#21
|
||||
|
||||
ท่านที่มีวัตถุมงคลอยู่กับตัว ไม่ได้เอาไปฝากไว้ก็ไม่เป็นไร ให้ตั้งใจกราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์วัตถุมงคลในตัวของเราด้วย
พิธีการเป่ายันต์เกราะเพชรตั้งแต่โบราณมา ก็เป็นการพุทธาภิเษกวัตถุมงคลไปในตัว สมัยนั้นใครชอบใจอะไรก็สร้างมา ถึงเวลาก็ปูผ้าบนหน้าตักตัวเอง เอาวัตถุมงคลวางไว้ ทำพิธีเสร็จสรรพเรียบร้อยก็พุทธาภิเษกไปในตัว เพราะว่าการสร้างวัตถุมงคลของวัด บางทีก็ไม่ตรงกับกำลังใจของเรา บางท่านอยากได้ตะกรุดโทนสักฟุตหนึ่ง อาตมาก็ทำยาวแค่ ๒ นิ้ว แบบนั้นก็ต้องไปผลิตมาเอง อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ ตะกรุดโทนหลวงปู่รุ่ง วัดท่ากระบือ ยาว ๑ ฟุตพอดี อาตมามีอยู่ดอกหนึ่ง ถ้าวันไหนไปตีกับชาวบ้านจะพกดอกนั้นไป เพราะว่าใช้เป็นอาวุธได้...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:36 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
(หลังพิธีบวงสรวง)
ท่านที่ได้พระผงยาจินดามณีไปอย่าลืมเอาไปผึ่งลมไว้ก่อน น่าจะสักเดือนสองเดือนกว่าที่จะแห้งดี ถ้าท่านตากแดดจะแห้งช้ามาก แต่ว่าเนื้อจะแกร่งกว่า ระวังนะ...เดี๋ยวจะบีบจนบี้ไปเสียก่อน เพราะว่าองค์พระยังไม่แห้งดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
(ชมการแสดงโขน ตอน หนุมานจับนางสุวรรณมัจฉา) ผู้ชมคงจะรู้แล้วว่า ทำไมหลวงปู่หลวงพ่อบางท่านถึงสร้างเครื่องรางหนุมาน ? ก็เพราะว่าหนุมานทำงานอะไรก็สำเร็จ ใครฆ่าก็ไม่ตาย ประสบความสำเร็จในชีวิต ขนาดเป็นเจ้าเมือง ไปทำงานก็มักจะได้เมียทุกที่ อาตมาเคยสงสัยอยู่ว่า การข้ามดีเอ็นเอระหว่างลิงกับปลานี่ลูกออกมาจะเป็นอะไร แต่ท้ายสุดท่านก็เฉลยว่าออกมาเป็นมัจฉานุ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:39 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์เนื้อยาจินดามณีที่ได้ไป ให้ทุกท่านเอาไปผึ่งลมดมกลิ่นไปเรื่อย ๆ ก่อน น่าจะสักเดือนสองเดือนก็คงจะแห้งสนิท ถ้าแห้งสนิทเนื้อยาจะแกร่งเหมือนหิน ประเภทกลายเป็นพระธาตุอะไรประมาณนั้น แต่ถ้าไม่แห้งสนิทน่าจะกินง่ายกว่า
เอาไว้ถ้าหากว่ามีโอกาส อาตมาค่อยทำรุ่นต่อไปเป็นเม็ดยา จะได้ใช้สะดวก ตัวอย่างคนที่กินยาจินดามณีเข้าไป ที่เห็นชัดที่สุดก็คือ หม่อมกอบแก้ว อาภากร เพราะว่าคุณยายเธอได้ฉายาว่าสาวสองพันปี ขนาดอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:40 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ญาติโยมหลายท่านได้ยินแต่คำว่ายันต์เกราะเพชร แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร ยันต์เกราะเพชรคือบารมีของพระพุทธเจ้า ที่เมตตาสงเคราะห์ให้กับพวกเราทั้งหลาย ซึ่งมีความเคารพในพระรัตนตรัย ยันต์เกราะเพชรเป็นตำราพระร่วง สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงสุโขทัยนั้น ในตำราพระร่วงมีตำรายันต์พิชัยสงคราม ไปรบที่ไหนก็ชนะที่นั่น
