|
ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#661
|
||||
|
||||
พระกลัวพญานาค
องค์หลวงตากล่าวว่า ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ท่านมีนิสัยกล้าหาญ ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ แต่คราวนี้ท่านไปพบเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวอย่างหนึ่งเข้าที่ภูทอก บ้านตากแดด อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ซึ่งขณะนั้นมีหลวงตาองค์หนึ่งเป็นพระปฏิบัติฝ่ายมหานิกาย ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองบอกท้าพวกที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงให้ไปลองพิสูจน์ดูบ้างที่นี่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นองค์หลวงตาเล่าไว้ ดังนี้ "..แล้วท่านสิงห์ทอง ยังอยากจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ ว่าไม่มีผีไม่มีอะไรให้ไปอยู่ภูเขาลูกนั้น ภูเขาลูกนั้นเราก็เดินผ่านไปผ่านมาอยู่ มันเป็นตีนเขา ข้างบนมีถ้ำอยู่ ๒ ถ้ำ มีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ทางนั้นถ้ำหนึ่ง แล้วเป็นซอกเขาลงมาน้ำไหลลงมาตรงนี้ แล้วมีอีกถ้ำหนึ่ง ครั้นเวลามีพระมาใหม่ มาเยี่ยมมาพักอยู่ถ้ำนี้ ผีนั้นก็ลงมาจากโน้นนะ จากภูเขาบนหลังเขานั้นมีแอ่งน้ำอยู่ ไหลอยู่ทั้งแล้งทั้งฝนหากไม่มากนะ หากไหลอยู่.." ทั้งแล้งทั้งฝนเขาเขียนประกาศติดไว้ว่า ไม่ให้ผู้หญิงลงอาบน้ำนั้น ถ้าผู้หญิงลงอาบ น้ำนั้นจะเหม็นคลุ้งไปหมดเลย เขาห้ามเขาเขียนประกาศติดเอาไว้ ถ้าต้องการก็ให้ตักเอามาดื่มมากินมาอาบ ห้ามไม่ให้ลงไปอาบ นั่นละ..เป็นความจริงถึงขนาดนั้นนะ น้ำเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ถ้าผู้หญิงลงไปอาบน้ำนี้เหม็นคลุ้งไปหมดเลย มีพญานาคอยู่ที่นั่น.. หลวงตาองค์นั้นท่านอยู่ที่นั้นเป็นประจำ ท่านชินกับสัตว์ตัวนี้พอแล้ว มันลงมาจากภูเขาเหมือนกับเราลากต้นตาลทั้งต้น ลากลงมาเสียงซ่า ๆ มันค่อยลงมานะ ซ่า ๆ ลงมาซอกเขานี้ หลวงตาองค์นั้นอยู่ทางด้านนั้น ท่านอยู่ถ้ำนั้นเป็นประจำ แล้วถ้ำนี้คนมาพักบ่อย ๆ พระน่ะ ถ้าใครมาพัก พระมาใหม่ไม่ว่าพระองค์ไหน มาจากไหนก็ตามเถอะ ตัวนี้เขาจะลงมาถามข่าว ทีนี้หลวงตาก็เลยสั่งบอกไว้ กลัวว่าพระจะกลัว คือกลัวว่าท่านสิงห์ทองจะกลัว ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ นิสัยกล้าหาญ จึงไม่ได้หมอบราบกับผีนั้น พูดท้าทายเลยทีเดียวนะ ใครเก่งบอกว่าผีไม่มีแล้ว ให้มาตรงนี้ ถ้าไม่อยากเผ่นกลางคืน ทีนี้พอมาถึง ผู้เฒ่าก็บอก "คุณหลานเอ๊ย พี่น้องจะลงมาเยี่ยมนะ ตอนค่ำวันนี้ เพราะคุณหลานมาใหม่ เป็นพระอาคันตุกะ เป็นแขกมาเยี่ยม แล้วไอ้ตัวอยู่บนเขามันจะลงมาถามข่าวคราว ไม่ต้องกลัวนะ เขาจะลงมาธรรมดา ๆ แต่เวลาเขาลงมาก็เหมือนลากต้นตาลมาทั้งต้น ลากลงมาซ่า ๆ เวลาเขาขึ้นก็ซ่า ๆ ลงไปตีนเขาแล้วหายเงียบนะ พอไปแค่นั้นเงียบ เวลาขึ้นมาก็ซ่า ๆ เวลาขึ้นมาไม่ทำก็มี แล้วแต่เขาจะทำ เขาจะทำแบบไหน เขาทำได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2023 เมื่อ 17:55 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#662
|
||||
|
||||
พอดีท่านสิงห์ทองมาเหนื่อย ๆ เดินทางมาไม่มีรถยนต์ พอมาถึงที่นั่นก็เข้าพัก ผู้เฒ่าก็สั่งเสียไว้เรียบร้อย ทางนี้เข้าใจแล้วก็นอน ประมาณ ๓ ทุ่ม
คนจะตาย..เดินทางมาทั้งวันเหนื่อยมาก เลยนอนเสียก่อน ถึงจะค่อยลุกขึ้นเดินจงกรม พอนอนหลับไปเสียงฮ่อ ๆ อยู่หัวเตียง งูเหมือนงูใหญ่ขนาดต้นเสานี่แหละ เสียงมันฮ่อ ๆ อยู่บนหัวเรานี่ ทางด้านสิงห์ทองก็เรียก "หลวงพ่อ ๆ " "แม่นหยัง" "มันเสียงงูใหญ่มาอยู่นี่แล้ว" "มันบ่แม่น เสียงที่บอกนั่นล่ะ..อย่าไปกลัว" "บ่กลัวยังไง มันจะงับผมอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลืนผม" "ไม่กลืน ไม่ต้องกลัว มันเคยอย่างนั้นละ จะเป็นไรไป เชื่อหลวงพ่อเถอะ เพราะหลวงพ่อเคยอยู่อย่างนั้นมานานแล้วนี่นะ" "จะเชื่อได้อย่างไรมันจะกินคนนี่" เลยเรียกให้พระมาด้วยองค์หนึ่ง นอนอยู่ทางโน้น ถ้ำมันยาว เรียกพระองค์นั้นให้จุดไฟใส่โคมมา แขวนมา แล้วเอาไม้ยาว ๆ มา หิ้วมานี่ เดี๋ยวจะเหยียบงู เอาไม้ยาว ๆ แล้วเอาโคมไฟห้อยมา ถือมายาว ๆ ควานไปเรื่อย ฉายไปเรื่อย พอควานมาถึงเตียง มันก็หาย เสียเงียบเลย ไม่ได้ยินอะไร หายเงียบ คนจึงกลับไป พอกลับไปสักเดี๋ยว มีเสียงขึ้นอีกแล้ว "มาอีกแล้ว" คนนั้นเลยจุดไฟมาหางูทั้งคืน จุดไฟมาแบบนั้นละ กลัวจะโดนงูเข้า เพราะเสียงใหญ่เสียงโตมากนี่นะ พอมาก็ไม่เห็นมีอะไร อยู่ได้คืนเดียวเท่านั้นละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-06-2023 เมื่อ 17:07 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#663
|
||||
|
||||
ท่านสิงห์ทอง "ทำไมล่ะ ?"
