#41
|
|||
|
|||
เวอร์ชั่นคนแก่
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
|||
|
|||
๒๐."สังขละบุรี (ภาคอาโปกสิณัง)"
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่ปาน..ไปขออนุญาตหลวงพ่อสิ ผมขออนุญาตแทนพวกท่านมาหลายรอบแล้ว กลัวโดน..!" หลวงพี่ปาน : "เดี๋ยว..หลังฉันเพลก่อน ..ผมว่าหลวงพี่นั่นแหละ ควรจะไปขออนุญาตท่าน" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่นั่นแหละดีแล้ว ถ้าหลวงพ่อท่านอนุญาต ผมให้พระเครื่องหนึ่งองค์ " หลวงพี่ปาน : "อย่างนั้นผมขอพระองค์ที่ ๑๑..!" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ผมมีองค์เดียว ให้ไม่ได้หรอก..ไป ๆ หลวงพี่ท่านอื่นรอลุ้นกันอยู่นะ ว่าหลวงพ่อท่านจะอนุญาตให้ไปหรือไม่ "ตา" เป็นประกายกันทุกรูปเลย..ดูสิ.." และแล้วหลวงพ่อท่านก็อนุญาตโดยมีหลวงพี่ปานเป็นผู้เรียนขอ หลวงพ่อ : "ไปทั้งหมดกี่รูป ? ตอบมาไว ๆ เอาชัด ๆ แน่นอน ไปทั้งหมดกี่รูป ?" หลวงพี่ปาน : "ทั้งหมด ๙ รูปครับหลวงพ่อ.."(ไปจริงโดดไปซะ ๑๑ รูป..!) หลวงพ่อ : "๙ รูป...เชิญ รีบกลับมาให้ทันทำวัตรนะ.." และแล้วการเดินทางก็ดำเนินขึ้น โดยมี "ทิดแก้ว" เป็นพลขับเหมือนเดิม เดินทางจากวัดท่าขนุนถึงเขื่อนเขาแหลมใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาที ทิดป้อมพี่ชายของหลวงพี่ปาน จัดเตรียมเรือและน้ำมันเรือ คณะของเราช่วยค่าน้ำมันเรือไป ๘๐๐ บาท หลังจากขึ้นเรือกันเรียบร้อย จัดสรรการนั่งเพื่อความสมดุลของน้ำหนัก แสงแดดหลังเที่ยงมันช่างร้อนระอุจริง ๆ แต่การเดินทางในครั้งนี้เราไปทางเรือ จึงรู้สึกถึงบรรยากาศว่า ช่างแตกต่างกับทางรถยนต์โดยสิ้นเชิง บางท่านวิตกเพราะว่ายน้ำไม่เป็น โดยเฉพาะ "หลวงพี่เก้า" "ไม่เป็นไรครับหลวงพี่..เราค่อย ๆ วิ่งไปเรื่อย ๆ" กระผมพูดให้กำลังใจทุกท่านรวมถึงหลวงพี่เก้าด้วย หลวงพี่ปาน : "ทิดป้อม..แวะแพร้านค้า ฉันน้ำกันก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ.." เสร็จธุระแล้ว เรือออกจากแพร้านค้า วิ่งตรงไปยังเป้าหมายทางทิศตะวันตก ระหว่างทางกระผมเห็น "แพปั่นไฟ" ที่ชาวบ้านเปิดไฟล่อปลาจำพวก "ปลาซิวแก้ว" ตอนกลางคืน ก่อนที่จะสาวอวนตาข่ายจับปลาที่มาเล่นแสงไฟเหล่านั้นขึ้นมา นี่ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านขนานแท้ สอบถามหลวงพี่ปานท่านบอกว่า บางคืนได้ปลาซิวร่วม ๕๐ - ๖๐ กิโลกรัมต่อแพ สองข้างตลิ่งยังมีสภาพเป็นป่าค่อนข้างสมบรูณ์ มีเกาะคือยอดเขาที่โผล่พ้นน้ำ หลวงพี่ปานท่านบอกว่า บนเกาะก็มีสัตว์จำพวกหมูป่า นก ตะกวด อยู่บ้าง สมัยท่านยังเป็นฆราวาส ถ้าหาปลาไม่ได้ก็จะขึ้นดอนขึ้นเกาะ หาของป่าเป็นรายได้เสริม เราแล่นเรือผ่านคุ้งน้ำหลายคุ้ง ต่อหัวเสือทำรังหลายรังบนยอดไม้ที่โผล่เหนือระดับน้ำ หลวงพี่บอยเห็นแล้วแสดงสีหน้าขยาด เพราะท่านโดนต่อหัวเสือที่วัดตรงหลังโรงครัว ต่อยไปครั้งหนึ่งตอนเดินกลับมาจากบิณฑบาต สายลมพัดเอาละอองน้ำกระเด็นมาตามทิศทางของลม หลวงพี่ตั้มเปียกไปครึ่งตัว หลวงพี่ดอย หลวงพี่นวย เข้าสมาธิเงียบหรือหลับก็ไม่แน่ใจ มองไปสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้ากับน้ำช่างตัดกันดีเสียเหลือเกิน ทิดป้อมชำนาญทางมาก เรือเราแล่นมาถึงหน่วยแพกลางน้ำของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ทิดป้อมค่อย ๆ ชะลอความเร็ว พร้อม ๆ กับตะโกนแจ้งชื่อและนามสกุลของตัวเอง พร้อมจำนวนของพระทั้งหมดในเรือและรายละเอียดว่า มาจากไหน..จะไปไหน..อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ลงบันทึกเอาไว้ เรือคณะเราแล่นไปจนถึง "วัดวังก์วิเวการามเก่า" ส่วนของหลังคาโบสถ์ยังโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำ ส่วนฐานทั้งหมดจมอยู่ในน้ำ ในระดับความลึกประมาณ ๘ เมตร ยอดหอระฆังยังสมบูรณ์ อร่ามไปด้วยสีทอง มองดูเหมือนเจดีย์กลางน้ำ ทิดป้อมชะลอความเร็วลงอีกครั้ง หลวงพี่เก้า กระผม ตลอดจนทุก ๆ ท่าน ต่างตั้งจิตอธิษฐานตามแต่ที่ตนจะปรารถนา แล้วทิดป้อมก็เร่งความเร็วขึ้นอีกครั้ง ตรงไปยัง "เจดีย์พุทธคยาจำลอง" ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ฝนเม็ดใหญ่ ๆ ร่วงพรูลงมาเหมือนเป็นการบอกว่า เรามาถึงสังขละบุรีแล้ว ป.ล.ยังไม่จบนะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ภาพด้านล่างซ้ายมือที่ยืน (สี่ขา) นั่นคือผู้จัดการร้านสะดวกซื้อแห่งนี้(บางแก้วซะด้วย)" หลวงพี่ปราโมช : "เฮ้ย ๆ..อย่ากระโดดลงมานะ พระนะ..! นี่พระนะ..!" ภาพวัดวังก์วิเวการามเก่า,พระแกะจากไม้หอมฝีมือช่างชาวพม่า...อยากได้แต่ปัจจัยไม่พอ ในสามท่านนั้นกระผมผอมที่สุด...๕๕๕๕
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 21-11-2009 เมื่อ 07:11 |
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
|||
|
|||
วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ สร้างขึ้น ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ ที่บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรี ประมาณ ๒๒๐ กิโลเมตร
ในระยะแรกมีเพียงกุฏิและศาลา มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปเรียกว่า "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" ตั้งอยู่บนเนินสูงในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ ๓ สาย คือแม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ แม่น้ำรันตี ไหลมาบรรจบกัน ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้ใช้ชื่อว่า วัดวังก์วิเวการาม ซึ่งตั้งตามชื่ออำเภอเดิม คืออำเภอวังกะ ซึ่งต่อมาถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอ ก่อนที่จะยกฐานะเป็น อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ.๒๕๐๘ วัดวังก์วิเวการาม ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบพม่า มีพระพุทธรูปหินอ่อน และ งาช้างแมมมอธ มีเจดีย์พุทธคยา สร้างจำลองแบบจากเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เริ่มก่อสร้าง พ.ศ.๒๕๑๘ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙ สะพานมอญ(สะพานอุตตมานุสรณ์) เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวประมาณ ๙๐๐ เมตร เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๗ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ปิดเขื่อนเขาแหลมหรือเขื่อนวชิราลงกรณเพื่อเก็บกักน้ำ ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอเก่า รวมทั้งบริเวณหมู่บ้านชาวมอญทั้งหมด หลวงพ่อจึงได้ย้ายวัดมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน หลวงพ่ออุตตมะได้จัดสรรที่ดินของวัดวังก์วิเวการามให้ชาวบ้านครอบครัวละ ๓๐ ต.ร.ว. ปัจจุบันหมู่บ้านชาวมอญมีพื้นที่ราว ๑,๐๐๐ ไร่เศษ มีผู้อาศัยราว ๑,๐๐๐ หลังคาเรือน ชาวบ้านเกือบทั้งหมดเป็นผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า ซึ่งไม่มีบัตรประชาชน หาเลี้ยงชีพโดยการปลูกพืชผักสวนครัวตามชายน้ำ ทำประมงชายฝั่ง คนหนุ่มสาวส่วนหนึ่งนิยมเป็นลูกจ้างในโรงงานเย็บเสื้อที่อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้าน ส่วนบริเวณวัดหลวงพ่ออุตตมะเดิม ปัจจุบันพระอุโบสถหลังเก่าจมอยู่ใต้น้ำ และมีชื่อเสียงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว "Unseen Thailand" เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "วัดใต้น้ำสังขละบุรี" ข้อมูลถึงยาวแต่ก็ได้สาระดีนะครับ คณะเราใช้เวลาอยู่ที่ตลาดมอญไม่นาน ขึ้นไปกราบพระเจดีย์ หลวงพี่ตั้มอัญเชิญพระแก้วมาหนึ่งองค์ หลวงพี่ปราโมชซื้อ "ตั่ง" ไม้เล็ก ๆ ไว้แทนหิ้งพระในห้อง หลวงพี่ดอยท่านเลี้ยงกาแฟกระผม หลวงพี่เก้า เณรเจ หลวงพี่ปู หลวงพี่นวยและหลวงพี่บอยรีบเดินย่ำขึ้นไปที่วัดหลวงพ่ออุตตมะเพราะเรามีเวลาไม่มาก หลวงพี่ปานเที่ยวตามหาทิดป้อมเพราะไม่รู้ไปจีบสาวมอญอยู่ที่ไหน ส่วนผมเองอยากได้พระแกะสลักจากไม้หอม แต่ต้องตัดใจเพราะไม่มีปัจจัยเพียงพอ...เศร้า! รวยเมื่อไรจะมาเหมาให้หมด..! หลังจากนั้นทุกท่านก็มารวมตัวกัน ขึ้นเรือ ออกเดินทางย้อนเส้นทางเดิม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 21-11-2009 เมื่อ 07:11 |
สมาชิก 90 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
|||
|
|||
ทิดต้อม! จ่ายค่าเช่าพื้นที่มาด่วนเลยครับ.....
