|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
"นอกจากจะมีความสามารถได้รับการคัดเลือกตัวเข้าไปแล้ว ยังมีผลงานที่โดดเด่นอีกต่างหาก ก็คือ พราหมณ์ ๑๐๗ คน ทำนายมหาปุริสลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะออกเป็นสองทางว่า ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ถ้าอยู่ครองราชย์จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชปกครองโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุด อาวุโสน้อยที่สุด ฟันธงว่าต้องบวชและเป็นศาสดาเอกของโลกเท่านั้น..!
ดังนั้น..พอมีข่าวว่าเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ โกณฑัญญะพราหมณ์จึงชักชวนลูกหลานของบรรดาพราหมณ์ที่ไปทำนายลักษณะออกบวชตามด้วย ได้มา ๔ ท่าน ก็คือ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ ทั้งห้าท่านอยู่ปรนนิบัติรับใช้เจ้าชายสิทธัตถะ ด้วยหวังว่า ถ้าเจ้าชายบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเมื่อไร โอกาสก็เป็นของเรา ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลตอนอายุ ๓๕ ปี เราลองเอา ๓๕ + ๑๖ แสดงว่า อย่างน้อยท่านอัญญาโกณฑัญญะก็อายุ ๕๐ เศษ ๆ แล้วตอนนั้น ส่วนพราหมณ์อีก ๑๐๗ คน ตายหมดไม่มีใครเหลือ เหลือท่านโกณฑัญญะพราหมณ์คนเดียว และได้ลูกหลานของคณะที่ทำนายมาอีก ๔ รวมเป็นคณะ ๕ เรียกว่าปัญจวัคคีย์ ด้วยความที่ท่านสั่งสมความรู้ และเวลาบรรลุมรรคผลก็บรรลุก่อนใคร ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก พระพุทธเจ้าจึงตั้งให้ท่านเป็นเอตทัคคะทางรัตตัญญู รัตตัญญู แปลตามศัพท์ว่า รู้ราตรีนาน แปลความหมายเป็นไทย ก็คือ อยู่นานมีประสบการณ์มาก พระพุทธเจ้าใช้ชีวิตในเพศฆราวาส ๒๙ ปี ใช้ชีวิตในเพศนักบวชเพื่อแสวงธรรมอีก ๖ ปี บรรลุมรรคผลแล้วทรงความเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ๔๕ ปี อีกสองปีข้างหน้าจะครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า อาตมาจะหาโอกาสสร้างวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกงานนี้สักชุดหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : การว่าคาถาต้องใช้สมาธิระดับไหนจึงจะได้ผล ?
ตอบ : ต่ำสุดต้องเป็นอุปจารสมาธิขึ้นไป ยิ่งเป็นสมาธิสูงเท่าไรก็ยิ่งมีผลมากเท่านั้น การใช้คาถาต้องการพื้นฐานสมาธิมาก โบราณเขาสอนให้กลั้นใจว่า เพราะตอนที่เรากลั้นใจจิตจะนิ่ง ความนิ่งในระดับนั้นจิตเริ่มเป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าคนที่กลั้นใจเพื่อสร้างสมาธิต่อไปจะเสีย เสียตรงที่ว่า พอถึงเวลาภาวนาตามดูลมแล้วจิตจะไม่นิ่ง เพราะชินกับการกลั้นใจไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ใช่ฉุกเฉินจริง ๆ อย่าไปกลั้นใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ถาม : ควรจะมีการตั้งศาลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีศาลควรจะตั้ง ที่ใช้คำว่า "ควรจะ" เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ในแต่ละเขตจะมีพระภูมิเจ้าที่หรือภุมเทวดารักษาอยู่แล้ว เราตั้งศาลเป็นการแสดงออกซึ่งความเคารพนับถือ ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยท่านก็ช่วยสงเคราะห์ให้ แต่ถ้าเราไม่ตั้งศาล เหมือนกับเราไม่ได้ให้ความเคารพท่าน ไม่ได้ให้ความนับถือท่าน ถึงเวลาสิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ พอกรรมมาถึง แทนที่จะมีการผ่อนหนักเป็นเบาหรือทำให้เบาเป็นหาย เราก็ต้องรับไปเต็ม ๆ ถาม : แล้วถ้าแถวบ้านมีศาลใหญ่ เจ้าที่ใหญ่ แล้วเรากราบไหว้ ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้ ถือว่าเราบูชารวมกับเขาไป ถาม : เวลาตั้งมีฤกษ์มียามไหมคะ ? ตอบ : ส่วนใหญ่การตั้งศาล เขาใช้ฤกษ์วันพฤหัส ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็คือ เดือนยี่ เดือนสี่ เดือนหก เดือนแปดข้างขึ้นและเดือนสิบสอง เดือนแปดและเดือนสิบข้างแรม เขาไม่นิยมเพราะถือว่าอยู่ในช่วงเข้าพรรษา ไม่ควรตั้งศาล
