|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
|||
|
|||
นักปฏิบัติลังเลใจ
ปัจจุบันนี้ ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติมีความงวยงง สงสัยอย่างยิ่งในแนวทางการปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นใหม่ เนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายต่าง ๆ แนะแนวทางการปฏิบัติไม่ตรงกัน ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์อื่น สำนักอื่น ว่าเป็นการถูกต้อง หรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อย ดังนั้น เมื่อมีผู้สงสัยทำนองนี้มากและได้มาเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อย ๆ จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอว่า "การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้น เพราะจริตของคนไม่เหมือนกันจึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ สัมมาอรหัง เป็นต้น เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน เมื่อจิตรวมสงบแล้ว คำบริกรรมนั้นก็หลุดหายไปเอง แล้วถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมี วิมุติ เป็นแก่น มีปัญญา เป็นยิ่ง" |
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
|||
|
|||
แนะนำหลวงตาแนน
หลวงตาแนนบวชเมื่อวัยเลยกลางคนไปแล้ว หนังสือก็อ่านไม่ออกสักตัว ภาษากลางก็พูดไม่ได้สักคำ ดีอย่างเดียว คือ เป็นคนตั้งใจดี ขยันปฏิบัติกิจวัตรไม่ขาดตกบกพร่อง ว่าง่ายสอนง่าย เมื่อเห็นพระรูปอื่นออกไปธุดงค์ หรืออยู่ปฏิบัติกับสำนักครูบาอาจารย์อื่น ๆ ก็อยากจะไปกับเขาด้วย จึงไปลาหลวงปู่ เมื่อหลวงปู่อนุญาตแล้ว หลวงตาแนนกลับวิตกว่า กระผมไม่รู้หนังสือ ไม่รู้ภาษาพูดเขา จะปฏิบัติกับเขาได้อย่างไร หลวงปู่แนะนำว่า "การปฏิบัติไม่ได้เกี่ยวกับอักขระพยัญชนะหรือคำพูดอะไรหรอก ที่รู้ว่าตนไม่รู้ก็ดีแล้ว วิธีปฏิบัติในส่วนวินัยนั้น ให้พยายามดูแบบอย่างเขา แบบอย่างครูบาอาจารย์ผู้นำ อย่าทำให้ผิดแผกจากท่าน ส่วนธรรมะ ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้วอย่างอื่นก็เข้าใจได้เอง" |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
|||
|
|||
ตื่นอาจารย์
นักปฏิบัติธรรมสมัยนี้มีสองประเภท ประเภทที่หนึ่ง เมื่อได้รับข้อปฏิบัติ หรือข้อแนะนำจากอาจารย์ พอเข้าใจแนวทางแล้ว ก็ตั้งใจเพียรพยายามปฏิบัติไปจนสุดความสามารถ อีกประเภทหนึ่ง ทั้งที่มีอาจารย์แนะนำดีแล้ว ได้ข้อปฏิบัติถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่ตั้งใจทำอย่างจริงจัง มีความเพียรต่ำ ขณะเดียวกันก็ชอบเที่ยวแสวงหาอาจารย์ ไปในสำนักต่าง ๆ ได้ยินว่าสำนักไหนดีก็ไปทุกแห่ง ซึ่งในลักษณะนี้มีอยู่มากมาย หลวงปู่แนะนำลูกศิษย์ว่า "การไปหลายสำนักหลายอาจารย์ การปฏิบัติจะไม่ได้ผล เพราะการเดินหลายสำนักนี้ คล้ายกับการเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ไปเรื่อย เราก็ไม่ได้หลักธรรมที่แน่นอน บางทีก็เกิดความลังเล งวยงง จิตก็ไม่มั่นคง การปฏิบัติก็เสื่อม ไม่เจริญคืบหน้าต่อไป" |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
|||
|
|||
จับกับวาง
นักศึกษาธรรมะ หรือนักปฏิบัติธรรมะ มีสองประเภท ประเภทหนึ่ง ศึกษาปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง ประเภทสอง ศึกษาปฏิบัติเพื่อจะอวดภูมิกัน ถกเถียงกันไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ใครจำตำราหรืออ้างครูบาอาจารย์ได้มาก ก็ถือว่าตนเป็นคนสำคัญ บางทีเข้าหาหลวงปู่ แทนที่จะถามธรรมะข้อปฏิบัติจากท่าน ก็กลับพ่นความรู้ความจำของตนให้ท่านฟังอย่างวิจิตรพิสดาร ก็เคยมีไม่น้อย แต่สำหรับหลวงปู่นั้นท่านฟังได้เสมอ เมื่อเขาพูดจบลงแล้วยังช่วยต่อให้อีกด้วยว่า "ผู้ใดหลงใหลในตำราและอาจารย์ ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน" |
