|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
“อย่าไปเล่นกับพระปฏิสัมภิทาญาณนะ ท่านไปของท่านได้เรื่อย แบบเดียวกับหลวงปู่พระครูโวทานธรรมาจารย์ หลวงพ่อวัดท่าซุงกะหวดตกธรรมาสน์เลย แต่ท่านหลบไปได้ลื่น ๆ ต่อหน้าต่อตา ไปเทศน์ช่วงสงคราม พอหวอขึ้น ชาวบ้านก็เผ่นลงจากศาลา ไปหมอบกันอยู่กลางทุ่ง เพราะว่าส่วนใหญ่พวกตัวอาคารจะเป็นเป้าทิ้งระเบิด หลวงปู่พระครูโวฯ ก็เผ่นไปอยู่กลางทุ่งกับชาวบ้านด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงนั่งอยู่บนธรรมาสน์ไม่ไปไหน พอถึงเวลาเสียงหวอปลอดภัยขึ้น ชาวบ้านก็กลับมาศาลา หลวงปู่พระครูโวฯ ก็หิ้วย่ามเดินตุ้มต๊ะตุ้มตุ้ยมา ก็คือท่านอ้วน ถึงเวลาก็หอบแฮ่ก ๆ ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ต่อ
หลวงพ่อวัดท่าซุงก็หวดหน้าแงเลย บอกว่า "ไอ้คนไร้สัจจะ..!" "มึงว่าใครวะ ?" "ใครก็ไม่รู้ ถึงเวลาบอกกับญาติโยมเขาว่า ยอมตายเพื่อพระพุทธศาสนา เสียงหวอขึ้นหน่อยเดียววิ่งหนีไปอยู่กลางทุ่งโน่น" ปรากฏว่าหลวงพ่อพระครูโวฯ ท่านว่า "มึงเห็นไหมนี่อะไร ?" ล้วงจากย่ามออกมา พระเครื่องพวงเบ้อเร่อเลย "นี่พระพุทธ แล้วในมือกูนี่เห็นไหม ? คัมภีร์พระธรรม ตัวกูเองพระสงฆ์ กูไปครบพระรัตนตรัย ไปคุ้มครองญาติโยมถึงกลางทุ่ง มึงน่ะ..อกตัญญู ญาติโยมเขาเดือดร้อนแทนที่จะไปช่วยคุ้มครองป้องกัน ดันนั่งหัวโด่อยู่บนธรรมาสน์" ตกลงว่าใครตีใครก็ไม่รู้..?! อย่าไปเล่นกับพระอย่างนั้น ไม่สำเร็จหรอก ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ มีอยู่อย่างหนึ่งเรียกว่า "ปฏิภาณปฏิสัมภิทา" มีไหวพริบปฏิภาณคล่องแคล่วมาก ไล่ไม่จนหรอก..!” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:41 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : (ไม่ชัด) ใส่รองเท้าเข้าไปในโบสถ์ ซึ่งเป็นเขตใบเสมา จะโดนกันหมดไหมคะ ?