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องที่ดินว่า "สมัยนี้ถ้ามีที่มีทางต้องรักษาไว้ให้ดี ทุกอย่างเราสร้างได้ แต่ที่เราสร้างไม่ได้ ปลูกก็ไม่งอก รดน้ำก็ไม่งอก ยกเว้นใครอยู่ริมน้ำ ตะกอนที่น้ำพัดพามา อาจจะทำให้พื้นที่งอกเพิ่มขึ้นมาได้บ้าง
ในปัจจุบันจำนวนคนมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินไม่ได้งอกเพิ่มขึ้นเลย เพราะฉะนั้น...เรื่องของที่หรือบ้านควรจะรีบมีไว้ก่อนเลย อย่างเช่น ระหว่างผ่อนรถกับผ่อนบ้าน ให้เลือกผ่อนบ้านไว้ก่อน ยอมลำบากโหนรถเมล์ไปก่อน เพราะว่ากว่าจะผ่อนรถเสร็จก็เหลือแต่ซากรถ แต่ถ้าผ่อนบ้านเสร็จ บ้านก็เป็นของเรา ต่อไปที่ดินจะหายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะจำนวนประชากรจะมากขึ้นทุกที แต่ที่ดินยังมีอยู่เท่าเดิม รุ่นหลาน รุ่นเหลนจะเจอที่ดินราคาแพงโหดร้ายมาก สมัยอาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาใหม่ ๆ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาสองแสนบาท เดี๋ยวนี้ บ้านจัดสรรพร้อมที่ดินขนาด ๖๐ ตารางวา ราคาอย่างต่ำสามสี่ล้านขึ้นไปแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
วันเสาร์ช่วงเช้า บ้านอนุสาวรีย์ไฟดับ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "ไฟดับก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้ว่า บางทีการพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนเกินไปก็ไม่ดี โดยเฉพาะการสร้างบ้านสร้างเรือนสมัยนี้ ไม่ได้ดูความเหมาะสมของภูมิประเทศ บ้านเราเป็นเมืองร้อน แต่มักจะไปสร้างตึกตามแบบของยุโรปที่เป็นเมืองหนาว
พอถึงเวลาถ้าขาดไฟ เครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่กันได้ แล้วการที่เราพึ่งพาทุกอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาขาดไปก็จะทำอะไรไม่ได้ ลองนึกดูว่าในปัจจุบัน อย่างในกรุงเทพฯ ถ้าไฟดับแล้วเรายังไม่ได้หุงข้าว จะมีสักกี่คนที่ไม่ต้องใช้หม้อไฟฟ้าแล้วหุงข้าวได้ ? นึกถึงตอนไปบึงลับแลครั้งแรก ๆ ครั้งนั้นพาพระวัดท่าซุงท่านไปด้วย มีท่านโย เป็นต้น มีญาติโยมตามไปเกือบ ๒๐ คน พอไปถึงอาตมาบอกว่า "ใครหุงข้าวเป็นช่วยหุงหน่อย จะได้เป็นมื้อเย็นของพวกคุณ" ปรากฏว่าโยมเขาถามว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" นั่นอยู่กลางป่านะ.. ท้ายสุดพระอย่างอาตมาต้องไปหุงข้าวเลี้ยงโยม..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : หนูสวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรทุกคืน แต่ทำไมหนูฝันร้ายทุกคืนคะ ?
ตอบ : การแผ่เมตตาแล้วยังฝันร้าย แสดงว่าจิตยังไม่เป็นสมาธิ ถ้าไม่อยากฝันต้องภาวนาให้สมาธิทรงตัวแล้วค่อยนอน แต่ก็ยังไม่แน่ เพราะความฝันบางอย่างไม่ได้เกิดจากจิตที่ฟุ้งซ่าน ฝันร้ายนั้น เกิดจากเราเก็บความเครียดจากตอนกลางวัน เอาไปฝันในตอนกลางคืน ความฝันจะมีธาตุวิปริต กรรมนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุวิปริต คือ กินมาก ท้องไส้ไม่ดี ธาตุไม่ปกติ จะฝันไปเรื่อยเปื่อย กรรมนิมิต คือ ความดีความชั่วที่เราทำมา แสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ คือ เก็บเอาความเครียดจากหน้าที่การงานที่วุ่นวายตอนกลางวันเอาไปฝัน เทพสังหรณ์ คือ เทวดาท่านสงเคราะห์ให้ ถาม : แล้วหนูแผ่เมตตาทุกคืน ทำถูกใช่ไหมคะ ? ตอบ : ทำถูกแล้ว ให้ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ไม่ต้องไปกังวลกับฝัน แผ่เมตตาบ่อย ๆ เดี๋ยวชำนาญแล้ว จิตเป็นสมาธิทรงตัวก็จะเลิกฝันไปเอง ยกเว้นกรรมนิมิตหรือเทพสังหรณ์ที่นาน ๆ จะมาสักครั้ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : ทำอย่างไรจะยอมรับกฎแห่งกรรมได้ ?