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
|||
|
|||
เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วไม่ต้องการ
ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อเถาะซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่ ที่ได้ออกธุดงค์ติดตามท่านอาจารย์เทสน์ ท่านอาจารย์สาม ไปอยู่จังหวัดพังงาหลายปี ได้กลับมาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่ เพื่อขอศึกษาข้อปฏิบัติทางกัมมัฏฐาน และเมื่อได้รับความรู้ในการศึกษาปฏิบัติจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงพ่อเถาะได้พูดตามประสาความคุ้นเคยว่า หลวงปู่สร้างโบสถ์ ศาลา ได้ใหญ่โตสวยงามอย่างนี้ คงจะได้บุญได้กุศลอย่างมากเลยทีเดียว หลวงปู่ตอบว่า "ที่เราสร้างนี่ก็เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์สำหรับโลก สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ ถ้าพูดถึงเอาบุญ เราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้" |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
|||
|
|||
ผู้ไม่มีโทษทางวาจา
เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๖ หลวงปู่กำลังอาพาธหนักพักรักษาอยู่ที่ห้องพระราชทาน ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลวงปู่สาม อกิญฺจโน เดินทางมาเยี่ยมหลวงปู่ถึงห้องพยาบาล ขณะที่หลวงปู่กำลังนอนพักอยู่ เมื่อหลวงปู่สามขยับไปนั่งใกล้ชิดแล้วก็ยกมือไหว้ หลวงปู่ดูลย์ก็ยกมือรับไหว้ แล้วต่างองค์ก็ต่างนั่งอยู่เฉย ๆ ตลอดระยะเวลานาน และเมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว หลวงปู่สามประนมมืออีกครั้ง พร้อมกับพูดว่า "กระผมกลับก่อน" หลวงปู่ดูลย์ว่า "อือ" ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมงได้ยินเพียงเท่านี้ เมื่อหลวงปู่สามกลับไปแล้ว ก็อดที่จะถามหลวงปู่ไม่ได้ว่า "หลวงปู่สามอุตส่าห์มานั่งตั้งนาน ทำไมหลวงปู่จึงไม่สนทนาอะไรกับท่านบ้าง" หลวงปู่ตอบว่า "ธุระมันหมดแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดอะไร" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 01-03-2010 เมื่อ 20:28 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
|||
|
|||
ขันติบารมี
เท่าที่อยู่ใกล้ชิดกับหลวงปู่ตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ไม่เคยเห็นท่านแสดงอากัปกิริยาใด ๆ ให้เห็นว่า ท่านอึดอัดหรือรำคาญจนทนไม่ได้ถึงกับต้องบ่นอุบอิบกับกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ไปเป็นประธานในงานสถานที่ใด ๆ ก็ไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการให้เขาจัดแจงดัดแปลงพิธีการใหม่ หรือไปในสถานที่ที่เป็นกิจนิมนต์ แม้จะต้องนั่งรอนาน หรืออากาศจะร้อนอบอ้าวอย่างไร ก็ไม่เคยบ่น เวลาเจ็บไข้ไม่สบาย หรือเวลาเผอิญอาหารมาไม่ตรงเวลา แม้จะหิวกระหายเพียงใด ก็ไม่เคยบ่น หรือแม้รสชาติอาหารจะจืดจางอย่างไร ก็ไม่เคยเรียกหาเครื่องปรุงเพิ่มเติมอะไรเลย ตรงกันข้าม ถ้าเห็นพระเถระรูปไหนชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ขี้บ่น หรือทำสำออยให้คนอื่นเอาใจ หลวงปู่ก็มักจะปรารภให้ฟังว่า "แค่นี้อดทนไม่ได้หรือ ถ้าแค่นี้อดทนไม่ได้ จะเอาชนะกิเลสตัณหาได้อย่างไร" |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
|||
|
|||
ไม่เบียดเบียนแม้ทางวาจา