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทัย สามารถแผ่กฤษฏานุภาพลงไปจรดช่องแคบมะละกา ก็แปลว่าประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน สมัยก่อนอยู่ใต้การปกครองของสุโขทัยทั้งหมด นี่คืออานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม คราวนี้ธงมหาพิชัยสงครามนั้น ตรงคอธงเป็นบทพุทธคุณ คืออิติปิ โสฯ ไปจนถึง ภะคะวาติ ตำราพระร่วงดึงเอาบทพุทธคุณที่ธงมหาพิชัยสงครามออกมา เขียนเป็น ๘ แถว แต่ ๗ บรรทัด รวมแล้ว ๕๖ คำ ชักสูตรออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร เมื่อตำรานี้สืบทอดลงมาจนถึงสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านก็ได้รับคำสั่งจากพระ ให้เป่ายันต์เกราะเพชรเพื่อสงเคราะห์แก่ญาติโยมทั้งหลาย ถ้าถามว่ายันต์เกราะเพชรมีอานุภาพอย่างไร ? ในตำราท่านบอกว่า คนรับยันต์เกราะเพชรไปแล้วจะไม่ตายโหง ถ้าไม่ใช่หมดอายุขัยจริง ๆ อย่างไรก็รอด ต่อให้โดน ๑๘ ล้อเหยียบเหลือครึ่งตัวก็รอด..! สมัยนี้บ้านเราไม่มี ๑๘ ล้อแล้ว เขาบังคับต่ำสุด ๒๒ ล้อไปแล้ว อาตมาเป็นคนรุ่นเก่า ตั้งแต่ ๖ ล้อแล้วก็มา ๘ ล้อ ๑๐ ล้อ ขยับพรวดไป ๑๘ ล้อนึกว่าจะหมดแล้ว ปัจจุบันนี้รถลาก รถพ่วง มี ๒๒ ล้อ ไม่ใช่ให้หวยเหมือนเดิม...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-04-2017 เมื่อ 20:30 |
สมาชิก 121 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ในเรื่องของการรับยันต์เกราะเพชร เมื่อรับไปแล้วป้องกันการตายโดยผิดปกติ ที่โบราณเรียกว่าตายโหง ตัวอย่างชัด ๆ ก็โยมแม่ของอาตมาเอง รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว โดนราชรถ ๑๐ ล้อมาเกย ต้องบอกว่า ท่านสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้เยอะ อยู่ห่างจากถนน ๒๐ เมตร มีรถตะบึงมา ปรากฏว่าฝั่งซ้าย บขส. ที่ไปสุพรรณบุรีจอด ฝั่งขวา บขส. ที่ไปนครปฐมจอด เพราะว่าตรงนั้นเป็นท่ารถพอดี
รถไม่มีทางไปก็หักลงข้างถนน โยมแม่อาตมาอยู่ข้างถนนเกือบ ๒๐ เมตร อยู่ ๆ ก็มีราชรถมาเกย กระดูกด้านขวาตั้งแต่กราม ไหล่ลงมาจนกระทั่งถึงปลายเท้าหักหมดทุกท่อนเลย นอนอยู่ห้องไอซียู ๑๘ วัน อาตมาไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อวัดท่าซุง กราบเรียนว่าแม่โดนรถชน นอนห้องไอซียูมา ๑๘ วันแล้ว คาดว่าจะไม่รอด ขอถวายสังฆทานให้แม่ล่วงหน้า หลวงพ่อถามว่า "แม่แกรับยันต์ไปหรือเปล่า ?" อาตมาเรียนตอบว่ารับไปหลายครั้งแล้วครับ ท่านบอกว่าถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ก็ปรากฏว่ารอดจริง ๆ แต่รักษาตัวอยู่ ๓ ปี กว่าที่จะแข็งแรงเหมือนเดิม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:44 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
อีกรายหนึ่งเป็นดาราที่ดังมากในสมัยนั้น คือ จารุณี สุขสวัสดิ์ สมัยนั้นหนังเรื่องไหนที่ไม่มีจารุณีเล่นนี่เจ๊งแน่นอน แต่ถ้าเรื่องไหนที่จารุณีเล่นรับประกันว่ารายรับเกินล้านขึ้นไป