ตอบ : ก็เรื่องของท่าน โดนไม่โดนจะตามไปดูก็ได้ ที่อื่นเขามีใส่กันเยอะ แต่วัดท่าขนุนไม่มี ใครแหลมเข้ามานี่ เจ้าอาวาสจับไมค์ด่าเลย "โคตรพ่อโคตรแม่มึงไม่ได้สั่งสอนใช่ไหม ? อยู่ที่บ้านมึงใส่รองเท้าเข้าห้องนอนหรือเปล่า ?" อะไรที่ผิดก็แก้ให้ถูก แต่แก้ในขอบเขตอำนาจของเรา อย่าไปยุ่งกับคนอื่น ไม่ดูกาลเทศะเดี๋ยวจะซวยเอา แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:41 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า “อย่าไปนั่งขวางทางเข้าออก พอคนมาก็ต้องขยับอีก เขาเรียกว่านั่งให้เป็นสุข ถึงเวลาจะได้ไม่ต้องขยับ
แต่อาตมาเห็นว่านั่งแล้วทุกข์นะ เพราะว่าขยับกันทุกคนเลย บาลีเขาบอกว่า "อิริยาบถปิดบังทุกข์" ก็คือนั่งแล้วเมื่อย ความทุกข์เกิดขึ้น พอขยับก็หายไปชั่วคราว” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:42 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ต้องบอกว่าหลวงปู่โต วัดระฆัง ท่านเกิดมาคู่บุญกับในหลวงรัชกาลที่ ๔ เล่นกันหนัก ๆ ชนิดโดนถอดยศไปหลายรอบ ก็ไม่เห็นท่านจะหวั่นไหวอะไร พระดีระดับนั้นแล้ว ท่านถอดก็คืนให้ ถวายก็รับใหม่
มีอยู่งวดหนึ่ง โดนถอดยศตอนเป็นสมเด็จพระราชาคณะนี่แหละ ท่านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ถวายพัดคืนเสร็จเดินมาลงเรือ จะแจวเรือกลับวัดระฆัง รัชกาลที่ ๔ ทรงหายพิโรธแล้ว ให้สังฆการีถือพัดวิ่งไล่ตามมาประเคนคืน ท่านบอกว่า "นี่พ่อคุณ รู้จักธรรมเนียมไหม ? การแต่งตั้งเป็นหน้าที่ของพ่อคุณหรือ ? หรือว่าเป็นหน้าที่ของในหลวง ?" "หน้าที่ของในหลวงครับ" "เอ้อ..ถ้าอย่างนั้นต้องให้ในหลวงตั้ง ไม่ใช่อยู่ ๆ เอามาคืนแบบนี้" เป็นอันว่ารัชกาลที่ ๔ เสียท่า ต้องพระราชทานตั้งใหม่ จ่ายอีกรอบ ...(หัวเราะ)...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:46 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนบิณฑบาต แม่ก็พาลูกมาใส่บาตรวันเกิด เด็กก็เป็นวัยรุ่น น่าจะ ๑๗-๑๘ ปีแล้ว ใส่บาตรนี่จับทัพพี ๓ นิ้ว แล้วก็ตักข้าวใส่บาตร อาตมาเองก็ เออหนอ..ปีหนึ่งใส่บาตรวันเกิดครั้งเดียว จับได้ ๓ นิ้วก็บุญโขแล้ว..!
ทำให้เห็นชัดว่า เด็กรุ่นใหม่ห่างวัด บางคนมาก็เก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง เดี๋ยวก็จะเจอแบบที่อาตมาเจอนั่นแหละ ตอนนั้นขี่รถป้ายแดงมาเลย เลี้ยวเข้ามา ลงจากรถมาด้วยความมั่นใจมาก ยกมือไหว้ "ท่านเจ้าคะ ช่วยนิมนต์พระให้ ๕ รูปด้วย อาตมาจะถวายสังฆทาน" อาตมาตอบไปว่า "ถ้าอย่างนั้นไปนั่งรอในศาลา เดี๋ยวโยมจะไปนิมนต์พระให้..!" ก็เขาแย่งของเราไปแล้วนี่ เราก็ต้องเอาของเขามาใช้บ้าง ไม่เจอกับตัวเองก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะมี..!” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2019 เมื่อ 19:47 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : พระพุทธเจ้าโปรดอสุรินทราหูที่วัดพระเชตวันหรือครับ ?
ตอบ : กลางทาง เชตวันนี่ราหูเข้าไปไม่พอให้นั่งหรอก ...(หัวเราะ)... ถาม : พระพุทธเจ้าท่านเนรมิตกายให้ใหญ่กว่าพระราหูอีกหรือครับ ? ตอบ : ต้องบอกว่าให้ตัวใหญ่กว่า หรือบางทีอสุรินทราหูอาจจะโดนท่านทำให้เล็กกว่าก็ได้ สรุปว่าราหูเห็นว่าท่านใหญ่กว่าเยอะก็แล้วกัน ถาม : ที่ว่ากลางทางนี่หมายถึงอย่างไรครับ ? ตอบ : ท่านเสด็จไปดัก เพราะว่าราหูไม่ยอมมา ในเมื่อไม่ยอมมาก็ต้องไปหาเอง เนื่องจากเห็นว่าจะโปรดได้ เพราะราหูว่าเมื่อเปรียบกับตัวเองแล้วพระพุทธเจ้าองค์เล็กนิดเดียว ถ้าไปแล้วต้องก้มมองก็เป็นการไม่เคารพ ก็เลยไม่กล้าไป พระพุทธเจ้าเห็นว่าจะเสียประโยชน์เปล่า ๆ จึงเสด็จไปดักกลางทาง แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:35 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : วัดพระเชตวันอยู่พม่าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ชมพูทวีป สมัยนั้นมีพม่า อินเดีย เมื่อไรกันเล่า ? มีแต่ชมพูทวีป ของเราชอบเอาไปปนกันกับปัจจุบัน ก็เหมือนกับประเทศไทยก็เพิ่งจะมีในสมัยรัชกาลที่ ๖ ก่อนหน้านี้ก็เป็นสยาม ก่อนจะสยามก็ เป็นธนบุรี เป็นอยุธยา เป็นสุโขทัย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:35 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ถาม : ปัญญาบารมีสร้างอย่างไรครับ ?