ตอบ : เป็นพระอรหันต์สิครับท่าน..! ถาม : ตอนนี้ผมว่าจิตยังดิ้น ๆ อยู่ครับ ตอบ : เป็นธรรมดา ถ้ายังไม่เข็ดก็ยังดิ้นอยู่ ถ้าเข็ดแล้วจิตก็จะยอมรับและปล่อยวางไปเอง ที่ยังไม่เข็ดเพราะยังไม่เห็นโทษอย่างแท้จริง ถ้าเห็นบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เข็ดไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2010 เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ถาม : คนในที่ทำงาน เขาหน้าดำคร่ำเครียด ขี้โมโห และชอบด่า
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องปกติ เขาเครียดกับงานนี่ ถาม : เขาเป็นมากเกินไป ตอบ : เรารู้..แต่คนที่เป็นอยู่จะไม่รู้ เวลาเครียดขึ้นมา กระทบอะไรก็ปึงปังไปเลย จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก ถ้าเราเห็นก็ดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง ว่าเราจะไม่เป็นอย่างนั้น แล้วเราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อรักษากำลังใจของเรา คนที่เขากำลังใจไม่มั่นคง ถึงเวลาเขาเป็นอย่างนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะผู้ชายก็มีวัยทอง แต่วัยทองของผู้ชายไม่ชัดเจน ถ้าเกิน ๔๕ ขึ้นไปแล้ว ประเภทขี้หงุดหงิด ขี้โมโห แปลว่าเริ่มวัยทองแล้วนะ..! ถ้ารู้ว่าเขาเป็นอย่างนั้นก็หลบ ๆ ไป ถ้าตอนไหนอารมณ์เขาดี ๆ ค่อยเข้าไปหา ต้องรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2010 เมื่อ 10:29 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ครูบาวิฑูรย์ท่านเข้านิโรธกรรม ผู้ที่ทำบุญเป็นคนแรก จะได้รับอานิสงส์ไปทั้งหมดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนี้ท่านตั้งใจสงเคราะห์เป็นส่วนรวม ก็เฉลี่ยกันไป ยกเว้นว่าตั้งใจสงเคราะห์ใครคนเดียว แล้วคนนั้นได้มีโอกาสทำ ถาม : ไม่ได้จำกัด ? ตอบ : งานลักษณะอย่างนี้ไม่ใช่สงเคราะห์ใครคนเดียว เพราะประกาศเป็นสาธารณะ ในเมื่อเป็นสาธารณะ ใครทำก็มีส่วน ต่อให้ย่องไปทำคนเดียวก่อน คนทำตามหลังก็ได้เท่ากับเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 02:10 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : ผมจะทำกรรมฐานกองไหนจึงจะได้ฌานครับ?
ตอบ : กองไหนก็ได้ เพียงแต่ให้ทำจริง ๆ เท่านั้นเอง และอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก ชอบกองไหนทำไปเลย ถ้ามัวแต่ถามอยู่ ชาตินี้ก็ไม่ได้หรอก ถาม : ผมไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ไม่แน่ใจแล้วจะไปได้อะไร คนทำกรรมฐานต้องมั่นใจตัวเอง ขาดความมั่นใจก็ไม่ต้องทำ ไปนอนตีพุงดีกว่า ถาม : ทำกสิณไม่แน่ใจครับ ? ตอบ : ถ้าอยากก็ทำ ถามคนอื่นเสียเวลาไปตั้งนาน ถ้าไปลงมือทำเอง ป่านนี้คงจะเห็นหน้าเห็นหลังแล้ว มัวแต่ไปไล่ถามคนอื่นอยู่เลยไม่ได้อะไรสักที ถาม : กสิณกองไหนก็ได้หรือครับ ? ตอบ : เอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอ่าน ชอบกองไหนก็ทำกองนั้น ความชอบแปลว่าของเดิมต้องมีอยู่แล้ว ถ้าชอบหลายกองก็เลือกกองที่ชอบที่สุด หรือไม่ก็กองที่หาองค์กสิณได้ง่ายที่สุด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2010 เมื่อ 10:31 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
อาตมาเริ่มต้นปฏิบัติใหม่ ๆ สมัยเพิ่งจะเรียนมัธยม ไม่เคยสงสัยปัญหาเหล่านี้เลย คิดจะทำก็ลุยเลย ไม่เคยไปถามใคร ถ้ามัวแต่ถามอยู่ เกิดไม่มีคนให้ถาม แล้วจะทำอย่างไร ?