จารุณีเล่นหนังเรื่องลูกสาวกำนัน มีอยู่ตอนหนึ่งที่ขับเรือด่วนไล่ผู้ร้าย ฝ่ายผู้ร้ายเอาน้ำมันเทลงในแม่น้ำ แล้วก็จุดไฟสกัดไว้ จารุณีเป็นผู้หญิงใจกล้า ขับเรือเองโดยไม่ใช้ตัวแทน พุ่งฝ่าเปลวไฟไป แต่ปรากฏว่าไฟลุกสูง มีทั้งเปลว มีทั้งควัน มองทางไม่เห็น จึงชนตอม่อสะพานไปเต็ม ๆ แค่หลังหักเท่านั้น รักษาตัวอยู่ไม่นานก็หายเป็นปกติ แต่ตอนนี้คุณยายเธอจะปวดหลังอยู่ตลอด เหตุที่จารุณีไม่เป็นอะไรเพราะว่าไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัดท่าซุง ไปแบบน่าสงสารที่สุด มีเพื่อนรวมทั้งตัวเธอไปกัน ๓ คน ไม่มีใครแลดาราเลย ปกติไปที่อื่นมีแต่แย่งกันขอถ่ายรูป แย่งกันขอลายเซ็น ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ยิ่งกว่าตาทอมทุเรียนเสียอีก ...(ฮา)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-04-2017 เมื่อ 20:30 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
เป็นอันว่าบุคคลที่รับยันต์เกราะเพชรไป ถึงประสบอุบัติเหตุหนักหนาแค่ไหน รับประกันซ่อมฟรีว่าไม่ตายแน่นอน ยกเว้นท่านที่หมดอายุขัยจริง ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหมดอายุ ? ก็รักษาแล้วไม่รอดนั่นแหละ...ง่ายจะตายไป
ข้อที่สองจะไม่ตายด้วยสัตว์มีพิษ หมายความว่า ถ้าโดนงูพิษกัด โดนสัตว์มีพิษกัด ยันต์เกราะเพชรมีอำนาจคุ้มได้ ถามว่าเจ็บไหม ? เจ็บแน่นอน เพราะว่าอาตมาโดนมาเองแล้ว แต่ไม่ตาย...ขอยืนยัน เพราะอาตมาซน ชอบจับงูเล่น โดนงูกะปะกัดเข้าที่ชีพจรข้อมือพอดี ภาษาโบราณเขาบอกว่าปวดเห็นดาวเห็นเดือนเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-04-2017 เมื่อ 17:47 |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
เสียดายที่เมื่อวานนี้หมาวัดรุมฟัดงูจงอางตายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นจะยืมมาปล่อยในศาลาหลังจากเป่ายันต์แล้วเพื่อทดสอบ...!
ปกติแล้วงูกับหมานี่ ถ้าเดี่ยว ๆ แล้วยังไม่รู้ว่าใครจะอยู่ใครจะไป แต่นี่หมาทั้งฝูง งูก็เลยไม่รอด โดนกัดตายไปแล้ว อาตมาเคยจับเล่นอยู่ ตัวไม่ใหญ่มากเท่าไรหรอก ประมาณขวดโค้กใหญ่ ชูหัวขึ้นมาทีหนึ่งก็เกือบ ๆ หน้าผากอาตมาพอดี ส่วนข้อสุดท้าย อาจารย์ไสยศาสตร์จะเกลียดมากเป็นพิเศษ ก็คือยันต์เกราะเพชรสะท้อนคืนไสยศาสตร์ทุกประเภท ใครทำเราจะให้เป็นแบบไหน ตัวเองจะเป็นแบบนั้น อาตมาก็ไม่เคยกลั่นแกล้ง แต่ว่าโยมเดือดร้อนเอง เพราะว่าทะลึ่งทำมา ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 09-04-2017 เมื่อ 20:28 |
สมาชิก 118 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
เครื่องมือในการรับยันต์เกราะเพชรนั้น ต้องมีธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม เป็นเครื่องบูชาพระ ถ้าหากว่ามีลูกอยู่ในท้อง ให้เตรียมเพื่อลูกอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้เมื่อรับยันต์แล้ว ให้เก็บกลับบ้าน ปกติแล้วจะมีอานุภาพคล้ายกับมีดหมอ ก็คือถ้ามีผีเจ้าเข้าสิงที่ไหน สามารถใช้ไล่ผีแทนมีดหมอได้ แต่อาตมานอกครูอยู่เสมอ ใช้วิธีว่า ถ้าจะบอกกล่าวอะไรพระหรือเทวดาท่าน ก็จุดธูปเทียนชุดนี้ ในเมื่อผ่านพิธีที่ท่านสงเคราะห์มาแล้ว เท่ากับมีไลน์สายตรง ในเมื่อแอดไลน์กันได้ ต้องการจะคุยอะไรก็แจ้งท่านไปเลย