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
|||
|
|||
๒๑. "ฤๅษีนำพระตาม (สามกิโลแม้ว)โคตรเหนื่อยเลย"
"ฤๅษี" หลาย ๆ ท่านคงรู้จักคำนี้ หากจะถามว่า "ฤๅษี" ยังมีอยู่จริงในสมัยปัจจุบันนี้หรือ ก็คงต้องตอบว่ายังมีอยู่จริง ตัวจริง เสียงจริง เมื่อก่อนผมเคยเห็นแต่ในโทรทัศน์ แต่ตอนที่บวชได้เจอท่านฤๅษีตัวจริงมาแล้ว ท่านถือศีลแปด ห่มจีวรสีเปลือกมังคุดและมัดเกล้าผมดังในรูป ขออนุญาตท่านถ่ายภาพ ท่านโบกมือแสดงอาการว่าถ่ายไม่ได้หรือท่านไม่ให้ถ่ายรูปนั้นเอง...แล้วทำไมท่านไม่พูดก็ต้องตอบว่า ท่านอธิษฐานปิดวาจาเป็นเวลา ๑๐๘ วัน นับตั้งแต่วันเข้าพรรษา ตอนที่เจอกันวันนั้น กระผมถามท่านว่าเหลืออีกกี่วัน ท่านถึงจะพูดได้ ท่านแสดงโต้ตอบด้วย "ภาษามือ" ว่าเหลืออีก ๑๕ วัน หลาย ๆ ท่านคงสงสัยว่า ทำไมเราต้องไปเจอฤๅษีท่านนี้ เพราะเราขอให้ท่านนำทางพากระผมและคณะอันได้แก่ หลวงตานุกูล หลวงพี่โก๋ หลวงพี่ปราโมช หลวงพี่แอ๋ว โยมเทิด โยมเอก โยมหม่อม ไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ซึ่งท่านจำพรรษาอยู่ในถ้ำกลางป่า แล้ว หลวงตาโมเช่คือใคร ? หลาย ๆ ท่านคงสงสัยอีกแน่นอน (เดาเอาไม่ได้ใช้เจโตฯ) หลวงตาโมเช่ในสมัยที่ท่านเป็นฆราวาส ท่านเป็นคนกะเหรี่ยง ท่านชำนาญในการเดินป่าแถวทองผาภูมิ สังขละบุรี ไปจนถึงพม่า ท่านเป็นคนนำทางให้หลวงพ่อเล็ก ตอนหลวงพ่อมาธุดงค์แถบนั้น พระครูน้อยท่านเล่าว่า ท่าน (หลวงตาโมเช่) มักจะแบกข้าวสารอาหารแห้งไปส่งให้พระธุดงค์ที่มาธุดงค์ในป่าแถบนั้นเสมอ ๆ อันนี้กระผมฟังจากพระครูน้อยท่านเล่ามานะครับ หลังจากนั้นหลวงตาโมเช่ก็บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ก่อนหน้านี้ คณะหลวงพี่เก้าและท่านอื่น ๆ ก็มากราบท่าน แต่หลังจากกลับไปถึงวัดทุกท่านอยู่ในสถานภาพอิดโรย บ้างก็พันแข้งพันขาด้วยผ้าก๊อซ บ้างก็กลับมาในสภาพที่เรียกว่า "จีวรเปลี่ยนสี" คือเปื้อนดินเปื้อนโคลนเต็มไปหมด ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "หลวงพี่..ไปรบกับพวกเวียดกงที่ไหนมาครับ" หลวงพี่เก้า "พวกผมเดินป่าไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ทางเดินขึ้นเขามันลื่นมาก ฝนก็ตก ทางก็ชัน ขากลับลงมา ดินมันลื่น กลิ้งกันเป็นลูกขนุนเลย..!" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "โห..ขนาดนั้นเลยหรือหลวงพี่..วันหลังกระผมต้องหาโอกาสไปกราบท่านบ้าง" ย้อนกลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ตอนนั้นประมาณหลังเพล รถสองคันคือรถของโยมหม่อมและโยมเอก ที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดและได้นัดหมายจะไปปฏิบัติธรรมกันต่อที่เกาะพระฤๅษี ก่อนที่จะออกมาจากวัด คณะเราได้ซื้อน้ำดื่มมาด้วยจำนวนสี่ชุด ตั้งใจว่าจะเอาไปถวายหลวงตาโมเช่ที่ถ้ำ หลังจากสื่อสารกับฤๅษีจนเข้าใจกันดีแล้ว เราแบ่งน้ำออกช่วยกันถือไปคนละชุด แล้วก็ออกเดินทาง โดยมีฤๅษีท่านนำทางไป เราค่อย ๆ เดินตามถนน ผ่าน"สวนมะม่วงหิมพานต์" ซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่กระผมอย่างมาก เพราะปกติจะนิยมปลูกกันทางภาคใต้ เดินไปไม่กี่อึดใจเจอสวนยางพาราอีก..! เอา..เอาเข้าไป นี่มันภาคใต้หรือทองผาภูมิกันแน่ "นิ".. "พันพรื้อ..มันเป็นพันนี่นิ..!" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ "หรอย..สุดยอดเลยนะ...บ่าวเทิด" (กรุณาออกเสียงในฟิลม์เป็นสำเนียงใต้นะครับ) บ่าวเทิด "ครับ ๆ..พี่หลวงรัตน์" ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- พระยังสู้ไหว แต่โยม ๆ ทั้งหลายจะเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ป่านี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ "หลวงพี่..ผมขอพักก่อนนะ.." หลวงพี่ล่วงหน้าไปก่อนเลยนะครับ.." "หลวงพี่..จะถึงหรือยังครับ..?" "หลวงพี่..โคตรเหนื่อยเลยครับ..!"
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 27-11-2009 เมื่อ 19:24 |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
|||
|
|||
ขออภัยที่ขาดช่วงไปนิดหนึ่งครับ เดินทางไปหาดใหญ่ พาคุณแม่ไปตรวจตามที่หมอนัดครับผม....เอาเรามาเข้าเรื่องกันต่อเลยนะครับ
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
|||
|
|||
เราค่อย ๆ เดินไต่ระดับ ตั้งแต่ลาดเขาที่มีความชันตั้งแต่ ๓๕ องศา ไปจนถึงระดับ ๖๐ องศาเห็นจะได้ หลังจากผ่านสวนยางพารามาแล้ว สภาพป่าก็เปลี่ยนเป็นป่าดิบสลับกับป่าไผ่ ไม้ไผ่แต่ละลำเท่า ๆ โคนขาของกระผม ถ้าเอาไปทำข้าวหลามจะขายกระบอกละเท่าไหร่ดีนะ..? ๕๕๕๕๕๕ หิว..!