นึกถึงเณรของหลวงปู่ดูลย์ หลวงปู่ดูลย์ท่านสอนเณรให้ถักขาบาตร เณรก็ซน ดูบ้างเล่นบ้าง ถึงเวลาหลวงปู่ก็โยนตอกให้ถัก เณรจำวิธีทำได้นิดหน่อย ทำแล้วไปต่อไม่ได้ ก็เลยถาม "หลวงปู่..ทำอย่างไรต่อครับ ?" เงียบ... "หลวงปู่ตรงนี้ทำอย่างไรครับ ?" เงียบ... พอตอนเย็น หลวงปู่บอกกับเณรว่า "พรุ่งนี้บิณฑบาตด้วยกัน" รุ่งขึ้นเณรออกบิณฑบาตตามหลวงปู่ ออกบิณฑบาตแต่เช้า จึงมีบ้านที่เขายังทำกับข้าวไม่เสร็จ ลูกสาวตะโกนถามแม่ว่า "แม่ ๆ แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่ก็เงียบ "แม่แกงส้มใส่กะปิหรือเปล่า ?" แม่เลยตะโกนตอบไปว่า "โคตรแม่มึง..ถ้ากูตายห่าแล้วมึงจะถามใคร..!" พอแม่ด่าเสร็จหลวงปู่หันมายิ้มกับเณร ยิ้มในความหมายว่า "ถ้าปู่ตายแล้วเณรจะถามใคร ?" ต้องอย่างนั้นจึงจะเรียกว่ารู้จริง รู้ขนาดว่าจะไปเอาคำตอบให้เณรจากไหน ฉะนั้น..ไม่ต้องเสียเวลาถาม ไปลงมือทำได้เลย ถาม : มีผลไหมครับ ? ตอบ : ถ้ายังมัวแต่ถามอยู่แบบนี้ ชาตินี้ก็ไม่มีผล..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-02-2019 เมื่อ 02:11 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
มีท่านหนึ่งกำลังอ่านหนังสือเรื่องสาส์นลับที่สาบสูญ ของแดน บราวน์อยู่ พระอาจารย์จึงถามว่า "ได้อ่านผลงานของแดน บราวน์ ครบทุกเล่มหรือเปล่า ?
ลองไปอ่านดู เราจะเห็นว่ารหัสลับดาวินชีดังมาก ดังไปทั่วโลก ทำให้คนตั้งความหวังกับเขามาก พอมาเป็นล่ารหัสมรณะ กับ แผนลวงสะท้านโลก ปรากฏว่าไม่ได้อย่างนั้น กระแสเขาก็เลยเบาไประยะหนึ่ง ชื่อเสียงเขาก็ผ่อนลงไประยะหนึ่ง เขาจึงตั้งใจสร้างผลงาน สาสน์ลับที่สาบสูญ ขึ้นมา เพื่อที่จะดึงชื่อเสียงกลับมาอีกวาระหนึ่ง ลองมานึกถึงว่า เราที่เป็นนักปฏิบัติ ถึงขนาดมีนักปฏิบัติบางสายเขากล่าวเลยว่า "ถ้าคุณเคยทำความดี โดยเฉพาะสมาธิในระดับสูง ๆ ได้ครั้งหนึ่ง ต่อไปคุณอย่าหวังเลยว่าจะทำได้อีก เพราะไปอยากได้อย่างนั้นเสียแล้ว" แบบเดียวกับหนังสือ พอเขาเขียนเรื่องนี้สนุกมาก เราก็ไปตั้งความหวังว่าเรื่องอื่นจะต้องสนุกแบบนี้ ซึ่งปกติแล้วนักเขียนจะรักษามาตรฐานได้ยาก ที่เห็นก็มีผลงานของหวงอี้ ที่เขียนแล้วมีแต่มาตรฐานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น...จำไว้ว่า ถ้าหากทำอะไรได้แล้ว อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นก็ได้ แต่ตอนภาวนาอย่าให้อยากแบบนั้น ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่างมัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-10-2010 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"ถ้าสามารถทำกำลังใจแบบนี้ได้ ต่อไปภาวนาเมื่อไรก็ก้าวหน้า แต่ถ้าเราไปตั้งใจอยากจะให้ดีเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่มีทางได้รับประทาน เพราะกลายเป็นฟุ้งซ่านไปเลย
ไปเจออาจารย์บางสายท่านบอกว่า "ลูกศิษย์ทำได้ถึงนั่นถึงนี่ พอมาผมฟันธงเลยว่า คุณไม่มีวันทำได้อีก" ถามว่าแล้วเป็นไปอย่างที่อาจารย์ว่าไหม ? ท่านบอกว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบนั้น ก็คือไปอยากจะได้ อยากจะเป็นอย่างนั้นอีก ทำให้เสียผลการปฏิบัติไป ฉะนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติทุกระดับ จำเป็นจะต้องมีอุเบกขา ตัวอุเบกขาก็คือตัวช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ตามดู ตามรู้ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าทำอย่างนั้นได้ก็ก้าวหน้าเร็ว