ฉะนั้น...ถ้าหากว่าเห็นใครวางทิ้งนี้รีบคว้าหมับเลยนะ เพราะว่ารู้สึกว่าบนกันเก่งเหลือเกิน บนไปบนมาไม่ได้ดั่งใจก็ใส่ไม้เอก กลายเป็น "บ่น" ต่อไป การรับยันต์เกราะเพชรของเรา เมื่อเริ่มพิธีแล้วให้พนมมือ หลับตา ตั้งใจนึกขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ กำหนดลมหายใจเข้าออกของเราเหมือนกับตอนภาวนา หรือว่าเจริญกรรมฐาน ถึงเวลาพระท่านจะสงเคราะห์ให้เอง เพราะฉะนั้น...การเป่ายันต์เกราะเพชรจึงไม่ใช่เป่าใส่หัวทีละคน แต่เป็นการเป่าทีละศาลา จะกี่ร้อยกี่พันคนก็ได้ ใครที่มีจิตศรัทธา เคารพในคุณพระรัตนตรัย จะอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถรับยันต์เกราะเพชรได้ ถึงเวลาพระท่านสงเคราะห์ถึงทั้งหมด อาตมาเองเป่ายันต์มาหลายครั้งตามที่พระท่านสั่ง ญาติโยมหลายรายที่อยู่ต่างจังหวัดไกล ๆ รับแล้วมีอาการเหมือนกับตอนมารับที่วัด ทำให้มั่นใจว่าสามารถรับยันต์เกราะเพชรนอกสถานที่ได้จริง ๆ แต่ก็เป็นเรื่องแปลกว่า ครั้งต่อไปขอมาวัดดีกว่า ประมาณว่าจะได้มั่นใจยิ่งขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2017 เมื่อ 16:27 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
เมื่อรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้าท่านตั้งใจจะรักษาเอาไว้ให้ได้ ต้องรักษาศีลอย่างน้อย ๒ ข้อ ข้อที่หนึ่งก็คือ ห้ามลักขโมย ห้ามหยิบฉวยสิ่งของเจ้าของไม่ได้ให้ อย่าได้ประพฤติเป็นอันขาด
ข้อที่สอง ห้ามดื่มสุราเมรัย พูดง่าย ๆ ก็คือเหล้ายาทุกประเภทอย่าไปแตะต้อง แม้แต่ที่ผสมอาหารมาก็ต้องเลี่ยง เพราะว่ายันต์เกราะเพชรกลัวแอลกอฮอล์ เข้าไปเมื่อไรยันต์หายทันที ท่านที่มีความรู้สึกไว ๆ ก็ร้อนวาบไปทั้งตัว บางรายบอกว่าระเบิดออกสะเทือนไปทั้งตัวเลย ถ้าหากว่ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว จะพิสูจน์อย่างไรว่าเรารับยันต์ได้ ? ในช่วงที่ท่านภาวนาพุทโธ เพื่อตั้งใจรับยันต์นั้น จะมีอาการเกิดขึ้นกับร่างกาย อย่างเช่น ร้อนหัว ร้อนตัว ร้อนหน้า หนักหัว หนักไหล่ บางคนก็ขนลุกทั้งตัว บางคนก็โยกไปโยกมา ถ้าหากว่าอยากจะพิสูจน์ ให้พาสาว ๆ ที่ท้องเป็นครั้งแรกมาด้วย ถ้ารับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ลูกคนแรกเป็นผู้ชาย จะมียันต์ติดตัวออกมาให้เห็น ตั้งแต่อาตมาจัดพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรมา มีหลายรายแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ดู ลายเป็นตุ๊กแกเลยก็มี แต่ว่าไม่ต้องกลัว เพราะว่าภายใน ๗ วันยันต์ก็จะซึมเข้าไปอยู่ที่กระดูกเอง ผิวหนังจะเป็นปกติเหมือนเดิม แต่ถ้าลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ใหญ่ที่รับยันต์เกราะเพชรไป จะพิสูจน์ได้อีกทีก็ตอนตายแล้วเผา ยันต์จะติดอยู่ที่กระดูก ไม่ว่าจะยุคสมัยของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อวัดท่าซุงที่จัดเป่ายันต์มา ลูกศิษย์ของท่านที่ตายแล้วเผา มียันต์ติดอยู่กระดูกเสมอ แต่ต้องรักษายันต์ได้ ถ้ารักษาไม่อยู่ก็ไม่มีให้เห็น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2017 เมื่อ 16:29 |
สมาชิก 114 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