หลวงปู่กล่าววาจาบริสุทธิ์ เพราะท่านกล่าวเฉพาะวาจาที่เป็นประโยชน์ และไม่ทำให้ทั้งตนเอง และผู้อื่นต้องเดือดร้อนเพราะคำพูดของท่าน แม้จะมีผู้ใดมาพูดเป็นเหตุที่จะชวนให้ท่านวิพากษ์วิจารณ์ใคร ๆ อย่างไร ท่านก็ไม่เคยคล้อยตาม หลายครั้งที่มีผู้ถามท่านว่า หลวงปู่ ทำไมพระนักพูดนักเผยแผ่ระดับประเทศบางองค์ เวลาพูดหรือเทศน์ชอบพูดโจมตีคนอื่น พูดเสียดสีสังคม หรือพูดกระทบกระแทกพระเถระด้วยกัน เป็นต้น พระที่พูดในลักษณะนี้ จ้างให้ผมก็ไม่นับถือหรอก หลวงปู่ว่า "ก็ท่านมีภูมิรู้ ภูมิธรรมอยู่อย่างนั้น ท่านก็พูดไปตามความรู้ความถนัดของท่านนั่นแหละ การจ้างให้นับถือไม่มีใครเขาจ้างหรอก เมื่อไม่นับถือ ก็อย่าไปนับถือซิ ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอก" |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
|||
|
|||
ดีเหมือนกัน...แต่
นักปฏิบัติที่ตื่นอาจารย์ ตื่นสำนักใหม่ ๆ ในปัจจุบันนี้มีอยู่มาก เมื่อเขาชอบใจอาจารย์องค์ไหน เขาก็กล่าวยกย่องอาจารย์องค์นั้น ตลอดจนถึงชักชวนผู้อื่นให้ช่วยนับถือหรือเห็นด้วยกับตน ยิ่งปัจจุบันนี้มีพระนักเทศน์ชื่อดังอยู่มากมายที่อัดเทปขายอย่างแพร่หลาย มีอุบาสิกาท่านหนึ่งนำเทปนักเทศน์ชื่อดังไปถวายให้หลวงปู่ฟังหลายม้วน แต่หลวงปู่ไม่ได้ฟัง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีวิทยุเทปกับเขาเลยแม้แต่สักเครื่องเดียว หรือสมมติว่าถ้ามี ท่านก็คงเปิดฟังไม่เป็น ต่อมามีผู้เอาเครื่องเล่นเทปไปเปิดให้หลวงปู่ฟังจนจบหลายม้วน แล้วได้เรียนถามท่านว่าฟังจบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง หลวงปู่ว่า "ดีเหมือนกัน สำนวนโวหารสละสลวยน่าฟัง ทั้งรวยด้วยคำพูด แต่หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้ การฟังแต่ละครั้งนั้นควรให้ได้อรรถรสของ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จึงจะเป็นสาระ" |
สมาชิก 47 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
|||
|
|||
อยู่ ก็อยู่ให้เหนือ
ผู้ที่เข้านมัสการหลวงปู่ทุกคน มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ร้อยปีแล้วก็จริง แต่ดูผิวพรรณยังผ่องใส และสุขภาพร่างกายยังแข็งแรงดี แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านมาตลอดก็ยากที่จะได้เห็นท่านแสดงอาการหมองคล้ำ อิดโรย หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาให้เห็น ท่านมีปกติสงบเย็นเบิกบานอยู่เสมอ มีอาพาธน้อย มีอารมณ์ดี ไม่ตื่นเต้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เผลอคล้อยตามคำสรรเสริญ หรือคำตำหนิติเตียน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่ามกลางพระเถระฝ่ายวิปัสสนาที่กำลังสนทนาธรรมกับหลวงปู่ เรื่องปรกติจิตที่อยู่เหนือความทุกข์ มีลักษณะโดยอาการเป็นอย่างไร หลวงปู่ว่า "การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละคือ วิหารธรรมของนักปฏิบัติ" |
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
|||
|
|||
ทำจิตให้สงบได้ยาก
การปฏิบัติภาวนานั้น จะให้ได้ผลออกมาเร็วช้าเท่าเทียมกันย่อมเป็นไปไม่ได้ บางคนได้เร็ว บางคนได้ผลช้า หรือบางคนอาจจะยังไม่เคยได้ลิ้มรสผลแห่งความสงบเลยก็มี แต่ก็ไม่ควรท้อถอย เพราะเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ได้ประกอบความเพียร ย่อมเป็นบุญเป็นกุศลขั้นสูง เคยมีลูกศิษย์เป็นจำนวนมากได้เข้ามากราบเรียนถามหลวงปู่ว่า อุตส่าห์พยายามปฏิบัติภาวนามานานแล้ว แต่จิตไม่เคยสงบเลย แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ หลวงปู่เลยแนะนำวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า "ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน" |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
|||
|
|||
หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท
ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา คือ มีความพอใจ ภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในคัมภีร์ว่าตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ "ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ" |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
|||
|
|||
อุทานธรรมข้อต่อมา
เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว ก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้ แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกต่ำทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุจากภายในได้ ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อย เช่น เหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ ควรเรียกเอาว่า "เป็นภิกษุแท้" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 20-07-2010 เมื่อ 22:37 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
|||
|
|||
เตือนศิษย์ไม่ให้ประมาท
เพื่อป้องกันความประมาท หรือมักง่ายต่อการประพฤติปฏิบัติของพระเณร หลวงปู่จึงสรรหาคำสอนตักเตือนไว้อย่างลึกซึ้งว่า "คฤหัสถ์ชน ญาติโยมทั่วไป เขาประกอบอาชีพการงานด้วยความยากลำบาก เพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุข้าวของเงินทอง มาเลี้ยงครอบครัวลูกหลานของตน แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างไร เขาก็ต้องต่อสู้ ขณะเดียวกันเขาก็อยากได้บุญได้กุศลด้วย จึงพยายามเสียสละทำบุญ ลุกขึ้นแต่เช้า หุงหาอาหารอย่างดีคอยใส่บาตร ก่อนใส่เขายกอาหารขึ้นท่วมหัวแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ครั้นใส่แล้วก็ถอยไปย่อตัวยกมือไหว้อีกครั้งหนึ่ง ที่เขาทำเช่นนั้นก็เพื่อต้องการบุญต้องการกุศลจากเรานั่นเอง แล้วเราเล่ามีบุญกุศลอะไรบ้างที่จะให้เขา ได้ประพฤติตนให้สมควรที่จะรับเอาของเขามากินแล้วหรือ" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย มายา : 20-07-2010 เมื่อ 22:41 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
|||
|
|||
แค่ศีลห้าก็ไม่มี
มีพระใกล้ชิดหลวงปู่รูปหนึ่ง ชอบถือวิสาสะจนเกินควร คือ ชอบหยิบเอาข้าวของบางอย่างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตไป มีผู้มากราบเรียนหลวงปู่ให้ทราบ แต่ท่านก็มักจะวางเฉย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านต้องการใช้สิ่งของอันนั้น จึงให้พระรูปหนึ่งไปถามหา แต่กลับถูกปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เอาไป พระรูปนั้นจึงกลับมากราบเรียนหลวงปู่ว่า "เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เอา" หลวงปู่ก็เพียงแต่พูดออกมานิดหนึ่งว่า "พระบางรูปมัวแต่ตั้งใจรักษาศีล ๒๒๗ จนลืมรักษาศีล ๕" |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
|||
|
|||
แนะนำตามวิทยฐานะ
พระอาจารย์สุจินต์ สุจิณฺโณ เรียนจบนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นานแล้ว มีความเลื่อมใสในการปฏิบัติธรรม เคยไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่หลุยเป็นเวลาหลายปี ต่อมาเมื่อได้ยินกิตติศัพท์ของหลวงปู่ดูลย์ จึงลาหลวงปู่หลุยมาปฏิบัติกับหลวงปู่ ตลอดถึงขอบรรพชาอุปสมบทอยู่กับหลวงปู่ตลอดมา และเมื่ออยู่กับหลวงปู่พอสมควรแก่ความต้องการแล้ว จึงกราบลาหลวงปู่เพื่อขอเดินทางธุดงค์วิเวกต่อไป หลวงปู่จึงแนะนำว่า "เรื่องของพระวินัยนั้น ให้ศึกษาอ่านตำรับตำราให้เข้าใจให้ถูกต้องทุกข้อมูล เพื่อปฏิบัติไม่ให้ผิด ส่วนธรรมะนั้น ถ้าอ่านมากก็จะมีวิตกวิจารณ์มาก จึงไม่ต้องอ่านก็ได้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเอาเพียงอย่างเดียวก็พอ" แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-07-2010 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
|||
|
|||
เรื่องกิน
