ่งเรียงกันได้แค่สามตัว ทำให้เป็นเมืองที่ตียากในสมัยโบราณ แต่มาสมัยนี้ไม่มีปัญหาแล้ว จะปืน ค. ปืนใหญ่ หรือจรวดนำวิถี ก็สามารถหย่อน "ลูกแตก" เข้าไปได้ทั้งนั้น..! |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
เดินไปเดินมากลายเป็นมุดขึ้นมาจากใต้ดิน..! กำแพงอิฐที่กระหนาบทั้งสองข้างที่แท้เป็นตึกทั้งหลัง ทำให้กลายเป็นทางเดินแคบ ๆ มีขั้นบันไดให้เดินสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ทำให้รู้ตัวว่าคณะของเรากำลังเดินขึ้นมาจากใต้ดิน เมื่อพ้นจากบันไดก็กลายเป็นตรอกที่ไม่กว้างนัก ตึกทั้งสองฝั่งส่วนมากเป็นสีน้ำตาลอ่อนตัดขอบด้วยสีขาว แม้รูปแบบจะดูเรียบง่าย แต่ก็ใหญ่โตโอ่อ่ามาก... สุดตรอกเป็นสามแยกที่มีรถราค่อนข้างมากทีเดียว ผู้คนเดินให้ขวักไขว่ไปหมด เกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นนักท่องเที่ยวกันทั้งนั้น คุณโอ๋บรรยายผ่านเครื่องฟังมาว่า “นครรัฐวาติกันเป็นนครรัฐที่เล็กที่สุดในโลก ตั้งซ้อนอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นประมุขประเทศและประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ปกครองแบบมีพระอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่พระสันตะปาปาเพียงผู้เดียว จะหมดวาระก็ต่อเมื่อสิ้นพระชนม์...” อิลลาเรียรอจนพวกเราตามมากันครบแล้ว ก็พาเลี้ยวซ้ายมือซึ่งมีผู้คนคลาคล่ำไปหมด แต่ก็ยังเห็นยอดมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์รูปโดมอย่างถนัดชัดตา รถราวิ่งไปบนถนนที่คนแน่นอย่างกับปลากระป๋อง ถ้อยทีถ้อยอาศัยผลัดกันไป เพราะว่าผู้คนแน่นมาก คุณโอ๋จึงเตือนมาเป็นระยะว่า “พระอาจารย์ทุกท่านระวังกระเป๋าด้วยนะครับ..” ช่างรอบคอบจริง ๆ... |
สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
ถ้าไม่มีธงคงได้พลัดหลงกันตั้งแต่ต้นทางเป็นแน่ “นครรัฐวาติกันมีประชากรประมาณ ๙๐๐ คนเท่านั้น และมีเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่ประจำรัฐ ทูตของนานาประเทศ และทหารสวิสที่เป็นองครักษ์ของพระสันตะปาปา รวมแล้วอีกประมาณ ๑,๓๐๐ คน เมื่อมารับหน้าที่ก็จะได้รับสัญชาติเป็นคนวาติกัน เมื่อพ้นหน้าที่ไปแล้วต้องกลับคืนไปถือสัญชาติเดิม ยกเว้นว่าประเทศเดิมไม่ยอมรับ ก็สามารถขอถือสัญชาติอิตาลีได้...” หูก็ฟังคุณโอ๋ไป ตาก็ดูทั้งสถานที่และบุคคลรอบข้าง มือข้างขวาถือกล้องถ่ายรูปไปเรื่อย มือข้างซ้ายกุมกระเป๋าจิงโจ้ใต้จีวรเอาไว้ เท้าทั้งสองก็เดินตามคลื่นมหาชนไปเรื่อย ๆ โดยมีธงของอิลลาเรียเป็นเครื่องหมาย เพื่อน ๆ ที่ตามหลังมาก็อาศัยจีวรของท่านที่อยู่ข้างหน้าเป็นเครื่องนำทาง บรรดานักท่องเที่ยวต่างหันกล้องถ่ายรูปและกล้องวีดิโอมาถ่ายคณะของเราเป็นการใหญ่... คนข้างในเดินออกมา คนข้างนอกก็ไหลเข้าไป แม้ว่าจะมีรั้วเหล็กกั้นแบ่งออกจากกัน แต่ทั้งคนเข้าคนออกก็เดินกระทบไหล่กันอยู่ดี เนื่องจากรั้วบางนิดเดียว คุณโอเล่ที่มีชื่อมาในคณะเป็นมัคคุเทศก์ แต่มาทำหน้าที่ถ่ายรูปให้กับทางคณะมากกว่า พวกเราเดินผ่าน “แม่ชีฝรั่ง” ในชุดสีดำ สะพายกระเป๋าใบใหญ่ ยืนก้มหน้าที่คลุมผ้าดำเอาไว้ มือหนึ่งถือกระป๋อง “ขอทาน” จากนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลผ่านไปแบบน้อยคนที่จะให้ความสนใจ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-09-2015 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 130 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
ผ่านทีละคน..ตรวจละเอียดกว่าสนามบินเสียอีก..! คณะของเราเดินมาถึงบริเวณที่คล้ายกับระเบียงคดของวัดในพระพุทธศาสนา ที่มีเสาหินกลมขนาดมหึมาประมาณ ๒ โอบสูงลิบลิ่วนับร้อยต้น ค้ำหลังคาเรียงรายเป็นวงโค้ง ล้อมลานกว้างของพระราชวังวาติกันอยู่ทั้งสองฝั่ง อิลลาเรียพาพวกเราเลี้ยวเข้าไปในระเบียงคดทางซ้ายมือ เดินเบียดเสียดเยียดยัดกันเข้าไปไม่ไกล ก็มาเจอ “คนติด” แน่นมาก ที่แท้ตรงนี้เขามีเครื่อง X-Ray เอาไว้ตรวจสอบก่อนที่จะปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้าไปด้านใน... “พระอาจารย์ทุกท่านดูทางซ้ายมือนะครับ ที่เห็นใส่ชุดลายทางสีเหลืองสลับน้ำเงิน สวมหมวกแบเร่ต์ถือทวนยืนรักษาการณ์อยู่ นั่นคือทหารสวิส (Swiss Guard) ที่มีชื่อเสียงก้องโลกในด้านความซื่อสัตย์และกล้าหาญ เป็นทหารองครักษ์ของพระสันตะปาปา มีทั้งหมดประมาณ ๑๐๐ นายครับ” คุณโอ๋ยังคงถ่ายทอดข้อมูลจากอิลลาเรียมาให้อยู่ตลอดเวลา... การตรวจโดยเครื่อง X-Ray ช้ามาก ทำให้ผู้คนมาแออัดยัดทะนานกันตรงนี้แน่นไปหมด เสียงคุณโอ๋เตือนให้ระวังกระเป๋าเหมือน "แผ่นเสียงตกร่อง" พอเจ้าหน้าที่เห็นว่าพระครูด็อกเตอร์นั่งรถเข็นมา ก็ปลดสายพานกั้นให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย เข็นเข้าไปก่อนได้เลย อาตมาฝากกล้องถ่ายรูปไปกับกระเป๋าของพระครูโจ แล้วตัวเองเดินผ่านไปโดยเครื่องไม่ร้องสักแอะ แต่เพื่อนที่ตามมามีเสียงดังทุกรูป จึงโดนเรียกไปยืนเรียงแถวด้านข้าง แล้วเอาเครื่องตรวจมือถือมากวาดหาวัตถุต้องสงสัยกันทั้งคณะ..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2015 เมื่อ 19:43 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
หน้าต่างที่เปิดไว้ทั้งสองบานทางขวามือคือที่ซึ่งพระสันตะปาปาจะปรากฏพระองค์ พวกเราบางรูปเดินเบียดกันผ่านเครื่องเข้าไปก็ถูกเจ้าหน้าที่ดุเสียงดัง พร้อมกับผลักอกให้ถอยออกไปแล้วให้เดินผ่านเครื่องเข้ามาใหม่ อาตมายืนดูอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องเดินออกไปก่อน เพราะถูกอิลลาเรียเร่งยิก ๆ ให้รีบเดินตามไป ผ่านทางด้านซ้ายมือที่มีรูปปั้นม้าทรงเครื่อง ซึ่งไม่รู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร เพราะมัคคุเทศก์สาวของเราเดินเลยไปแบบไม่สนใจ อาตมาแวะเข้าไปถ่ายรูปพร้อมกับหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ แล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากระเบียงคด มองหาธงเหลืองที่เห็นอยู่กลางลานแต่ไกล... “พระอาจารย์ทุกท่านจะเห็นว่า ลานกว้างของพระราชวังวาติกันนี้ มีเหล็กกั้นแบ่งออกเป็นหลายส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งมีเก้าอี้วางอยู่หลายร้อยตัวนั้น เป็นที่สำหรับนั่งสวดมนต์ของบรรดาคริสตศาสนิกชน อีกส่วนหนึ่งที่เป็นลานโล่งนั้น สำหรับผู้ที่มาเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา ซึ่งพระองค์ท่านจะปรากฏกายตรงหน้าต่างสองบาน ที่เปิดอยู่ชั้นบนด้านซ้ายมือของตัวตึกเหนือระเบียงคด ที่เห็นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับคณะของเรานั่นแหละครับ” ตอนนี้ถึงคุณโอ๋แปลข้อมูลมาเท่าไรก็แทบจะไม่มีใครฟังแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันถ่ายรูปตามมุมที่ตนเองเห็นว่าสวย ส่วนใหญ่จะฝากคนอื่นช่วยถ่ายรูปตนเองกับสถานที่ให้ด้วย หลายท่านก็ "เซลฟี่" ด้วยตัวเอง ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย อาจารย์ตู๋ และคุณโอเล่ โดนใช้งานอย่างหนัก โดยมีอิลลาเรียส่งเสียงเร่งมาเป็นระยะ บอกว่าถ้าเลยเวลาเดี๋ยวเธอจะไปรับลูกทัวร์คณะใหม่ไม่ทัน..! |
สมาชิก 131 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
หลวงพ่อพระครูเลิศยังรั้งท้ายอยู่ใน "ตรอก" เพราะหิวจนหมดแรงเดิน..! “พระครูวิลาศฯ นี่เขาจะให้เราฉันกันเมื่อไร ? ผมหิวจนเดินไม่ไหวแล้ว..!” หลวงพ่อพระครูเลิศ (พระครูวาทีธรรมวัฒน์) ที่หุ่นค่อนข้างสมบูรณ์ เดินป้อแป้มาถามขึ้น “นั่นสิ..แม้แต่น้ำก็ไม่มีให้ คอแห้งจนจะเป็นผงอยู่แล้ว” หลวงพ่อพระครูชุบเสริมขึ้นมาอีกท่าน ตอนนี้เป็นเวลา ๑๑.๔๐ น. ของที่นี่ก็จริง แต่เวลาเมืองไทยเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว..! “ทำเวลานิดหนึ่งครับหลวงพ่อ ออกจากที่นี่เขาก็จะพาเราไปภัตตาคารแล้ว” อาตมาปลอบใจ พลางส่งขวดน้ำที่หยิบติดมือมาจากบนรถไปให้ ทั้งสองท่านผลัดกันกรอกลงคอจนหมดเกลี้ยง สีหน้าค่อยดีขึ้นมาหน่อย แล้วรีบเดินตามเพื่อนที่เลี้ยวซ้ายไปตาม “ตรอก” ที่เขากั้นเอาไว้ ตรงไปยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์... เพราะเราสามรูปช้ากว่าเขา มาถึงจึงไม่ทราบว่าคุณโอ๋เคลียร์ให้อย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่สามคนที่ยืนตรวจตั๋วนักท่องเที่ยวอื่น ๆ อยู่ ไม่ถามอะไรพวกเราสักคำก็ปล่อยให้ผ่านไปเลย พ้นจาก “ตรอก” มาเป็นที่ว่างข้างมหาวิหารช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเป็นบันไดขึ้นสู่ด้านบน ซึ่งมองเห็นมัคคุเทศก์สาวโบกธงไหว ๆ เรียกรวมพลอยู่ข้างบนนั้น... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 04-12-2015 เมื่อ 10:19 |
สมาชิก 128 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