ตอบ : มี ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือพยายามศึกษาเรียนรู้ ศึกษาเรียนรู้แล้วได้มา ก็พินิจพิจารณาให้เกิดความแคล่วคล่องชำนาญ ส่วนนี้เป็นโลกียปัญญา ส่วนโลกุตรปัญญานั้นเป็นการใช้กำลังของสมาธิช่วยให้จิตสงบ แล้วก็พิจารณาเห็นความเป็นจริง ถ้าหากว่าจะแยกก็มีอีกเยอะ แต่ว่าเอาง่าย ๆ ๒ อย่างก่อนก็แล้วกัน แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:36 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ท่องบทอาการ ๓๒ ให้ฟังแล้วกล่าวว่า “พระพุทธเจ้าท่านแสดงอาการ ๓๒ ให้คนพิจารณาเห็นว่ามีแต่ความไม่เที่ยงเป็นปกติ ถ้าไปยึดถือมั่นหมายก็เป็นทุกข์เป็นปกติ แต่ว่าส่วนหนึ่งแทนที่จะไปพิจารณาให้เห็น ก็เอาไปนั่งท่องเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ เสกโน่นเสกนี่โดยเติมอาการ ๓๒ เข้าไป ถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ...(หัวเราะ)...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:37 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนนี้ที่ปฏิบัติจะพิจารณาธรรมในเรื่อง ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือควรจะดูร่างกายของเรา เพราะว่าเป็นส่วนหยาบที่เห็นได้ง่าย ให้เห็นว่าอย่างไรก็ไม่เที่ยง อย่างไรก็เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ย้ำบ่อย ๆ จนสภาพจิตยอมรับว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าสภาพจิตยอมรับแล้วก็จะเห็นเองว่า ร่างกายคนอื่นก็เป็นแบบนี้ สัตว์อื่นก็เป็นแบบนี้ โลกนี้ก็เป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรที่น่ารัก น่าใคร่ น่ายึดถือมั่นหมาย ใจก็จะปลดออกไปเอง เพียงแต่ว่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก เบื่อไม่ได้ ถาม : ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราอาราธนาพระ ...(ไม่ชัด)... ? ตอบ : เราก็ยกขึ้นมาพิจารณาของเราเอง จะขอพระท่านช่วยหรือไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร ถาม : (ไม่ชัด) ? ตอบ : ไม่มี เร่งทำเข้าไว้ เวลามีน้อย แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:37 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวกับญาติโยมที่ไม่ได้ยกพระมาว่า “จำไว้เลยว่า สังฆทานห้ามขาดพระเด็ดขาด อานิสงส์หายไปมหาศาลเลย”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:38 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เวลาเห็นพวกเราทำอะไรถูก ๆ ผิด ๆ ก็ไปนึกถึงสมัยที่ตัวเองเรียนหนังสือใหม่ ๆ ครูสั่งให้ทำอะไรก็ทำ ผิดบ้างถูกบ้าง ยุ่งไปหมดเหมือนกัน พยายามพิจารณาดู เอ๊ะ..ทำไมอารมณ์ใจเป็นลักษณะอย่างนี้ ? อ๋อ..ที่แท้ก็อยู่ในพรหมวิหาร ก็คือเห็นตัวเขาเหมือนกับเรานี่แหละ เพราะฉะนั้น..ผิดพลาดมาก็พออภัยกันได้ ถ้าไม่ถึงกับส่วนรวมเสียหายอาตมาก็ยังไม่งับหัวหรอก ...(หัวเราะ)...