"กลัวละสิ" "ยอมรับว่ากลัว กลัวจริง ๆ โห..เหมือนมันจะกลืนเราทั้งคนนี่นะ ตัวมันขนาดเท่าลำตาล" งูตัวนี้ "พญานาค" พอตื่นขึ้นมาไปลาหลวงตา "ว่าอย่างไรละลูก" "โอ๊ย..กลัวงูอยู่ไม่ได้แล้ว" "ไปกลัวทำไม หลวงพ่ออยู่นี่มานานแสนนาน รู้เรื่องของมันหมด ไม่มีอะไรแหละ อย่าไปกลัวเลย" "โอ๊ย กลัว ๆ " ใครเก่งบอกว่าผีไม่มี ให้มา เอาจริง ๆ พญานาคเสียงมันเป็นอย่างนั้นเวลามันแสดง เลยมาเล่าให้อาจารย์หมออวย (ศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์) ฟัง โอ๊ย..ตั้งใจฟัง สนใจฟัง อยากจะไปด้วยนะ อยากจะไปดูสภาพเป็นอย่างไร อยากไปดูเป็นกำลัง แต่ไม่มีเวลาพอที่จะไปดูได้ แต่เสียงมัน..ทำได้แปลก ๆ นะ แบบงูก็ได้ แบบเสือก็ได้ แบบไหนได้หมด ไม่ใช่มีแบบเดียว ที่มันน่ากลัวคือมันมาหลายแบบนั่นเอง บางทีเหมือนเสือ เห่อ ๆ ใกล้ถ้ำ อาจารย์หมออวยอยากไปเป็นกำลัง โฮ้..ซักท่านสิงห์ทองใหญ่เลยเทียวนะ ท่านสิงห์ทองเล่าให้ฟัง ทีนี้ท่านสิงห์ทองเป็นพระกล้าหาญด้วย ไม่ใช่พระออดแอด พระโกโรโกโสนะ ท่านพูดมันน่าฟัง เราเองก็เชื่อ เพราะเราเชื่ออยู่ก่อนแล้วเรื่องเหล่านี้ "โห..มันน่ากลัวจริง ๆ นะ" ท่านว่า "ตัวมันขนาดเท่าลำตาล แล้วมันขู่ฟ่อ ๆ อยู่บนหัวเราใกล้ ๆ ฝ่ามือเดียวเท่านั้น มันเหมือนจะกลืนเอาเลย เสียงฮ่อ ๆ แต่มองหาตัวไม่เห็น ครั้นเวลาจุดไฟมาหาไม่เห็น ไปไหนก็ไม่รู้ พอไฟดับสักเดี๋ยวขึ้นอีกแล้ว" เขาเรียกภูทอก เราเคยผ่านไปผ่านมา เราเที่ยวกรรมฐาน แต่ไม่เคยขึ้นพักถ้ำที่่ว่า...."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-06-2023 เมื่อ 17:58 |
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#664
|
||||
|
||||
เทวดาคุ้มครองพระลูกชาย
"..เรื่องเทวบุตรเทวดา เลยพูดให้ฟัง พระผู้ท่านเชี่ยวชาญ ท่านชำนิชำนาญ ในสมัยปัจจุบันนี้เองยังมีอยู่ แต่เหมือนท่านไม่รู้ พระท่านรู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมด๊า..ธรรมดา อันใดจะเป็นประโยชน์แก่ใครก็หยิบออกมาพูด เมื่อวานนี้พูดเกี่ยวกับเรื่องเทวดาว่า พระท่านอดข้าวภาวนา อดไปหลายวัน เทวดากลัวท่านหิว กลัวท่านตาย เทวดาองค์นั้นเคยเป็นแม่ของพระองค์นั้น นั่น..ท่านรู้ขนาดนั้นนะ มาขออุปถัมภ์อุปัฏฐาก มองเห็นกัน..เดินไปเดินมา เห็นอยู่ อากัปกิริยาแสดงอะไร เห็นอยู่เหมือนคน เห็นอยู่ชัด ๆ ในเวลาเงียบ ๆ นั้น ทางพระก็ตกใจซี ตาลืมอยู่ก็เห็น หลับตาก็เห็น เห็นอยู่อย่างนั้นชัด ๆ เหมือนคนธรรมดา จึงพูดไปว่า 'โอ๊ย..อย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเขาโจมตีพระแหลกนะ' เทวดาว่า 'โจมตีอย่างไร ?' 'ก็มองเห็นกันอยู่นี่ ผู้หญิงกับพระอยู่ด้วยกันได้อย่างไร เทวดาก็เป็นผู้หญิง หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ไม่ใช่หรือ ?' 'โอ๊ย..ก็ทำให้เห็นแต่ท่านเท่านั้นแหละ คนอื่นมีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ไม่เห็น ให้เห็นเฉพาะท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่ให้เห็น' เอาอาหารทิพย์มาให้ พูดกันด้วยภาษาใจไม่ได้ พูดกันอย่างภาษาเรานะ เอาอาหารทิพย์มาให้กิน พระท่านบอกว่า 'กินไม่ได้ เวลานี้ไม่กินข้าว อดอาหารภาวนา' บางทีก็นำอาหารทิพยมาเวลากลางคืน 'นี่เวลานี้กลางคืน..ไม่ฉัน' ก็อ้างไป แล้วเวลากลางวันก็ว่าเวลานี้อดอาหาร..พลิกไปเสีย เทวดากลัวทุกข์ยากลำบาก..กลัวพระตาย 'ถ้าอย่างนั้นแม่จะเอาข้าวมา เอาข้าวทิพย์มาแหละ มาทามาถูตามร่างกายให้ซึมเข้าไป ให้ข้าวซึมเข้าไป' 'ไม่เอา..ถ้ากลัวตายก็ไม่ต้องอด' พระท่านก็แก้ของท่านไปอย่างนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2023 เมื่อ 23:10 |
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#665
|
||||
|
||||
กลางวี่กลางวันก็มารออยู่ที่สูง ๆ บนถ้ำ รักษาความปลอดภัยให้ลูก ลูกอยู่คนเดียว มารักษาความปลอดภัยให้ ไม่ให้อะไรมาที่นี่ ถ้าเทวดาว่าไม่ให้มา สัตว์เสือช้างก็มาไม่ได้ ไม่ว่าช้าง ไม่ว่าเสืออะไร เทวดาไม่ให้เข้ามาในบริเวณนี้ พวกสัตว์พวกเปรตผีอะไรไม่ให้เข้ามา เทวดารักษาอยู่ นี่อย่างนี้ก็มี..ฟังเอา
แต่พวกเทวดานี้ร่างกายเหมือนสำลีนะ เบา..เบาเหมือนสำลี ลงมาเหมือนสำลีปลิวลงมา ขึ้นก็เหมือนสำลี เดินธรรมดานี้ก็ได้..ได้ทุกแบบ แล้วแต่อาการแบบไหนที่ควรจะใช้อย่างไร..ใช้ได้ทั้งนั้น ที่แปลกประหลาดมากก็เวลาคนตาย พระไปอยู่ในถ้ำไกล ๆ จากบ้าน บ้านในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระละซิ ในป่าในเขาไม่ค่อยมีพระ ครั้นเวลาคนตายก็มานิมนต์พระท่านไปกุสลาฯ ให้ ใครตายก็ตามในหมู่บ้าน เขาต้องมานิมนต์ท่านไป กุสลา ธัมมาฯ ทีนี้พอคนตาย ทางพระนี้รู้แล้วนี่ 'โห..แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องไปอีกแล้ว' ตอนนั้นท่านไม่ได้ฉันข้าวนะ เป็นช่วงเวลาที่พระท่านอดอาหารภาวนาอยู่ ก็เลยต้องเดินทางไปกุสลาฯ ให้เขาในหมู่บ้านโน่น 'เอาอีกแล้ว คนตายแล้ว ตายในบ้านโน้น' 'คนตายในบ้านอีกแล้ว' บางทีก็รู้ขึ้นมาภายในตัวเอง บางทีเทวดามาบอกว่า 'คนตายแล้วนะ' อย่างนั้นก็มี มีได้หลายทาง มาจากเทวดาก็มี ออกจากความรู้เจ้าของก็มี พอประมาณสัก ๑๐ โมงเช้า เขาขึ้นภูเขา 'มาแล้ว' 'มาทำอะไรล่ะ ?' คอยฟังคำตอบ 'มานิมนต์ไปโปรดสัตว์' แน่ร้อยเปอร์เซ็นต์..ไม่มีผิด ไม่มีเคลื่อนเลย พอตื่นนอนขึ้นมา 'เอาแล้ววันนี้ เตรียมกุสลาฯ แล้ววันนี้' พอ ๙ โมงเช้าหรือ ๑๐ โมงเช้า คนโผล่ขึ้นไปแล้ว 'อะไรล่ะโยม ?' 'นิมนต์ไปโปรดสัตว์' พวกเรามันตาบอด..ไม่เห็น ท่านผู้ตาดีท่านเห็นธรรมดา เหมือนเราตาดีเห็นอะไรนี่ ท่านผู้ตาดีภายใน นี่ละ..สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ทั้งหมด ผิดที่ตรงไหน นี่ละ..เครือของศาสนา กิ่งก้านของศาสนา มีอยู่หมดเลย ตั้งแต่อริยสัจเป็นต้นเป็นแกน ขยายกิ่งก้านสาขาออกไปหาพวกเปรต พวกนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน พวกเปรตพวกผีพวกอะไร ๆ นี้เป็นกิ่งก้านของอริยสัจในวงศาสนา..."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2023 เมื่อ 23:14 |