อากาศร้อนชื้นพาให้พื้นดินมันลื่น "ดอกรองเท้า" ของพวกเราเต็มไปด้วยดิน ฉะนั้นสภาพการยืดเกาะอย่าไปพูดถึง เผลอสติเมื่อไรมีหวังได้เห็น "พระลื่น..ฆราวาสล้ม" ไม่ทันขาดคำ โยมเทิดลื่นไปคว้าเอาต้นไผ่ไว้ทันให้ชมเป็นขวัญตาก่อนเพื่อน... ขาไปเดินขึ้นยังไม่เท่าไร กระผมคิดล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า ขากลับจะต้องเล็งต้นไม้ต้นไหนบ้างเป็นที่พึ่ง....แต่ตอนนี้เอาตัวให้มันรอดไปถึงถ้ำก่อนดีกว่า...ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย เราเดินได้ประมาณระยะทาง ๑ ใน ๓ ส่วน ท่านฤๅษีท่านก็ทำสัญญาณมือบอกให้นั่งพักตรงจุดนี้ก่อน มองไปข้างหลัง อ้าว..! โยม ๆ หายไปไหนกันหมด.. ช่วงหลังเวลาผมจะเดินทางไปไหนมาไหน กรรมมันส่งผล กระผมมักจะเป็นฝีที่ขาก่อนอย่างน้อยสองวันเสมอ อย่างกับว่านัดกันเอาไว้ เดินขึ้นเขาพลางคิดในใจว่า เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บฝีที่ขาก็เจ็บ แต่ก็ถือว่าชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไป หลังจากพักกันพอสมควร เราก็ออกเดินทางกันต่อขึ้นไป จนถึงจุดที่เป็นเหมือนเหวตื้น ๆ ที่พอจะประคองตัวลงไปตามลาดหิน ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นแนวทางเดินดิ่งลงไป แล้วค่อย ๆ เป็นทางตรงผ่านแนวป่าอีกครั้ง ก่อนจะค่อยไต่ระดับความสูงขึ้นไปอีก ผ่านไปช่วงอึดใจยาว ๆ เราก็มาถึงทางออก คราวนี้เป็นหุบเขาหินปูน ตั้งตรงสูงตระหง่านล้อมรอบลานกว้างตรงกลาง ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ลมพัดผ่านเย็นสบาย มองไปบนเนินเห็นกระท่อม พวกเราจึงรีบเดินไปพักที่กระท่อม ฤๅษีท่านชี้ให้เห็นปากถ้ำซึ่งซุกตัวอยู่ช่วงหน้าผา แสดงว่างานนี้ต้องเดินไต่ความสูงขึ้นไปอีก โยม ๆ เห็นเข้าถึงกับหน้าซีด อย่าว่าแต่โยมเลย กระผมและคณะหลวงพี่ยังตกใจเหมือนกัน ดีที่หลวงพี่แอ๋วท่านมาด้วย ท่านว่าอีกไม่ไกลแล้ว เดินขึ้นอีกช่วงเดียว ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก็ได้ไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ตามที่เราตั้งใจมากันแล้ว
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 27-11-2009 เมื่อ 19:24 |
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
|||
|
|||
เราค่อย ๆ ไต่ขึ้นปากถ้ำ เห็นปากถ้ำใหญ่อยู่เหนือขึ้นไปประมาณ ๑๕ เมตร โชคดีเป็นของพวกเรา..ชาวบ้านที่มาทำบุญส่งเสบียงอาหารให้หลวงตาโมเช่ ทำบันไดดินเป็นขั้น ๆ เอาไว้ จึงค่อนข้างสะดวก แต่ก็ประมาทไม่ได้ หากพลาดท่าลื่นตกลงไปมีหวังได้แบกกันกลับวัด "สวด" แล้วก็ "ฌาปนกิจ" ได้เลย..! (สงสัย..งานนี้กลับไปจะได้สวดให้คณะโยมที่ติดตามมา...ฝีมือมันคนละขั้น ๕๕๕๕๕๕๕)
ขนาดของถ้ำถือว่าใหญ่แต่ไม่ลึก เป็นลักษณะถ้ำหินปูน ด้านบนมีช่องที่แสงแดดส่องลงมาได้สะดวก อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่มีกลิ่นของมูลค้างคาว มีพื้นที่เป็นที่พักอาศัยได้ประมาณ ๕ ถึง ๗ คน ข้าง ๆ ผนังถ้ำมีแอ่งน้ำซับที่สามารถเอามาต้มก่อนดื่มกินได้ หลวงตาโมเช่เมื่อเห็นพวกเรา ท่านก็เดินออกมาต้อนรับ หลังจากกราบเรียนท่านว่า คณะเราเป็นใครมาจากไหนแล้ว หลวงตาท่านก็สอบถามถึงหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อท่านสบายดีหรือไม่ ?" หลังจากท่านอยู่ในถ้ำนี้ครบ ๑๐๘ วันแล้ว ท่านจะเดินเท้าไปเยี่ยมหลวงพ่อและไปแวะเกาะพระฤๅษี..เราสนทนาธรรมกับท่านอยู่นาน หลวงพี่แอ๋วคอยเป็น "ล่าม" ช่วยเสริมความเข้าใจให้พวกเรา เนื่องจากหลวงตาโมเช่ท่านพูดไทยปนสำเนียงกะเหรี่ยง หลายต่อหลายครั้งที่กระผมเองตีความผิดไปจากสิ่งที่ท่านพูด สรุปในเรื่องของการปฏิบัติ หลวงตาโมเช่ท่านบอกว่า การมาอยู่ในป่าก็เพื่อเข้าหาความสงบ การทำสมาธิที่สำคัญที่สุดคือการเข้าหาความสงบ เรื่องอื่น ๆ นั้น เช่นเรื่องของการรู้การเห็นเป็นเพียงแค่เรื่องรอง ๆ ลงไปเท่านั้น ท่านสอนให้เราเคารพป่า เคารพธรรมชาติ ไม่ต้องไปอยากได้อะไร มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือทำใจให้สงบในสมาธิเท่านั้น งานนี้ใครที่จะไปขอ "ของดี" อะไรจากท่าน......๕๕๕๕๕ เล่นเอานั่งกันเงียบสนิท จะมีก็แต่...ส่งสายตาให้กันและกัน ส่วนความในใจของท่าน ๆ เหล่านั้น กระผมพอจะทราบว่า "หลวงพี่รัตน์..ลุยเลยสิ..ขอของดีจากท่านเลย" งานนั้น..ด้วยเจโตฯ อันแม่นยำ(จริง ๆ แล้ว "แม่นระยำ" ดีกว่า) ของกระผม เลยค่อย ๆ อัญเชิญ "พระพุทธชินราชผงจักรพรรดิ สูตรของหลวงปู่ดู่" ใส่กรอบเรียบร้อยถวายหลวงตาโมเช่ พร้อมกับบอกท่านว่า "นิมนต์หลวงตารับเอาไว้นะขอรับ ถือเป็นพุทธานุสติขอรับ กระผมดีใจที่ได้มากราบหลวงตาในวันนี้ขอรับ" หลวงตาโมเช่ค่อย ๆ บรรจงรับไว้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มและเมตตา...หลวงพี่ท่านอื่น ๆ คงจะงง! งานนี้ไหนว่ามาขอของดีจากหลวงตา..กลับเป็นเอาของดีมาให้หลวงตา..กระผมเลยส่งภาษาใจไปทางสายตาอันหยาดเยิ้มว่า "บุญแบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ นะฮะ...ตัวเอง" นั่งสนทนาธรรมกับหลวงตานานไปหน่อย ฤๅษีกลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ งานนี้ต้องเดินกลับกันเอง หวังว่าคงจำทางกลับได้นะ หลังจากนั้นพวกเราก็กราบลาหลวงตา แล้วเดินย้อนกลับไปตามเส้นทางเดิม คราวนี้ด้วยความชันและลื่น ต่างก็พากันลื่นล้มจนนับครั้งไม่ถ้วน เผลอสตินิดเดียวเอง พรืดดดด..! ดีที่มีต้นไม้ให้เกาะ เจ็บจนน้ำตาแทบไหลเพราะมันดันล้มลงทางด้านขาที่เป็นฝี ขาไปกระทบเข้ากับกิ่งไม้ "ฝี" แทบทะลัก...หลวงพี่ปราโมชถาม "เจ็บหรือเปล่าหลวงพี่..." กระผมรีบเก็บอาการทันที ตะโกนตอบไปว่า ไม่เจ็บ..นิดเดียว..! (โคตร..เจ็บเลยต่อมน้ำตาแทบแตก) จีวร สบง เปื้อนดินสีน้ำตาลเข้ม กลับไปถึงวัดมันจะซักออกหรือเปล่า ? ชุดเก่งซะด้วยสิ..! คณะเรากลับไปถึงวัดด้วยทีท่า "สะบักสะบอม" ไม่แพ้คณะที่แล้ว ๆ มา สามกิโลแม้วหรือสามกิโลกะเหรี่ยง งานนี้ทรหดพอ ๆ กัน จั่งซี่มันต้องถอน..!...อ้วกสลบ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ภาพทางซ้ายมือบนคือ "ปากถ้ำ" ถ่ายย้อนขึ้นไปให้เห็นว่าสูงขนาดไหน ส่วนทางขวามือบนคือช่องที่แสงส่องลงมาจากเพดานถ้ำ ภาพด้านล่างทั้งขวามือและซ้ายมือ คือทางเดินจงกรมรอบเจดีย์หิน ตรงนี้เองก่อนจะถ่ายภาพ กระผมเห็นแสงกระพริบ ๆ ออกมาหลาย ๆ ครั้งด้วยตาเปล่า ในรูปจะเห็นทางเดินจงกรมที่หลวงตาท่านเดิน เป็นร่องลึกลงไปในพื้นดิน