สิบปีเปิดครั้งหนึ่งผู้คนถึงหลั่งไหลกันมาชมแบบมืดฟ้ามัวดิน..! ด้านหน้ามหาวิหารนี้เป็นเสากลมแบบเสาที่วิหารคด ขนาดก็ใหญ่โตใกล้เคียงกัน สร้างจากหินชนิดเดียวกัน ดูไม่ออกว่าเป็นการกลึงเสาต้นมหึมานี้ขึ้นมา (ไม่น่าจะมีเครื่องมือที่กลึงหินใหญ่ขนาดนี้ได้) ทำแบบหล่อขึ้นมา หรือว่าค่อย ๆ ขัดเกลาด้วยมือ (ถ้าใช่ก็มีความพยายามเกินร้อย) แต่ละต้นกลมกลึงเรียบลื่น ใหญ่โตมหึมาเท่ากันหมด แต่เสาที่ซุ้มประตูซึ่งมีขนาดย่อมลงมา เป็นเสาแบบโรมันคลาสสิก หัวเสารับคานด้านบนเป็นลวดลายปูนปั้นงดงาม ที่บ้านเราเรียกกันแบบมักง่ายว่า “เสาโรมันหัวหลุยส์”... นักท่องเที่ยวอื่น ๆ พากันหลั่งไหลเข้าไปภายในมหาวิหาร เมื่อพวกเรารวมพลแล้ว อิลลาเรียก็ชี้มือไปที่เพดานโค้งด้านบน ซึ่งมีลวดลายลงสีงดงามมาก พลางบรรยายตามหน้าที่ พระครูญาณฯ รีบแปลให้ฟังทันทีว่า “มหาวิหารหลังนี้สิบปีถึงเปิดให้เข้าชมครั้งหนึ่ง ช่วงเปิดใคร ๆ ก็หลั่งไหลกันมาชมแบบมืดฟ้ามัวดินอย่างที่เห็น พวกเราโชคดีมากที่มากับรีเจนซี่ทัวร์ จึงได้มีโอกาสเข้าชมกัน ถ้ามากับคณะอื่นก็ไม่มีโอกาสเข้าชมแบบนี้...” อาตมา ใบฎีกาวรัญญู และคุณโอ๋หัวเราะพรืดขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเห็นเพื่อนที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในห้องสองท่านหัวเราะ ทุกรูปก็รู้ว่าโดนพระครูญาณฯ ต้มเข้าแล้ว “ไอ้ลิงเขาวังเอ๊ย..! ผมก็ว่าอยู่ ๆ ทำไมถึงเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาเฉย ๆ มั้นหน่า..นัก” หลวงพ่อพระครูชุบง้างเท้าพร้อมกับหลุดคำพูดเหน่อเพชรบุรีออกมา พระครูญาณฯ เผ่นวูบไปบังหลังหลวงพ่อพระครูเลิศ ซึ่งปลอดภัยแน่นอน เพราะต่อให้มีอีกสองคนก็บังมิด มัคคุเทศก์สาวนึกว่าตัวเองพูดอะไรผิด จึงหยุดบรรยายตีหน้าปูเลี่ยน ๆ จนคุณโอ๋ต้องแจ้งสถานการณ์จริงให้ทราบ... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-10-2015 เมื่อ 14:43 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica of Saint Peter) ภาพจากอินเตอร์เน็ต มะ..ผมช่วยถีบให้เอง เมื่อเห็นท่านเจ้าคณะอำเภอแก่ ๆ ไล่ไม่ทัน พระครูกล้าในฐานะรองเจ้าคณะอำเภอ จึงอาสาจัดการกับท่านเจ้าคณะตำบลคลองกระแชง เขต ๑ แทน เฮ้ย..เฮ้ย..ไม่มีหนังสือมอบหมายให้ทำหน้าที่อย่างเป็นทางการ ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนะเว้ย..! อีกฝ่ายหมุนหลบไปรอบตัวหลวงพ่อพระครูเลิศ ปากก็โวยวายจนฝรั่งหันมามองเป็นตาเดียว พอได้แล้ว..อายเขา หลวงพ่อพระครูญา (พระครูวัชรชลธรรม : สมญา) เจ้าคณะอำเภอท่ายางห้ามขึ้น... เห็นแก่หลานสาวหลวงพ่อญาหรอกนะ ไม่อย่างนั้นโดนแน่ พระครูกล้าชี้หน้าขู่ รอให้หลานสาวหลวงพ่อญาแต่งออกไป ผมก็พ้นโทษแล้ว อีกฝ่ายยิ้มหน้าทะเล้น ตอบมาแบบไม่ทุกข์ไม่ร้อน ทำเอาเพื่อน ๆ ที่หิวจนลมออกหูหัวเราะจนลืมความหิวไปตาม ๆ กัน อิลลาเรียก็ขำความ ล้น ของพระครูญาณฯ อยู่พักใหญ่ กว่าที่จะบรรยายต่อไปได้... มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Basilica of Saint Peter) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามหาวิหารนักบุญเปโตร เป็นสิ่งก่อสร้างที่สำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกัน สร้างทับวิหารเดิมที่มีชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารสูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกล ตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ จุคนได้มากกว่า ๖๐,๐๐๐ คน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งหนึ่งของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ที่ตั้งโบสถ์เชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญซีโมน เปโตร หนึ่งในอัครทูตของพระเยซู คริสตจักรถือว่านักบุญเปโตรเป็นบิชอปองค์แรก ต่อมาท่านได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรม... |
สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
ใครอยากดูใกล้ ๆ ต้องหาทางมุดเข้าไปเอง พวกเราถ่ายรูปเพดานโค้งกันจนไม่มีอะไรให้ถ่ายแล้ว อิลลาเรียก็นำเข้าประตูซึ่งเป็นประตูด้านขวาสุดของมหาวิหาร ชั้นนอกเป็นประตูโลหะแกะสลักลวดลายที่ดูไม่ถนัด เพราะคนมากจนต้องไหลตามเขาไป ซ้ำบานประตูยังเปิดพับออกทั้งสองด้าน ชั้นในเป็นประตูไม้บานใหญ่ดูหนักอึ้ง ซึ่งช่องเปิดเล็กกว่าประตูโลหะครึ่งหนึ่ง ผู้คนเบียดเสียดเยียดยัดกันจนอาตมาแทบจะแบนเป็นกล้วยปิ้ง... "พระอาจารย์ทุกรูประวังกระเป๋าด้วยนะครับ ด้านหน้าทางขวามือทุกท่านจะได้เห็นรูปสลักหินอ่อน Pieta หรือ "พระแม่มาเรียอุ้มศพพระเยซู" ซึ่งถือว่าเป็นรูปสลักหินอ่อนที่งดงามที่สุดในโลก ถึงขนาดกล่าวกันว่า มาถึงวาติกันได้ดูรูปนี้รูปเดียวก็คุ้มค่าแล้ว.." เสียงคุณโอ๋ดังมาจากในหูฟัง... พวกเราไหลตาม "มวลมหาประชาชน" มาตกคลั่กอยู่หน้าห้องโถงใหญ่ ซึ่งทางขวามือเป็นห้องกระจก ด้านหน้าห้องเป็นเสาและผนังหินอ่อนลายสีม่วงแดงงดงาม มีรูปแกะสลักนูนต่ำที่สวยงามประดับอยู่สองข้างประตูด้านละหลายรูป แต่ที่สวยงามสุดใจขาดดิ้นจนกล้องทุกตัวระดมกดชัตเตอร์ถ่ายกันแบบไม่ต้องนับ ก็คือรูปสลักหินอ่อน "พระแม่มาเรียอุ้มศพพระเยซู" ที่อยู่บนแท่นหินอ่อนกลางห้องนั่นเอง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2015 เมื่อ 02:29 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
รูปสลักหินอ่อนฝีมือ "ขั้นเทพ" ของมิเคลันเจโล (Michelangelo) รูปจากอินเตอร์เน็ต น่าเสียดายว่ารูปสลักสุดรักสุดหวงนี้อยู่ในห้องกระจก พวกเราส่วนใหญ่จึงโดน "มวลมหาประชาชน" โดยเฉพาะแหม่มสาว ๆ กันเอาไว้จนเบียดไม่เข้า อาตมาอาศัยความคล่องตัว มุดตามฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ไซส์เฮฟวี่เวทนายหนึ่ง ซึ่งสวมหมวกแก็ป ใส่เสื้อยืด นุ่งกางเกงขาสั้นเห็นขนหน้าแข้งยุบยับ มือถือกล้องวีดิโอ เบียดคนกระจายเป็นทางเข้าไปถ่ายภาพยนตร์ กลายเป็น "รถถังนำร่อง" ชั้นดี... ถึงรั้วเหล็กที่ขวางไว้ห่างจากประตูกระจกประมาณสองเมตร อาตมาก็มุดออกมาทางซ้ายมือของฝรั่งนายนั้น