การเป่ายันต์เกราะเพชรที่สืบทอดมานั้น รุ่นของอาตมาได้รับการครอบครูมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่น่าเสียดายว่าในยุคนั้น ทางวัดให้ความเคารพหลวงพ่อมากจนเกินเหตุ แต่เป็นการเคารพในทางที่ผิด ก็คือหลวงพ่อท่านสั่งให้ทุกคนภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง รักษาภาพพระให้แจ่มใสไว้เสมอ แล้วถึงวันเป่ายันต์เกราะเพชรให้จัดขันครู เพื่อที่จะได้รับการครอบครูในการเป่ายันต์
ปรากฏว่าก่อนงานเป่ายันต์ไม่กี่วัน มีการประชุมคณะกรรมการสงฆ์ แล้วสรุปออกมาว่า การเป่ายันต์เกราะเพชรเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น พวกเราไม่ควรที่จะวัดรอยเท้าเป็นอันขาด คณะกรรมการสงฆ์จึงมีคำสั่งว่า ห้ามครอบครูเพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชร อาตมานั้นถือว่าสิ่งที่หลวงพ่อสั่งเราต้องทำด้วยชีวิต คณะกรรมการสงฆ์สั่งห้าม ไม่ใช่หลวงพ่อสั่งห้าม จึงไปขอให้โยมศุภาพร อดีตภรรยาของหลวงตาวัชรชัยช่วยจัดขันครูให้ด้วย โดยไปกัน ๒ รูป คืออาตมากับท่านชาติชาย ตอนนั้นอาตมาได้ ๗ พรรษา ท่านชาติชายได้ ๒ พรรษา โยมศุภาพรเห็นแล้วก็ถอนหายใจเฮือก...! บอกว่า "หลวงพี่...สองคนรวมกันยังไม่ได้ ๑๐ พรรษาเลย จะงัดเขาไหวหรือ ?" ก็บอกกับโยมไปว่า "โยมก็รู้นิสัยอาตมา ว่าอะไรที่หลวงพ่อสั่ง ต่อให้ตายก็ต้องทำ ในเมื่อเขาไม่ทำ โยมทำขันครูมาก็แล้วกัน อาตมารับผิดชอบตัวเอง ถ้าโดนไล่ออกจากวัดก็ยอม" โยมศุภาพรจึงตัดสินใจว่า "ถ้าอย่างนั้นโยมจะทำขันครูเผื่อพระผู้ใหญ่ที่รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อในศาลา ๑๒ ไร่ด้วย ถ้าโดนจะได้โดนด้วยกัน" โยมก็ใช้ได้เหมือนกันนะ ปรากฏว่าโยมทำขันครูไปทั้งหมด ๙ ใบด้วยกัน อาตมากับท่านชาติชาย ๒ อีก ๗ ท่านนั้น ตอนนี้ทั้งสึก ทั้งออกจากวัดไปเยอะแล้ว แทบจะไม่เหลือติดวัดแล้ว ก็ปรากฏว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นอาตมากับท่านชาติชายก็โดนสอบสวน ข้อหาฝืนคำสั่งคณะกรรมการสงฆ์ แต่อาตมาแก้ตกทุกประตู เพราะว่าสิ่งที่หลวงพ่อสั่งเราต้องทำ คุณไม่กล้าทำก็ถอยไปห่าง ๆ ผมจะทำเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-04-2017 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
บุคคลที่ได้รับการครอบครูเป่ายันต์เกราะเพชร มีทั้งลาสิกขาไปและอยู่นอกวัด ก็คือ
๑.ท่านชาติชาย ลาสิกขาไปแล้ว ๒.ท่านอาจารย์พระสมุห์บัญชา สุขปญฺโญ ท่านเป็นพระอนุสาวนาจารย์ของอาตมาเอง ลาสิกขาไปแล้ว ๓. ท่านปลัดอภิชัย สุธมฺมธมฺโม หรือท่านน้อย ลาสิกขาไปแล้ว ๔. ตัวอาตมาเอง อยู่ที่นี่ ที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ ๕. หลวงตาวัชรชัย อยู่ที่วัดเขาวง จ.สระบุรี ๖. ท่านอาจารย์พระปลัดวิรัช โอภาโส อยู่ที่วัดธรรมยาน จ.เพชรบูรณ์ แปลว่าเหลืออยู่ในวัดแค่สาม...