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 24-11-2009 เมื่อ 06:46 |
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
|||
|
|||
ใกล้จะสิ้นเดือนแล้วนะครับ ไม่ทราบว่าจำนวนใบแดงที่กระผมได้รับจะสงเคราะห์ใครให้มีความคล่องตัวได้บ้าง ไปบ้านอนุสาวรีย์ งานนี้มีหวังได้เดินคลุมปี๊บเข้าไปกราบหลวงพ่อแน่ ๆ ครับ เดี๋ยวคืนนี้มาเขียนตอนต่อไปครับ วันนี้มีงานทั้งวัน
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 24-11-2009 เมื่อ 06:59 |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
|||
|
|||
ที่เขียนมาทั้งหมดไม่ได้หวังจะดัง แต่มันคือการต่อสู้กับตัวเอง สังเกตตัวเองตั้งแต่สึกออกมา มันเหนื่อยมาก ๆ กับการดำรงชีวิตในมาดของฆราวาส เพราะคราวนี้มันทุกข์ชนิดที่เห็นได้อย่างละเอียดมากขึ้นกว่าเดิมหลาย ๆ เท่า กระผมเองพยายามรวบรวมกำลังใจ กำลังความรู้ทั้งหมดที่บวชเรียน ประคับประคองครอบครัวตลอดจนตัวเอง หลาย ๆ อย่างกำลังปรับเปลี่ยนไป โดยพยายามรู้ว่านั้นมันคือธรรมดาของชีวิต พยายามที่จะให้ทุกคนรอบข้างและตัวเราเองอยู่กันอย่างมีความสุขบนความเป็นไปของแต่ละวัน โดยพยายามรู้เท่าทันอารมณ์และมีธรรมเป็นเครื่องนำทาง.........ปีนี้แก่ไปเยอะครับ ๕๕๕๕๕
ขนาดน้ำความลึก ๗ เมตร ดำลงไปได้ไม่นานก็เหนื่อยแล้ว แต่เรื่องของการทำงานบ้าน งานในสวนในไร่ มันกลับมีแรงและขยันที่จะทำมากขึ้นเหมือน มันมีความสุขบนแนวทางธรรมชาติกับเศรษฐกิจแบบพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวงท่าน
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 25-11-2009 เมื่อ 07:26 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
|||
|
|||
๒๒."ตะลุยเกาะพระฤๅษี" (หลวงพ่อครับ คนอื่นเขาอยากกลับบ้าน แต่หนูอยากกลับวัด ๑)
ตามกฏของวัดท่าขนุนและด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ใครที่อยู่วัดในพรรษาที่ผ่านมา สามารถลากลับไปเยี่ยมบ้านได้ ๑๕ วัน ถ้าเป็นช่วงปกติคือไม่ใช่ช่วงเข้าพรรษา หากอยู่วัดเป็นเวลาหนึ่งเดือน (๓๐-๓๑ วัน ) สามารถลาได้ ๗ วัน ถ้าใครอยู่วัดในระยะเวลาสองเดือนขึ้นไปลาได้ ๑๕ วัน (นับตั้งแต่วันที่ออกจากวัดวันแรก) ส่วนใครจะขอลาไปไหนนั้น ต้องทำการกราบเรียนแจ้งหลวงพ่อและลงบันทึกประจำวันที่ "โรงพัก"...(เอ้อ..! ขออภัยครับ... แต่เป็นไปเพื่อความบันเทิง คำเตือน โปรดระวังอย่าใส่ "มุกตลก" มากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะโดน......เป็นเวลา ๑ เดือนได้ สตรีและเด็กมีครรภ์ กรุณาอย่าเลียนแบบ เพราะนี่คือความสามารถเฉพาะส่วนบุคคล) ขออภัย ลงบันทึกใน "สมุดบันทึกการลา" ซึ่งในนั้นต้องแจ้งรายละเอียดดังนี้ว่า ลากี่วัน ? เริ่มตั้งแต่วันไหนและจะกลับถึงวัดวันที่เท่าไร ? ลาไปแห่งหนตำบลใด ? เหตุผลในการลา (ไปทำไม ?) ไปกี่ท่าน ? (หากมีเพื่อนร่วมเดินทาง ต้องแจ้งด้วย) เบอร์โทรศัพท์ของผู้ลา ทั้งหมดนี้เพื่อให้คณะสงฆ์ได้รับทราบและเพื่อประโยชน์ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและที่สำคัญ หากกลับมาไม่ทันในระยะเวลาที่แจ้งเอาไว้โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือว่าไม่มีความรับผิดชอบและไม่มีความตรงต่อเวลา ทางวัดจะเชิญให้เก็บข้าวของส่วนตัว (ของวัดห้ามเอาไป..!) ภายใน ๒๔ ชั่วโมง แล้วขอเชิญย้ายตัวเองออกไปจากวัดภายใน ๒๔ ชั่วโมงเช่นกัน.....อันนี้สมดังประโยคที่ว่า "บ้านเมืองมีขื่อมีแป" วัดท่าขนุนเองก็เช่นกัน เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและฝึกตนให้มีความรับผิดชอบครับ สิ่งหนึ่งที่ทุกท่านตั้งตารอ ก็คือเมื่อออกพรรษาแล้ว จะได้ขอลากลับไปเยี่ยมบ้านหรือตามแต่ละท่านตั้งใจเอาไว้ สืบเนื่องจากมี "โยมอุปัฎฐาก" สองท่าน คือ โยมหม่อมและโยมเอก มาปฏิบัติธรรมด้วยที่วัดท่าขนุน ก่อนจะถึงกำหนดลาของกระผม จึงได้ปรึกษากันว่า ก่อนเดินทางไปภูเก็ตจะไปปฏิบัติธรรมที่เกาะพระฤๅษี ๓ วัน แล้วจึงออกเดินทางไปภาคใต้ต่อ แวะจังหวัดสตูล ไปปฏิบัติธรรมที่นั้น อีก ๑ วันและนำพระแก้วใสขนาด ๙ นิ้วไปถวายกฐินที่วัดนั้น แล้วจึงเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 27-11-2009 เมื่อ 19:46 |
สมาชิก 88 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
|||
|
|||
สำหรับท่านที่ลาเป็นคนแรกคือ ท่านกุ๊ก ตามด้วย ท่านโอและเณรเจ ส่วนผมลาเป็นอันดับที่สี่ แถมลืมลงบันทึกการลาด้วยซ้ำไป ดีที่แจ้งพระเพื่อน ๆ เอาไว้แล้ว แจ้งพระครูน้อยและพระครูหน่อยก่อนจะออกจากวัด แต่ลืมเขียนในสมุดบันทึกไปเลย..งานนั้นเล่นเอาใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มอยู่หลายวัน
คณะกระผม คุณเอก คุณหม่อม เดินทางเข้าเกาะพระฤๅษี หลังจากรายงานตัวกับหลวงพี่กวาง พร้อมลงสมุดรายชื่อผู้มาปฏิบัติธรรมและรับทราบในกฎระเบียบข้อบังคับทุกประการแล้ว หลวงพี่กวางท่านก็จัดแจงส่งถึงที่พัก โยมหม่อมกับโยมเอก พักกุฏิใกล้ ๆ สะพานที่เดินตรงไปยังศาลา ส่วนกระผมพักกุฏิริมน้ำ.......งานเข้าเล็กน้อย เพราะเกรงใจที่จะต้องนอนจำวัดคนเดียว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นต้นไม้ใหญ่ ๆ อยู่อีกฝั่งของทางน้ำ พลางคิดว่า "บรรยากาศโคตรโรแมนติก" กลางคืนจะมีใครมาร้องเพลงกล่อมข้าง ๆ กุฏิให้จำวัดสบาย หรือเปล่า.. "หลวงพี่มาดีนะ มีบุญมาเพียบ ถ้าอยากได้ เดี๋ยวจะอุทิศให้นะ แต่.. แต่อย่ามาหลอกกันนะตัวเอง จุ๊บ ๆ ใครมาไม่ดี ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป จะตามราวีให้ถึงที่สุดเลย รักทุก "ตน" นะ จุ๊บ ๆ" บรรยากาศในการต่อรองก็เริ่มขึ้นเป็นปกติตามประสา "คนขี้เกรงใจ" (กลัวขึ้นสมอง) การปฏิบัติธรรมที่เกาะพระฤๅษีนั้น เริ่มตั้งแต่ตี ๔.๐๐ น. ทำสมาธิ ทำวัตรเช้า ไปจบประมาณ ตี ๕.