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#666
|
||||
|
||||
ตัวอย่างการเทศนาอบรมนักภาวนา
องค์หลวงตาเมตตาสอนและตอบปัญหาธรรมแก่นักภาวนาทั้งชายและหญิง ทั้งผู้มาพักปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดและในสถานที่ต่าง ๆ มีจำนวนมาก ขอยกตัวอย่างมาแสดงแต่พอสังเขป ดังนี้ ถาม-ตอบปัญหาภาวนา ถาม การพิจารณากายแรก ๆ สติไม่ค่อยต่อเนื่อง มักจะกระโดดไปสู่อดีตที่เจ็บช้ำบ่อย ๆ แต่เมื่อภาวนาพุทโธ ๆ มาก ๆ จนจิตสงบแล้ว ก็พิจารณาครั้งแรก เห็นกระดูกภายในกายเป็นเหมือนกระจก แตกเป็นเกล็ดเล็ก ๆ ในท่านั่งหนึ่งครั้งและท่านอนหนึ่งครั้ง ลูกจะดูอยู่เฉย ๆ จนหายไป ครั้งที่สามนั่งภาวนาเห็นศีรษะตัวเองหลุดกระเด็นออกมาจากตัว แต่ก็ไม่ตกใจ คิดว่าเป็นอนิจจัง ครั้งที่สี่ เดินจงกรมตอนดึกประมาณตีสอง เห็นหน้าตัวเองเป็นกระดูกผุ ๆ ไม่มีเนื้อ หลังจากนั้นไม่กี่วันตอนเช้ามืดเดินจงกรม ได้เห็นกระดูกตัวเองแตกเป็นเม็ด ๆ เหมือนกับก้อนกรวดเล็ก ๆ ไหลพรูหลุดจากร่างกายไปรวมกันอยู่บนพื้นดินอย่างรวดเร็ว จิตคิดว่าตัวเรานี้ในที่สุดก็ต้องกลายเป็นดิน หลังจากนั้นนานนับเป็นเดือน เดินจงกรมจนเหนื่อยและดึกมาก จึงนอนพักในท่านอนตะแคง ภาวนาพุทโธ ๆ ขณะนั้นลมภายนอกบ้านพัดแรงมาก ลูกภาวนาไม่รู้ว่ามีน้ำไหลบ่ามากับพายุด้วย น้ำไหลพัดเข้ามาในบริเวณที่ลูกนอนอยู่น่ากลัวมาก ตอนแรกตกใจมาก รีบตั้งสติว่า ตายเป็นตาย เห็นเนื้อตัวเองหลุดเป็นชิ้น ๆ ถูกน้ำพัดอย่างเร็วและแรง ลูกกำหนดจิตพุทโธ ๆ ในที่สุดก็ดับไป การปฏิบัติของลูกรู้สึกว่ากระท่อนกระแท่นอยู่มาก เพราะเวลาไม่ต่อเนื่อง และยังไม่เข้าใจรักษาสติ ลูกขอถามว่า ลูกปฏิบัติถูกต้องหรือไม่ ? และต้องทำอย่างไรต่อไป ? หลวงตา ถูกต้อง แต่ต้องเพิ่มสติให้ติดต่อกันมากขึ้น ถาม ขณะนี้ลูกกำลังรักษาสติให้มั่นคงหนักแน่น ด้วยการภาวนาพุทโธทุกขณะ เมื่อมีเรื่องมากระทบ ถ้าเป็นทุกข์จะสาวหาต้นเหตุและหาอุบายดับได้ทุกครั้ง ถ้าเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพลิดเพลินใจหรือถูกใจอะไร ก็จะเตือนใจว่ามันไม่เที่ยง พยายามตั้งจิตให้เป็นกลางอยู่เสมอ กราบขอความเมตตาหลวงตาแนะนำสั่งสอนลูกด้วย ? หลวงตา ที่ปฏิบัติมานี้ถูกต้องแล้ว พยายามให้ความเพียรสืบต่อ เฉพาะอย่างยิ่งสติเป็นสำคัญ ให้ตั้งเสมอ ถูกต้อง เรื่องจิตเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ถูกมูตรถูกคูถ คือ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ครอบมันไว้ จิตที่มีความเลิศเลออยู่ภายในนั้นแสดงตัวออกมาไม่ได้ ถูกมูตรคูถครอบไว้เสมอตลอดมา โลกทั้งหลายจึงไม่มีค่ามีราคาในตัวเอง ทั้งๆ ที่สัตว์โลกนี้ชอบยกยอ กิเลสชอบยอ กดไม่ชอบ ตามความจริงไม่ชอบ ชอบแต่ยอ ลืมแล้ว พูดไม่สืบต่อกันแล้ว ความหลงลืม เรื่องสติเป็นสำคัญ เอาตรงนี้เลยนะ กิเลสมันจะดันขนาดไหนก็เถอะ สติเป็นสำคัญ สติห้ามอยู่ อยู่หมัด ไม่ให้ออก เราทำมาแล้วนะ ฟาดเสียจนกระทั่งอกจะแตก สังขารมันดันออกมาจากอวิชชา นั่นละ..รังใหญ่ของกิเลส มันดันออกมาเพื่อให้หาช่องทางหากินของมัน มันกินเรานั่นแหละ ไม่ใช่กินใคร ให้เราได้รับทุกข์ความทรมาน ทีนี้บังคับไม่ให้ออก เมื่อไม่ให้ออก มันดันนี้จนกระทั่งคับหัวอกเลยนะ แต่ไม่ยอมกัน ยังไงก็ไม่ให้เผลอ มันจะออกท่าไหนไม่ให้เผลอ มันดันตลอด มันจะออก คือสังขารคิดปรุงปั๊บออกไปนี้เป็นกิเลสแล้ว มันกว้านเอาฟืนเอาไฟความกังวลวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดจากความคิดปรุงนี้เข้ามาเผาเรา เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติครอบเอาไว้ ๆ ทีนี้จิตเมื่อมีสติรักษาอยู่ กิเลสเหล่านี้ก็กวนไม่ได้ อย่างมากมันก็ดันอยู่ในภายในหัวอก แต่สติบังคับไม่ให้มันออก มันก็ไม่แตกกระจายเป็นฟืนเป็นไฟอะไรไป เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย วันนี้เป็นอย่างนี้..ไม่ให้เผลอ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:23 |
#667
|
||||
|
||||
พูดเรื่องนิสัย อันนี้รู้สึกจะผิดแปลกกับคนทั้งหลายอยู่พอสมควร ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น จริงมากทีเดียว บอกไม่ให้เผลอก็ไม่เผลอจริง ๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ขณะไหนเผลอไปไม่มี นั่นคือบังคับกันขนาดนั้นนะ เรียกว่านักมวยเข้าวงในกัน
สติกับสังขารที่มันดันออกมานี้ต่อสู้กันไม่ให้เผลอ ถึงเผลอมันก็ออกไม่ได้ เมื่อออกไม่ได้ จิตได้รับการบำรุงรักษาด้วยสตินี้แล้ว ค่อยสงบเย็นเข้ามา ๆ ทีนี้ที่มันดันออกมาค่อย ๆ เบาลง ๆ สติติดแนบตลอด ตั้งตัวได้เลย นี่ได้ทำแล้ว เรื่องสติเป็นสำคัญมาก มันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะ กิเลสความโกรธก็ดี อะไรก็ดีเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว สติจับปุ๊บไม่ให้ไปยุ่งกับอารมณ์อะไรที่ว่า ไม่พอใจในคนนั้นคนนี้ อย่าออกไปหาคนนั้นคนนี้อันเป็นเรื่องสังขารปรุงออกไป ไม่ให้มันออกเรื่องก็ไม่มี ก็สงบลงด้วยสติบังคับนั่นละ สำคัญมากนะ การภาวนาใครมีสติสืบต่อได้ดีเท่าไร ยิ่งจะก้าวหน้าเรื่อย ๆ นะ ตั้งฐานได้ไม่สงสัย เรื่องสตินี่ตั้งฐานได้เลย จิตไม่เคยสงบ สงบได้ ขอให้สติรักษาจิตอย่าให้สังขารปรุง สังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ มันคิดออกไปร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม ร้อยสันพันคม เข้ามาตีเรา ฟันเรา เผาเรานั่นแหละ เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติบังคับ จิตก็ค่อยสงบเย็น ๆ ตั้งฐานได้ จำให้ดีทุกคน การปฏิบัติ..จิตเป็นของสำคัญมาก เวลาถูกปิดบังหุ้มห่อนี้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันแหละ แต่พอธรรมะได้เบิกกิเลสตัวหุ้มห่อไว้นี้ออกไป ๆ จิตจะค่อยสง่าขึ้นมา ๆ เวลามันสง่ามากขึ้น ๆ แล้วจนกระทั่งมาอัศจรรย์ตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:25 |
#668
|
||||
|
||||