กว่าอาตมาจะคลำเจอตรงจุดนี้ได้ก็เสียเวลาไปสามปีเต็ม ๆ ต้องการแค่ปฐมฌานตัวเดียว ภาวนาทุกวัน เอาตัวอยากนำหน้าก่อนทุกวัน ตามดูว่านี่ลักษณะวิตกนะ นี่ลักษณะวิจารณ์นะ ตอนนี้ปีตินะ ขนลุกซ่า ๆ เดี๋ยวต้องเป็นอย่างนั้น เป็นขั้นตอนที่เราเคยผ่านมาก่อน ก็เลยตามจี้อยู่ตลอด จิตจึงฟุ้งซ่านไม่รวมตัวเสียที วันที่ได้เป็นวันที่หมดอารมณ์แล้ว เบื่อแล้ว ทำมาตั้งสามปีไม่ได้เสียที เราจะภาวนาก็แล้วกัน จะเป็นหรือไม่เป็นช่างมัน ผัวะเดียวได้เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 15-10-2010 เมื่อ 20:31 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
พอดีวันเสาร์ มีคนนำสุนัขมาที่บ้านอนุสาวรีย์ พระอาจารย์จึงถือโอกาสกล่าวถึงเรื่องสุนัขหรือหมา ให้ฟังว่า "หลังจากที่อาตมาเลี้ยงหมา แล้วหมารักอาตมามากเกินไป จึงไม่ยอมเลี้ยงสัตว์แบบใกล้ชิดอีกเลย
ตอนนั้นไม่ได้นึกว่าหมาเขาจะซื่อสัตย์กับเราขนาดนั้น อาตมาไม่อยู่วัดสิบวัน เขาอดเกือบตาย เพราะเขาไม่ยอมกินอะไร คนอื่นเอาอาหารให้ก็ไม่กิน ไปนอนซุกอยู่ที่ผ้าเช็ดเท้าหน้ากุฏิ พอเรากลับไปเขาค่อยมีชีวิตชีวากินข้าวกินน้ำได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่เลี้ยงแบบใกล้ชิดอย่างนั้นอีก ตอนช่วงที่อาตมาอยู่ตึกกองทุน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลาหลวงพ่อสี่องค์ตอนนั้น จะมีหมาอยู่ ๔-๕ ตัว มีโป๊ยก่ายเป็นหัวหน้า ถึงเวลากินเจ้าพวกนี้จะไปกินกับคนอื่น เพราะเราไม่เลี้ยงแล้ว แต่พอกินอิ่มก็จะกลับมานอนตรงขั้นบันได ตัวละขั้น ๆ นอนเฝ้าหน้ากุฏิ หลวงพ่อท่านบอกว่า หมาที่มีขนใต้คาง ๑ เส้น ๒ เส้น หรือ ๓ เส้น ส่วนใหญ่มาจากพรหมหรือเทวดา จะเป็นหมาแสนรู้ พูดรู้เรื่องทุกตัว แต่ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปแล้ว ไม่ค่อยฟังใคร ถ้าขนเส้นเดียวจะเป็นราชาหมา เวลาไปไหนหมาอื่นจะยอมลงให้ ในชีวิตอาตมานี้เจออยู่แค่ ๒ ตัวเท่านั้น อีกอย่างก็คือ หมาที่มาจากพรหมหรือเทวดา ถ้าเจ้าของมาจากที่ต่ำกว่า เขาจะไม่อยู่ด้วย เขาจะหาทางหนีไปอยู่กับคนอื่น สมัยที่อาตมาเข้ากรุงเทพฯ มาทำงานใหม่ ๆ นั้น ยังไม่มีหมาสักตัวหนึ่ง อยู่ไปประมาณสองปีได้หมามา ๑๑ ตัว มีบางตัวสวยมาก ๆ เป็นหมาใหญ่ขนยาว หุ่นเหมือนหมาป่า เจ้าของเขาหวง พอเขาเห็นหมามาอยู่กับเรา เขาก็ล่ามโซ่ลากกลับไป แต่ถ้าหลุดจากโซ่เมื่อไรเขาก็จะวิ่งมาอยู่กับเรา เพราะฉะนั้น...ถ้าใครเลี้ยงหมา แล้วหมาหนี ต้องพิจารณาตัวเองว่าบารมีเรายังสู้หมาไม่ได้ ถ้าหากเราต่ำกว่า เขาไม่อยู่ด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอง ท่านว่าเขาจะหนีไปหาคนที่เสมอกันหรือสูงกว่า ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้สงสัย พอท่านบอก เราจึงเข้าใจ ตอนแรกก็นึกว่าเรามีอาหารให้เขากิน ที่ไหนได้เจ้าของเลี้ยงเขาดีกว่าเราอีก เขามาอยู่กับเราแล้วอด ๆ อยาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังหนีมาอยู่ด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-10-2010 เมื่อ 06:23 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
"ถ้าเรื่องหมาต้องถามหลวงพี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) หลวงพี่ชลอเขาเลี้ยงหมา มีเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท และพี่ชลอเขาจะเป็นคู่รักคู่แค้นของเจ้าใหม่