๓๐ น. หลังจากนั้นก็ทำความสะอาดพื้นที่รอบ ๆ เกาะ ฉันเช้า แล้วก็เป็นเวลาส่วนตัว ใครใคร่จะเจริญภาวนาหรืออย่างอื่นก็ตามอัธยาศัย กระผมเองชอบที่จะไปนั่งสมาธิที่ตรงทางน้ำที่เป็นลักษณะสามแพร่งคือ มีสายน้ำหลักไหลมาหนึ่งสาย แล้วแยกออกเป็นสองสายไหลล้อมรอบเกาะพระฤๅษีเอาไว้และไปบรรจบกันอีกครั้งที่ทางด้านทิศใต้ของเกาะ ตรงนี้มีความรู้สึกในความเป็นทิพย์หลาย ๆ อย่าง (โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณาครับ) การทำสมาธิอย่างที่หลวงพ่อสั่งสอนเอาไว้ว่า ให้เป็นไปเพื่อความสงบ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ในขณะนั้นต้องใช้ข้อธรรมมาวิเคราะห์และพิจารณา บางครั้งกระผมเองก็ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ มาเป็นการเดินจงกรมรอบ ๆ เกาะแทน เสียงสายน้ำไหล เสียงสายลมและบรรยากาศร่มเย็น รวมถึงเสียงเหล่านกกา ที่มาพึ่งพิงอาศัยสถานที่อันสงบปลอดภัยนี้ ทำให้รู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้คือ "สวรรค์ของนักปฏิบัติ" จริง ๆ ต่างคนต่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แยกหาความสงบความวิเวกในการปฏิบัติกันไปอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถเก็บเกี่ยวกันไปได้ให้คุ้มค่าที่สุด จะมีมาสนทนาธรรมกันบ้างก็ช่วงหลังจากทำวัตรเย็นไปแล้ว กระผมได้เรียนแจ้งขออนุญาตหลวงพี่กวาง เพื่อไปกราบพระอาจารย์เผื่อน (หลวงพี่เผื่อน) ที่สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ ตั้งใจว่าจะพาโยมทั้งสองท่านขึ้นไปนั่งสมาธิที่บนถ้ำ เพื่อแสวงหาอารมณ์สงบในสมาธิและประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ภาพที่สามทางซ้ายมือด้านล่าง เป็น ท่านพญานาคที่ประดิษฐานอยู่โพรงต้นไม้ตรงทางน้ำสามแพร่งครับ ส่วนภาพที่สี่ทางด้านขวามือล่างนั้น อย่าเข้าใจผิดว่าคือคางคกธรรมดา ๆ นะครับ เพราะตัวใหญ่กว่าคางคกมาก ถ้าจะเรียกว่าคางคกต้องเรียกว่า "โคตรคางคก" ที่ถูกต้องเขาเรียกว่า กง หรือ จงโคร่ง หรือ หมาน้ำ หรือ คางคกยักษ์ สัตว์ป่าหายากที่เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ความอุดมสมบูรณ์ของป่าและความสะอาดของน้ำครับ แต่พบได้ที่ใต้ถุนกุฏิที่เกาะพระฤๅษี มีหลายตัวตามบริเวณต่าง ๆ ของเกาะ ตัวนี้เป็นเพื่อนของกระผมเอง ตั้งชื่อให้ว่า "คาซามาคุง" ถ้าอยู่เกาะพระฤาษีให้นานกว่านี้ กระผมว่ากระผมคงจะคุยกันกับ "ท่านคาซามาคุง" รู้เรื่องแน่ ๆ ครับ "โฮ่ง ๆ" เสียงร้องของเขาเหมือน ๆ กับเสียงสุนัขเห่า แรกผมก็หาอยู่ว่าหมาที่ไหนมาเห่าข้าง ๆ กุฏิ เดี๋ยวจะลงไปกัดกับเจ้าหมาตัวนั้นสักหน่อย พระจะจำวัดเห่าอยู่ มาหาไปทางต้นเสียง....ตัวอะไรวะ อ๋อมันสมควรแล้วที่จะเรียกว่า "หมาน้ำ" จริง ๆ ๕๕๕๕๕๕ "โฮ้ง ๆ โบร๊ววววววว " ผมร้องส่งรหัสโต้ตอบไปเป็นระยะ ๆ
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-11-2009 เมื่อ 08:38 |
สมาชิก 82 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
|||
|
|||
เราออกเดินทางไปสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุซึ่งไม่ไกลจากเกาะพระฤๅษี ไปถึงก็ตรงไปกราบพระประธานภายในศาลา หลังจากนั้นก็สอบถามหลวงตานุกูลว่า พระอาจารย์เผื่อนท่านอยู่หรือไม่ ? ก็ทราบว่าพระอาจารย์เผื่อนท่านอยู่บนถ้ำ พวกเราพากันจึงเดินขึ้นไป สภาพของสำนักสงฆ์ถ้ำทะลุในวันนี้ ยังเงียบสงบเหมือนเดิม มีการปรับปรุงถนนทางเข้าเป็นถนนคอนกรีตเรียบร้อย ซึ่งกระผมจำได้ว่า เมื่อสองปีที่แล้ว สภาพถนนยังเป็นดินลูกรัง ในยามหน้าฝนมันเละขนาดที่ว่า ใครขับรถยนต์แบบไม่ใช่ขาลุยแล้ว มีหวังได้จอดรถกลางเนินแน่ ๆ
มองบันไดพญานาคแล้วนึกถึง "ตัวตั้งตัวตี" ในการหาปัจจัยนั้นก็คือ "ยายผีป่า" ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันนี้เอง พวกเราค่อย ๆ เดินขึ้นบันไดกันไปอย่างช้า ๆ ด้วยสภาพหัวเข่าอันเกือบหมดสภาพของผม (สงสัยไม่ได้หยอดน้ำมัน) มันยังเจ็บตั้งแต่ตอนไปกราบหลวงตาโมเช่ ยิ่งทำให้การขึ้นถ้ำทะลุในครั้งนี้ตอกย้ำว่ากับตัวผมเองว่า "ตูแก่แล้ว...โคตรเจ็บเลย ร่างกายไม่ใช่เรา ร่างกายไม่ใช่ของของเรา เราไม่ใช่ร่างกายนี้" แถมหันไปวางมาดใส่โยมเล็กน้อยว่า..."โยมเดินขึ้นมาเร็วหน่อยสิ" มองไปด้านซ้ายมือเห็น สมเด็จองค์ปฐมขนาดสี่ศอกประดิษฐานอยู่ ซึ่งเมื่อสองปีที่แล้วไม่มี จึงตรงไปกราบแสดงความเคารพ แล้วจึงเดินขึ้นไปกราบพระอาจารย์เผื่อนซึ่งท่านอยู่ด้านบน ตรงจุดข้าง ๆ สมเด็จองค์ปฐมปางมนุษย์ พระอาจารย์เผื่อน :"ไปไหนกันมาล่ะ เมื่อครู่ได้ยินเสียงคนหอบ...." ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "สงสัยโยมขอรับเขาคงเหนื่อยกันกระมังครับ.....เดินขึ้นถ้ำ บันไดมันชันครับ อาจารย์สบายดีนะขอรับ พวกผมมาจากเกาะพระฤๅษีกันครับ ผมเองลาหลวงพ่อท่าน ๑๕ วันว่าจะกลับไปเยี่ยมโยมแม่ที่ภูเก็ต พอดีคณะโยมเขามาปฏิบัติธรรม ก็เลยชวนกันแวะปฏิบัติธรรมที่เกาะก่อนสักสามวันขอรับ" พระอาจารย์เผื่อน :"ดี ๆ สงเคราะห์ญาติโยมกันไป ไปนั่งสมาธิกันตรงข้าง ๆ นั้นสิ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"กระผมว่าจะขออนุญาตจากพระอาจารย์อยู่พอดีขอรับ เอ้อ..สมเด็จองค์ปฐมสี่ศอกด้านล่างสร้างใหม่หรือขอรับพระอาจารย์..ใครสร้างถวายขอรับ" พระอาจารย์เผื่อน :"อ๋อ..สร้างเมื่อปีที่แล้ว คณะของพระอาจารย์สมปองท่านถวายมา กว่าจะช่วยกันยกขึ้นมาประกอบข้างบนได้ต้องขอแรงชาวบ้านมาช่วยกันหลายคน เพราะเป็นปูน บารมีพระท่านสงเคราะห์" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"สาธุ ถ้าอย่างนั้น กระผมขอตัวนำโยมนั่งสมาธิก่อนนะขอรับ" พระอาจารย์เผื่อน :"เอา ๆ ตามสบาย ดี ๆ ตั้งใจปฏิบัติกัน ขอโมทนาสาธุด้วยทุกคน"
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-11-2009 เมื่อ 08:39 |
สมาชิก 87 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
|||
|
|||
จัดแจงปูเสื่อ โยมทั้งสองก็พร้อมแล้วในการนั่งสมาธิ พวกเราตั้งจิตแสดงความเคารพเทวดาทั้งหลาย ด้วยการเปิดไฟล์เสียง "ชุมนุมเทวดา" ของหลวงพ่อฤๅษี หลังจากนั้น กระผมก็นำบูชาพระรัตนตรัย โดยถือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมปางมนุษย์ ที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าเป็นประธาน แล้วก็นำสมาทานพระกรรมฐาน เมื่อพร้อมกันแล้วก็ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าออกแบบเต็ม ๆ ปอดสามวาระ เป็นการระบายลมหยาบที่คั่งค้างอยู่ในร่างกายออกไป แล้วจึงแนะนำให้โยมจับคำภาวนาพร้อมจำภาพพระ.......
บรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้พวกเราเข้าสู่ความสงบในสมาธิได้ดียิ่ง ผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ รู้เพียงแต่ว่าสงบอยู่ในสมาธิ เมื่อถึงเวลาอันควรก็แนะนำญาติโยมให้ค่อย ๆ ยกจิตขึ้นสู่พระนิพพาน เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว จึงกล่าวบอกทุกท่านให้กราบลาพระ แล้วค่อย ๆ ออกจากสมาธิ แล้วนำอุทิศส่วนกุศลให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลังจากนั้น..คณะของเราก็ไปกราบลาพระอาจารย์เผื่อน และหลวงพี่ทั้งหลายที่จำพรรษาที่สำนักสงฆ์ถ้ำทะลุ แล้วเดินทางกลับเข้าไปที่เกาะพระฤๅษี ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- จากภาพทางด้านขวามือบน จะเห็นว่าบันไดสูงชันขนาดไหน.....ถ้าร่วงกลิ้งลงมา กระผมว่าฟันคงไม่เหลือติดปากแน่ ๆ ครับ หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า สถานที่แต่ละที่มีความเกื้อหนุนในสมาธิต่างกัน วันนี้พวกเราทุกคนต่างรู้สึกปีติยินดี ที่ได้มาเจริญภาวนา ปฏิบัติกรรมฐานที่ถ้ำทะลุแห่งนี้ เรื่องเหล่านี้ทุกท่านจะทราบดี ก็ต่อเมื่อตัวท่านเองได้ไปเจริญกรรมฐาน ณ สถานที่เหล่านั้นด้วยตัวท่านเอง กระผมคงไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 04-01-2010 เมื่อ 20:59 |
สมาชิก 81 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
|||
|
|||
๒๒.หลวงพี่จะรังเกียจหรือไม่ขอรับ ถ้าอมนุษย์จะขอติดรถไปด้วย . (โกยเถอะ..! โยม)
เวลาผ่านไปช่างรวดเร็วเสียเหลือเกิน ความสงบในธรรมแห่งเกาะพระฤๅษีนี้ ทำให้กระผมมีความรู้สึกไม่อยากจะจากไปเลย น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินอยู่ลึก ๆ "เราจะคงสภาพความสงบอันจะหาอะไรมาเทียมเท่าเช่นนี้ได้อีกไม่นานแล้วหนอ" ที่นี้ไม่วุ่นวายหนอ ประโยคนี้ผุดแล่นเข้ามาในความคิดรวดเร็วเหมือนรถไฟฟ้ามหานคร (สำนวนมันพาไป...ไปไหนอันนี้กระผมไม่ทราบครับ) ความมีน้ำใจไมตรีจากพระพี่พระน้อง รวมถึงแม่ชีทุก ๆ ท่าน ทำให้กระผมรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้าน The Star ค้นคว้าหาดาว (สำนวนมันพาไป...ไปไหน? อันนี้กระผมไม่ทราบครับ) มีหลาย ๆ เรื่องที่เป็นเหมือน "จิ๊กซอว์" มาต่อเติมและมาเติมเต็มช่องว่างที่หายไปในเรื่องการปฏิบัติธรรมของกระผม ด้วยความมีน้ำใจจากเจ้าบ้านทุกท่านแห่งเกาะพระฤๅษี แม่ชีปุ๊ก:"หลวงพี่...ของหลวงพี่นะใกล้แล้วนะ...ขาดที่ยังลังเลสงสัยอยู่เท่านั้นเอง แล้วแม่ชีขอเสริมว่าพยายามปรับเปลี่ยนมาเป็นเดินจงกรมให้มากขึ้นค่ะ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "ขอบคุณแม่ชีมากที่แนะนำ" แม่ชีปุ๊ก:"เก็บเกี่ยวไปให้เต็มที่เลยนะหลวงพี่ แม่ชีขอโมทนาอย่างยิ่ง" ความมีน้ำใจเหล่านี้ เมื่อนึกย้อนไปถึงที่ไร นี่คือกำลังใจในการปฏิบัติ และแล้ววันสุดท้ายที่เกาะพระฤาษีก็มาถึง คืนนั้นกระผม หลวงพี่กวาง แม่ชีปุ๊ก โยมหม่อม พวกเรานั่งสนทนาธรรมกันอยู่จนดึก ทั้งสองท่านร่วมบุญปัจจัยในการสร้างบล๊อกแบบพระอุปคุตและค่าใช้จ่ายในพิธีบรวงสรวงพระอุปคุต หลวงพี่กวาง:"ผมโมทนากับหลวงพี่รัตน์เป็นอย่างยิ่ง ผมเองไม่ได้มีโอกาสทำ โอกาสสร้าง แต่ก็ขอร่วมบุญด้วยถือว่าได้ร่วมสร้าง ตอนที่คณะหลวงพี่ขอผาติกรรมพระพุทธรูปไปประดิษฐานบนซุ้มพระเจดีย์ที่ยอดเขา ผมเองก็ขอโมทนาด้วยอย่างยิ่ง พวกเราทางนี้ทราบข่าวแล้วก็ดีใจกับคณะหลวงพี่ทุก ๆ ท่านที่วัดท่าขนุน แต่อีกใจหนึ่งก็เสียดายที่ไม่ได้ทราบข้อมูลข่าวสารให้ทันท่วงที" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"สาธุขอรับหลวงพี่และแม่ชี กระผมยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ถือว่าเราทุกท่านได้ร่วมสร้าง ร่วมทำ ร่วมจรรโลงพระศาสนา ก็ขออนุโมทนาบุญกับหลวงพี่กวางและแม่ชีขอรับ พรุ่งนี้กระผมกะว่าจะออกเดินทางตั้งแต่ตีสองครับ เพราะระยะทางร่วมพันกิโลเมตร อย่างไรก็ใช้เวลาร่วมสิบสองช่วงโมงอยู่แล้วครับ หากสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระผมและคณะได้ล่วงเกินไปด้วย กาย วาจา ใจ ด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ด้วยประมาณพลาดพลั้งก็ดี ขอหลวงพี่และตลอดจนทุก ๆ ท่าน ณ.ที่นี้โปรดอภัยและอโหสิกรรมให้กระผมและคณะด้วยขอรับ" เมื่อร่ำลาและขอขมากรรมกันแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป คืนนั้นกระผมนอนไม่หลับ ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ภาวนาแล้วก็ไม่หลับ สงสัยว่าคงปีติในธรรมที่เราสนทนากัน ตีหนึ่งกระผมลุกขึ้นมาจัดแจงเก็บข้างเก็บของให้เป็นระเบียบ หลังจากนั้นก็เดินไปปลุกโยมหม่อมให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวออกเดินทาง ส่วนโยมเอกลากลับบ้านตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันแล้ว กระผมนำโยมหม่อมทำวัตรเช้าที่หน้าพระประธานโบสถ์ ขอพรให้การเดินทางให้ปลอดภัย หลังจากนั้นก็นำโยมหม่อมไปกราบลาเจ้าที่ พร้อมอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่าน ๆ เหล่านั้น ที่ให้ความอนุเคราะห์พวกเราเป็นอย่างดีในช่วงที่อยู่ที่เกาะพระฤๅษี ดูนาฬิกาก็ตีสองตรงพอดี ทุกอย่างเหมือนโดนกำหนดเอาไว้อย่างลงตัว กระผมถอนลมหายใจยาว ๆ ออกมา หนึ่งก็เพราะนอนไม่หลับ สองก็เพราะไม่อยากจะจากที่นี่ไป.... รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกมา เนื่องด้วยสภาพของถนนหน้าเกาะพระฤๅษีที่เต็มไปด้วยหลุมด้วยบ่อ แถม อบต.โคตรจะฉลาดเลย แทนที่จะเอาดินหรือทรายมาถมหลุมเหล่านั้น ดันทะลึ่งเอาหินผุก้อนใหญ่มาถมแทน.....แหมมันน่าจะสวด "กุสลา ธัมมา" ให้สักชุด
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 28-11-2009 เมื่อ 08:31 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
|||
|
|||
ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"โยมมีแผ่นซีดีธรรมะของหลวงพ่อฤๅษีบ้างหรือเปล่า..? นอนเต็มที่แล้วแน่นะ หลวงพี่เป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนไม่หลับ สงสัยคงไม่หลับยันเช้า ดีแล้วละ..จะได้นั่งเป็นเพื่อนโยม"