โยมคนที่ ๑ ขอกราบเรียนถามการพิจารณากาย ลูกใช้สัญญาความจำภาพอสุภะจากรูปถ่ายที่อื่น และความเข้าใจที่ออกมาจากจิตถึงความเป็นกาย มาพิจารณาร่างกายตัวเอง เหมือนที่หลวงตาได้สอนว่า พิจารณาภายนอกภายใน
ลูกเปิดภาพอสุภะในเว็บไซต์ของหลวงตา และให้ติดจิตคือให้สลดในอสุภะ ให้คลายออกจากความยึดในกาย จิตมันรู้สึกสลดเข้าทุกที และจากความจำภาพอสุภะที่ดูในรูปนั้น มันเริ่มเข้ามาในจิตใจ เป็นความรู้สึกให้สลดให้วางในกาย สัญญาความจำภาพนั้นเหมือนเป็นความเข้าใจในจิตด้วยอริยสัจและไตรลักษณ์ พอถึงอริยสัจในจิตมันแน่น ๆ อยู่กลางอกเจ้าค่ะ สติลูกตอนนี้ตั้งไม่ให้เผลอจากอสุภะ พิจารณามากขึ้น ๆ บางทีไม่ได้ตั้งใจพิจารณา แต่เห็นบุคคลทั่ว ๆ ไป มันก็แว็บ ๆ เป็นอสุภะ เนื้อไส้ส่วนต่าง ๆ ภายในกาย จิตมันก็ยิ่งสลดเข้าไป อย่างที่ลูกพิจารณาและปฏิบัตินี้ถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ ? หลวงตา ถูกต้องมาโดยลำดับนะ อันนี้ถูกต้องมาโดยลำดับแล้วไม่มีที่ต้องติ ให้เจริญให้มากเข้าไป ให้มีความคล่องแคล่วเข้าไป สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดนี้มันจะเข้าในตัวของมันเอง ไปรู้ตัวเอง ปล่อยทั้งหมด แต่จะบอกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ บอกไม่ได้ตอนนี้ เป็นเคล็ดลับ ให้ผู้นั้นตัดสินตัวเอง เรียกว่า สันทิฏฐิโก มอบให้ตัวเอง เป็นสันทิฏฐิโกของตัวเอง จากภาคปฏิบัติของตัวเอง ที่ครูบาอาจารย์สอนแล้วว่า ให้พิจารณาซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนคล่องตัว แล้วมันจะรวมตัวเข้าไปหาจิตทั้งหมดนั่นแหละ เรื่องความรู้ความเห็นต่าง ๆ แล้วจิตจะเป็นผู้ปล่อยเอง เอ้า..เอาแค่นี้ก่อน เอ้า..ว่าไป..ทีนี้ถูกต้องแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:31 |
#669
|
||||
|
||||
โยมคนที่ ๒ กราบนมัสการเรียนถามหลวงตาดังนี้ครับ ตอนนี้ผมมีสติแน่นเข้าเรื่อย ๆ ไม่ค่อยเผลอ บริกรรมพุทโธติดแนบกับสติตามที่หลวงตาสอน แล้วระยะนี้ผมสังเกตได้ถึงพัฒนาการของจิต คือมีความระลึกตัวดีขึ้น ทำอะไรมันคิดอ่านไตร่ตรองแบบเป็นธรรมดีขึ้น ไม่ทำอะไรแบบพรวดพราดทันทีเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่ง ๆ ตัวเองอยากอยู่กับความสงบเย็น พอทำงานเสร็จก็กลับบ้านไม่ได้ไปไหน แต่ทุกอิริยาบถมีสติกับพุทโธตลอดนะครับ
หลวงตา เออ ถูกต้อง ๆ อันนี้ก็ถูกต้องเหมือนกัน เอ้า..ว่าไป โยมคนที่ ๒ พยายามไม่ให้ขาด ทีนี้เวลามันมีเรื่องยุ่ง ๆ ใจมันก็ไม่ยุ่งไปด้วยครับ ใจมันก็สงบเย็น ๆ ของมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ร้อนวุ่นวายไปตามเรื่องร้อนนั้น ๆ ครับ พอมานั่งภาวนาหรือเดินจงกรมเดี๋ยวนี้เพียงครู่เดียวครับ ไม่นานจิตมันก็ดิ่งวูบลึกลงไป แน่วสงบไป แต่ความระลึกรู้ตัวมีเสมอครับ ผมจึงไม่รู้สึกตกใจ เหมือนมีสติสัมปชัญญะประคองไว้ แล้วถึงโอกาสก็เริ่มพิจารณากายไปตามขั้นครับ อย่างนี้เป็นอาการถูกต้องของการภาวนาจิตจากการมีสติอยู่เสมอถูกต้องหรือไม่ครับผม ? หลวงตา ถูกต้อง อันนี้ก็ถูกไปอีกแบบหนึ่งของผู้นี้นะ ไม่ผิด ถูกด้วยกันทั้ง ๒ นะ ให้เจริญให้มากกว่านี้เข้าไป เพื่อจะได้ชำนิชำนาญ ความสงบจะได้สงบและละเอียดเข้าไป ๆ และคล่องตัวเข้าไปเรื่อย ๆ การพิจารณาก็จะคล่องตัวสติก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราใช้การฝึกด้วยความมีสติฝึกตนเองอยู่ตลอดเวลานี้ จะดีขึ้นทุกอย่างในบรรดาธรรมทั้งหลายที่เรากำลังเจริญเวลานี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#670
|
||||
|
||||
สตรีนักภาวนาชาวกรุง
องค์หลวงตากล่าวถึงสตรีท่านหนึ่ง ปัจจุบันออกปฏิบัติธรรมเป็นอุบาสิกา เมื่ออดีตเคยทำงานอยู่สายงานวิศวกรรม การไฟฟ้านครหลวง กรุงเทพฯ การใช้ชีวิตในครั้งนั้นไม่แตกต่างอะไรจากคนทางโลกทั่วไป เพราะมีครอบครัวและบุตรธิดาถึง ๓ คน มีภาระหน้าที่การงานที่ต้องบริหารและรับผิดชอบ แต่ด้วยจิตใจรักและเห็นประโยชน์ใหญ่หลวงด้านจิตภาวนา สตรีท่านนี้จึงพยายามเจียดเวลาเดินจงกรมและนั่งสมาธิภาวนาอย่างจริงจัง ฝึกฝนสติปัญญาไปพร้อมกับการงาน โดยมิยอมให้เสียงานทางโลกแต่อย่างใด อุบาสิกาท่านนี้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอมาหลายปี ด้วยความพากเพียรระหว่างทำงานอยู่ทางโลก โดยพยายามเสาะหาอุบายธรรมจากครูบาอาจารย์สายพระกรรมฐานหลายต่อหลายองค์ มีหลวงปู่หล้า เขมปัตโต เป็นต้น หลังจากปฏิบัติมานานนับสิบปี จึงได้มีโอกาสเข้ากราบสนทนาธรรมกับองค์หลวงตาที่สวนแสงธรรมในคราวท่านลงไปกรุงเทพฯ และได้เล่าผลอัศจรรย์อันเกิดจากจิตภาวนาถวายองค์หลวงตาเป็นที่รื่นเริงในธรรมทั้งอาจารย์และศิษย์ในขณะนั้น เมื่อท่านกลับมาวัดป่าบ้านตาดแล้ว หลังจังหันวันหนึ่งปลายปี พ.ศ.๒๕๓๘ ท่านได้แสดงธรรมมีเนื้อหาไปสัมผัสกับเรื่องที่ได้สนทนากับอุบาสิกาท่านนี้ ดังนี้ "..พอพูดอย่างนี้ ก็ไปสัมผัสเรื่องหญิงคนหนึ่ง แกภาวนาอยู่ตามประสีประสาของแก สุดท้ายเอาจริงเอาจัง..เป็นเข้าจริง ๆ เวลาเป็นเข้าจริง ๆ แล้วเห็นโทษของกิเลสนี้ แหม..แกว่าอย่างนี้นะ "ทำไมมันถึงร้ายแรงเอานักหนากิเลสนี่ รุนแรงมาก ทั่วสามแดนโลกธาตุกิเลสขยำคน" ฟังซิ..แกไม่ได้เรียนนะ แกไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนทางอรรถทางธรรม ออกจากภาคปฏิบัติล้วน ๆ "มองไปที่ไหนดูมีแต่กิเลสขยี้ขยำหัวสัตว์โลกเต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่ามนุษย์ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มีแต่กิเลสขย้ำเอาโงหัวไม่ขึ้นเลย สลดสังเวช บาทีก็กระซิบบอกเพื่อนฝูงบ้าง บางคนพวกคลั่งกิเลสมันก็ไม่พอใจ สุดท้ายจะทำภาวนาก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปทำอยู่ตามป่าตามอะไร เพราะทำงานอยู่ตลอดเวลา สติไม่ได้เผลอตลอดเวลา มันเป็นเองของมัน" คำพูดอย่างนี้เป็นจริงเอามาพูดได้เหรอ ต้องออกมาจากภาคปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง "สตินี้ดี ดีจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะทำการทำงานอะไร สติจ่อแล้วทำงานก็ทำไปตามเรื่อง ทำงานทางโลกก็ทำ ภายในก็ทำหมุนติ้ว" นั่นเห็นไหม ได้ยินแต่หลวงตาบัวว่าหมุนติ้ว ๆ นี่..มีพยานแล้วนะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:36 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (08-08-2023), ปราโมทย์ (05-08-2023), พรรวินท์ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (05-08-2023), ศุภชัยรู้แผน (05-08-2023), สุธรรม (05-08-2023)