แต่ว่าตัวเมตตานี้ก็มีราคะเป็นศัตรูใกล้ ๆ ในวิสุทธิมรรคบอกเอาไว้ชัด ถามว่าทำไม ? เพราะว่าการเมตตาต่อกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นเพศตรงข้าม เผลอเมื่อไรจะเป็นราคะทันที แบบเดียวกับกรุณา ก็มีความเสียใจเป็นศัตรูรออยู่ใกล้ ๆ สงสารเขามากเกินไป ตัวเองก็แบกเอาความทุกข์ความเสียใจของคนอื่นไว้ด้วย กลายเป็นใจเศร้าหมองเอง ฟังดูแล้วน่ากลัวนะ ...(หัวเราะ)...” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:39 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงบทที่ ๔ ในพุทธชัยมงคลคาถาว่า “สงสัยไหมว่าทำไมเป็น "ชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง" ? ไม่ใช่ อังคุลิมาล แต่กลายเป็น ถัง คือเป็นคำที่สนธิ คือเชื่อมคำว่า ชนบท หรือชะนะปะถะ + อังคุลิมาล ก็เลยกลายเป็น ชะนะปะถัง
เวลาเชื่อมกันเข้าไป เขาบอกว่า ให้ลบสระหน้าเหลือสระหลังไว้ เพราะฉะนั้น..ชะนะปะถะ สระอะข้างหลังโดนลบออก ก็เหลือแต่ตัวหน้าคือ อัง ของอังคุลิมาล ก็เลยกลายเป็น ชะนะปะถัง” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:39 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ถาม : อะติเรกะวัสสะสะตัง ชีวะตุ หมายความว่าอย่างไรครับ ?
ตอบ : แปลว่าให้อายุยืนเกินร้อย อติเรกก็คือเหลือ เหลือกว่าร้อย วัสสะก็คือหน้าฝน ฤดูฝน เขาหมายถึงปีหนึ่ง สะตังคือร้อย เราจะเห็นว่าทำไมถึงใช้หน่วยสตางค์ ? ก็ ๑๐๐ สตางค์เท่ากับ ๑ บาท ทีฆายุโกโหตุ ขอจงมีอายุยืน คือ ความอายุยืนจงมีแก่ท่าน อโรโคโหตุ ความไม่มีโรคจงมีแก่ท่าน ถ้าฟังบาลีออกก็แปลได้ คนแปลไม่ออกก็ฟังขลัง ๆ ไป ...(หัวเราะ)... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:40 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้าเราไปอ่านพระไตรปิฎก การถวายอาหารจะมีอยู่คำหนึ่ง เขาว่า "อังคาสด้วยมือ" อังคาสด้วยมือจะอยู่ในลักษณะที่คอยเติมอาหารให้ อย่างอาตมานี่ถ้าหากว่าไปศรีลังกาหรืออินเดีย จะต้องพยายามฉันให้ช้าที่สุดในโลก เร็วไม่ได้ เพราะว่าถ้าเขาเห็นจานว่างเมื่อไร เขาจะตักเติมทันที ประเภทฉันหน่อยเดียวอย่างอาตมาไปเจออย่างนั้นก็ปางตาย..!
เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเห็นภาชนะเริ่มว่างเขาก็ตักเติม เราจะไปปฏิเสธก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่า "ห้ามภัตอันมาทีหลัง" แต่คราวนี้ไม่ได้มาทีหลังนะ มาพร้อมกัน เพราะว่านั่งอยู่ข้างที่ฉันตรงนั้นเลย” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:41 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยววันเสาร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม มีงานทำบุญบ้านที่ระยอง ชื่อว่าบ้านใจดี เดี๋ยวนี้บ้านเยอะมาก นอกจากบ้านสายลม ซึ่งเป็นต้นตำรับแล้ว ก็มีบ้านเติมบุญที่นี่ มีบ้านลูกอินทร์ของตุ๊พ่อสิงห์ มีบ้านลูกหลวงพ่อของพระสมุห์อำนวย มีบ้านใจดีที่ระยอง มีบ้านสุมโนของพระอาจารย์มหาเอ มีบ้านเทวาสถิตของคุณปาน
บ้านใจดีอยู่ตรงไหนของระยองอาตมาก็ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวไปงมเอาข้างหน้า เขาให้ไปบวงสรวงเวลา ๐๙.๓๐ น. นั่งฟังพระสวด ฉันเพลเสร็จก็กลับ” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:42 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
“ถามว่าแล้วทำไมไม่ให้สวดด้วย ? อ๋อ..ส่วนใหญ่แล้วพระอาจารย์ไม่ค่อยสวดหรอก สวดมามากพอแล้ว..! สมัยบวชใหม่ ๆ สองพรรษาแรก ออกงานแทบไม่เว้นวัน บางวันสวดมนต์เย็น ฉันเช้า สวดมนต์ ฉันเพล สวดมนต์เย็น พูดง่าย ๆ ก็คือ ออกวันหนึ่ง ๓ รอบ เหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า ส่วนใหญ่แล้วพี่ ๆ ที่อยู่วัดท่าซุง ท่านเอาแต่ภาวนา ไม่ได้ซ้อมสวดมนต์ ก็เลยสวดไม่ค่อยได้ พอสวดไม่ค่อยได้ก็ไม่อยากไปกิจนิมนต์
ถึงเวลาให้อาตมาไปแทน อาตมาเองไปเป็นนาคอยู่วัด ๓๗ วัน สวดได้หมดเกลี้ยงแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าไปเพื่อดูว่าแต่ละงานเขาใช้บทไหนบ้าง ขึ้นบ้านใหม่ใช้อะไรบ้าง งานแต่งงานใช้อะไรบ้าง งานทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ใช้อะไรบ้าง ทำบุญวันเกิดใช้อะไรบ้าง สองปีออกงานจนชำนาญ โดยเฉพาะเป็นพระใหม่ก็นั่งห้อยท้าย ถึงเวลาโยมเขาขอให้เจิมบ้าน ขอให้ทำอะไร ส่วนใหญ่แล้วหลวงพี่โอ ท่านพระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร ตอนนั้นก็ยังเป็นพระพิชิตอยู่ มาถึงก็ "ท่านเล็ก..ทำให้เขาหน่อย" กี่งาน ๆ ก็ "ท่านเล็กทำให้เขาหน่อย" เหนื่อยอย่าบอกใครเลย บางวันเหนื่อยขึ้นมาก็บ่น "พี่อยู่กับหลวงพ่อกันมาคนหนึ่ง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ไม่ได้คิดจะเอาอะไรบ้างเลยหรือ ?" ท่านบอกว่า "เป็นแล้วมันเหนื่อย" ของท่านเป็นแล้วเหนื่อย ส่วนอาตมาเป็นซะแล้ว ก็เลยต้องยอมเหนื่อย..!” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:44 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
“มีอยู่บ้านหนึ่ง ๒ ปี อาตมาไปสวดมนต์ที่บ้านนั้น ๑๘ ครั้ง บ้านเดียวเลย เพราะฉะนั้น..พอพรรษาที่สาม อาตมารู้งานหมดแล้ว ก็เริ่มโบ้ยให้รุ่นน้องไปบ้าง ไม่ไปเองแล้ว โดยเฉพาะถ้าเป็นงานที่ลานตะโกนี่ ไม่มีใครอยากไปเลย แปดโมงครึ่งแล้วยังไม่เริ่มสวดมนต์ โดยเฉพาะผู้ใหญ่จันทร์ แกเป็นทายก แกก็เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อย พระหิวไส้แขวนแล้ว..! บางทีหิวมาก ๆ ก็ "ผู้ใหญ่..เมื่อไรจะสวดมนต์สักที ?" "รออีกสักหน่อยสิ คนยังมาไม่ครบ จะหิวอะไรนักหนาเชียว" ไอ้เราก็นึกในใจว่า "มึงตื่นขึ้นมา มึงก็แดกกาแฟปาท่องโก๋ไปแล้ว แต่กูนี่อดมาตั้งแต่เพลเมื่อวานนี้..!"