เจ้าใหม่เป็นหมาที่ดุที่สุดของวัดท่าซุง ผิดท่าผิดทางเมื่อไรเป็นกัดแหลก ขนาดหลวงพ่อตี เขายังกรรโชกใส่ เราก็กะจะเล่นงานให้ร่วงอยู่ตรงนั้น หลวงพ่อบอกว่า "ปล่อยมัน..เจ้านี่ชาติก่อนเป็นทหาร ตายตอนกำลังตะลุมบอนอยู่ เพราะฉะนั้น..มันแยกมิตรแยกศัตรูไม่ออกหรอก" เห็นเราเงื้อไม้ เจ้าใหม่กระโดดใส่เลย ตบะของเขาขนาดไหนก็บอกไม่ถูก ขนาดอาตมาที่ว่ามั่นคง..ไม่กลัวนะ ยังรู้สึกว่าไอ้นี่น่ากลัว เวลาเช้า ๆ เจ้าใหม่จะวิ่งนำรถหลวงพ่อเข้ามาที่หน้าตึก อาตมาจะยืนรอรับหลวงพ่อที่หน้าตึก เจ้าใหม่จะพุ่งเข้าใส่เลย จะมีท่านน้อยยืนอยู่ด้วย ท่านน้อยจะรีบตะโกน "เฮ้ย ..ไอ้ใหม่ กูเอง ๆ..!" ต้องบอกเขาก่อน แต่เราไม่ได้บอก พอเขาพุ่งจะเข้าใส่ เราก็ยืนเฉยเขาก็หยุดคำรามอย่างเดียว แต่ถ้าเราขยับหนีตอนนั้นเขาจะกัดทันที เพราะอาตมาขี้เกียจส่งเสียง จึงได้แต่มอง มีปัญญาก็กระโดดมาสิ กะว่าเตะทันอยู่แล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 02:38 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
"ใครอยากรู้เรื่องความดุของเจ้าใหม่นี้ ต้องไปถามหลวงพี่วิรัช (พระปลัดวิรัช โอภาโส วัดธรรมยาน) หลวงพี่วิรัชกับเจ้าใหม่เป็นคู่รักคู่แค้นกัน ในฐานะที่หลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ เจ้าใหม่เป็นเจ้านาย เจ้าใหม่นึกอยากจะกัดเมื่อไรก็กัดเลย
เจ้าใหม่เอาแต่กัดหลวงพี่วิรัช หลวงพี่วิรัชจึงไปสั่งคนงานเหลาไม้ไผ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๒ เมตร กะว่าจะตีกับเจ้าใหม่ พอถึงเวลาหลวงพี่วิรัชถือไม้มา เจ้าใหม่โฮกใส่ หลวงพี่วิรัชมืออ่อนตีนอ่อน ไม้หลุด ปล่อยให้เจ้าใหม่กัดแต่โดยดี... เราลองคิดดูว่า คนที่ติดอาวุธพร้อมรบ พอหมาแฮ่ใส่ แล้วมืออ่อนตีนอ่อน ร่วงไปให้มันกัด หมาตัวนั้นต้องน่ากลัวขนาดไหน ? เจ้าใหม่นี่สมกับเป็นนักรบจริง ๆ พอเราตีเขาจะดึงตัวหนีนิดเดียว ไม่ได้หนีไกล พอดึงตัวให้พ้นปลายไม้แล้วกระโดดสวนเลย..! เจ้าใหม่เห็นหลวงพี่วิรัชเป็นลูกไล่ แต่เห็นหลวงพี่ชลอเป็นศัตรู เรื่องมีอยู่ว่า เจ้าใหม่ข้ามแดน เดินไปทางด้านหลังหอฉันหลังใหม่ ก็คือ ท่าน้ำที่ลงไปเลี้ยงปลากัน เขตนั้นกลุ่มพวกเจ้าแฟนต้า เป๊บซี่ สไปร์ท เขาเป็นใหญ่อยู่ พอเจ้าใหม่ไป หมา ๕ - ๖ ตัวที่นั่นก็ลุย เจ้าใหม่ก็สู้ แต่มาเป็นเรื่องตรงที่ว่า หมา ๕ - ๖ ตัวรุม ๑ ตัว ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว แต่พอหมาตัวเองเสียท่าถูกกัด หลวงพี่ชลอกลับตีเจ้าใหม่เพื่อช่วยหมาของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมาเจ้าใหม่จำสุดชีวิตเลย เจอหลวงพี่ชลอเมื่อไรจะต้องกัดให้ได้..! ถ้าหลวงพี่ชลอออกมาตรงหน้าตึก ไม้ต้องไม่ห่างมือ เจ้าใหม่นั้นน่ากลัวขนาดที่ว่า เมื่อกัดต่อหน้าไม่ได้เพราะพี่ชลอมีไม้คอยตีกันไว้ เขาก็จะอ้อมไปไกลแล้วย่องมาข้างหลัง..! พอเห็นแล้วอาตมาก็คิดว่า เรื่องของราคะ โทสะ โมหะ นั้น กัดกินสรรพสัตว์ทุกหมู่ทุกเหล่าจริง ๆ ขนาดหมายังโกรธยังพยาบาทขนาดนั้น อย่างว่าแหละ..เจ้าใหม่เป็นทหารเก่า และตายตอนที่กำลังตะลุมบอนกับข้าศึก เพราะฉะนั้น ใครขยับผิดท่าผิดทาง โดนกัดทั้งนั้น เจ้าใหม่ก็เลยทำสถิติกัดโยมที่จะมาเลี้ยงเพลพระไปเยอะมาก "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 02:45 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"ท้ายสุด คณะกรรมการสงฆ์ก็ลงมติว่า เอาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ดีกว่า เขาตั้งใจว่าจะช่วยกันต้อนเจ้าใหม่เข้ากรง แล้วเอามาปล่อยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวเทศบาลก็จัดการเอง..!