เพื่อชมฝีมือแกะสลักหินอ่อน "ขั้นเทพ" ของมิเคลันเจโล (Michelangelo) ซึ่งพวกเราถนัดเรียกว่า ไมเคิล แองเจโล ที่งดงามเหลือเชื่อ ขนาดรอยยุบของเนื้อและรอยพับของผ้า ยังดูเหมือนของจริงจนไม่อยากจะเชื่อว่าแกะสลักขึ้นมาจากหินอ่อน โดยเฉพาะใบหน้าพระแม่มาเรียที่ดูโศกเศร้าเหมือนหัวใจสลาย ได้อารมณ์ยิ่งกว่าคนจริง ๆ เสียอีก... ถ่ายรูปได้สามรูปอาตมาก็โดนเบียดเอียงกระเท่เร่ออกมา บรรดาเพื่อนฝูงก็มุดเข้ามาได้ไม่กี่ท่าน ที่เหลือ "ถอดใจ" กันหมด ไม่มีใครคิดจะเบียดสาว ๆ เข้ามาถ่ายรูปกันเลย หันไปให้ความสนใจกับหัวเสา เพดานและผนังรอบด้าน ที่มีทั้งรูปสลักหินอ่อนลอยตัว นูนต่ำ รูปหล่อโลหะต่าง ๆ ทั้งรูปนักบุญในคริสตศาสนา รูปเทวดานางฟ้า รูปพระมหากษัตริย์ ฯลฯ ที่ฝีมืออยู่ในระดับสุดยอดทั้งนั้น โดยเฉพาะรูปวาดที่งดงาม สีสันสดใสเหมือนกับเพิ่งวาดเสร็จได้ไม่นานนี้เอง... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-10-2015 เมื่อ 10:04 |
สมาชิก 117 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปอย่างไรก็ไม่เหมือนกับที่ตาเห็น (รูปจากอินเตอร์เน็ต) "พระอาจารย์ทุกท่านเลือกชมได้เต็มที่นะครับ มหาวิหารหลังนี้มิเคลันเจโลออกแบบและสร้างไว้ตั้งแต่อายุเพิ่งจะ ๒๕ ปี การบรรยายต้องมีรายละเอียดมากเหลือเกิน ว่ากันเป็นวันก็ไม่จบ เดี๋ยวผมเองจะเป็นลมไปเสียก่อน ถ้าพระอาจารย์ท่านใดสงสัยหรือต้องการข้อมูลตรงไหน ให้สอบถามได้เป็นการเฉพาะ ถ้าได้ยินเสียงผมเรียกก็ให้รวมตัวกันทันที ขอนิมนต์ตามสบายเลยครับ" พวกเราเดินชมสถานที่กันโดย "แหงนคอตั้งบ่า" เสียส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเพดานที่อาศัยรูปทรงเรขาคณิตใหญ่ ๆ เล็ก ๆ สลับลวดลายและสีสันเพียงเล็กน้อย ก็งดงามจนตะลึง ผนังที่อาศัยซุ้มโค้งเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อสัมฤทธิ์ รูปแกะสลักจากหินอ่อน และภาพวาดสีสันสดใส ที่งดงามมีชีวิตชีวา เสาค้ำซึ่งเป็นเหลี่ยมเป็นร่อง ที่หัวเสามีลวดลายปูนปั้นอ่อนช้อยจนแทบจะพลิ้วไปตามลม โดมใหญ่มหึมาที่ประกอบด้วยช่องรับแสงและรูปวาดที่แทบจะเคลื่อนไหวได้จริง ๆ อาตมาได้แต่นึกไปถึงผลงานของมหากวี ชิต บุรทัตที่ว่า... ................................................................"ฯลฯ...อำพนพระมณฑิรพระรา........ชนิวาศน์ วโรฬาร์ .............................................................อัพภันตร์ก็ไพจิตรพา........................หิรภาค ก็พึงชม ................................................................เช่นหลั่งชะลอดุสิตเท....................วสถาน พิมานพรหม .............................................................มารังสฤษดิ์ศิริอุดม..........................ผิวเทียบ ก็เทียมทัน...ฯลฯ" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-10-2015 เมื่อ 07:40 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|