โดยเฉพาะของพระ ตามพระธรรมวินัยแล้วก็คือ ถ้าหากว่าฉันอยู่ ลุกแล้วก็หมดสิทธิ์ไปเลย ไม่ใช่โยมที่นึกจะกินเมื่อไรก็ได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่มีใครอยากไปงานผู้ใหญ่จันทร์ แล้วก็ดันจัดเป็นงานประจำปีทำบุญลานตะโก อาตมาไปอยู่ ๓ ครั้งก็เลิกไปเลย ท้ายสุดต้องไปเอาพระที่วัดตรงท่าน้ำมโนรมย์ ก่อนหน้านี้ชื่อวัดเสริมศรีสุขสวัสดิ์ เพราะว่าเป็นวัดที่ท่านเจ้าคุณเสริมกับแม่อ๋อยช่วยกันสร้างขึ้นมา คราวนี้มาตอนหลัง เจ้าอาวาสใหม่ไปทำเละเทะ ท่านไม่สนับสนุนอีก วัดก็โทรมหมดสภาพไป พอเจ้าคณะจังหวัดส่งพระรูปใหม่มาเป็นเจ้าอาวาส เขาก็เลยเปลี่ยนชื่อวัดไปด้วย ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้ใช้ชื่ออะไร ? ลานตะโกพอพระวัดท่าซุงไม่ไป เขาก็ไปเอาพระที่วัดตรงท่าน้ำมโนรมย์ไปแทน” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:46 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
“ถามว่าพระประท้วงโยมได้ไหม ? มีการประท้วงมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เขาเรียกว่าคว่ำบาตร ก็คือถึงเวลาใส่บาตรแล้วไม่รับ หันก้นบาตรขึ้น มีปัญญาก็ใส่ไปสิ..! ถ้าหากว่ามาขอขมา รับปากว่าจะแก้ไข ก็มีการสวดประกาศ เขาเรียกว่าสวดหงายบาตร คืออนุญาตให้ใส่บาตรได้ คำว่าคว่ำบาตรนี่มาจากพระพุทธศาสนานี่แหละ ดังนั้น..อย่าให้พระประกาศคว่ำบาตรใคร เห็นมีเพื่อน ๆ หลายคนประกาศคว่ำบาตรคนชื่อไพบูลย์ บอกว่า "ตายแล้วอย่ามาเผาที่วัดกูนะมึง" อาตมาก็ไม่รู้ว่าไพบูลย์ไหน ? เพราะว่าเพื่อนตัวเองก็มีที่ชื่อไพบูลย์..!”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-05-2019 เมื่อ 04:47 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : เคยเห็นในอินเตอร์เน็ต เขามีขอรับบริจาคพวกโทรทัศน์เก่า เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า ของใช้มือสอง เพื่อนำมาส่งต่อให้เด็กยากไร้ หนูก็เอาไปบริจาคให้เขา แต่พี่ชายเห็นว่าไม่ควรเอาไปบริจาคเพราะกลัวว่าจะบาป ?
ตอบ : บาปตรงไหน ? ถาม : กลัวว่าชาติหน้าจะได้ของที่ไม่ดีค่ะ ? ตอบ : ได้ของที่ไม่ดีกับไม่ได้ทำ อย่างไหนจะแย่กว่ากัน ? บุญจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้ทำไว้ก่อน เพราะว่าผลตอบแทนออกมาด้านดีทั้งนั้น ให้ของเก่า ให้ของใช้แล้ว เขาเรียกว่า "ทาสทาน" พอถึงเวลาเราได้มา ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นไม่ดี เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราได้มานั้น จะทำให้เราไม่อยากใช้ของใหม่ หันไปใช้ของเก่าแทน การทำทานมีโอกาสให้ทำไว้ก่อน จะเป็นของกินแล้วใช้แล้วก็ดี ของที่ดีเท่าที่เรากินเราใช้ก็ดี หรือว่าดีกว่าที่เรากินเราใช้ก็ตาม ให้ได้ทำเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเรามีของไม่ดีแล้วเราไม่ทำ กลายเป็นตัดโอกาสตัดทางบุญตัวเองเสียเปล่า ๆ สำหรับคนที่เขาขาดหรือคนที่เขาไม่มี ของไม่ดีของเราคือของดีที่สุดที่เขามี คราวนี้พอเรามีของเก่า เราไม่กล้าทำบุญ เพราะกลัวว่าถึงเวลาเกิดใหม่เราจะได้แต่ของเก่า ๆ อันนั้นคิดผิดมาก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2019 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|