ใช่ไหม ? เอาเถอะ ใครอยู่ในวัดก็เดาเอาเองแล้วกัน การครอบครูเพื่อรับการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น คำสั่งที่เด็ดขาดของหลวงพ่อ ก็คือ ๑. อย่าใช้กำลังของตัวเองเป็นอันขาด ถ้าไม่ใช่พระท่านสงเคราะห์ เราใช้กำลังสมาธิ สมาบัติของตัวเอง จะได้ผลไม่เกิน ๒ เปอร์เซนต์ ก็แปลว่า ถ้าอยากทำเอง ๑๐๐ บาท ก็ได้แค่ ๒ บาท ๒. อย่าเดินสายเป่ายันต์เป็นอันขาด ให้ทำเฉพาะที่วัดซึ่งตนอยู่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นคงจะมีประเภทรับจ้างเป่ายันต์ ๓. สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่พระท่านบอก ท่านสั่ง ให้ทำตามนั้น ก็หมายความว่าต้องทรงสมาธิจิต ติดต่อกับพระท่านได้ ท่านบอกให้วางกำลังใจอย่างไร ภาวนาคาถาอะไรให้ทำตามนั้น ท่านบอกว่า ถ้าฝืนข้อใดข้อหนึ่งจะเป่าไม่ติด ก็คือการเป่ายันต์นั้นไม่มีผล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2018 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 115 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
ในบรรดาท่านที่ครอบครูมาทั้งหมด อาตมาได้รับคำสั่งให้เป่ายันต์ก่อนเพื่อน สำหรับท่านอื่นยังไม่มีคำสั่งหรือว่าท่านรับคำสั่งไม่ได้ก็ไม่ทราบ
ในส่วนของการเป่ายันต์เกราะเพชรนั้น ท่านให้ทำเพื่อการสงเคราะห์ ถ้าหากว่าทำเอารวย พระท่านไม่สงเคราะห์เหมือนกัน เราจะเห็นว่ามีกฎกติกามากมายที่ต้องยึดถือ ทั้งตัวโยมที่รับไปต้องรักษาศีล อย่างน้อย ๒ ข้อ ทั้งพระที่ทำก็มีกฏ มีกติกาข้อห้ามอยู่ อาตมาเองอยากจะผ่องถ่ายวิชาการอยู่เหมือนกัน เมื่อไรท่านจะสั่งให้ครอบครู มีลูกศิษย์ได้เสียทีก็ไม่รู้ ? หลวงพ่อท่านครอบครูให้พวกอาตมา ตอนท่านอายุ ๗๗ ปี อาตมาเองจะอายุถึง ๗๗ ปีหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ? เพราะหลังจากครอบครูให้ไม่กี่เดือน หลวงพ่อท่านก็มรณภาพ ถ้าหากอาตมาไม่ฝืนคำสั่งคณะกรรมการสงฆ์ ดื้อไปครอบครูไว้ วิชานี้ก็สูญ เพราะว่าสายนอกที่ทำมาเห็นออกนอกลู่นอกทางไปมาก หลายท่านสามารถเป่ายันต์ได้ทุกวัน บางท่านเคยไปวัด คุ้นกันแท้ ๆ เจอหน้ากันทีไรก็ยังไล่เตะตูดกันเหมือนเดิม แต่เป่ายันต์ทั้งเสาร์และอาทิตย์ ท่านบอกว่าคนมาเยอะดี นอกครูไปได้เหมือนกัน ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-04-2017 เมื่อ 16:37 |
สมาชิก 112 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
(ก่อนเป่ายันต์รอบบ่าย) สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง เนื่องจากว่าเป็นช่วงเวลาฝึกฝนปฏิบัติของตัวเอง เพราะฉะนั้น...เรื่องของการก่อสร้าง บูรณปฏิสังขรณ์ทุกอย่างจะไม่ยุ่งเกี่ยวเลย พอถึงเวลาทำหน้าที่ประจำเสร็จก็เข้าที่ภาวนา ไม่มีเวลา คำว่า "ไม่มีเวลา" ก็คือ ว่างตอนไหนทำตอนนั้น จะกลางวันกลางคืนก็ไม่ว่า
ในเมื่อไม่มีเวลาก็เลยกลายเป็นปฏิบัติแล้วได้เยอะหน่อย เพราะไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน บางทีก็เดินจงกรมยันสว่าง ส่วนใหญ่แล้วก็ไปหลบอยู่ใต้สวนไผ่ เดินจงกรมจนทางเป็นร่อง ออกจากวัดมาปีแรกต้องไปสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ปีที่สองสร้างสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ ปีที่สามสร้างวัดห้วยสมจิตร ปีที่สี่ก็เริ่มสร้างวัดหนองบัว กลับจากวัดหนองบัวมาแล้วก็มาทำวัดพุทธบริษัท แล้วก็ไปช่วยวัดท่ามะขามไปครึ่งวัด มาทำวัดทองผาภูมิไปครึ่งวัด หลังจากนั้นก็คิดว่าพอกันที ซ่อมสร้างไปหลายวัดเต็มทีแล้ว จากคนที่ไม่เคยแตะต้องงานก่อสร้างเลย ตอนนี้ไม่ว่าพื้นที่กว้างยาวเท่าไร ใช้วัสดุอะไร สามารถบอกได้หมด เสร็จจากวัดทองผาภูมิ ก็ตั้งใจบูรณะเกาะพระฤๅษีให้ดี กะว่าจะอยู่ที่นั่นแหละ ปรากฏว่าทำเสร็จได้ ๒ วัน วัดท่าขนุนขาดเจ้าอาวาส จึงต้องมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 16:44 |