|
#671
|
||||
|
||||
เพื่อนฝูงเขาสงสาร พอทราบว่าเราไปเพราะแกอยากพบครูบาอาจารย์ อยากพบเรา พอดีแกก็มีดีจริง ๆ คนมาก ๆ ก็ใส่เปรี้ยงเลย นั่นละ..ขึ้นเวทีแชมเปี้ยนแล้ว ไม่ใช่เวทีธรรมดา ซัดกันใหญ่เลย แกก็ออกมาอย่างกระจ่างเลยนะ เปรี้ยง ๆ ๆ นั่นละ ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นจากจิตใจ ไม่สะทกสะท้านนะ แกก็ใส่มาเปรี้ยง ๆ ทางนี้ก็ใส่กันเลย
"ก็ทำกรรมดำกรรมขาวไปอย่างนั้นละ แต่จิตมันดูดดื่มอยากทำตลอดไป แต่ทีนี้ก็ไม่ทราบว่าผิดหรือถูกประการใด ?" บอกแกว่า "ถูกแล้ว เอ้า..เอาเลยนะ รวมตัวแล้ว ทีนี้ฟาดลงไป ถลุงมันตรงนั้น ๆ ชี้แจงเป็นระยะ ๆ เข้าไป" แกก็พอใจเอาอย่างมาก "ทีนี้เป็นที่ตายใจแล้ว" เราว่า "ตายใจน่ะถูกต้องแล้ว ที่ปฏิบัติมานี่ถูกต้องแล้ว" แกก็ภาวนาได้ถึง ๑๓ ชั่วโมงก็มี ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ๑๓ ชั่วโมงก็มี พิจารณาทุกขเวทนา ทุกขเวทนาเป็นของจริงทุกส่วน เป็นของจริงแล้วไม่มีกระทบกระเทือนกันเลย จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้ อย่าว่าแต่เพียง ๑๒-๑๓ ชั่วโมงเลย ลุกออกมาเฉย ๆ นี่แหละ จะนั่งตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ได้ "ไม่มีอะไรที่จะเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจได้เลย เมื่อต่างอันต่างจริงแล้ว ไม่คละเคล้ากัน" นั่น..ฟังซิ..แกพูด พูดอาจหาญเสียด้วยนะ เราก็รื่นเริงเห็นผลของการปฏิบัติธรรมนี่ละ ธรรมของพระพุทธเจ้าพอปรากฏขึ้นในใจ "เห็นโทษของกิเลสเห็นจริง ๆ เห็นจนสลดสังเวช มองไปไหน ๆ พิจารณาไปไหน แหม..มีแต่กิเลสอย่างเดียว ครอบงำสัตว์โลกให้ดิ้นล้มดิ้นตายกันอยู่ ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด แล้วโลกก็ไม่รู้ด้วยนะ น่าสงสารอันหนึ่ง" แกว่า "โลกก็ไม่รู้ด้วยนะ มันขยี้ขยำจนจะตายก็ยังดิ้นเพลินกันอยู่" คนมากนะ วันนั้นวันที่แกมาหา เพราะไม่มีเวลาที่จะพูดโดยเฉพาะ "ไม่ต้องเฉพาะ..ฟาดเลย" เราว่าอย่างนี้แหละ แกเห็นโทษของกิเลสจริง ๆ เราไม่ตายให้กิเลสตาย มีสองอย่าง ขั้นนี้ขั้นเห็นโทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ ทั้งสองอย่างนี้บรรจุเข้าสู่ใจแล้วเอาชีวิตเข้าแลกเลย ไม่มีความสะทกสะท้าน เรื่องกับความตาย หมุนติ้ว ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:39 |
สมาชิก 10 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (08-08-2023), ปราโมทย์ (05-08-2023), พรรวินท์ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (05-08-2023), ศุภชัยรู้แผน (05-08-2023), สุธรรม (05-08-2023)
|
#672
|
||||
|
||||
นี่ละ..คนหนึ่งจะไปได้ ไม่นานละ..แน่แล้ว เป็นผู้หญิงนะ มีลูก ๓ คน แกก็เคยส่งปัจจัยมาวัดนี้ประจำเดือน แกเล่าให้ฟัง คนฟังนี่ โห..อ้าปากไม่งับแหละ ลืมตาหลับไม่ลง เพราะขึ้นตามหลักธรรมชาตินี่ หมุนติ้ว ๆ แกพูดเปรี้ยง ๆ เอ้าเปิด ๆ ให้หมด เราว่าอย่างนั้นนะ เราก็หิวอยากฟังนี่นะ มันมีแต่พูดคนเดียวเป็นบ้าอยู่ พูดตลอดเวลา เพราะไม่มีใครรู้ใครเห็นด้วย เหมือนบ้าพูดคนเดียว เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราเป็นบ้า พอดีได้ผู้หญิงคนนี้มาเป็นพยาน
"เอ้าพูด ๆ เลย เอาให้เต็มที่นะ" เราอยากฟังเหลือเกินธรรมะประเภทนี้ พูดอย่างนี้แหละว่า "ไม่เคยได้ฟัง เพิ่งจะมาได้ฟังนี่แหละ เอ้า เปิดเลย" พอแกเปิดแล้วตรงไหนเป็นจุดที่ควรจะแนะ ก็แนะแก ๆ ไม่ใช่แนะธรรมดานะ ตีเปรี้ยง ๆ ลงไปเลย "เอาจุดนี้ ๆ เอ้า ๆ" นี่ละจวนจะไป ไม่อยู่แล้ว เป็นธรรมชาติแล้ว เป็นอัตโนมัติแล้ว หมุนเรื่อย จิตเข้าถึงขั้นนี้แล้วหมุนเรื่อย เห็นโทษของกิเลส เห็นจนจะสลบไสล กิเลสเป็นโทษแก่โลกขนาดไหน เวลาเข้าถึงตัวมันจริง ๆ แล้วจะสลบไสล โทษของมันทำให้เจ็บ ให้แสบ ให้เข็ด ให้หลาบ ให้กลัว จนไม่รู้จักเป็นจักตาย หลบกิเลสหนีกิเลส ตายก็ตาย ให้ได้พ้นจากกิเลสก็แล้วกัน ให้พ้น ๆ มันก็บืนละซิ พระพุทธเจ้าสอนเล่นเมื่อไร พวกเราไม่เห็นนั่นซี จึงได้ว่ากิเลสแหลมคมมากนา แกพูด แกก็เปิดเต็มที่เหมือนกัน แกพูดด้วยความตื่นเต้น และแกก็ไม่มีผู้ใดที่จะตอบรับแกอย่างนั้น เราก็ตอบรับเต็มภูมิเลย เพราะหิวกระหายอยากฟังมานาน ธรรมะประเภทนี้มีแต่ประเภทความจำ จำได้ก็มาบ้าน้ำลายกันเหมือนนกขุนทอง..แก้ว..เจ้าขา ๆ เรียนจบพระไตรปิฎก กิเลสตัวเดียวหนังไม่ถลอกเลย เห็นแต่อย่างนั้นเต็มบ้านเต็มเมือง นี่แกเอาจริงเอาจังแน่แล้ว คนนี้ไม่นานด้วยนะ เมื่อมีผู้แนะจุดสำคัญนี้แล้ว มันจะพุ่ง ไม่ลูบไม่คลำเมื่อมีผู้แนะ ความที่ดำเนินมาแล้วก็ว่าถูกต้องแล้วก็หายห่วง จุดไหนที่กำลังดำเนินก็ชี้บอก ทางนี้ก็พุ่ง ๆ เลย เป็นเรื่องอัศจรรย์เหมือนกันนะ คนไม่เคยกับศาสนา เวลามาปฏิบัติมันเป็นขั้นนี่ละ ความรู้จากภาคปฏิบัติกระจายอย่างนี้เอง ความรู้ในหนังสือที่ท่านจดจารึกมาในตำรับตำราในพระไตรปิฎกพอประมาณเท่านั้นะ ไม่ได้ซอกแซกซิกแซ็กกระจายไปทุกแห่งทุกหนเหมือนภาคปฏิบัติ เรียกว่าทั่วท้องฟ้ามหาสมุทรเลย.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:42 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (08-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (05-08-2023), สุธรรม (05-08-2023)
|
#673
|
||||
|
||||
นับแต่เหตุการณ์ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ เป็นต้นมา สตรีท่านนี้ยังไม่มีโอกาสเข้ากราบองค์หลวงตาอีกเลย จนกระทั่งต้นเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ณ สวนแสงธรรม ถนนพุทธมณฑลสาย ๓ กรุงเทพมหานคร จงได้เข้ากราบองค์หลวงตาและสนทนาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาสนทนาเล็กน้อย ดังนี้