โยมหม่อม:"มีครับหลวงพี่..เปิดได้เลยครับ" พอกระผมเปิดเครื่องเสียงในรถ ปรากฏว่า ไฟล์ที่ขึ้นมา เป็นไฟล์เสียงชุมนุมเทวดา ใจจริงก็อยากจะปิด แต่ก็คิดขึ้นมาว่า ก็ดีเหมือนกัน ท่าน ๆ เทวดาทั้งหลายจะได้มาช่วยคุ้มครอง หลังจากนั้นแผ่นก็วิ่งเองไปที่ไฟล์เสียงอุทิศส่วนกุศล ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร มองไปสองข้างทางเรายังวิ่งอยู่บนถนนนิคมฯอยู่เลย สองข้างทางก็มืด มีรถของคณะเราคันเดียวที่วิ่งอยู่บนถนนเส้นนี้.....ไม่กี่ช่วงอึดใจ รถเราก็แล่นออกถนนใหญ่ มองดูนาฬิกาในรถตีสองยี่สิบนาที กระผมเองก็ช่วนโยมหม่อมคุยโน่นคุยนี่ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปช่วงหนึ่ง กระผมจำไม่ได้ว่าช่วงนั้นเขาเรียกว่าตำบลหรือ หมู่บ้านอะไร เท่าแต่ทราบว่าเราวิ่งมาจากปากทางนิคมไม่นานประมาณแค่สิบห้านาทีเอง ระหว่างที่คุยสายตามันก็เห็นว่ามีเด็กสองคนใส่ชุดนักเรียน ยืนอยู่ข้างทาง ยืนหันหลังให้รถเรา ที่กระผมสังเกตเห็นอีกอย่างคือ มีมอเตอร์ไซค์เก่า สภาพยับเยินอยู่ข้าง ๆ ตรงนั้นด้วย ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เด็กสมัยนี้มันขยันเรียนนะ เตรียมตัวไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าตรู่" โยมหม่อม:................(เงียบ) ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"โยมเห็นเด็กนักเรียนเมื่อกี้ หรือเปล่า ? (ชักรู้สึกแปลก ๆ ใจว่าทำไมโยมเงียบไป)" โยมหม่อม:"เอ้อ....เห็น ๆ ครับหลวงพี่ ก็นั่งมาด้วยกัน เห็นแต่ไกลเลยครับ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เออ..นั่นสิ แล้วทำไมโยมหน้าซีด ๆ ล่ะ หลวงพี่เห็นโยมนิ่งไปนะเมื่อกี้.....เด็กต่างจังหวัดมันขยันแบบนี้แหละ" โยมหม่อม:"กระผมว่าท่าจะไม่ค่อยดีนะครับหลวงพี่..หลวงพี่ลองดูนาฬิกาก่อนสิครับว่า ตอนนี้มันตีสองสี่สิบนาทีเองนะครับหลวงพี่..มันผิดปกตินะครับ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"เออ..จริงสิ โยมเด็กมันคงไปเรียนที่กรุงเทพฯกระมัง ? ที่โยมเห็นเป็นอย่างไรล่ะ..ลองว่ามาซิ" โยมหม่อม:"ผมเห็นเด็กผู้หญิงสองคนครับ ยืนหันหลังอยู่ สะพายกระเป๋าด้วยครับ แล้วที่หลวงพี่ว่าเด็กไปเรียนกรุงเทพฯ กระผมว่าออกเดินทางตอนตีสี่ตีห้าไปยังทันเลยครับ โรงเรียนเข้าแปดโมงเช้านะครับ แล้วคงเรียนแถว ๆ ชานเมือง หรือไม่ก็ไม่ได้เรียนที่กรุงเทพ เรียนที่ตัวเมืองกาญจน์หรือนครปฐมจะดูมีเหตุผลมากกว่านะขอรับ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"แต่หลวงพี่เห็นเป็นเด็กผู้ชายถือกระเป๋า ประมาณเด็ก ม.๑ แล้วข้าง ๆ มีเด็กผู้หญิงสะพายเป้ ตรงมุมมืดหลวงพี่เห็นมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ด้วยนะ เราย้อนไปดูดีกว่าโยม" โยมหม่อม:"กระผมว่าอย่าเลยครับหลวงพี่ กระผมว่าท่าจะไม่ดีแล้ว ผมรู้สึกขนลุกไปหมดแล้วครับ ถ้าไปแล้วไม่เจอ หรือเจอในสภาพที่เละ ๆ จะทำอย่างไรละครับหลวงพี่ ?" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:"มากับหลวงพี่กลัวอะไรวะ..? งั้นอย่าวกกลับดูไปมันเลย" (ตอนนั้นก็เริ่มกลัว ๆ ขึ้นมาเหมือนกันครับ) ไหนลองหาเหตุผลมาดูสิ ว่ามันจะเป็นคนหรือ..?" โยมหม่อม:"บรรยากาศแบบนั้น เวลานั้น กระผมจ้างหลวงพี่หนึ่งพันบาทไปยืนตรงนั้น หลวงพี่จะกล้าหรือเปล่าขอรับ ?" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์:..........(เงียบแบบคุมเชิง) "เอ้อ..เอ้อ แล้วโยมล่ะ กล้าหรือเปล่า ?" โยมหม่อม:"จ้างผมเท่าไรก็ไม่เอาหรอกครับ แล้วเด็กอายุขนาดนั้นที่ไหนมันจะกล้ามายืนที่เปลี่ยว ๆ ถึงจะไม่ยืนคนเดียวก็ตามเถอะขอรับ เดี๋ยวโจรมันก็ลากไปพอดีครับ" ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์....(หน้าซีดและพยายามทบทวนเหตุการณ์) "สงสัยงานนี้เราจะเจอของจริงเข้าแล้วละโยม หลวงพี่สังหรณ์ใจตั้งแต่ตอนเปิดไฟล์เสียงหลวงพ่อแล้วโดยเฉพาะไฟล์เสียงอุทิศส่วนกุศล รีบ ๆ ขับไปก่อนเถอะโยม" "บุญใดหลวงพี่ทำมาดีแล้วหลวงพี่ขออุทิศให้เป็นการเฉพาะเลยนะ ขอพวกเธอทั้งสองโมทนาด้วย แล้วไม่ต้องไปดักหลวงพี่ที่ป้ายหน้านะ..โอเคแล้วนะ" โยมหม่อม:"บุญใดที่กระผมทำมาดีก็ขออุทิศให้เช่นกัน อิทัง ปุญญะ ผะลัง..ฯ" ยังไม่ทันขาดเสียงโยมหม่อมกล่าวอุทิศเลย กระผมก็มองไปข้างทางเจอเข้าอีกตนหนึ่ง.... (เดี๋ยวจะไปฟ้องหลวงพ่อว่า พวกเรารังแกฉัน) งานนี้กระผมปิดปากเงียบสนิทไม่ได้บอกโยมหม่อม เพราะมันพูดไม่ออก ลิ้นมันตันจุกปากไปหมด.....บทจะเจอพวกก็มาให้เจอแบบ "จะ จะ"
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 01-12-2009 เมื่อ 08:41 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
|||
|
|||
๒๓."สตูล ดินแดนลี้ลับ"
หลังจากพ้นผ่านเรื่องระทึกใจมาพอหอมปากหอมคอแล้ว แต่ก็ยังไม่วายจะนึกถึงอยู่...... ช่างเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปจนวันตาย เราเดินทางมาจนรุ่งเช้าแถว ๆ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นอะไรที่โล่งใจมาก เพราะอย่างน้อย "ท่านสองตน" นั้น คงไม่โผล่มาตอนกลางวันแน่ ๆ ตรงช่วงนี้ถือได้ว่าเป็นช่วงคอคอดที่แคบที่สุด ตามแผนที่ประเทศไทย และเป็นช่วงที่น่าเบื่อที่สุดในการขับรถเดินทางไกล ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง เพราะเราใช้เวลาในเส้นทางช่วงจังหวัดประจวบฯนี้นานที่สุด วิ่งเท่าไรก็ยังไม่พ้นเขตจังหวัดประจวบฯ สักที..................... หลังจากแวะปั๊มน้ำมันเพื่อพักรถและเปลี่ยนอิริยาบถกันบ้าง พร้อมทั้งฉันเช้าเป็นการเรียบร้อย หลังจากนั้นก็เดินทางกันต่อเพื่อจะแวะเข้าจังหวัดสตูลก่อน เราวางแผนใช้เส้นทางที่คุ้นเคย เราเข้า นครศรีธรรมราช พัทลุง และเข้าจังหวัดสตูล นับว่าเป็นระยะทางร่วมกว่า ๑,๒๐๐ กิโลเมตร จากทองผาภูมิ งานนี้ต้องนับถือความอดทนของคุณหม่อม ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :"ถ้าขับไม่ไหวจอดนะ เดี๋ยวหลวงพี่ขับเอง ๕๕๕๕๕" โยมหม่อม : ....... สู้สุดใจขาดดิ้นครับ ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :เดี๋ยว หลวงพี่โทรหา "คุณท็อป" เขาจะเป็นคนนำทางเราไป "วัดหลวงพ่อบุญเริญ"........ "ฮะโหล ๆ ที่นั่นที่ไหน? แล้วใครพูด? แล้วไอ้คนที่พูดนะใช่คุณท็อปใช่หรือไม่?....หา!อะไรนะ....ทักษิณหรือ?.....อ๋อ ๆ มหาลัยทักษิณหรือครับ....ขออภัยพระต่อผิดสายครับ...เจริญพรโยม"(มุกนี้รู้สึกว่าจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางหน่อยนะครับ) มีเสียงทิ้งทวนเบา ๆ ในสายของคู่สนทนามาว่า "อ้ายหัวครก" หลังจากโทรฯ จนเจอคุณท็อปแล้ว เราก็นำแนะกันตรงตัวเมืองสตูล หลังจากนั้นไม่นาน รถของคุณท็อปก็ส่งสัญญาณควัน ขออภัย "สัญญาณไฟกระพริบ" และแล้วรถทั้งสองคันก็วิ่งตามกันไปจนถึงวัดของพระอาจารย์บุญเริญ
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 04-12-2009 เมื่อ 09:31 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
|||
|
|||
ขออภัยอย่างยิ่งขอรับ กำลังสับสนกับพิษเศรษฐกิจปีนี้ขอรับ เล่นเอากระผมตั้งตัวแทบไม่ติดเลยขอรับ เลยหายเงียบไปสองสามวันขอรับ
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 03-12-2009 เมื่อ 19:24 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
|||
|
|||
เราเดินทางอีกไม่นานก็ถึงวัดของท่านพระอาจารย์บุญเริญ ที่วัดแห่งนี้ทางสอน "หนอ" แบบจับอาการของการเคลื่อนไหวมือ แล้วกำหนดเอาความรู้สึกทั้งหมดไปกับการเคลื่อนไหวนั้น ซึ่งพระอาจารย์บุญเริญ มหาปุญฺโญ แห่งวัดโพธิเจริญธรรม