ทันทีที่ลงมติเสร็จ เรื่องไปถึงหลวงพ่อ จริง ๆ ท่านรู้อยู่แล้ว แต่ท่านรอจังหวะอยู่ ท่านบอกว่า "หมาดุมีประโยชน์ ขโมยมันจะเกรง เอ็งก็ปล่อยตอนกลางคืนสิ ขโมยจะได้เข้าวัดไม่ได้ ถ้าจะขังก็เอาเฉพาะกลางวันเท่านั้น" ดังนั้น..โครงการพาเจ้าใหม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ จึงต้องระงับ ครั้นจะไปขังแล้วปล่อยตอนกลางคืน ก็คงจะไม่มีใครขังหรอก พี่ ๆ เขาก็ไม่มีใครไม่เอา เราก็ไม่เอา กลัวว่าจะเจอหมาอาฆาตคอยตามราวี กลายเป็นว่าต้องปล่อยท่านใหม่ให้กร่างทั้งกลางวันกลางคืนเหมือนเดิม อาตมาต้องติดอาวุธยาว..ใช้หนังสติ๊ก ถ้าเจ้าใหม่แฮ่ใส่โยมเมื่อไรอาตมาก็ยิง..! เจ้าใหม่นี่อึดมากนะ โดนเข้าไปเต็ม ๆ ไม่เคยร้อง จะสะดุ้งหน่อยเดียว แล้วก็หลบไป เพราะเขารู้แล้วว่าทำอย่างนั้นไม่ถูก ก็จะเลี่ยงไปเอง วันดีคืนดีคุณใหม่ก็เป็นขี้เรื้อน ขนร่วงทั้งตัว อาตมาเห็นแล้วรู้สึกสงสาร จึงไปซื้อกำมะถันผงมา เอากำมะถันผงมาสัก ๒ กำมือใหญ่ ๆ เปิดน้ำมันพืช น่าจะประมาณ ๑ ลิตร เทลงไปให้หมดขวด คลุกให้เข้ากันก็จะกลายเป็นน้ำเหลือง ๆ ใช้ทาหมาขี้เรื้อน ทาให้ทั่ว ๆ อาตมาจัดการทาให้เจ้าใหม่ เขาก็รู้ตัวนะ ยอมให้ทา อาตมาพยายามรีบทาแล้ว แต่เจ้าใหม่เป็นขี้เรื้อนทั้งตัว โดยเฉพาะแถวซอกขาและใต้ท้อง จึงทำให้ช้า พอทา ๆ ไปสักพักหนึ่งยาออกฤทธิ์จะเริ่มร้อน พอร้อนเจ้าใหม่ก็ดิ้น พอดิ้นอาตมาก็ล็อกไว้เพื่อทายาต่อ พอล็อกก็โดนกัดเลย..! เมื่อรู้สึกว่าอันตราย เจ้าใหม่จะกัดเลย อาตมาโดนกัดไป ๑๑ เขี้ยว เข้าเฉพาะแถวฝ่ามือ ส่วนเหนือข้อมือขึ้นมาเป็นรอยขูดเป็นเส้น ๆ ไม่เข้าเนื้อ หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า นอกข้อของดีกันไม่ได้ เพิ่งจะมาเชื่อก็ตอนโดนท่านใหม่กัดนี่แหละ และที่กัดได้ถึง ๑๑ เขี้ยว เพราะอาตมาถือว่า มึงมีปัญญากัดก็กัดไป กูจะต้องทาให้เสร็จก่อน ก็ทายาไปเรื่อย ตกลงว่าบ้าทั้งหมา บ้าทั้งคน เท่ากับเป็นคู่รักคู่แค้นกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-10-2010 เมื่อ 02:58 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"หลังจากโดนท่านใหม่ฝังเขี้ยวได้ไม่นาน ท่านใหม่ก็หายไปเฉย ๆ
ปกติแล้วทุกเช้าเขาจะวิ่งนำรถหลวงพ่อ เพื่อมาส่งท่านที่หน้าตึก วันแรกที่หายไปคนก็ยังไม่สงสัย วันที่สองคนก็เริ่มระแวง เริ่มตามหาแล้ว วันที่สามตอนเช้ามืด ขณะที่อาตมากำลังนั่งทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดาท่านหนึ่งเดินทะลุประตูเข้ามา หน้าเป็นหมาเหมือนท่านใหม่เลย ท่านมาบอกว่า "ไม่ต้องตามหานะครับ ผมตายแล้ว" อาตมาถามว่า "เอ็งเป็นอะไรตายวะ ?" เขาบอกว่า "ตกน้ำตายครับ" แล้วก็ทำภาพให้ดู ก็คือ แก่แล้วยังซนอยู่ พอเห็นสวะลอยน้ำมาก็ไปงับแล้วยื้อดึงขึ้นมา สวะกองใหญ่มากเขาดึงไม่ขึ้น ตัวเองก็เลยถลำตกน้ำไป ตะกายได้ไม่กี่ที ด้วยความที่แก่แล้วไม่มีแรง เขาก็เลยจมน้ำ ตอนที่เขาทำภาพให้ดู เป็นวันที่สามแล้ว ลอยอืดแล้ว ทั้งกลิ่นทั้งภาพมาชัด ก็เลยบอกเขาว่า "ไม่ต้องชัดขนาดนั้นก็ได้ แล้วมีธุระอะไร ?" เขาบอกว่า "ถ้าจะสงเคราะห์ ก็ช่วยถวายสังฆทานให้ด้วย" แล้วเขาก็บอกว่า "บอกพวกทหารตำรวจด้วยว่าไม่ต้องตามหาหรอก ผมตายแล้ว" ตอนเช้าพอส่งหลวงพ่อขึ้นตึก อาตมาบอกพวกทหารตำรวจว่าท่านใหม่ตายแล้ว เขามาบอกว่าตายแล้วไม่ต้องไปหาหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2010 เมื่อ 16:10 |