หลวงตา เวลานี้พิจารณาอะไรอยู่ ? สตรีนักภาวนา การปฏิบัติของลูกอาจจะไม่ได้ถูกร่องรอยที่หลวงตาสอนให้พิจารณานะเจ้าคะ เพราะว่าการปฏิบัติของลูกตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน มีสติสัมปชัญญะตามรักษาจิต ใช้วิธีนี้อย่างเดียวเจ้าค่ะ ตามรักษาจิตนี้ ลูกไม่ต้องกลับมาพิจารณาเลย ทุกขณะนี้พอลูกไล่ไปเรื่อย ๆ เอาให้อยู่กับปัจจุบัน ธรรมชัด ๆ เลย อยู่กับจิตว่าง อยู่กับปัจจุบันธรรม ก็จะเห็นความเกิดดับของสัญญา ความเกิดดับของสิ่งที่รู้ทั้งหมด รู้แล้วดับ ถ้ารู้แล้วไม่หลง รู้แล้วดับหมด พอทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ชัดขึ้นมาว่า มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่ตัวตนใด ๆ ทั้งสิ้น มันเป็นธรรมชาติที่เกิดดับ เกิดดับเท่านั้นเอง เท่านั้น หลังจากช่วงนั้นแล้วก็เลิกถูกต้ม เลิกถูกจิตต้มอีกต่อไป หลวงตา มันต้มยังไง ? สตรีนักภาวนา ถ้าเมื่อก่อนนี้ การที่จะระมัดระวังเฝ้ารักษาจิตนี้ ต้องสติตามดูตามรู้กิเลสถึงจะเกิดนะเจ้าคะ แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว รู้เท่าทันสัญญา สติตั้งมั่นไม่หลงอารมณ์ ทุกอย่างดับหมด ดับหมด เพราะอย่างนั้น ถ้าครั้งไหนเกิดเพลินเผลอไป แล้วหลงอารมณ์ ไปคว้าอารมณ์ก็ปล่อยได้เลย เพราะว่ารู้ว่ามันโง่ไปแล้ว เพราะฉะนั้น..ลูกกราบรายงานหลวงตาว่า การรักษาจิตของลูกนี้มิได้พิจารณาเลยเจ้าค่ะ แต่การรู้ที่เห็นเป็นขึ้นในขณะที่อยู่กับปัจจุบันธรรมตลอดเวลา แล้วทุก ๆ วันนี้สิ่งที่ปฏิบัติอยู่ของลูกนี้ แม้แต่ฟังหลวงตา แม้จะอยู่ในหมู่ผู้คน ลูกเหมือนกับมีตาอีกตาหนึ่ง เห็นจิตตลอดเวลา เฝ้าดูจิตตลอดเวลาตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอน ฉะนั้น..การภาวนาของลูกนี้ ความเผลอเพลินในการทำงาน มีบ้างที่จิตส่งออก แต่นอกนั้นแล้วจิตจะอยู่รักษาข้างในหมด จะไม่ออกมาเพ่นพ่านเพราะรู้ดี รู้เช่นเห็นชาติหมดว่ามันออกไป มันเอามาแต่อะไร แล้วเข็ดหลาบเบื่อหน่ายเจ้าค่ะ เพราะฉะนั้น..วันทั้งวันจะมีสติตามรักษาจิตโดยไม่ต้องมีใครมาบอกเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:44 |
#674
|
||||
|
||||
หลวงตา เข้าใจ..เอาอยู่จุดนั้นละนะ เราจะไม่เร่งไม่บอกอะไรละ ให้เอาปัจจุบันนี้เป็นหลักนะ เร่งก็เร่งอยู่ในปัจจุบัน ไม่เร่งก็อยู่ในปัจจุบัน ไม่นอกปัจจุบันแล้วไม่ผิด เข้าใจไหม ? ให้อยู่ในปัจจุบัน จิตในลักษณะในธรรมชาตินี้เป็นยังงั้น
คุณก็มีครอบครัวเหย้าเรือน มีงานมีการอยู่ จึงไม่ค่อยเร่งให้ ปล่อยให้เจ้าของเร่งเจ้าของเอง เข้าใจ ? ถ้าเป็นนักบวชนักปฏิบัติแล้วไล่ตีหลงทิศไปเลย มันเป็นขั้นเป็นตอน สตรีนักภาวนา แต่จิตที่ดูเหมือนไม่เร่ง แต่มันก็ไม่ยอมปล่อยนะคะ หลวงตา เราเข้าใจ พูดอย่างนี้เข้าใจทันทีทันทีเลย ยังบอกให้ไปตามหลักธรรมชาติปัจจุบัน ๆ อย่างนั้นละ มันไม่มีอะไรละ มันอยู่กับปัจจุบันนั้นหมดเลย พอเรียนจบปัจจุบันแล้วละ ไม่ต้องถามแล้ว ปัญหาอะไรไม่มีละ ทีนี้เอาละ ดูปัจจุบันของเจ้าของเป็นยังไง เท่านั้นละ สตรีนักภาวนา ถ้ามีคนถามว่า ลูกจะถามอะไรหลวงตา ลูกก็ไม่รู้จะถามอะไร เพราะว่าลูกเฝ้าแต่ปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าอยู่กับปัจจุบันเมื่อไรเกิดดับก็มาตลอดสายเจ้าค่ะ หลวงตา ก็ยังงั้นแล้ว นี่ก็ไม่ถามอะไร เพราะงั้นจึงว่าปัจจุบันนี้พิจารณายังไงเท่านั้นเอง แน่ะ..ก็เข้าปัจจุบันแล้วใช่ไหมล่ะ ? ถามตรงนั้นแหละ ตรงปัจจุบันสำคัญมาก นี้มันลงปัจจุบันแล้ว สตรีนักภาวนา เมื่อก่อนลูกตื่นตี ๓ นะเจ้าคะ รู้สึกว่าเวลามันน้อยไป เดี๋ยวนี้ลูกขยับมาเป็นตี ๒ ครึ่งทุกวันเจ้าค่ะ ลูกเดินจงกรมทุกวัน ลูกจะอยู่กับปัจจุบันเจ้าค่ะ อยู่กับปัจจุบัน เพราะฉะนั้น..มันไม่มีความกลัวตาย ไม่มีความกลัวอะไรเลย เพราะรู้ว่าทุก ๆ ขณะจิตถ้าตายลงในขณะใดนี่ มันอยู่พรึ่บเลยเจ้าค่ะ มันไม่มีสิทธิ์เลยที่จะหลุดไปไหนเจ้าค่ะ (การสนทนาธรรมจบลงเพียงเท่านี้)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-08-2023 เมื่อ 16:45 |
#675
|
||||
|
||||
สตรีนักภาวนาดูกาย
สตรีอีกท่านหนึ่งเป็นนักภาวนาคนสุดท้าย ที่เขียนจดหมายมาถามปัญหาธรรมหลายครั้ง และองค์หลวงตาเมตตาตอบจดหมายด้วยตนเองทุกครั้ง หรือแทบทุกครั้ง แม้จะเข้าวัยชราภาพมากแล้วก็ตาม (ช่วง ๑๐ ปีสุดท้ายก่อนมรณภาพ) เนื่องจากเป็นนักภาวนาที่ชอบการพิจารณาอสุภะแบบโลดโผน มีการทดสอบลิ้มรสสัมผัสให้เห็นจริง ถึงความสกปรกน่าขยะแขยงน่ารังเกียจของร่างกาย จนเห็นผลของการปฏิบัติในระดับที่องค์หลวงตาแนะให้มาปฏิบัติเต็มตัว จากนั้นไม่นานสตรีท่านนี้จึงพักชีวิตทางโลก หันมาภาวนาเต็มตัวหลายต่อหลายปีที่วัดป่าบ้านตาด เพื่อจะปฏิบัติได้เต็มที่และสะดวกต่อการเข้าปรึกษาองค์หลวงตา สตรีท่านนี้ได้เข้าถามปัญหาจิตภาวนากับองค์หลวงตาที่กุฏิของท่านหลายครั้ง ท่านก็ให้แนะอุบายวิธีเป็นลำดับ ต่อมาเมื่อเข้าวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๕ สตรีท่านนี้ได้ตั้งข้อปัญหาขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ศาลาใน คำถามครั้งนี้เป็นสาเหตุให้ท่านระลึกถึงอดีต ที่เคยเกิดปัญหาธรรมขั้นสูงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ และหลงติดปัญหานี้กับตนเองนานถึง ๓ เดือนเพราะขาดครูอาจารย์แนะนำ ต่อมาเมื่อแก้ปัญหาตกลงไปได้ ก็เกิดความอัศจรรย์ในธรรมอย่างใหญ่หลวง ถึงขั้นน้ำตาร่วงขณะสำเร็จธรรม ในการแสดงธรรมอัศจรรย์ที่ศาลาในครั้งนี้ก็เช่นกัน เนื้อหาธรรมถึงกับทำให้ท่านต้องน้ำตาร่วงออกมาอีก คลับคล้ายกับเมื่อครั้งอดีตที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จึงกราบเท้าขอน้อมนำพระธรรมเทศนาครั้งนี้มาแสดงโดยย่อ ดังนี้ ถาม หลวงตาเจ้าขา เมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ ? หลวงตา ฐานความตายก็อยู่ในนั้น ดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตาย สิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่า ? ดูตัวจิต ไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้ เข้าใจหรือเปล่า ? อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่น ฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ? ถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไร จมนะ..