ท่านรับการถ่ายทอดวิชานี้มาจากท่านพระครูกิตติศีลวัตร (หลวงปู่เมฆ กิตฺติสทฺโธ) ซึ่งกระผมจะกล่าวเรื่องนี้โดยละเอียดต่อไป "หลวงพ่อบอกว่าการปฏิบัติทุกสาย หากมุ่งตรงเพื่อละขันธ์ เพื่อละการเกิด เพื่อพระนิพพานนั้นย่อมเป็นการปฏิบัติที่ดีทั้งหมด" หลังจากที่กราบพระอาจารย์บุญเริญพร้อมทั้งน้อมถวาย "พระแก้วมรกตใสทรงเครื่องฤดูร้อน" ขนาดเก้านิ้วจากบ้านสายลม เพื่อถวายร่วมกฐินประจำปีวัดโพธิเจริญธรรม พร้อมกับกราบเรียนแนะนำตัวเองต่อท่านแล้ว การสนทนาธรรมก็เกิดขึ้น ด้วยความเมตตาของท่านที่มีต่อกระผมและคุณหม่อมนับเป็นบุญอย่างยิ่ง ท่านเล่าให้ฟังอย่างคราว ๆ จากประวัติของท่านพระครูกิตติศีลวัตร (หลวงปู่เมฆ กิตฺติสทฺโธ)ว่า หลวงปู่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมัยท่านอยู่กรุงเทพฯ ที่วัดบุปผาราม ท่านเป็นพระที่เคร่งครัดในเรื่องของการปฏิบัติมาก ถึงท่านจะอยู่ที่ตึกพระสังฆราช ท่านก็เพียรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ฉันน้อย นอนน้อย กำหนดสติตลอดเวลา กำหนดสติมั่นอยู่กับการเคลื่อนไหว โดยอาศัยการเดินจงกรม หลวงปู่ท่านเคยกล่าวกับพระอาจารย์บุญเริญว่า "อาตมาธุดงค์ในป่าคอนกรีตภายในตึกพระสังฆราช จับหลักมหาสติล้วน ๆ อยู่ที่ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้รู้ทันอารมณ์ปัจจุบัน เป็นสำคัญ" หลวงปู่ท่านจึงเอาคำว่า หนอ ไปผูกกับการเคลื่อนไหว โดยกำหนดจิตอยู่กลางฝ่ามือ เวลาเคลื่อนไหว ก็เคลื่อนไหวโดยเอาจิตกำหนดรู้ว่ามือเคลื่อนไหว พร้อมกับภาวนา คำว่า "หนอ" ให้ตรงกับจังหวะเคลื่อนไหวของมือ กระผมเองก็ฟังด้วยความตั้งใจ งานนี้ต้องเอาตัวเองเข้าไปปฏิบัติ มันถึงจะรู้ การที่ผมไปไหนมาไหนก็แฝงด้วยวัตถุประสงค์คือ หนึ่งไปให้รู้ สองไปดูให้เห็นกับตาตัวเองและถึงจะเอาทุกอย่างมาประมวลผล แต่ก็อดนอกประเด็นไม่ได้คือแบบว่า "……..พระอาจารย์ครับ สองตนที่กระผมเห็นเมื่อคืน เอ้อ..คือว่า... " กระผมก็เล่าท่านไปยืดยาว ท่านก็นั่งฟังด้วยอาการสงบนิ่ง ยังไม่ทันจะเล่าจบ ท่านก็กล่าวบอกกระผมว่า "เป็นเรื่องธรรมดาของนักปฏิบัติ ที่ต้องเจอเรื่องพวกนี้" งานนี้เล่นเอากระผมเงียบสนิทไปเลย หันไปเห็นบทกลอนที่ท่านเขียนติดเอาไว้ว่า "จงหนีของหยาบ จงปราบของเนียน จงเพียรสังวร จงถอนทิฏฐิ จงติตัวเอง จงเกรงเรื่องกรรม จงทำของจริง จงทิ้งสมมุติ จงหยุดเหมือนดิน"...............จงหยุดเหมือนดิน อย่างนั้นหมายความว่ากระผมควรหยุดเล่าถึงเรื่อง"นักเรียนสองตน" นั่นได้แล้ว.......... หลังจากนั้นก็กราบลาท่านเข้าที่พักที่ท่านให้ "หลวงพี่เอ๋" ซึ่งท่านเป็นคนบ้านเดียวกับผม คือเป็นคนภูเก็ต ท่านจัดเตรียมที่พักให้
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 07-12-2009 เมื่อ 19:21 |
สมาชิก 79 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
|||
|
|||
หลังจากสรงน้ำเป็นการเรียบร้อย เวลา ๑๙.๐๐ น. ก็ได้เวลาทำวัตรเย็น ปกติที่วัดท่าขนุนใช้เวลาโดยประมาณ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาทีก็เป็นการเสร็จพิธี แต่ที่วัดพระอาจารย์บุญเริญนี้ เริ่มทำวัตรตั้งแต่ ๑๙.๐๐ น. ไปจบเอา ๒๒.๐๐ น รวมเวลาแล้ว ๓ ชั่วโมง....กระผมพยายามพยุงตัวเองขึ้นหลังจากนั่งพับเพียบสลับขาซ้ายทีขวาที จนนับไม่ถ้วน แต่ได้ชื่อว่า "ลูกศิษย์พระอาจารย์เล็กแล้ว" งานนั้นอดทนและทนอด (ปวดปัสสาวะมาก อั้นอยู่นาน) พยายามทำกำลังใจสู้ให้ถึงที่สุด และแล้วก็ผ่านไปได้
หลังจากไปห้องน้ำมาแล้ว เห็นแม่ชี พระ ตลอดจนฆราวาส ปฏิบัติ "หนอ" กัน กระผมเองอย่างที่บอกว่ามาเพื่อ "ทำให้รู้ ดูให้เห็น" ก็ร่วมปฏิบัติด้วย นั่งภาวนาสลับกับการเดินจงกรม จะผ่านไปนานเท่าไหร่ อันนี้กระผมก็ไม่ทราบ เห็นพระ,เห็นแม่ชี ตลอดจนแม่ชีท่านหนึ่งอายุประมาณ ๗๐ กว่า ๆ ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็งแล้วนับเป็นอีกเรื่องที่ยืนยันกับกระผมได้ว่า ในเรื่องของการปฏิบัติสิ่งที่หลวงพ่อเคยพูดว่า "ทำแค่ตาย" กับคำถามที่ญาติโยมมักจะเรียนสอบถามท่านว่า "ต้องทำแค่ไหน" ตอนนี้มันเป็นคำตอบแก่ตัวกระผมทั้งในรูปธรรมและนามธรรมให้เห็นอยู่เบื้องหน้าจริง ๆ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล เล่นงานกระผมและโยมหม่อม ชนิดที่ว่าแทบจะล้มทั้งยืน ผ่านไปจนถึงเที่ยงคืน พระอาจารย์บุญเริญท่านก็สั่งให้หยุดปฏิบัติ แล้วท่านก็นำอุทิศส่วนกุศล คำอุทิศส่วนกุศลที่ท่านนำมาใช้ช่างเป็นที่ชื่นใจมาก ๆ แก่กระผม คือ เป็นคำอุทิศส่วนกุศลแบบของหลวงพ่อฤๅษี เพราะพระอาจารย์บุญเริญท่านก็ศรัทธาพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และท่านเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความคล่องตัวเป็นอย่างยิ่งในมโนมยิทธิและทิพจักขุญาณ หลังจากนั้นกระผมก็กราบบอกลาท่านว่าวันรุ่งขึ้นกระผมและโยมจะขอออกเดินทางแต่เช้าตอนตีห้า เพราะต้องเดินทางไปภูเก็ตต่อไป พร้อมกับร่วมถวายปัจจัยร่วมบุญกฐินประจำปีเป็นเงินอีก ๓๐๐ บาท ท่านก็กล่าวอนุโมทนาบุญ พร้อมกับกล่าวว่า "คุณไม่ใช่คนใหม่ของที่นี่ จะมาเมื่อไหร่ก็เชิญนะ ที่นี่ยินดีต้อนรับเสมอ ขอโมทนาบุญที่ได้บวชและความดีที่ได้ทำมาทั้งหมด" สาธุ นับเป็นบุญของกระผมอย่างยิ่ง บวชเรียนครั้งนี้ได้อะไรต่อมิอะไรมากมายกว่าที่ผมจะพรรณาได้หมดจริง ๆ ครับ แล้วจังหวัดสตูลเป็นดินแดนแห่งความลี้ลับตรงไหน? พระอาจารย์บุญเริญท่านเป็นผู้แสวงหาความสงบ ท่านชอบที่จะออกเดินธุดงค์ ท่านเล่าให้ฟังว่า เรื่องของความเป็นทิพย์เฉพาะในจังหวัดสตูลเองนั้นมีมากมาย เฉพาะในวัดของท่านเองก็มีเรื่องราวแปลก ๆ อยู่มาก สตูลเป็นจังหวัดที่มีถ้ำมากมาย มีเทือกเขาที่ยาวและยังเป็นป่าดิบชื้นที่อุดมสมบรูณ์ เรื่องหนึ่งที่ผมพลาดไปคือ กระผมลืมขออนุญาติกราบเรียนขออนุญาตท่าน ขอดู "นารีผลหรือมักกะรีผล" ซึ่งท่านเล่าว่า เทวดาท่านเอามาให้ โยมท็อปเองก็เคยได้เห็นเพราะท่านเคยเอาให้ชม ตลอดจนพระอาจารย์ดุสิตที่ สำนักสงฆ์ถ้ำวังทอง จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับท่านอาจารย์บุญเริญท่านยังเล่าเรื่องนี้ให้กระผมฟังเช่นกัน กระผมจะแวะทำบุญและกราบท่านเสมอ ๆ เวลาพาคุณแม่ไปตรวจตามรายการนัดของโรงพยาบาล ม.อ.ที่หาดใหญ่ พระอาจารย์บุญเริญยังเล่าให้ฟังว่า เรื่องของความเป็นทิพย์ เขาอยู่รอบ ๆ ตัวเรานี้เอง เท่าแต่ว่า เรามีความดีขนาดไหน ถ้าทำดีมากก็ได้เห็นได้สัมผัสมากเป็นการตอกย้ำความมั่นใจในเรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนว่า ผีมีจริง เทวดามีจริง นรกมีจริง พระนิพพานมีจริงซึ่งเราจะสัมผัสได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้นและยังมีอีกหลายเรื่องราว ที่กระผมต้องย้อนกลับไปพิสูจน์ ไม่ใช่ว่าเพราะตื่นข่าวมงคลใด ๆ แต่ทั้งหมดนั้นมันคือ "กำไรชีวิต" ในมาดของนักปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
__________________
สักวันหนึ่งสี่ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกันเมื่อทุกอย่างพร้อม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วาโยรัตนะ : 09-12-2009 เมื่อ 07:41 |
สมาชิก 83 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ วาโยรัตนะ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) | |
|
|