สมาชิก 105 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
จากการที่ไม่คิดว่าจะก่อสร้างก็ต้องมาทำ ทำจนกระทั่งญาติโยมหลายคนบ่นว่าสร้างแล้วไม่อยู่ อาตมามีหน้าที่สร้างให้เขา ไม่ได้สร้างไว้อยู่ แม้กระทั่งวัดท่าขนุนก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ โยมถามว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ? ก็บอกว่า วัดที่ดีที่สุดในความรู้สึกของอาตมาคือ วัดท่าซุง ถ้าวัดท่าซุงอาตมายังทิ้งได้ ไม่มีวัดไหนที่ทิ้งไม่ได้หรอก บางคนจะเห็นว่าทำวัดนี้ไปกี่สิบล้าน ทำวัดนี้ไปกี่ร้อยล้าน ไม่มีความหมายสำหรับอาตมา...ถ้าจะไปก็ไป..!
ซ่อมโบสถ์ไป ๓ หลัง สร้างไป ๒ หลัง ซ่อมนี่ยากกว่า เพราะว่ายิ่งรื้อก็ยิ่งเจอว่าเสียหายตรงไหน เพราะฉะนั้น...สร้างใหม่จะง่ายกว่ามาก พระเจดีย์ก็สร้างไปหลายองค์ ล่าสุดก็เพิ่งให้ทุนท่านอาจารย์คำพูล หรือพระครูวุฒิกาญจนวัตร รองเจ้าคณะอำเภอศรีสวัสดิ์ ไปสร้างพระเจดีย์ในทุ่งใหญ่นเรศวร ไว้เป็นที่เคารพสักการะของบรรดากะเหรี่ยงอีก ๑ หลัง อาตมาเป็นนายทุน โอนเงินไปให้ท่านดำเนินการ ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องรีบทำไว้ก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 16:46 |
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
ตอนนี้ฌาปนสถานหรือเมรุของวัดท่าขนุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรือนไทยประยุกต์ ถ้าเสร็จก็จะซ่อมตึกเตชะไพบูลย์กับตึกประจวบดี ๒ ตึก หลังจากนั้นงานข้างในก็คงไม่มี อาตมาจะไปทำทางขึ้นรอยพระพุทธบาท
ตอนนี้สภาพร่างกายของอาตมา แข็งแรงเพียงพอที่จะรบกับญาติโยมเป็นวัน ๆ ถ้ามีเรี่ยวมีแรงแบบนั้น ก็จะไปขึ้นรอยพระพุทธบาทเสียที เพราะว่ารอยพระพุทธบาทนั้น ตั้งแต่สมัยอาตมายังอยู่วัดท่าซุงขึ้นไปกราบ ต้องหาทางตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นไป จนกระทั่งเห็นว่าเป็นรอยพระพุทธบาทจริง ๆ แต่ที่ทึ่งกว่านั้นก็คือมีรอยเท้าเท่ากับรอยคนธรรมดาทั่วไป เหยียบอยู่บนหิน ๑ รอย ลักษณะของการเหยียบ ลึกและชัดเจนมาก ลึกเป็นนิ้วเลย ลึกและชัดเจน สงสัยว่าจะเป็นหลวงปู่สาย ถึงเวลาก็สกัดรอยเท้าของอาตมาให้ลึกพอ ๆ กัน เรียกวัดรอยครูบาอาจารย์ งานใหญ่อยู่บนหัวอาตมา คือ พิพิธภัณฑ์ ๑๐๐ ปี หลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง จะแบ่งเป็นห้อง ๆ ห้องแรกเป็นห้องความรู้ทางพระพุทธศาสนา ห้องที่สองเป็นห้อง หลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสที่นี่ ห้องที่สามจะเป็นวัตถุมงคลประเภทเครื่องรางของขลัง ซึ่งอาตมาค่อนข้างมั่นในว่า ตัวเองสะสมไว้ไม่น้อยหน้าใครในโลก แล้วก็อยากจะเอาพวกสินค้าโอท็อป ฝีมือระดับประเทศ อวดเขาได้ไม่อายใครมาให้เด็ก ๆ แถวนี้ได้ดูบ้าง โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นเครื่องเงิน เครื่องทอง อาตมาทยอยซื้อเก็บ ๆ เอาไว้หลายล้านเต็มทีแล้ว บางอย่างเช่น เข็มขัด ถักลายด้วยเส้นลวดทองคำ เส้นหนึ่งก็เป็นล้านแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-04-2017 เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 110 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