อย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือสงวนอะไรไว้ นั่นละ..คือกองมหาพิษมหาภัย เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่า หลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี "โอ้โห..ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา" รำพึง..เดินจงกรมยืนอยู่ มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้ ? จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัย คือตัวที่ว่าอัศจรรย์ นั่นเห็นไหมล่ะ..นั่นละ..ธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซี ก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักร เรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชา มันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมา เพราะว่าที่ว่าสว่างไสว มันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้า นั่นละตัวสำคัญ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 18:51 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (13-08-2023), สุธรรม (14-08-2023)
|
#676
|
||||
|
||||
เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โห..จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสาร นั่นเห็นไหม ? อวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้าย..เห็นไหม ? เรารู้มันเมื่อไร ไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ เราลืมเมื่อไรถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่าง นี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกันใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ
นั่น..เห็นไหม..บอกตรงนี้ ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เอง ถึงได้คิดพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้น เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้น มันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมัน คอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี นั่นละมหาภัยแท้ ตรงนั้นทีเดียว จุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักร ของแดนสมมติ อยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมา แทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊ะ..จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภาฯ เดือน ๓ เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้ ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย ยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหม..? กิเลสหลอกขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณ..เห็นไหม ? ก็แบกปัญหานี้ไป นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์ บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละ..เรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมด ปล่อยไปหมด วางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ ? จึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 18:53 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (13-08-2023), สุธรรม (14-08-2023)
|
#677
|
||||
|
||||
มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้ว อะไรก็ปล่อยหมดแล้ว เหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนั้น จิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่..เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัดธรรมเกิดเปิดออก นั่น..เรียกว่าธรรมเกิด
กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่น..เวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่น..เวลาตัดกันจริง ๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้ จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมดความหมายว่างั้น ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้ว ไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลย..วันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ นั่นละ..ถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียว ผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย..! นี่เวลามันลบนะ..มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ..กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิต กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุ..เข้าใจไหม ? พอคว่ำอันนี้ลงแล้ว ก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 18:56 |
สมาชิก 7 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (13-08-2023), สุธรรม (14-08-2023)
|
#678
|
||||
|
||||
ทีนี้พอมันพรึ่บทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเอง เป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึ่บทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยทีนี้