สมาชิก 147 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
"พวกทหารเขาเชื่อที่อาตมาพูด แต่มีคนสงสัยก็คือหลวงพี่วิรัช
ตอนบ่ายหลวงพ่อออกรับแขก หลวงพี่วิรัชจึงฉวยโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า "พระเล็กบอกว่าท่านใหม่ตายแล้วนะครับ" หลวงพ่อบอกว่า "เออ..ตายแล้วจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติจะต้องอยู่ชั้นดุสิต เพราะเขาเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ที่ไปอยู่ดาวดึงส์เพราะว่า ถ้าอยู่ชั้นดุสิตเดี๋ยวโดนนิมนต์ไปเทศน์ที่เทวสภา ท่านใหม่ขี้เกียจเทศน์เลยไปหลบอยู่ดาวดึงส์ อีกไม่นานก็จะมาเกิดใหม่" ส่วนใหญ่เขาจะไปถามหลวงพ่อเพื่อความแน่ใจ ไม่มีหรอกที่จะเชื่อเราเสียทีเดียว สรุปว่า พอท่านใหม่ตาย แทนที่จะไปหาคนอื่น กลับมาหาคู่รักคู่แค้นอย่างอาตมา ขอให้ถวายสังฆทานให้ด้วย วันนั้นอาตมาก็ฝากทหารไปถวายสังฆทาน ตอนแรกสงสัยว่าทำไมต้องมาหน้าเป็นหมาด้วย เขาบอกว่า "ถ้ามาหน้าเป็นเทวดา เดี๋ยวจะจำไม่ได้" ลองนึกถึงคนที่แต่งตัวเป็นลิเกแล้วมีหัวเป็นหมา จะดูตลกแค่ไหน ? นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กิเลสนั้นกินทั้งคน ทั้งสัตว์ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ทุกรูปนาม ไม่เว้นเลย หมู หมา กา ไก่ก็กินหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2010 เมื่อ 16:13 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
"เดือนที่แล้วขายท่านแมน เดือนนี้ขายท่านใหม่ เดือนหน้าขายท่านไหนดี ?
หมาที่วัดท่าซุงร้ายมากเลย เป็นผีแล้วมาหลอกพระเป็นประจำ มีอยู่ตัวหนึ่ง กลุ่มเดียวกับพวกโป๊ยก่าย ชื่อ คุณหญิง คุณหญิงโดนรถหน้าวัดชนตาย ปกติแล้วเวลาเรียกเขา เขาจะตอบรับด้วยการยิ้ม เวลาที่หมายิ้ม เขาจะทำหูรี่ไปข้างหลัง ถ้าสังเกตเป็นจะรู้ว่าเขากำลังยิ้ม วันนั้นอาตมาออกเวรตอนหกโมงเย็น พอเดินลงมาจากหน้าตึกหลวงพ่อได้ ๕ - ๖ ก้าว คุณหญิงก็เดินมาหา อาตมาก็ทักว่า "เป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่า ?" เขาก็ทำหูรี่ยิ้มเหมือนเดิม อาตมาไม่มีเวลามาก เพราะต้องรีบไปทำวัตรเย็น ก็รีบจ้ำเดินไป พอเดินไปได้ ๔ - ๕ ก้าว เพิ่งรู้ตัว นึกขึ้นมาได้ "อ้าว..เจ้านี่ตายไปแล้วนี่หว่า..!" หันกลับมามองไม่มีหรอก ตรงนั้นเป็นลานซีเมนต์กว้าง ๆ ไม่มีทางที่เขาจะหลบพ้นสายตาเราไปได้ แต่มองแล้วไม่มีเลย พอเรารู้ทันเขาก็ไปแล้ว พวกผีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผีหมาหรือผีคน เขาจะหลอกเฉพาะตอนเราเผลอ แล้วก็หลอกคนที่ไม่รู้ อย่างเช่น คนตายแล้วญาติเขายังไม่รู้ว่าตาย เขาก็จะไปหา แต่ถ้าญาติรู้ว่าตายแล้วเขาไม่ไปหรอก ฉะนั้น..หมาวัดท่าซุงตายแล้วยังมาแหกตาหลอกอยู่เรื่อยเลย ตอนที่ทักเขา ลืมไปว่าเขาตายแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2010 เมื่อ 16:24 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|