มณฑปประดิษฐานพระทองคำ ราคา ๑๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท องค์พระไม่ต้องคิด องค์พระเนื้อเงินนั่นใช้โลหะเงินไป ๑๕๐ กิโลกรัมเศษ ๆ ราคาก็ประมาณ ๓ ล้านกว่า ๆ เนื้อนากยังไม่รู้ เพราะว่าต้องผสมทองคำ ๓๐% ส่วนเนื้อทองคำ รู้แน่ ๆ ว่าต้องใช้ทองคำ ๑๔๐ กิโลกรัม ตอนนี้ญาติโยมกราบหลวงพ่อเงินให้ชื่นใจไปก่อน อาตมาสร้างไว้เรียกเงิน เพราะว่าตัวเองใช้เงินเก่ง ปีที่แล้วใช้เกินบัญชีไป ๘๐ กว่าล้าน ปีนี้ยังไม่รู้ว่าจะใช้เกินไปเท่าไร เป็นคนใช้เงินเกินแล้วไม่เป็นหนี้ นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์
เมื่อครู่นี้เพื่อนพระเพิ่งจะทักว่า อาจารย์เล็กไม่ได้อยู่มุมเศรษฐีนี่ ทำไมรวยนัก ? กุฏิที่ทำงานของอาตมาอยู่มุมมหาทุคตะ มหาทุคตะ แปลว่าลำบากยากจนสุด ๆ อาตมาเป็นคนจนมาก ปีหนึ่งใช้เงินเป็นร้อยล้าน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 16:50 |
สมาชิก 107 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป อาตมาจะรวยขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่างานก่อสร้างมีน้อยลง แต่ท่านผู้รู้บอกว่าถ้าหลวงพ่อเงินมา อาตมาจะรวยขึ้นเรื่อย ๆ พอดี จึงสอดคล้องกับเหตุการณ์จริง ๆ โดยอัตโนมัติ เพราะถ้าโดยปกติปีหนึ่งใช้ ๑๐๐ กว่าล้าน งานก่อสร้างเบาลงเหลือจ่ายสัก ๕๐ ล้าน ก็เก็บได้ตั้งครึ่งหนึ่ง
อาตมาจะพยายามตั้งกองทุนเอาไว้ให้เจ้าอาวาสรูปถัดไป ท่านจะไม่ต้องช็อกตาย เพราะถ้าไม่มีกองทุนไว้บริหารวัด วัดใหญ่ ๆ จะลำบากมาก แบบเดียวกับวัดพระธรรมกาย วัดพระธรรมกายถ้าไม่มีกองทุนนี่อยู่ไม่ได้เลย เพราะว่าวัดใหญ่ พระภิกษุ สามเณรเยอะมาก แค่ช่วยกันกินก็หน้ามืดแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 10-04-2017 เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 109 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
วัดของอาตมามีพระอยู่ ๓๐ กว่ารูป ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ถ้าทุกคนเปิดพัดลมพร้อมกัน ค่าไฟเดือนหนึ่งตกหมื่นกว่าบาท อาตมาก็แปลกใจเหมือนกันว่าที่นี่เป็นอะไรกัน หน้าหนาวก็เปิดพัดลม หน้าร้อนก็เปิดพัดลม หน้าหนาวเอาผ้านวมตีโปง คลุมหัวยันเท้าแล้วก็เปิดพัดลม แล้วจะเปิดทำไม ? ส่วนหน้าร้อนนี่เปิดพัดลมยังพอจะเข้าใจ แต่อาตมานี่โดนพัดลมตรง ๆ ไม่ได้ โดนแล้วไข้จับ อยู่ห้องปรับอากาศยิ่งอยู่ไม่ได้ อยู่แล้วจะคัน เพราะว่าผิวแห้ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-04-2017 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 116 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|