"อู๋ย..อัศจรรย์จริง ๆ นี่..เห็นไหม ? ขันธ์ทำงาน พี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหม..ดูซิ..น้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพัง..เห็นไหม ? นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มี..เข้าใจไหม ? นี่ละ..ผางเท่านี้ โถ..อัศจรรย์จริงๆ" ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้..ว่างั้นนะ "โอ๊ย..อัศจรรย์จริง ๆ แหม..น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ? ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ? ไม่เคยคาดเคยคิดนะ..มันผางขึ้นมา อู๊ย..อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิ..เดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆ" จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึ่บลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ..พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ? ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้ว..จะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ? รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ..พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง ? แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่ จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-08-2023 เมื่อ 18:59 |
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (14-08-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (13-08-2023), สุธรรม (14-08-2023)
|
#679
|
||||
|
||||
เทศนาอบรมฆราวาส
หากไม่นับการแสดงธรรมในช่วงชีวิตการเรียนและการออกธุดงคกรรมฐาน องค์หลวงตาเริ่มเกี่ยวข้องกับการเทศน์สั่งสอนประชาชนปรากฎชัดเจนตั้งแต่คราวไปจำพรรษาที่จังหวัดจันทบุรีในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ และกระจายกว้างขวางขึ้น เมื่อเริ่มตั้งวัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา การแสดงธรรมอบรมฆราวาสขององค์หลวงตาแบ่งเป็น ๒ ประเภท ตามสถานที่แสดงธรรม คือ ๑. อบรมคณะที่มากราบเยี่ยมที่วัดป่าบ้านตาด ๒. เดินทางไปอบรมนอกสถานที่ ส่วนเนื้อหาธรรมที่แสดงนั้นท่านมีหลักเกณฑ์ว่า "การเทศนาว่าการต้องไปตามกาล สถานที่ บุคคล จะให้เสมอกันหมดไม่ได้ หากเป็นอยู่ในตัวของมัน เครื่องรับเครื่องวัดกันมันมีอยู่ในนั้น ไม่ต้องไปถามใคร รู้พอดิบพอดีตลอดเวลา" ในระยะที่ธาตุขันธ์ของท่านยังพอเป็นพอไป ท่านเมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมตามหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่เขานิมนต์มา เช่น วัด หน่วยราชการ ทหาร ตำรวจ สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ฯลฯ ซึ่งจะรับหรือไม่ท่านพิจารณาตามเหตุผลความจำเป็นเป็นสำคัญ ต่อเมื่อชราภาพมากเข้า ท่านจึงงดเว้นการออกไปแสดงธรรมนอกสถานที่ หากมีอยู่บ้างโดยมากเป็นงานเนื่องด้วยมรณภาพของพระกรรมฐานครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ เช่น หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชา หลวงปู่คำตัน หลวงปู่หล้า เป็นต้น ต่อมาเมื่อเปิดโครงการช่วยชาติในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้นไป องค์หลวงตาก็เมตตารับนิมนต์ไปแสดงธรรมนอกสถานที่ในจังหวัดต่าง ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้ท่านต้องลำบากตรากตรำฝืนสังขาร เดินทางไปแสดงธรรมช่วยชาติเกือบทั่วประเทศไทยตลอดระยะเวลานับสิบปี ซึ่งธรรมเทศนาในระยะช่วยชาตินี้ จักได้แสดงในบทต่อ ๆ ไป เมื่อมีโครงการช่วยชาติ พระธรรมเทศนาขององค์หลวงตายิ่งกว้างขวาง กระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลกจนกระทั่งปัจจุบัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2023 เมื่อ 17:45 |
สมาชิก 6 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
กมลโกศลจิต (07-04-2024), ต้นบุญ (27-09-2023), พี่เสือ (11-05-2024), มารวย๙ (26-09-2023), สุธรรม (26-09-2023)
|
#680
|
||||
|
||||
ต้อนรับคณะผู้มาเยือน
องค์หลวงตามีเมตตาต่อคณะผู้มาเยือนกลุ่มย่อยกลุ่มใหญ่จากทางใกล้ทางไกล ทั้งในและนอกประเทศที่มาขอเยี่ยมพบท่านตลอดมา แต่เมื่อกำลังอ่อนลง การต้อนรับย่อมมีข้อจำกัดเพิ่มขึ้น คราวหนึ่งท่านเล่าแบบขบขันถึงคณะกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อจะขอเข้ากราบท่าน ดังนี้ "..ควรรับขนาดไหน..มันสมควรขนาดไหน เมื่อเพียบเต็มที่แล้วมันจะไปได้หรือ ? ก็ต้องหยุดพักเครื่องน่ะซี..มาตลอดทั้งวัน เรานั่งตลอดคนเดียว แล้วไม่ใช่วันหนึ่งวันเดียวด้วย นั่งมาตั้งเมื่อไร มันตายได้มนุษย์เรา ชีวิตหดสั้นย่นเข้ามาเรื่อย ๆ..เขาว่าไม่ต้อนรับ ไปกี่ครั้งกี่หนไม่ได้พบท่าน ว่าอย่างนั้น.." ถ้าเราจะตอบก็ว่า "เฮาก็ไม่ได้พบเจ้าคือกันแล้ว ก็เว้าจั่งซั้นจะเป็นหยัง..แม่นบ่ จะมาเว้าแต่เจ้าบ่พบข้อย ข้อยก็บ่ได้พบเจ้าคือกันตั๊ว มันก็เท่ากันแล้ว" ยากอีหยัง..ตอบคน..มันสุดวิสัย ก็เคยรับอยู่แล้ว..วันนั้นเรารับแขกทั้งวัน เราจะตายจนไม่มีลมจะพูดแล้ว กำลังจะมืด พระก็มาบอกว่า คณะญาติโยมมาจากโน้น ๆ เราก็เล็งดู จากโน้นจากนี้ก็ไกล ก็ทน "เอ้า..ให้เข้ามา" แน่นเอี้ยดกุฏิเรา เราก็เลยทำท่าละทีนี้ มันทำได้ทุกอย่าง พลิกสันก็ได้คมก็ได้ พอมาเราก็ทำท่าขึงขัง เราอดหัวเราะไม่ได้นะ แต่ทำท่าขึงขัง "แม่นหมู่เจ้า มาอีกหยังกะด้อกะเดี้ยแท้ เดี๋ยวนี้ว่ะ" .. ขู่นะ เขาตอบว่า "มาชมบารมีหลวงพ่อ" "บารมีแม่นอีหยัง คนกำลังจะตายฮู้จักบ่..เอ้า..ไป..ลง.." ขู่แล้ว พอเท่านั้นละ หลั่งลงไปลิด ๆ จั่งซั่นแล้ว บัดจะเฮ็ด เฮ็ดจั่งซั่นแล้ว โกรธก็โกรธ เคียดก็เคียดก็ตาม ทำท่าคึกคักขึ้นโลด ของทำได้..แม่นบ่ ตั้งแต่เขาเล่นลิเกละครเขายังทำได้..ใช่ไหม ? ถึงบทหัว..หัว ถึงบทไห้..ไห้ บ้าทั้งนั้นละพวกนี้ จั่งซั่นแล้วก็เฮ็ดได้.." "ระยะนี้มานี้เราเพียบเต็มที่ หนักมาก..มาเป็นประจำ ๆ เมื่อวานนี้เป็นวันสุดท้ายจนรับไม่ได้ ว่างั้นเถอะ หมดกำลัง ลุกเดินจะไม่ได้ ขาก็ขัดอะไรก็ขัดไปหมด ก้นก็จะแตกจะว่าไง โถ..นั่งทั้งวัน แขกไม่ใช่คณะหนึ่งคณะเดียว มาทั้งแผ่นดินนี่ คณะนั้นเข้าคณะนี้ออก อยู่อย่างนั้นแล้ว รับคนเดียว.."
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-09-2023 เมื่อ 19:49 |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 13 คน ) | |
|
|