กระผมได้ปฏิบัติทางจิตมานาน ก็พอมีความสงบอยู่บ้าง แต่มีปัญหาเรื่องของการบริโภคอาหารที่ปรุงจากเนื้อสัตว์ คือ เพียงแค่เห็นก็นึกเวทนาไปถึงเจ้าของเนื้อนั้นว่า เขาต้องสูญเสียชีวิตเพื่อเราผู้บริโภคโดยแท้ คล้ายกับว่าเราผู้บริโภคจะขาดเมตตาไปมาก เมื่อเกิดความกังวลใจเช่นนี้ ก็ทำความสงบใจได้ยาก หลวงปู่ว่า "ภิกษุจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า การกินเนื้อสัตว์คล้ายจะเป็นการเบียดเบียน และขาดเมตตาต่อสัตว์ ก็ให้งดเว้นการฉันเนื้อเสีย พากันฉันอาหารเจต่อไป" |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
|||
|
|||
เรื่องกินมีอีก
เวลาต่อมาประมาณสี่เดือน ภิกษุกลุ่มนั้นกลับมากราบเรียนหลวงปู่อีกหลังจากออกพรรษาแล้ว บอกว่าพวกกระผมฉันเจมาตลอดพรรษาด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง เพราะญาติโยมแถวนั้น ไม่มีใครรู้เรื่องอาหารเจเลย ทำให้เกิดความลำบากทั้งด้วยการแสวงหา และลำบากแก่ญาติโยมผู้อุปัฏฐาก บางรูปถึงขนาดสุขภาพไม่ดี บางรูปอยู่เกือบไม่พ้นพรรษา การทำความเพียรก็ไม่เต็มที่เท่าที่ควร หลวงปู่ว่า "ภิกษุเมื่อจะบริโภคปัจจัยสี่ต้องพิจารณาเสียก่อน ครั้นเมื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่าอาหารที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้านี้แม้จะมีผักบ้าง เนื้อบ้าง ปลาบ้าง ข้าวสุกบ้าง แต่ก็เป็นของบริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และเขาไม่ได้ฆ่าเพื่อเจาะจงเรา และเราก็แสวงหามาโดยชอบธรรมแล้ว ญาติโยมเขาถวายด้วยศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ก็พึงบริโภคอาหารนั้นไป ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้มาแล้วเหมือนกัน" |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
|||
|
|||
เรื่องกินยังไม่จบ
เมื่อวันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงปู่พักอยู่ที่วัดป่าประโคนชัย มีภิกษุกลุ่มหนึ่งซึ่งชอบเดินธุดงค์ไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้แวะเข้าไปขอพักที่วัดป่านั้น หลังจากแสดงความคารวะตามสมณวิสัยแล้ว ก็กล่าวถึงจุดเด่นที่พวกเขายึดถือเป็นหลักปฏิบัติว่า ผู้บริโภคเนื้อสัตว์คือผู้สนับสนุนให้คนฆ่าสัตว์ ผู้บริโภคผักมีจิตเมตตาสูง สามารถพิสูจน์ได้ว่าเมื่อหันไปบริโภคผักแล้ว จิตใจก็สงบเย็นดีขึ้น หลวงปู่ว่า "ดีทีเดียวแหละ ท่านใดสามารถฉันมังสวิรัตได้ก็เป็นการดีมาก ขออนุโมทนาสาธุด้วย ส่วนท่านที่ยังฉันมังสะอยู่ หากมังสะเหล่านั้นเป็นของบริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อเจาะจงให้เรา และได้มาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว ก็ไม่ผิดธรรมผิดวินัยแต่ประการใด อนึ่ง ที่ว่าจิตใจสงบเยือกเย็นดีนั้น ก็เป็นผลเกิดจากพลังของการตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ไม่เกี่ยวกับอาหารใหม่ อาหารเก่า ที่อยู่ในท้องเลย" |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
|||
|
|||
ผลคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน
แรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่ ซึ่งพอดีกับวันออกพรรษาผ่านไปแล้ว ๒ วัน ของทุก ๆ ปี สานุศิษย์ทั้งหลายของหลวงปู่ก็นิยมจะเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่เพื่อศึกษา และไต่ถามข้อวัตรปฏิบัติ หรือรายงานผลของการปฏิบัติตลอดทั้งพรรษา ซึ่งเป็นกิจที่ศิษย์ของหลวงปู่กระทำอยู่เช่นนี้ตลอดมา หลังจากฟังหลวงปู่แนะนำข้อวัตรปฏิบัติแล้ว หลวงปู่จึงจบลงด้วยคำสอนว่า "การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม" |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ มายา ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|